ภาพอากาศยานยุคโบราณ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ๙๙๙๙๙๙๙๙๙, 26 กรกฎาคม 2009.

  1. ๙๙๙๙๙๙๙๙๙

    ๙๙๙๙๙๙๙๙๙ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +2,808
    [​IMG]
    ปัญหา ก็คือ บริเวณดังกล่าวไม่มีหลักฐานของอากาศยานแม้ซักกระผีกนี่สิครับ แต่ก็นั่นแหละ ใช่ว่าบนโลกอันกว้างใหญ่ของเราใบนี้ จะไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับอากาศยานโบราณเอาเสียเลย ดูจากรูปที่ผมนำมาให้ท่านทัศนาดูนะครับ ว่าใช่หรือใกล้เคียงกับเครื่องบินในปัจจุบันหรือไม่

    [​IMG]
    ภาพจากตำนานของชาวสุเมเรี่ยน/บาบิโลเนียน เทพเจ้าพร้อมกับยานของพระองค์

    [​IMG]
    ส่วนภาพเหล่านี้ มาจากส่วนหนึ่งในวิหารอาบิดอสของอียิปต์ ซึ่งดูยังไง๊ยังไงมันก็เหมือนอากาศยานยุคใหม่เอามากๆ

    [​IMG]
    อันนี้เป็นศิลปะเม็กซิกันโบราณ เป็นภาพยานพาหนะของเทพเจ้าครับ

    [​IMG]



    แบบจำลอง ของอะไรบางอย่างที่เรียกกันว่าเครื่องร่อน ถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ณ กรุงไคโร มันมีความยาวประมาณ 6 นิ้ว และความยาวปีกวัดได้เจ็ดนิ้วเศษ ทำจากไม้ไซคามอร์ที่มีน้ำหนักเบา มันสามารถร่อนได้จริงๆเป็นระยะทางพอสมควร เมื่อเราร่อนมันด้วยมือ เจ้าแบบจำลองนี้พบได้ในอียิปต์และบางส่วนของอเมริกาใต้ครับ

    มันคือความบังเอิญ? มันเป็นเครื่องประดับ? ผม ว่าไม่ใช่หรอก เพราะบางชิ้นที่พบในอเมริกาใต้มีลักษณะของเครื่องเจ็ทปีกสามเหลี่ยมอย่าง ชัดเจน โมเดลเหล่านี้ถูกค้นพบนานแล้วครับ คือตั้งแต่ปี 1898 แถบซัคคาราของอียิปต์ ประมาณว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นราว 200 ปีก่อน ค.ศ. หรือสองพันกว่าปีมาแล้ว ในช่วงที่ค้นพบมันนั้น เป็นสมัยที่โลกยังไม่รู้จักเครื่องบินเหมือนทุกวันนี้ ดังนั้นโมเดลดังกล่าวจึงถูกผนึกใส่กล่อง แปะสลากเอาไว้ว่า "เครื่องประดับลักษณะคล้ายนก" แล้วก็เก็บมันไว้ใต้ถุนพิพิธภัณฑ์อย่างไม่มีใครแยแส

    Dr. Khalil Messiha เป็นคนแรกที่นำมันมาศึกษาอีกครั้ง เขาสนใจในรูปทรงของโมเดลเหล่านี้เป็นอย่างมาก Dr. Messiha ทำให้รัฐบาลอียิปต์สนใจกับสิ่งที่เขาพบและจัดคณะทำงานเพื่อศึกษาโมเดลเหล่า นี้เป็นกรณีพิเศษ ผลที่คณะทำงานแถลงออกมาก็คือ โมเดลที่ซัคคาราเป็นแบบจำลองของเครื่องบินอย่างจริงแท้แน่นอน และเมื่อทดลองสร้างเครื่องเล็กๆตามแบบแปลนของโมเดล วิศกรการบินบอกว่า มันบินได้แน่นอนไม่มีปัญหา ไม่ว่าจะในลักษณะของเครื่องร่อนหรือว่าติดเครื่องยนต์

    ครับ ก็เก็บเป็นการบ้านให้คิดกันเล่นๆละกัน ว่าเมื่อสองพันปีที่ผ่านมา ในสมัยที่ประวัติศาสตร์บอกกับเราว่ามนุษย์ยัง ไม่รู้จักพื้นฐานของแอร์โรว์ได นามิค แต่ดันมีโมเดลของเครื่องบินที่สร้างตามแบบของวิศวกรรมการแบบเด๊ะๆ มันมาจากไหน ชาวอียิปต์โบราณรู้จักมันได้อย่างไร สุดท้ายก็กลายเป็นปัญหาที่ขบไม่แตกไปอีกข้อล่ะครับ

    [​IMG]



    อากาศยานแห่งพระเจ้าของชาวภารตะ

    ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว มหาอาณาจักรเก่าแก่ในดินแดนแถบลุ่มน้ำสินธุโบราณ ซึ่งเรียกกันว่า ‘Rama Empire’ ได้ เจริญรุ่งเรืองแผ่ขยายอำนาจไปทั่วดินแดนซึ่งปัจจุบันคืออินเดียตอนเหนือ และประเทศปากีสถาน ประมาณว่าอาณาจักรนี้มีอายุย้อนหลังไปถึงหนึ่งหมืนห้าพันปี เก่าแก่สูสีกับแอตแลนติสนั่นเลยทีเดียว เพราะในบันทึกของอาณาจักรนี้ มีการกล่าวถึงการทำสงครามกับชนเผ่า Asvin ซึ่งน่าจะหมายถึงชาวแอตแลนติสอยู่ด้วย

    แถมไม่ได้รบกันแบบธรรมดาด้วยนะครับ พวกเขามียานพาหนะที่เรียกกันว่า "วิมานะ" หรือวิมาน ซึ่งจากคำบรรยาย วิมานะมันก็ยานอวกาศเราดีๆนี่เอง เรื่องของวิมานะผมเคยเล่าเมื่อนานมากแล้ว คลิกอ่านรายละเอียดได้ ที่นี่ ครับ เพราะจะไม่เล่าซ้ำแล้ว จะขอสรุปเอาง่ายๆว่า ดินแดนภารตะหรืออินเดียโบราณนั้น ก็มีเรื่องราวหลักฐานของเครื่องบินอยู่ด้วยเหมือนกัน แถมยังมีบันทึกของการใช้อาวุธแบบอะตอมมิคบอมบ์เสียอีกด้วย

    ตบท้ายกันด้วยรูปเครื่องบินโบราณอีกสักชุดก็แล้วกันครับ ดูเสร็จก็ตัวใครตัวมัน.. เอ่อ หมายถึงว่าแยกย้ายกันไปนั่งขบคิดนั่นแหละครับ ว่าสิ่งที่เราเห็นมันบอกอะไรกับเราบ้าง



    [​IMG] [​IMG]



    [​IMG] [​IMG]



    อันนี้พบในอเมริกาใต้ เป็นโมเดลเครื่องบินปีกสามเหลี่ยมทำด้วยทองคำ
    แล้วสำหรับสองรูปนี้ล่ะครับ เห็นแล้วคิดยังไง?


    [​IMG] [​IMG]



    [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]


    ลองย้อนไปดูในอดีตสิครับ
    มีร่องรอยมากมายที่เกี่ยวโยงอาคันตุกะจากอวกาศกับ
    มนุษย์ โลกของเราเข้าไว้ ด้วยกัน เป็นต้นว่ามหาปิระมิดแห่งคีออปส์ สโตนเฮนจ์บนทุ่งซอลส์เบอร์รี่ เทวสถานของชนเผ่ามายา อินคา หรือลายเส้นปริศนาบนที่ราบนาซก้าที่เพิ่งผ่านตาท่านมากันหยกๆ สิ่งเหล่านี้ต้องอาสัยเทคโนโลยีและความรู้ชั้นสูงทั้งสิ้น และจากพื้นเพของชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในถิ่นๆนั้น ดูๆไปหากไม่ได้รับการชี้แนะจากครูที่เก่งกาจสักคน ชนพื้นเมืองเหล่านั้นก็ไม่น่าที่จะสรรค์สร้างสิ่งมหัศจรรย์พวกนี้ขึ้นมาได้

    มีคนเชื่อก็ย่อมมีคนไม่เชื่อ ต่างกันที่คนเชื่อพยายามจะนำเสนอหลักฐานแต่พวกไม่เชื่อเค้าจะด่าเอาว่าบ้า มนุษย์ต่างดาว หรือไม่ก็เอเลี่ยนขึ้นสมอง(นายโซนิคก็เคยโดน แหะ แหะ..) เอาเถอะครับ กาลเวลานั่นแหละจะเป็นฝ่ายพิสูจน์ทุกสิ่งทุกอย่าง และปัจจุบันจากการศึกษาลึกลงไปในประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์มนุษย์ ก็นับว่าได้หลักฐานที่น่าเชื่อถือออกมามากมายแล้วว่า ในอดีตเคยมีมนุษย์ต่างดาวลงมาเยือนโลกของเราแล้วจริงๆ และบรรพบุรุษของเราก็คงมีปฏิกิริยาไม่ต่างจากคนป่าในนิวกีนี ที่เห็นนักบินก้าวลงมาจากเครื่องบินเพื่อแจกเวชภัณฑ์ นั่นก็คือทำการสักการะและยกย่องให้เป็นพระเจ้า พระเจ้า(GODS)ที่เป็นนามธรรม มีเลือดเนื้อ มีชีวิต และก็มีทายาทเหมือนมนุษย์เดินดินทุกประการ
    [​IMG]
    นอก จากภาพวาดแล้ว นักโบราณคดียังพบความน่าทึ่งเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณอีกมากมาย ยิ่งมีการศึกษาอารยธรรมของกลุ่มชนที่เจริญผิดยุคในสมัยก่อนมากขึ้นเท่าไหร่ วงการโบราณคดีก็ยิ่งได้ตระหนักถึงความสามารถของมนุษย์สมัยก่อนมากขึ้นเท่า นั้น ใครเล่าจะคาดคิดว่า เมื่อหกพันปีก่อนชาวสุเมเรี่ยนรู้ว่าโลกใบนี้กลมดิกแถใยังรู้ลึกซึ้งเข้าไป อีกว่า ระบบสุริยะของเรามีดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 12 ดวง (พวกเขานับดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์รวมเข้าไปอีก) ถึงอย่างนั้นถ้าไม่นับดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ที่ชาวสุเมเรี่ยนรู้จักก็ยังมากกว่าที่ปัจจุบันทราบกันอยู่ 1 ดวง เมื่อหกพันปีก่อนพวกเขารู้จักดาวยูเรนัส เนปจูน พลูโต ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เพิ่งใช้กล่องดูดาวตรวจพบเมื่อหลังศตวรรษที่ 18 นี้เท่านั้นเอง

    ชาวโลกปัจจุบันชอบมองบรรพชนของเราว่าป่าเถื่อนล้าหลัง งมงายในไสยศาสตร์ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหาศาล จำได้ไหมครับว่า เมื่อปี 1543 นิโคลัส คอปเปอร์นิคัส เป็นคนแรกที่แย้งว่าโลกมิได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล แต่ก็ไม่มีใครเชื่อแถมโดนศาสนจักรหมายหัวเอาอีก จนกระทั่งปี 1610 ที่กาลิเลโอสร้างกล้องดูดาวได้สำเร็จนั่นแหละ โลกถึงได้ประจักษ์ความจริงข้อนี้ ทั้งๆที่ชาวสุเมเรียนรู้ก่อนหน้านี้มาหลายพันปี นี่ยังไม่นับชาวอียิปต์ที่รู้ว่าโลกกลมและหมุนรอบดวงอาทิตย์อีกด้วยน


    ปี 1659 คริสเตียน ฮิวเกนส์ ค้นพบว่าดาวเสาร์มีวงแหวนล้อมรอบ ในขณะที่จากรึกแผ่นดินเหนียวของชาวสุเมเรียนเขียนภาพนี้เอาไว้อย่างชัดเจน เลย ลองมาดูแถบอาฟริกากันดูบ้าง คนป่าผิวดำเผ่าโดกอน ซึ่งอาศัยอยู่แถบละแวกถ้ำเมืองบันเดียการา ห่างจากทิมปักตูไปทางใต้ประมาณสามร้อยกิโลเมตร เป็นคนป่าที่แสนจะยากจนและมีมาตรฐานการดำรงชีวิตต่ำ แต่เชื่อไหมครับว่า พวกเขามีความรู้เกี่ยวกับด้านดาราศาสตร์อย่างลึกซึ้ง โดยสามารถบอกได้ว่ามีดาวเล็กๆดวงหนึ่งโคจรรอบดาวซิริอุส-เอ ใช้เวลารอบละห้าสิบปี ปัจจุบันเรารู้จักดาวดวงนี้ในนามของดาวซิริอุส-บี ดาวดวงนี้ไม่มีทางจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าหรือกล้องโทรทัศน์ทั่วไป เพราะมันอยู่ห่างไกลไปจากโลกถึง 8.7 ปีแสง และเราเพิ่งถ่ายภาพดาวดวงนี้ได้ในปี 1970 ก็เมื่อเร็วๆนี้นี่เอง แล้วชาวโดกอนเมื่อหลายร้อยปีก่อนทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร?

    ชาวโดกอนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ พวก เขาถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้แบบปากต่อปาก ตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษและพูดล่วงหน้าว่า ยังมีดาวเหลืออยู่ในกลุ่มนี้อีกดวงหนึ่งโคจรอยู่ทางมุมขวาของดาวซิริอุส-บี ตอนนั้น นักดาราศาสตร์ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนกระทั่งเมื่อปี 1995 (ไม่กี่ปีนี้อีกนั่นแหละ) ก็เจอดาวดวงที่สามหรือซิริอุส-ซี ตรงตามที่ชาวโดกอนบอกเอาไว้จริงๆ โดยอยู่ห่างไกลจากโลกออกไป 325 ปีแสง (เอา 5,880,000,000,000 คูณเข้าไปนะครับ มีหน่วยเป็นไมล์) ความ รู้เกี่ยวกับกลุ่มดาวซิริอุสทั้งหมด ชาวโดกอนเปิดเผยว่าจดจำมาจากพระเจ้าผู้ลงมาจากห้วงอวกาศแห่งระบบดาวซิริอุส ซึ่งมีลักษณะของคนผสมปลา อาศัยอยู่ใต้บาดาลเรียกว่า Nommos

    แม้ในปัจจุบัน พวก เขาก็ยังฉลองกันเพื่อระลึกการมาเยือนของ Nommos ในทุกๆ 60 ปี ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นระยะเวลาที่ดาวแม่ของพระเจ้าของพวกเขาโคจรครบหนึ่งรอบ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่ ครับ)

    เรื่อง ของ
    มนุษย์มัจฉาผู้ ถ่ายทอดวิทยาการให้แก่โลก ยังไปปรากฏอยู่ในตำนานของชนชาติอื่นที่เก่าแก่ เช่น บาบิโลเนีย ว่าทุกเช้าจะขึ้นมาจากน้ำเพื่อสั่งสอนความรู้ให้กับมนุษย์ เช่น กสิกรรม คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ ระเบียบของสังคม ก่อนจะกลับลงสู่ทะเลในตอนเย็น ชาวบาบิโลเนียเทิดทูนพวกเขาเสมือนพระเจ้า และเรียกว่า Oannes ซึ่งไปตรงกับภาษาของชาวมายาในคำว่า Oaana อันหมายถึง "คนที่อาศัยอยู่ในน้ำ"

    ในประเทศญี่ปุ่นนักโบราณคดีขุดพบตุ๊กตาอายุหมื่นกว่าปี เรียกกันตามภาษาญี่ปุ่นว่าโดกุ สวมเสื้อผ้าเหมือนนักบินอวกาศมากแถมยังเกี่ยวข้องกับมนุษย์ที่อยู่ในน้ำด้วย สิ

    โลก ที่เราอาศัยอยู่นี้มีอายุประมาณ 4.5 พันล้านปี แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพิ่งวิวัฒนาการขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ 25 ล้านปีก่อน จากซากฟอสซิลที่ขุดพบในอาฟริกา ทำให้เชื่อว่าบรรพบุรุษของตระกูลลิง Ape ได้เกิดขึ้นเมื่อ 13 ล้านปีก่อน และต่อมาอีก 3 ล้านปี จึงได้วิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์สายพันธุ์แรกหรือ Homo อย่างแท้จริง

    ขอสรุปวิวัฒนาการของสายพันธุ์มนุษย์แบบย่อๆให้ฟังอีกครั้งหนึ่งนะครับ เมื่อสองล้านปีก่อน มนุษย์ ดึกดำบรรพ์พวกแรกที่มีโครงสร้างกระโหลกและกระดูกคล้ายกับมนุษย์ ปัจจุบันมากที่สุดแรกว่า แอดวานซ์ ออสตรัลโลพิทธิคัส เริ่มปรากฏในทวีอาฟริกา และต้องใช้เวลาอีกหลายล้านปีทีเดียว กว่าที่พวกเขาจะวิวัฒน์มาเป็นสายพันธุ์โฮโม อิเร็คตัส มนุษย์พวกแรกที่เริ่มมีภาษาใช้ในการสื่อสาร รู้จักใช้ไฟ และหินเป็นเครื่องมือในการล่าสัตว์ มีมันสมองที่โตขึ้นกว่าเดิมอีก 100 เปอร์เซ็นต์ และอีกเก้าแสนปีต่อมา พวกเขากลายเป็นมนุษย์นีแอนเดอร์ธัล (เรียกตามแหล่งที่ขุดพบครั้งแรกในประเทศเยอรมัน) มนุษย์พวกนี้จัดเป็นพวกแรกที่น่าจะเป็นวิวัฒนาการสายเดียวกับมนุษย์ปัจจุบัน และเป็นบรรพบุรุษสายตรงของมนุษย์ ที่รู้จักงานศิลปะ เชื่อถือในเรื่องไสยศาสตร์

    วิวัฒนาการทางสมองของมนุษย์เป็นไปอย่างเชื่องช้ามาก บรรพบุรุษของเราทำไมใช้เวลาร่วมๆสองล้านปีพัฒนาตัวเองจากสายพันธุ์แอดวานซ์ ออสตรัลโลพิทธิคัส สู่สายพันธุ์นีแอนเดอร์ธัล โดยใช้เครื่องมือหินที่มีลักษณะไม่ต่างกันเลย แต่แล้วจู่ๆเมื่อประมาณสองแสนสี่หมื่อนกว่าปีก่อน มนุษย์สายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อโฮโม เซเปี้ยน ก็ดันปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่รู้รากเหง้า เพราะไม่ได้วิวัฒนาการมาจากมนุษย์ยุคหิน มันวมองใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีกครึ่งหนึ่ง รู้จักเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ไม่เดินโทงเทงเปล่าเปลือยเพราะรู้จักใช้หนังสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่ม และรู้จักการมีสังคมอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน

    [​IMG]
    ทำไมครับ? ทำไม...

    ทำไมมนุษย์ใช้เวลายาวนานร่วมสองล้านปีเพื่อพัฒนาเครื่องมือหินไปสู่วัสดุอื่น แต่ไม่ต้องใช้เวลาเป็นล้านๆปีเพื่อเรียนรู้วิทยาการที่ยุ่งยากซับซ้อนกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการก่อสร้าง การคำนวณ การดูดาว การเกษตร ฯลฯ เพราะมนุษย์กลับพัฒนาตัวเองได้เร็วเหลือเชื่อ จากเกวียนเทียมวัวอันเชื่องช้า สู่จรวดความเร็วสูง จากบูมเมอแรงสู่ดาวเทียมที่โคจรอยู่รอบวงโคจรโลก การเปลี่ยนแปลงจากมนุษย์ถ้ำไปสู่มนุษย์อวกาศทั้งหมดนี้บรรพบุรุษของเราใช้ เวลาเพียง 35,000 ปี ที่มากระจุกตัวกันอยู่ในช่วงหลังนี้เอง

    ดังนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่า มนุษย์เราอาจจะได้รับการถ่ายทอด เปลี่ยนแปลง ทางเทคโนโลยีเฉกเช่นมนุษย์มัจฉาซึ่งมีอารยธรรมสูงกว่า?

    ท่าน ที่ติดตามผลงานของนายโซนิคมานานก็คงพอจะให้คำตอได้นะครับ โดยเฉพาะกับผู้ที่นายโซนิคเป็นสาวกของเขา นั่นก็คือนาย Zecharia Sitchin ซึ่งนับเป็นนักวิชาการหนึ่งในไม่กี่คนของโลกที่สามารถอ่านอักษรลิ่มของภาษา สุเมเรี่ยนได้ เขาใช้เวลากว่าสามสิบปีศึกษาแผ่นจารึกสุเมเรียนร่วมสองพันแผ่น จนค้นพบกุญแจไขปริศนาสู่ดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า Nibiru หรือ Marduk ในภาษาบาบิโลเนียน โดยสรุปการค้นคว้าของเขาว่า เมื่อครึ่งล้านปีก่อนมนุษย์จากดาวเคราะห์ดวงนี้ได้เดินทางมายังโลก และถ่ายทอดวิทยาการต่างๆให้กับมนุษย์จนมีอารยธรรมเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ชนิดชาวสุเมเรียนเรียกว่า "ของขวัญจากพระเจ้า" รวมทั้งได้แต่งงานกับผู้หญิงสายพันธุ์โฮโม อิเร็คตัส ก่อนแพร่ลูกแตกหลาน จนเป็นมนุษย์โฮโม เซเปียน อย่างทุกวันนี้ อ้อ.. ชาวสุเมเรียนเรียกพระเจ้าของพวกเขาว่า Anunnaki ครับ

    พระ คัมภีร์ไบเบิลเองก็พูดถึงเรื่องนี้ ว่าบุตรแห่งพระเจ้าได้แต่งงานอยู่กินกับสาวชาวโลก ในภาษาฮิบรูว์เรียกว่า Nefilim ซึ่งมีความหมายตรงกันกับคำว่า Anunnaki อย่างน่าตกใจว่า "ผู้มาเยือนจากเบื้องบน" เมื่อศตวรรษก่อนมนุษย์ยังไม่รู้ว่ามีดาวพลูโต(มารู้จักเอาปี 1930 นี้เอง) และน่าเซอร์ไพรส์มากครับ ปัจจุบันเราได้เค้าลางมาแล้วว่ามีดาวที่มีขนาดใหญ่กว่าโลก 4 เท่า โคจรอยู่ทางท้องฟ้าด้านทิศเหนือ ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส มีชื่อเรียกชั่วคราวว่า Planet X ซึ่งน่าจะปรากฏออกมาให้เราได้ยลโฉมในไม่ช้านี้ หากคำนวณจากวงโคจร
    [​IMG]
    จักรวาลไม่ได้มีแค่ดวงอาทิตย์ดวงเดีย

    ในราวปี 1930 นักบินชาวอเมริกันและออสเตรเลีย ได้รับภารกิจให้เป็นทีมสนับสนุนการสำรวจป่าลึกแห่งหนึ่งในนิวกีนี พวกเขาต้องทำการบินเพื่อลงจอดบนเกาะและลำเลียงเสบียงรวมไปถึงเครื่องมือต่างๆ แน่นอนว่าพวกเขาพบกับชาวพื้นเมืองของที่นั่น บนเกาะเล็กๆแถบนิวกีนีที่มีลักษณะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ชาวป่าประหลาดใจกับการมาของพวกเขา และยิ่งตระหนกกับ"นกยักษ์"ที่นักบินโดยสารมาด้วย นักบินทั้งสองมาที่เกาะบ่อยๆเพื่อส่งเสบียง และแน่นอน พวกเขาไม่ลืมที่จะทิ้งของฝากเล้กๆน้อยๆ เช่นอาหารกล่อง หรือ โค้ก ให้กับชาวป่าเพื่อสร้างมิตรภาพ ไม่มีใครเอะใจกับเหตุการณ์ช่วงนั้นจนกระทั่งเวลาผ่านไปสิบกว่าปี


    นักสำรวจอีกทีมได้มาที่เกาะนี้ พวกเขาประหลาดใจกับพฤติกรรมของชนพื้นเมืองที่นี่ โดยเฉพาะเมื่อเครื่องบินของทีมสำรวจลงจอด ที่หมู่บ้าน ของชาวป่า นักสำรวจทีมนั้นได้พบกับเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาวป่า เป็นรูปแกะสลัก"นกยักษ์"ที่เห็นได้ชัดว่าเลียนแบบเครื่องบินใบพัดสองชั้น เซอร์ไพรส์กว่านั้น... ชาวป่าเหล่านี้ได้ทำแม้กระทั่งกล่องที่เลียนแบบวิทยุสื่อสารของนักบินที่ทำ จากไม้ไผ่!!


    ล่ามพื้นเมืองที่ไปกับคณะนักสำรวจได้สอบถามชาวป่าเหล่านี้พบว่า พวกเขาได้ทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระเจ้าจาก ท้องฟ้า ผู้มาพร้อมกันนกยักษ์ "Jon Frum" และมาทราบกันทีหลังเมื่อทีมสำรวจชุดนี้สืบสาวราวเรื่องขึ้นไปว่า ทีมนักบินที่มาที่เกาะนี้ชุดแรกนั้นชื่อ John และชื่อ Jon Frum นี้ก็น่าจะมาจากคำว่า "John From New York" ซึ่งเป็นคำปกติธรรมดาเวลาที่จอห์น - นักบินคนนั้นแนะนำตัว


    อ่านแล้วพอปิ๊งอะไรขึ้นมาบ้างไหมครับ?



    [​IMG] [​IMG]




    หรือว่าสิ่งประดิษฐ์โบราณเหล่านี้ เป็นสิ่งที่บรรพชนเราทำเลียนแบบ "นกเหล็ก" ที่พวกเขาเคยเห็น

    [​IMG]
    ว่า พระเจ้าของพวกเขา เสด็จลงมาจากดาวอันไกลโพ้น และสั่งสอนศิลปวิทยาการแก่ชาวอินคา พูดถึงเรื่องตำนานแล้วท่านสังเกตไหมครับว่า ตำนานการกำเนิดของชนชาติใหญ่ๆในโลกจะคล้ายๆกันทั้งสิ้น คือมีการกล่าวถึงพระเจ้าผู้ "ทรงพาหนะ" มาจากดวงดาว ทรงสร้างเผ่าพันธ์มนุษย์ สั่งสอนศิลปวิทยาการ ปกครองมนุษย์อยู่ชั่วระยะหนึ่ง และสัญญาว่าสักวัน พระเจ้าจะ"กลับมา"เยี่ยมเยือนมนุษย์อีก ตัวอย่างง่ายๆเช่นพระเจ้าของชาวยิว ออริยาน่าของอินคา คุคูลกันของมายา โอสิริสของอียิปต์ แม้แต่เทวะของพราหมณ์ก็ยังจัดอยู่ในข่ายเดียวกันเลยครับ พูดถึงตำนานโบราณแล้ว ไม่มีอะไรจะน่าทึ่งไปกว่าตำนานของชนชาติสุเมเรี่ยนโบราณ เพราะแม้แต่คัมภีร์ไบเบิลก็ยังได้เค้าโครงมาจากสุเมเรียนไม่น้อย เพราะโมเสสเคยอยู่ในราชสำนักอียิปต์มาก่อน อย่างน้อยๆเขาก็ต้องเคยศึกษาอารยธรรมสุเมเรียน ซึ่งเจริญควบคู่กับอียิปต์มาบ้างแหละครับ

    บทความ อากาศยานยุคโบราณ
     
  2. orvet49

    orvet49 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +82
    น่าทึ่งมากครับ
     
  3. Nagaman

    Nagaman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,041
    ค่าพลัง:
    +6,329
    แปลกมากครับ
     
  4. com16

    com16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2005
    โพสต์:
    454
    ค่าพลัง:
    +1,182
    ไม่ใช่ภาพวาด ufo หรอก เข้าไปอ่านได้ที่ลิ้งข้างล่างนี้

    PANTIP.COM : X6887998 䢻
     
  5. สิงหนวัติ

    สิงหนวัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2009
    โพสต์:
    788
    ค่าพลัง:
    +2,107
    ผมเชื่อว่าความเจริญของมนุษย์เป็นวัฏฏะ คือ พัฒนาขึ้น เสื่อมลง ดับไป แล้วก็พัฒนาขึ้นอีก เสื่อมลง และก็ดับไป ดังนี้ หากมนุษย์โลกไม่ได้เกี่ยวพันกับคนที่มาจากโลกอื่นแล้ว ร่องรอยอารยธรรม ความเจริญที่ปรากฏ ก็คงเป็นของมนุษย์โบราณที่มีวิทยาการสูง แล้วก็สูญสลายไปด้วยเหตุผลบางประการนั่นเอง
     
  6. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,670
    ค่าพลัง:
    +51,947
    ใครจำเทคโนโลยี สมัยพระพุทธเจ้ากุกุกสันโท โกนาคม กัสสปะ ได้บ้าง ?
    บางทีของเก่าๆที่พบเห็น มันเก่าแก่โบราณกว่าที่เราเข้าใจมาก...
    นับเวลาย้อนหลังไปไม่ถึง....นานมาก จนไม่มีใครรู้จัก

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  7. nattapong0925

    nattapong0925 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +165
    ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ ...เยี่ยม จริงๆ สำหรับคนที่ไม่เชื่อเรื่อง จานบิน ก้อไม่ผิดอะไร แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อครับ เพราะอะไรน่ะหรือ...ก้อเพราะ สองตา ของผมเองงัยครับ ที่ดันทะลึ่ง เห็นจานบิน เองซะงั้น อ้อ..เห็นกัน 2-3 คน นะครับ (อย่างน้อยก้อไม่ได้เห็นคนเดียว แถว จังหวัด กำแพงเพชร)
     
  8. onitsugaza

    onitsugaza สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +2
    สาธุ ผมว่าพวกยานอวกาศคงไม่มีในสมัยนั้น

    แต่เป็นเพียงการทำนายมากกว่ามั่งครับ
     
  9. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,670
    ค่าพลัง:
    +51,947
    ในสมองคนเรา มีอะไรบ้าง ???
    ที่มองเห็น มีอยู่นิดเดียว
    แต่ที่มองไม่เห็น มีเป็นอนันต์ !!!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  10. khordsanth

    khordsanth Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    111
    ค่าพลัง:
    +98
    ไม่ใช่ภาพวาด ufo หรอก เข้าไปอ่านได้ที่ลิ้งข้างล่างนี้

    PANTIP.COM : X6887998 䢻Ôȹ҂٠Ϳ⍣???ǒ?⺃ҳ [?荧Ŗ?ő?]
    __________________
    คลิกที่นี่เพื่ออ่าน ประสปการณ์เดินสายบ้านผีที่ประเทศอังกฤษ ภาค 1 ภาค 2 ภาค 3
    ของ com16

    บางภาพก็อธิบายได้ บางภาพก็ไปแบบน้ำขุ่น ๆ
     
  11. khordsanth

    khordsanth Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    111
    ค่าพลัง:
    +98
    บางภาพซูมแล้วอธิบายได้ ก็ซูมซะจนเห็นชัด
    ส่วนภาพไหน อธิบายไม่ได้แล้ว ก็ข้ามไปซะยังงั้น
     
  12. Ultra Seven

    Ultra Seven สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +0
    อะไรก็เป็นได้ล่ะครับบนโลกใบนี้ ขนาดในอิรัคเมื่อพันกว่าปีที่แล้วยังมีแบตเตอร์รี่ใช้เลย
    ใครสงสัยลองค้นหาข้อมูล แบตเตอรี่ที่อิรัคดูนะครับ
     
  13. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    มาช่วยReReadกระทู้ดีน่าสนใจให้เพื่อนได้อ่านกัน
     
  14. pack_ke

    pack_ke สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2009
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +1
    เป็นเรื่องที่น่าสนใจนะค่ะ และยังคงน่าสงสัยอยู่ในปัจจุบัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...