การกลับชาติมาเกิด ในมุมมองวิทยาศาสตร์

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 23 ตุลาคม 2004.

  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    [​IMG]

    เรื่องนี้เก็บความมาจาก บทความเรื่อง Past Life Regression Therapy Research - PureInsight Net
    ซึ่งกล่าวว่า ความเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดนี้ เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง มาแต่โบราณกาล โดยเฉพาะในซีกโลกตะวันออก
    ต่อมาในทศวรรษหลังๆ ความเชื่อนี้ค่อยๆลดน้อยลง เนื่องมาจากความศรัทธาต่อศาสนาที่เสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว
    และถูกแทนที่ด้วย แนวคิดทางวิทยาศาสตร์วัตถุนิยม คู่แฝดมากับลัทธิบริโภคนิยม ที่ขยายตัวอย่างสูงสุดในปัจจุบัน
    คนจำนวนมากมองศาสนาเป็นเพียงวัฒนธรรมรูปแบบ ที่มีพิธีกรรมต่างๆ อันยุ่งยาก พ้นสมัย ในโลกตะวันตกถึงกับปฏิเสธ
    เรื่องการกลับชาติมาเกิดโดยสิ้นเชิง มานานแล้ว และได้ลามปามมาถึงฝั่งตะวันออก
    จนกลายเป็นแนวคิดหลักไปแล้วในขณะนี้ คนเฒ่าคนแก่ที่เคยเชื่อเรื่องดังกล่าว ก็ชักไม่แน่ใจในความเชื่อนี้เช่นกัน

    แต่แล้ว จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ก็ปรากฏขึ้น ในโลกวิทยาศาสตร์เอง
    เมื่อปรากฏว่า หลายปีมานี้มหาวิทยาลัยหลายแห่งในอเมริกา และยุโรป กำลังทำการค้นคว้าวิจัยทางการแพทย์อย่างขมักเขม่น
    เกี่ยวกับเรื่องการกลับชาติมาเกิด เช่น ม.พริ๊นซตั้น และ ม.เวอร์จิเนีย ของอเมริกา ,ม.เอดินเบริก ในสหราชอาณาจักร,
    ม.แอมสเตอร์ดัม ของเนเธอร์แลนด์, ม.ฟรายเบอร์กใน เยอรมันนี เป็นต้น
    มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อย ที่ได้ปริญญาเอก

    จากงานวิจัยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนึ้และงานวิจัยเชิงวิชาการด้านจิตเวชศาส
    ตร์ ได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปแล้วโดยสิ้นเชิง งานวิจัยเหล่านี้ได้พิสูจน์อย่างเด่นชัด ว่า
    การกลับชาติมาเกิด ไม่ใช่นิยายลึกลับ หากแต่เป็นสถานภาพที่แท้จริง แห่งการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์

    ตัวอย่างหนึ่งของนักวิจัยเรื่องนี้ได้แก่ ดร.เอียน สตีเวนสัน แห่งแผนก การศึกษาด้านบุคลิกภาพ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ ม.เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา
    โดยท่านได้เดินทางไปในที่ต่างๆทั่วโลก เป็นเวลาถึง 37 ปีเพื่อไปทำการสังเกตุ บันทึก รวบรวม
    ทดสอบและแยกแยะผู้คนต่างๆที่ได้พบ ซึ่งส่วนมากเป็นเด็ก ที่ระลึกชีวิตในอดีตได้
    และมีรอยตำหนิแต่แรกเกิด ( birth marks ) หรือ ความผิดปกติแต่แรกเกิด ( birth defects )
    ซึ่งสอดคล้องกับ รอยแผลที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต ของผู้ที่เด็กจำได้ จากการระลึกชาติของตน
    ปัจจุบัน ดร.เอียน สตีเวนสัน อายุ 80 กว่าแล้ว ข้อมูลที่ท่านได้เก็บบันทึกไว้มีนับพันๆ ราย
    ที่เป็นของเด็กอายุระหว่าง 2 ถึง 7 ปี ที่อาศัยอยู่ใน ตะวันออกกลาง ,ยุโรป ,เอเชีย และอเมริกา ซึ่งน่าแปลกที่ว่า

    ความสามารถระลึกชาติได้ของเด็กเหล่านี้ จะค่อยๆลดน้อยลงเมื่ออายุประมาณ 7 ปีขึ้นไป.
    เด็กเหล่านี้จะพูดขึ้นมาเองถึงชีวิตในชาติก่อนของตน และต้องการจะกลับบ้านเดิมของตน คิดถึงแม่ หรือสามี ในชาติก่อน
    และมักจะแสดงออกซึ่งความหวาดกลัวอย่างรุนแรง( phobia ) ที่ผิดปกติในสภาพแวดล้อมของครอบครัว
    ปัจจุบัน หรือไม่อาจอธิบายได้จากเหตุการณ์ในปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านี้พวกเขายังรู้จักสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยได้เรียนรู้หรือได้ฟังมาก่อน
    ในชีวิตนี้ ที่น่าแปลกอีกก็คือ คำบอกเล่าของเด็กเหล่านี้สามารถแสดงถึงความเกี่ยวข้อง กับ ชีวิตจริงหรือ
    เหตุการณ์ความตาย ได้ในหลายกรณี

    ดร.สตีเวนสัน เขียนไว้ว่า “ บ่อยครั้ง เด็กเหล่านี้ได้พูดถึง คน
    และเหตุการณ์ต่างๆ ในชาติก่อน ซึ่งไม่ใช่ชีวิตที่ไม่เป็นที่รู้จักในศตวรรษก่อนๆ แต่เป็นชีวิตที่เจาะจง
    เป็นตัวตนที่สามารถชี้ชัดออกมาได้ ทว่าเป็นผู้ซึ่งไม่เคยเป็นที่รู้จักของคนในครอบครัวเด็กเองโดยสิ้นเชิง
    และเป็นผู้คนที่อยู่ต่างถิ่น ต่างแดน หรือในประเทศอื่นๆ และที่แปลกมากๆคือ เด็กๆเหล่านี้สามารถพูดภาษาอื่นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนได้ “
    แต่ละเหตุการณ์ได้ถูกบันทึกไว้อย่างระมัดระวัง ถูกตรวจสอบและค้นคว้า อย่างรอบคอบเป็นพิเศษ
    โดยคณะกรรมการของดร.สตีเวนสัน ท่านเองได้ตีพิมพ์หนังสือออกมาจำนวนหนึ่ง ที่เขียนถึงบันทึกการค้นพบที่น่าแปลกใจ เหล่านี้
    เช่นหนังสือชื่อ “ เด็กๆผู้สามารถจดจำชีวิตแต่ปางก่อน – คำถามเกี่ยวกับการระลึกชาติ”,หนังสือ “ การระลึกชาติและชีววิทยา” เป็นต้น

    ในหนังสือเรื่อง “ รอยตำหนิแรกเกิด “ ท่านมีรายงานถึง 200 กว่าราย
    ซึ่งเด็กเหล่านี้ได้อธิบายในรายละเอียดเกี่ยวกับการตายในชาติก่อน เช่นว่า ถูกยิง หรือถูกแทง ด้วยของมีคม
    ซึ่งตำแหน่งที่ถูกยิงหรือแทงนี้ ตรงกับรอยตำหนิแรกเกิดของพวกเขา และดร.สตีเวนสัน
    ก็สามารถพบรายงานทางการแพทย์หลังคลอด ที่เกี่ยวข้อง กันนี้ ของเด็กๆ ที่สามารถยืนยัน คำพูดของพวกเขาได้อย่างแม่นยำ


    ยังมีงานวิจัยอีกแบบหนึ่ง เกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด โดยวิธีการสะกดจิตโดยนักจิตวิทยา เพื่อให้ผู้ถูกสะกด
    ฟื้นคืนความทรงจำในชาติก่อน อันที่จริง การสะกดจิตโดยตัวมันเอง ไม่ได้อธิบายกระบวนการ ฟื้นความจำในชาติก่อน
    หากแต่เป็นเพราะ เทคนิกที่เรียกว่า Past Life Regression Therapy { PRL }หมายถึง
    การรักษาโดยการฟื้นความทรงจำย้อนกลับไปยัง อดีตชาติ ผู้ที่อยู่ภายใต้การรักษาแบบนี้ไม่ได้หลับไป
    และคลื่นสมองก็มีลักษณะแตกต่างจากสภาวะหลับ นอกจากนี้โดยอาศัยการพิจารณาลักษณะคลื่นสมอง
    นักจิตวิทยาบางคนจะสามารถชักนำให้ผู้ถูกสะกดเข้าสู่ภาวะการรู้สึกตัวในระดับต่างๆกัน
    ได้ดีกว่าการสะกดจิตแบบเดิมๆ

    ซึ่งในสภาวะเช่นนี้
    จะเหมือนกับสภาวะของการทำสมาธิของผู้ปฏิบัติธรรมแบบพุทธ หรือ เต๋า เราทราบกันดีว่า ภายใต้สภาวะการรวบรวมสมาธิ
    ผู้ถูกสะกดจะสามารถสัมผัสได้ถึงสมาธิระดับลึก ทำให้เขาสามารถรับรู้ประสบการณ์ในอดีตได้ ในขณะที่ยังมีสติระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน
    พวกเขายังสามารถจำอดีตชาติในหลายศตวรรษก่อน อย่างไรก็ดีเราอยากจะตั้งข้อสังเกตว่า PRL
    เป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมากในหมู่นักวิชาการมีทั้งยอมรับ และคัดค้าน David Quigley กล่าวว่า
    สำหรับเรื่องนี้เขาพบข้อมูลจำนวนมหาศาล ในแวดวงของเขาและในงานทดลองวิจัยเรื่องนี้ ซึ่งสามารถพิสูจน์ว่า
    ในเขตแดนความทรงจำของอดีตชาติ นี้มีพื้นฐานอยู่บนประวัติบุคคลและเหตุการณ์ ที่มีอยุ่จริงในประวัติศาสตร์

    เขายังได้อ้างถึง งานสัมมนาวิจัยระหว่าง Helen Wambach , Marge Rieden และ
    Ian Stevenson( การศึกษา กรณีการระลึกชาติ 30 ราย ) เขากล่าวต่อไปว่า ผู้ซึ่งยังคงปฏิเสธเรื่อง
    นี้อาจคิดว่าตนเองคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์กว่า แต่จริงๆแล้ว พวกเขากำลังติดกับดัก ของหลักการที่ไร้เหตุผล
    ซึ่งเทียบได้กับความเชื่อของเหล่านักปราช_์ใน ศตวรรษที่ 16ซึ่งยึดถืออย่างเหนียวแน่นในความเชื่อที่ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะจักรวาล

    Dr.Brian Weiss สำเร็จการศึกษาด้านจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัย โคลัมเบีย และมหาวิทยาลัยเยล
    เป็นประธานของภาควิชาจิตเวชศาสตร์ ที่ศูนย์การแพทย์ Mount Sinai ในไมอามี่
    ท่านเป็นนักวิจัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านการใช้เทคนิก PRL หลังจากที่ท่านจบการศึกษาที่เยล ก็ไปเป็นผู้บรรยายที่ มหาวิทยาลัย พิทสเบริก
    และมหาวิทยาลัยไมอามี่ เมี่อท่านอายุได้ 80 ปี ท่านได้ตีพิมพ์หนังสือวิชาการกว่า 40 เล่ม

    เดิมทีในฐานะที่เป็นนักวิชาการจากระบบการศึกษาแบบเก่า ท่านไม่ได้สนใจเกี่ยวกับ Parapsychology ( จิตวิทยาเปรียบเทียบ )
    ท่านไม่มีความรู้และความสนใจแม้แต่น้อย ในเรื่องการกลับชาติมาเกิด แต่หนังสือเล่มหนึ่งของท่าน ชื่อ Many Lives ,
    Many Masters สามารถขายได้ 2 ล้านเล่ม และได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆกว่า 20 ภาษา
    บทคัดย่อของหนังสือเล่มมีความว่า “ จิตเวชศาสตร์และอภิปรัช_า กลืนกลายเข้าด้วยกันใน.........ผู้ที่ครั้งหนึ่ง
    เคยยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นใน วิธีการทางคลินิกด้านจิตเวชศาสตร์ จะพบว่าตนเองลังเลที่จะยอมรับการรักษาแบบย้อนอดีตชาติ
    พลันเมื่อผู้ที่ถูกเขาสะกดจิต ได้เปิดเผยเรื่องราวในอดีตชาติของเขาออกมา

    Dr.Weiss บรรยายในหนังสือ Many Lives, Many Masters เกี่ยวกับประวัติของคนไข้คนหนึ่งของเขา คือ
    แคทเธอลีน อายุราว 30 ปีในขณะนั้น เธอเข้ามาพบเขาที่คลินิกด้วยอาการเฉียบพลัน จากการถูกความกลัวและความวิตกกังวล
    อย่างรุนแรง จู่โจม เขาได้ให้การรักษาทางจิตเวชแบบเดิมแก่เธอ นาน 1 ปี แต่ก็ไร้ผล เธอเป็นคนใจแคบและปฏิเสธการใช้ยาใดๆ
    แต่สุดท้ายก็ยอมรับการรักษาด้วยการสะกดจิต โดยไม่แน่ใจนัก ดร.ไวส์รู้สึกว่า สภาพจิตของแคทเธอลีนอาจจะเกี่ยวข้องกับ
    ความทรงจำที่เก็บกดไว้ตั้งแต่ช่วงวัยเด็กของเธอ เขาเชื่อว่าหากเธอสามารถฟื้นความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตได้
    ภายใต้การสะกดจิต ปั_หาก็จะแก้ตกไปได้ แล้วเธอก็จะเป็นอิสระจากความทรงจำเหล่านั้น เธอจะต้องหายจากความเจ็บป่วยได้หมดแน่
    แต่แม้เธอจะสามารถฟื้นความทรงจำที่ไม่ดีในวัยเด็กได้ เธอก็คงยังไม่หายป่วยอยู่ดี ดังนั้นดร.ไวส์จึงตัดสินใจให้เธอ
    ระลึกย้อนความทรงจำกลับไปอีก ในช่วงก่อนวัยเด็กของเธอ ในระหว่างช่วงของการรักษาครั้งหนึ่ง

    เมื่อแคทเธอลีนอยู่ในภาวะถูกสะกดจิต ดร.ไวส์พูดกับเธอว่า “ กลับไป ณ เวลาที่อาการของคุณเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก “
    ดร.ไวส์มิได้คาดหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แคทเธอลีนพูดว่า “ ฉันมองเห็นขั้นบันไดสีขาว ทอดยาวขึ้นไปสู่อาคารที่มีเสามากมาย
    ด้านหน้าของมันกว้างขวางมาก แต่ไม่มีระเบียง ฉันใส่กระโปรงยาว และเสื้อคลุมยาว ที่ทำจากผ้าเนื้อหยาบ ผมสีบลอนด์ของฉันถักเป็นเปีย
    “ ดร.ไวส์ไม่อาจเข้าใจความหมายที่เกี่ยวข้องกัน ของเรื่องที่ได้ยินนี้ เขาจึงถามเธอว่า ตอนนั้นเป็นปีอะไร และเธอมีชื่อเรียกว่าอะไร
    เธอตอบว่า “ อารันด้า อายุ 18 ปี , ตอนนั้นเป็นปี 1863 ก่อนคริสตกาล พื้นดินกันดาร ,
    ร้อน และทุกแห่งเต็มไปด้วยทราย มีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง แต่ไม่มีแม่น้ำ น้ำไหลมาจากภูเขาลงมาสู่หุบเขา
    แคทเธอลีนได้ย้อนความทรงจำไปสู่ยุค 4000 ปีก่อนในตะวันออกกลาง ชื่อของเธอไม่ใช่แคทเธอลีน
    และรูปลักษณ์ของเธอก็แตกต่างไปจากปัจจุบัน รูปหน้า ร่างกาย ทรงผม และเสื้อผ้าก็ไม่เหมือนปัจจุบัน

    เธอสามารถจำภูมิประเทศที่เกี่ยวข้อง เสื้อผ้าและการแต่งตัว ตลอดจนรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน
    จนกระทั่งถึงช่วงที่พบกับความตาย จากการจมน้ำ ซึ่งลูกของเธอถูกดึงออกไปจากอ้อมกอดเธอ เธอจำได้กระทั่งว่าหลังจากตายแล้ว
    จิตของเธอก็ลอยออกมาอยู่เหนือร่างกายนั้น ในระหว่างการรักษาครั้งนี้เธอยังสามารถระลึกชาติอื่นได้อีก 2 ชาติ
    หนึ่งในสองชาตินั้นเธอเป็นโสเภณีในประเทศสเปน ยุคศตวรรษที่ 18 ส่วนอีกชาติหนึ่งเป็นห_ิงชาวกรีกในช่วงก่อนคริสตกาล
    คำพูดเหล่านี้ทำให้ดร.ไวส์รู้สึกอึ้งไป เขารู้ดีว่าเธอไม่ได้มีอาการเหมือนพวกบุคลิกแปรปรวน หรือ แปลกแยก
    และเธอก็ไม่ได้รับยาอะไร เขาพบว่าในระหว่างถูกสะกดจิตเธอ คล้ายกับฝันไป แต่สิ่งที่มีนัยสำคั_ที่สุดคือ สุขภาพของเธอดีขึ้น
    ซึ่งเขารู้ดีว่ามันไม่ใช่เป็นผล จากการเกิดภาพหลอน หรือ ความฝันอย่างแน่นอน

    ในระหว่างช่วงของการติดตามผลการรักษา แคทเธอลีนยังสามารถระลึกชาติได้อีก 10 ชาติ
    เธอได้ประสบกับเหตุการณ์ที่มีทั้งความกลัว และความสุข ที่มีผลควบคุมพฤติกรรมของเธอในปัจจุบันชาติ
    ทำให้เธอเริ่มยอมรับ ,เข้าใจ และสุดท้ายก็สามารถเอาชนะ สิ่งต่างๆเหล่านั้นที่คอยผลักดัน พฤติกรรมที่ไม่ดีของเธอ
    แล้วเธอก็สามารถเอาชนะความกลัว และได้พบกับความสงบภายใน ในระหว่างการถูกสะกดจิตเธอยังพบว่า
    ผู้คนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเธอเมื่ออดีตชาติ ยังเคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอในอีกหลายๆชาติ
    รวมทั้งในชาตินี้ด้วย

    ตัวอย่างเช่น ดร.ไวส์ เคยเป็นครูของเธอ , เป็นสามีของเธอ
    และเคยเป็นผู้ที่สังหารเธอในสงครามระหว่างชนเผ่า เมื่อครั้งที่เธอกลับชาติมาเกิดเป็นเด็กชายของชนเผ่าหนึ่ง
    สัมพันธภาพในช่วงชีวิตนี้ก็ไม่ใช่สัมพันธภาพที่ดีอีกเช่นกัน ตรงกับสิ่งที่อาจารย์หลี่ หง จื้อ กล่าวไว้ว่า”

    ผู้คนกลับชาติมาเกิด เป็นกลุ่มก้อน เพื่อชดใช้หนี้กรรม หรือร่วมทุกข์สุขกัน
    ทว่าแตกกันไปในบทบาทและช่วงวัย และก็ต่างกันกับในชาติก่อนๆด้วย “

    สิ่งที่ดร.ไวส์ได้ยินได้ฟังจากแคทเธอลีน ในระหว่างการรักษาแบบ PRL นั้นยังมีเรื่องความลี้ลับของชีวิตมนุษย์ด้วย เช่น
    แคทเธอลีนจำได้ว่า ในขณะเมื่อพบกับความตาย จิตของเธอจะลอยออกมาอยู่เหนือร่างกายเธอเสมอ
    แล้วก็ถูกเรียกกลับไปสู่โลกของจิตวิญญาณ โดย “ แสงแห่งความเมตตา “ และในช่วงนี้เธอยังได้สัมผัสกับ “
    ผู้ดูแล “ จิตวิญญาณหลายๆท่าน ซึ่งท่านเหล่านี้สามารถสื่อสารและส่งข่าวสารด้านจิตวิญญาณมายังดร.ไวส์
    โดยผ่านแคทเธอลีน และในระหว่างที่อยู่ภายใต้การสะกดจิตนี้ แคทเธอลีน
    ได้เรียนรู้เข้าใจสี่งต่างๆมากยิ่งกว่าในช่วงชีวิตตามปกติของเธอเสียอีก
    ดร.ไวส์ เองก็ค่อยๆคลายความลังเลสงสัย ในความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตในชาติก่อนตามไปด้วย

    ครั้งหนึ่งในช่วงPRL แคทเธอลีน จำได้ถึงความตายในชาติหนึ่งของเธอ เมื่อหลายศตวรรษก่อน
    ในขณะที่จิตของเธอถูกนำไปสู่แสงสว่างแห่งความเมตตา ที่เธอคุ้นเคย นั้น
    เธอก็ได้รับข่าวสารหนึ่งเพื่อส่งต่อมายัง ดร.ไวส์ ดังมีความว่า

    “ บิดาของคุณกำลังอยู่ที่นี่ เช่นเดียวกับลูกชายของคุณ เขายังเด็กมาก บิดาคุณบอกว่าคุณน่าจะรู้จักเขา
    เพราะเขาชื่อ Avrom และลูกสาวคุณก็มีชื่อตามเขา ลูกชายคุณเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ หัวใจเขามีความสำคัญมากทีเดียว
    เพราะมันพลิกกลับเหมือนหัวใจไก่ เขาได้เสียสละแทนคุณอย่างมาก เพราะเขารักคุณ จิตของเขามาจากระดับชั้นสูงมาก
    ความตายของเขาเป็นการชดใช้หนี้แทนบิดาของเขา เขายังอยากให้คุณรู้ว่า ยารักษาโรคทั้งหลาย
    มีผลรักษาโรคได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งก็จำกัดมาก “ ข้อความเหล่านี้ทำให้ดร.ไวส์ ตกตะลึงมาก
    เนื่องจากแคทเธอลีนเองไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเขามาก่อนเลย รวมทั้งไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับครอบครัวของเขา
    เรื่องเศร้าที่สุดในชีวิตของเขาคือ ความตายเมื่อแรกเกิดของลูกชายคนแรกของเขา สภาพหัวใจของเขาอยู่ในภาวะอันตราย
    เพียงแค่ 10 วันแรกที่คลอดออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้เพียงหนึ่งใน 10 ล้านเท่านั้น เขาเสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 23 วัน
    ส่วน บิดาของดร.ไวส์ เสียชีวิตด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และท่านมีชื่อว่าAvrom !
    หลังจากนั้นอีก 4 เดือนลูกสาวของดร.ไวส์ก็คลอดออกมา เธอมีชื่อว่า Amy ตามชื่อคุณปู่ที่ล่วงลับไป
    เนื่องจากแคทเธอลีน และดร.ไวส์ ไม่ใช่คนใกล้ชิดกันมาก่อน เธอจึงไม่มีทางรู้เรื่องราวเหล่านี้เลย
    ทว่าสิ่งที่เธอเล่าออกมานั้นทำให้ดร.ไวส์ถึงกับผงะ ดังนั้นเขาจึงถามเธอว่า “ ใครอยู่กับคุณที่นั่น ? ใครบอกเรื่องนี้กับคุณ ? “
    เธอตอบเบาๆว่า “ ท่านผู้รู้แจ้งเหล่านั้น “ ท่านผู้รู้แจ้ง บอกให้ฉันฟัง พวกเขายังบอกว่าฉันเคยมาเกิดในโลกนี้ 86 ครั้งแล้ว

    การรักษาให้แคทเธอลีน และผลที่ได้รับ สร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้งให้กับดร.ไวส์

    ทำให้เขากลายมาเป็นผู้ที่เชี่อถือการรักษาแบบ PRL ดร.ไวส์และจิตแพทย์อื่นอีกหลายคนที่ให้การรักษาคนไข้ด้วยวิธีนี้
    บ่อยครั้งที่ความกลัวและความเจ็บป่วย มิได้มาจากเหตุการณ์ในชาติก่อน ในการเตรียมการ
    และการชักนำคนไข้เข้าสู่กระบวนการPRL เพื่อย้อนสู่อดีตชาตินั้น จะมีผลกระทบด้านบวกต่ออาการโศกเศร้าของคนไข้
    ดังนั้นคนไข้จึงสามารถเข้าใจแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังรูปแบบพฤติกรรมของตน และสามารถแก้ไขได้อย่างสอดคล้องกัน
    จิตแพทย์เหล่านี้ยังพบว่า โดยการย้อนสู่อดีตชาติ และการได้รับประสบการณ์ซ้ำ ต่อความเจ็บปวด ณ เวลานั้นอีก
    ทำให้คนไข้สามารถปล่อยวาง ความเศร้าโศกและความแค้นเคืองที่สุมอยู่นานนับศตวรรษ
    ภาระอันหนักอึ้งที่จิตนั้นแบกอยู่ ก็ถูกปลดออก และไม่อาจส่งผลต่อชีวิตในปัจจุบันได้อีกต่อไป

    4 ปีหลังจากการรักษาให้แคทเธอลีน ดร.ไวส์ก็มีความกล้าพอที่จะเสี่ยงต่อ การสูญเสียสถานภาพทางวิชาการของเขา
    โดยเขียนหนังสือเล่มแรกขึ้นมา เกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด นั้นบอกผู้คนให้รู้เรื่องความเป็นอมตะของจิตวิญญาณ
    ในช่วงหลายๆปีต่อมา ดร.ไวส์ได้ให้การรักษาคนไข้อีก หลายร้อยคนด้วยวิธีย้อนอดีต
    คนไข้หลายๆคนมาจากชนชั้นต่างๆกันในสังคม และมีภูมิหลังทางศาสนาที่ต่างกัน
    รวมทั้งพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้าด้วย ดร.ไวส์ตีพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเขาได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับคนไข้เหล่านี้จำ
    นวนหนึ่ง

    นั่นคือหนังสือชื่อ “ Through Time into Healing “ (หรือ การหายป่วยโดยผ่านกาลเวลา )
    ผู้จัดพิมพ์กล่าวว่า “ ดร.ไวส์เขียนหนังสือเล่มนี้บนพื้นฐานของประสบการณ์ทางคลีนิกอันกว้างขวางของเขา
    เขาได้อาศัยเวลาในการทดลองสำหรับการรักษาทางจิตเวช ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การย้อนกาลเวลานั้น
    ได้ทำให้เกิดความก้าวหน้าที่สำคัญในการรักษา ใจ กาย และจิตวิญญาณ
    ในตอนท้ายของหนังสือนี้ ดร.ไวส์แสดงให้เห็นว่า ประสบการณ์ใกล้ตาย
    และการที่จิตออกจากร่าง ช่วยยืนยันการมีอยู่จริงของชีวิตในอดีตชาติ

    ที่มา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 สิงหาคม 2009
  2. Star Platinum

    Star Platinum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +1,152
    Thank you very much!!!
     
  3. กรกฎ

    กรกฎ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    เว็บสโนว์น่ารักจังเลย

    ดีจังเลย ขออนุโมทนาค่ะ มีอีกมั้ยคะ อยากอ่านรายงานการวิจัยของ Dr.Ian Stevenson ด้วยค่ะ คุณเว็บสโนว์ต้องแปลให้ได้แน่นอน






     
  4. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,227
    ค่าพลัง:
    +10,593
    เวปนี้ http://www.near-death.com/ เกี่ยวกับการกลับมาเกิดอีกครั้ง และประสบการณ์เฉียดตาย ก็มีพูดเรื่อง Dr.Ian Stevenson เหมือนกัน แต่คงต้องพยายามอ่านหน่อยล่ะ เพราะว่าภาษาอังกฤษจะเยอะมาก กดเข้าไปอ่านจะเห็นภาษาอังกฤษเต็มหน้าจอไปหมด ข้อมูลเยอะมันก็ดีอ่ะนะ แต่เจองี้รู้สึกต๊อแต๊จะอ่านยังไงไม่รู้ แหะๆๆ :p

    รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ทางตะวันตกความเชื่อเรื่องเหล่านี้เริ่มซึมๆเข้าไปเห็นได้จากที่เริ่มมีฝรั่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มากขึ้น

    อย่างที่นี่ http://groups.yahoo.com/group/reincarnationandbeyond/ ก็มีฝรั่งคุยเรื่องการกลับชาติมาเกิด แต่ว่าบางทีอ่านแล้วก็รู้สึกว่าบางคนก็ไม่ได้นับถือพุทธแต่ก็เชื่อเรื่องนี้ บางคำตอบก็แปลกๆเช่น มีคนถามว่าเราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดกี่ครั้ง ก็มีคนตอบกลับว่า
    > As many times as it takes the Soul to achieve its oneness with GOD, or the
    > consciousness of the Universe.

    บ้างก็ตอบอย่างนี้
    Greetings

    Looking at the positive side, as often as you like.
    Each class will teach you something. How much do you
    want to grow? What is it you want to become? What are
    you willing to do to get there?

    Kathryn

    --- Gilbert Wirt <toohypewriter@y...> wrote:

    > As many as you need to amend for past karmic
    > debt---infinite....
    >
    > Gil
    >
    > jiddu krishnamurti <blueghost3@y...> wrote:
    >
    > how many times can you reincarnate?

    รู้สึกว่าเค้าจะมองว่าการมาเกิดแต่ละครั้งคือการที่จะมาเรียนรู้อะไรบางอย่างนอกจากจะมาใช้กรรมแล้ว
     
  5. Peet

    Peet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    297
    ค่าพลัง:
    +324
    หนังสือของ ดร.ไวส์ ผมอ่านมา 3 เล่มแล้ว มีคนแปลเป็นภาษาไทยทั้ง 3 เล่มแล้ว แต่ผมซื้อเป็นภาษาอังกฤษทาง amazon อ่านแล้วก็ศรัทธาว่าพุทธนี่แหล่ะของจริง ขนาดฝรั่งความรู้ระดับโปรเฟสเซอร์ ไม่เคยมีความคิดว่าจะเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดมาค้นพบด้วยตัวเอง ถึงกับต้องเปลี่ยนใจอย่างหาข้อโต้แย้งไม่ได้
    หนังสือภาษาไทยผมจำไม่ได้ว่าชื่ออะไรบ้าง แต่เคยเห็นมีขายในร้านซีเอ็ด
     
  6. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    [​IMG]

    {{{ การระลึกชาติ }}}

    การระลึกชาติ หรือ ปุพเพนิวาสนุสติญาณ เป็นการใช้พลังจิตหยั่งรู้ถึงขันธ์ (ทั้งของตนเองและผู้อื่น) ที่อาศัยอยู่ในชาติก่อน ๆ

    การระลึกชาติอาจจะเกิดได้ ๒ วิธี

    ๑. ระลึกชาติได้ด้วยการฝัน
    ๒. ระลึกชาติด้วยสมาธิ ฌาณ ญาณ


    เมื่อฝึกบรรลุถึงจตุถฌาณ ทำใจให้สบาย ๆ ใช้กระแสจิตค่อย ๆ หยั่งลึกเข้าสู่ภวังค์ลึกลง ๆ เรื่อย ๆ ค่อย ๆ ย้อนนึกจากปัจจุบันถอยหลังไปอดีตจนถึงเมื่อยังเด็ก แล้วค่อย ๆ ปล่อยใจให้ลึกลงไปติดตามกระแสความรู้สึกที่หยั่งรู้อยู่ในขณะนั้นทำใจให้เข้าสู่สมาธิระดับเดียวกันกับภาวะความละเอียดอ่อนนั้น จะเข้าใจภาวะนั้นจากชาติหนึ่ง ถอยกลับไปอีกชาติหนึ่ง

    ในช่วงแรก ๆ ที่ฝึกนั้น จะเป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้น แต่เมื่อฝึกจนพลังจิตแข็งแกร่งแล้ว ก็จะเห็นเป็นภาพได้ชัดเจนเหมือนภาพยนต์ เมื่อได้พบเห็นแล้ว ก็จะเข้าใจภาวะนิสัยเดิมในชาติก่อน ๆ อันฝังแน่นเป็นอนุสัย-สันดาน ในชาติปัจจุบัน เราก็นำมาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ที่ดีแล้วก็พัฒนาให้ดียิ่งขึ้น

    เมื่อได้ระลึกชาติแล้ว พึงสังวรไว้ว่า

    ครั้งก่อนเคยเกิดเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ก็อย่าคิดว่าจะใหญ่มาถึงชาตินี้
    ครั้งก่อนเคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือผีเปรต ก็อย่านำมาคิดเสียใจ
    คนเรานั้น ถ้าหลงอดีต ก็จะไม่ถึงปัจจุบัน ถ้าหลงปัจจุบัน ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากวัฏฏะได้



    [​IMG]
    ในทางพุทธศาสนา กล่าวว่าการกลับชาติมาเกิดมีจริง คนเราเกิดแล้วต้องตาย พอตายแล้วก็ไปเกิดใหม่ วนเวียนเป็นวัฎจักร หมุนเวียนหลายร้อย หลายพันชาติจนนับไม่ถ้วน เพราะวิญญาน หรือที่เรียกว่าอาทิสมานกาย หรือกายทิพย์ เป็นอมตะไม่ตาย ร่างกายเราเป็นเพียงบ้านชั่วคราวให้อาทิสมานกายนี้อาศัยอยู่เท่านั้น เราผ่านการเกิดการตายมาหลายครั้งหลายหนจนนับไม่ถ้วน ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ที่เรากลัวคือความเจ็บปวดก่อนตาย และเรากลัวความไม่รู้ว่าหลังการตายนี้ บ้านใหม่ ภพใหม่ที่เราจะไปอยู่เป็นอย่างไร เป็นนรก หรือ สวรรค์ หรือ เป็นเปรต หรือ เป็นอสูรกาย

    ถ้ามีสติ เราเลือกไปภพภูมิที่ดีได้ ถ้าขาดสติ เราจะไปอย่างมืดมิดด้วย โทสะ โลภะ โมหะ และ อนุสัยกรรมจะนำเราไป ตามแต่กรรมที่เราเคยก่อไว้ ซึ่งเราไม่มีโอกาสเลือกเองได้เลย เพราะอวิชชาครอบงำ ทำให้ กิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง คอยกระตุ้นให้เราอยากได้ อยากมี อยากเป็น เราจึงต้องมาเกิดอีก เพื่อสนองตัณหาที่ไม่สิ้นสุดของเรา ในภพต่างๆ ในบทบาทของบุคคลต่างๆ ทั้งดี ทั้งชั่ว ทั้งจน ทั้งรวย ผันแปรเปลี่ยนไปเรื่อย

    กรรมหรือการกระทำที่เราทำทุกขณะ ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นความคิด การพูด การกระทำ ก่อให้เกิดห่วงโช่ต่อออกไปยังภพไม่สิ้นสุด ทุกกรรมที่เราทำ จะถูกบันทึกไว้ในส่วนลึกของจิตใต้สำนึก จิตเป็นเสมือนเทปที่ดีเยี่ยมที่บันทึกได้ไม่จำกัด และอยู่เป็นหลักฐานอย่างถาวรไม่บุบสลาย แต่การที่เราหรือบุคคลทั่วไป ไม่อาจกรอเทปมาดูอดีตชาติเราได้ เพราะขณะที่เราเปลี่ยนภพ เปลี่ยนชาติ มันเกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างแรงในโลกธาตุ ประกอบกับร่างใหม่ที่เราอาศัยอยู่นี้ไม่สมบูรณ์พอ ทำให้หลายสิ่งที่เราเคยทำได้ เรากลับลืมไปหมด เราต้องมาเรียนกันใหม่ ในโรงเรียนของโลกนี้


    แต่โรงเรียนโลกก็สอนเราได้เพียงบางส่วน กายของเราเหมือนวิทยุคุณภาพต่ำที่มีคลื่นรบกวนตลอดเวลา เราไม่อาจรับอะไรได้ชัดเจน จิตของเราจึงไม่อาจควบคุมใช้งานร่างกายของเราได้เต็มความสามารถ ตั้งแต่เกิด เซลล์ในร่างกายของเรา ล้านๆ เซลล์ก็เริ่มแตกดับตลอดเวลา มันจะวิ่งโคจรออกนอกระบบ ไม่เป็นระเบียบแตกแถวอยู่เสมอ ซึ่งการแพทย์ปัจจุบันเรียก ผลจากอาการนี้ว่าเกิด อนุมูลอิสระ หรือ Free radical ทำร่างกายเราเสื่อม ร่างกายเราแก่ เหมือนสนิมเหล็กที่กัดกร่อนชีวิตเราตลอดเวลา

    การกระทำทุกอันของเรา ทุกวันทำให้เกิดกรรม และเวรกรรมนั้นก็คงมีอยู่จริง การกลับมาเกิดใหม่เป็นจริง ที่มิอาจปฎิเสธได้ จนมีหลักฐานปรากฏ ตั้งแต่ในอดีตจนปัจจุบันเราเห็นบุคคลที่ละลึกชาติได้ กลับมาเกิดใหม่ มาเล่าเป็นประจักษ์พยานมากมาย เช่น
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง เคยเล่าไว้ปรากฎในหนังสือว่า ท่านได้เกิดมาหลายยุคหลายสมัย ที่เราพอเข้าใจได้ ก็ย้อนกลับไปถึงสมัยกรุงสุโขทัย ที่ท่านร่วมขับไล่ขอมจากดินแดนไทย ท่านจากพรหมโลกมาเกิดอีกหลายสมัยในประวัติศาตร์ไทย เมื่อชาติต้องการ แม้สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน ท่านก็ได้ร่วมกู้เอกราช จนที่สุดท่านก็เสร็จกิจในชาติสุดท้ายและลาโลกไป

    หลวงปู่บุดดาท่านสามารถระลึกชาติย้อนไปถึงเป็นพันๆปี ท่านเคยไปช่วยงานฌาปนกิจศพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอินเดีย


    คุณแม่ใหญ่แห่งวัดอัมพวัน ท่านสามารถนั่งสมาธิเข้านิโรธ ได้หลายวันโดยไม่ต้องรับทานอาหารหรือดื่มน้ำ ท่านเล่าเรื่องละลึกชาติของท่านย้อนกลับไป หลายชาติ เกิดเป็นทั้งชาย ทั้งหญิง ทั้งโยคี ทั้งเป็นเทวดา จนได้พบอาจารย์องค์สุดท้ายคือหลวงพ่อจรัล ที่สามารถชี้นำท่านสู่ที่สุดแห่งการเกิด

    แม้ผรั่งอย่างวีโก้ ซึ่งเคยเกิดเป็นพ่อค้าเดินเรือจากฮอลันดา มาสู่สยามประเทศยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา และได้มาสร้างวัดอำพวัน ก็มาเกิดอีก เพราะบุญกรรมที่ทำไว้ จึงได้มีโอกาส มาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยในเมืองไทย และได้ไปบวช ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน กับหลวงพ่อจรัล จนสามารถส่งพลังจิต เมตตาจิต ข้ามมหาสมุทรถึงแม่ ที่ป่วยอยู่ได้

    หลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต ก็เห็นอดีตชาติของท่านว่าเคยเกิดเป็นสุนัข และด้วยความหลงและความพอใจในชาตินั้น จึงเกิดเป็นสุนัขอยู่หลายสิบชาติ ทำให้ท่านเกิดความสังเวชเป็นอันมาก ท่านเกิดความมุ่งมั่นทำความเพียร จนรู้แจ้งในธรรมที่ถ้ำสาริกา

    หลวงปู่โง่น ซึ่งเพิ่งละสังขารไปไม่นาน ก็เขียนในหนังสือชีวประวัติของท่านว่าได้เคยไปเกิดในยุคพระนางสุพรรณกัลยา และได้ร่วมเดินทางไปในฐานะเชลยศึกกับท่านถึงที่ประเทศพม่า เพราะความสัมพันธ์นั้น ท่านจึงได้รับการร้องขอจากวิญญานพระนางสุพรรณกัลยาให้นำอัฐิท่านกลับมายังประเทศไทย ต่อมาท่านก็ได้มาเกิดอีกหลายยุค และมีความสัมพันธ์กับชีวิตแม่นาคพระโขนงอย่างลึกซึ้ง แม้แม่นาคได้จากเราไปนานแล้ว แต่วิญญานท่านก็ยังรอพบหลวงปู่โง่นตลอดมา

    เมื่อไม่นานมานี้ก็มีการทำเรื่องการกลับชาติมาเกิดของรายการโทรทัศน์ เรื่องหนึ่ง กล่าวถึงแม่ชีองค์หนึ่งที่ตายแล้วกลับมาเกิดเป็น ด.ญ. รัตนา วงค์สมบัติ ซึ่งทางรายการได้มีการไปสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในอดีต ก็ปรากฏว่าสิ่งที่ ด.ญ. รัตนา จำได้ เป็นความจริงถูกต้องทั้งหมด แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนเธอโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ความจำนั้นก็เลือนหายไปกับกาลเวลา

    ทางพุทธศาสนากล่าวว่าการระลึกชาติเป็นสิ่งที่บุคคลทั่วไปทำได้ แต่ผู้ทำได้ต้องฝึกสมาธิให้มีความชำนาญในการเข้าออกสมาธิอย่างคล่องแคล่ว


    [​IMG]

    ที่มา
    http://www.geocities.com/samadhinet/

    http://www.geocities.com/samadhinet/recall2.htm
    <!-- / message --><!-- attachments -->
     
  7. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    <TABLE width=600 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle>จิตก่อนเกิดและก่อนตายเป็นอย่างไร
    พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
    วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width=600 align=center border=0><TBODY><TR><TD><DD>ท่านอาจารย์ทอง อโสโก ศิษย์องค์หนึ่งของหลวงปู่เสาร์ เล่าให้ฟังว่า มีพระองค์หนึ่ง อยู่ที่อำเภออำนาจเจริญ อุปสมบทในงานฉลองอายุของหลวงปู่เสาร์ที่วัดบูรพา เมืองอุบล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ พออุปสมบทแล้วก็ไปจำพรรษาที่วัดบ้านสามผง อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม แล้วก็ไปป่วยหนัก ท้องร่วง มรณภาพอยู่ที่วัดนั้น <DD> <DD>ภายหลังแกบอกเล่าว่า แกไปเกิดที่บ้านน้ำกล่ำ อำเภอธาตุพนม เมื่อโตขึ้นก็ระลึกชาติหนหลังได้ ท่านอาจารย์ทองซึ่งเป็นผู้ฝึกฝนและให้การอบรมได้ทราบข่าวว่าพระองค์นี้ไปเกิดที่บ้านน้ำกล่ำ ท่านก็ไปพิสูจน์ข้อเท็จจริง โดยเดินทางไปพบคนที่ระลึกชาติหนหลังได้ แล้วก็ได้สอบถามว่า เมื่อก่อนที่จะตายนี่ แกรู้ไหมว่าแกจะตาย เขาบอกไม่รู้ แม้แต่ตายแล้วก็ไม่รู้ว่าตัวตาย เขาบอกว่าในขณะที่ญาติโยมเอาศพแกไปขุดหลุมจะฝัง แกก็ไปกับเขาด้วย แล้วไปนั่งดูเขาขุดหลุม แกก็ถามเขาว่า "โยมขุดหลุมฝังอะไร" โยมเขาก็ไม่ตอบเพราะไม่ได้ยินเสียงพูด แกก็เอามือไปตีพุ่มไม้ พอพุ่มไม้ไหวมีเสียงดัง ญาติโยมก็ร้องเอะอะว่าผีหลอก พากันวิ่งหนี แกก็วิ่งตามเขาไปเพราะกลัวผีหลอกเหมือนกัน พอโยมไปได้หน่อยหนึ่งก็ย้อนกลับมาช่วยกันขุดหลุมแล้วก็ฝังศพจนเสร็จ แล้วเขาชวนกัน ไป รีบกลับ เดี๋ยวผีหลอก แกก็รีบวิ่งออกหน้าเขากลับเข้าไปในวัด นี่ตามคำบอกเล่าของคนที่ตายแล้วมาเกิดใหม่ แล้วก็ระลึกชาติหนหลังได้แสดงว่าเขาไม่รู้ว่าเขาตาย เพราะฉะนั้นคำถามที่ว่า คนก่อนจะตายก่อนจะเกิด จิตมีลักษณะอย่างไร ถ้าพิจารณาตามลักษณะที่เรามาภาวนานี่ เมื่อเราภาวนาจิตสงบเป็นสมาธิระหว่างหัวเลี้ยวหัวต่อที่จิตจะตัดกระแสความรู้สึกในปัจจุบันไปสู่ความเป็นสมาธิอย่างไร คนก่อนที่จะตายก็มีลักษณะอย่างนั้น คนธรรมดาที่ไม่ตายในสมาธิ จะต้องปรากฏมีรูปร่างเดินออกไป พอเดินออกไปแล้วจะชะโงกมาดูร่างเดิมนี่นิดหนึ่ง แต่เขาจะไม่นึกว่าร่างที่นอนตายอยู่นั้นคือร่างกายของเขา เขาก็เดินหนีไปเลย <DD> <DD>นี่เปรียบเทียบกับจิตที่เป็นสมาธิระดับอุปจาระ ส่งกระแสออกไปนอก แล้วปรากฏว่ามีรูปร่างเดินไป เหมือนๆ กับลักษณะของมโนมยิทธิที่จิตออกไปดูนรก ดูสวรรค์ เพราะในขณะนั้นมีความรู้สึกว่าเขามีร่างกายอยู่ เมื่อออกจากร่างไปจึงปรากฏว่ามีร่างติดตัวไปด้วย ถ้าเปรียบเทียบกับคนก่อนจะตายก็ต้องเป็นอย่างนั้น คือจิตจะมีการรวมลงไป คือรวมพลัง เพื่อจะถีบตัวออกจากร่างเดิม </DD></TD></TR><TR><TD height=10></TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD height=10></TD></TR><TR><TD><DD>ทีนี้ก่อนจะเกิด ตามคำบอกเล่าของคนที่ระลึกชาติได้ เมื่อเขาเข้ามาในวัด แล้วเขาไปเที่ยวทักทายกับพระเณรและครูบาอาจารย์ในวัด ไม่มีใครพูดกับเขา เขาจึงมานึกว่าคนทั้งหลายเกลียดเราเพราะเหตุไร ในเมื่อทุกคนรังเกียจอย่างนี้เราจะอยู่กับเขาได้อย่างไร เขาก็เดินหนีจากหมู่คณะจากวัดไป แล้วเดินทางไปบ้านน้ำกล่ำ พอไปถึง ความทรงจำยังมีอยู่ เวลาขาไปท่านอาจารย์ทองพามาฉันที่บ้านโยมแม่ที่มาเกิดใหม่ พอเขาขึ้นไปบนบ้านก็ไปขอน้ำฉัน เจ้าของบ้านก็นั่งเฉยเพราะไม่ได้ยินเสียง ก็ถือวิสาสะไปกรองน้ำในตุ่มมาฉัน พอฉันน้ำเสร็จแล้วขอที่พัก เจ้าของบ้านก็เฉย จึงถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องนอน เอาบริขารไปวางไว้ แล้วก็ล้มตัวไปนอนหลับ นั่นแสดงว่าเข้าไปสู่ท้อง ไปปฏิสนธิแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาไปเกิด เพียงรู้สึกตัวว่านอนพักผ่อนเท่านั้น อันนี้ตามคำบอกเล่าของคนที่มาเกิดแล้วระลึกชาติหนหลังได้ ซึ่งความทรงจำเก่าเริ่มเกิดขึ้นลางๆ เมื่ออายุ ๕ ขวบ และชัดเจนขึ้นเมื่ออายุ ๗ ขวบ <DD> <DD>ถ้าจะเปรียบเทียบกัน คนก่อนที่จะเกิดก็ไม่รู้ว่าตัวจะมาเกิด ถ้าจะเปรียบเทียบกับขณะที่จิตเรามีสมาธิอย่างละเอียด ก่อนที่จิตจะถอนจากสมาธิ จิตจะต้องมีการไหวตัวนิดหนึ่ง แล้วก็ค่อยมีความรู้สึกขึ้นมา แล้วก็ย้อนมาสู่กายอีก แล้วก็เข้าสู่กาย ก็กลายเป็นการเกิด อันนี้ลักษณะของจิตที่เข้าสมาธิอย่างละเอียดจนกระทั่งตัวหาย รูปร่างกายไม่ปรากฏ ยังมีแต่จิตดวงเดียวซึ่งลอยเด่นอยู่เท่านั้น นั่นก็แสดงว่าวิญญาณจิตนี้ออกจากร่างไปแล้ว เพราะไม่ได้เกี่ยวพันกับร่างกาย คำตอบก็พอจะเทียบได้อย่างนี้ เพราะก่อนที่จะตายจากชาติก่อนๆ โน้น เราก็ไม่ทราบว่าได้เตรียมการอะไร แต่มาเทียบกับจิตที่เข้าสู่สมาธิและออกจากสมาธิพอที่จะเปรียบเทียบกันได้ ว่าก่อนจะตายจิตเป็นอย่างไร มีลักษณะอย่างไร <DD> <DD>ก่อนที่จะตายในสมาธิ จิตจะเข้าสมาธิ พอจิตเข้าสมาธิปั๊บ ก่อนสมาธิจะเกิด กายเบาจิตเบา กายสงบจิตสงบ ทีนี้คนที่จะตายนี่ ในขณะที่กำลังดิ้นรนกระวนกระวายอยู่นั้น อย่างดีเขาก็รู้สึกเพียงแค่ว่าเขาอาจจะตาย แต่เมื่อจะตายจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างสงบ ร่างกายที่ดิ้นรนชักงอก็สงบไป นิ่งเงียบ ในตอนนี้จิตเตรียมที่จะออกจากร่างแต่ไม่ทราบว่าเขากำลังจะตาย ฉะนั้น ในตัวอย่างนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าเขาตาย แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาเกิด ดังนั้นจิตของคนที่จะตาย ก็มีลักษณะไม่รู้ว่าตัวจะตาย ลักษณะจิตที่จะเกิดก็ไม่รู้ว่าตัวจะเกิด นี้คือลักษณะจิตของคนจะตายหรือคนจะเกิด </DD></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ที่มา : ��оط��
     
  8. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    เรื่องลึกลับ ( แต่ไม่ซับซ้อน) ของผู้ปฎิบัติธรรม <SUP></SUP>
    การเข้าสู่หนทางแห่งการปฎิบัติธรรม บางครั้งเราอาจจะเจอเหตุการณ์แปลกๆมากมาย เหตุการณ์ที่ว่าก็คือ การถูกตั้งคำถาม แบบแปลกๆ การถูกมองว่าเป็นคนแปลกๆ และการถูกคาดหวังแบบแปลกๆ ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลายท่านที่ปฎิบัติธรรมต่างก็เคยผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาไม่มากก็น้อย
    ประการแรก เมื่อเราเข้าสู่หนทางการปฎิบัติธรรม จะถูกสงสัยในใจว่า
    มีปัญหาอะไรรึเปล่า ? อกหักใช่ไหม๊ ? มีปัญหาในที่ทำงานล่ะสิ ?
    เมื่อเรากลับมาจากการปฎิบัติ เราจะถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนที่ต้องธรรมะธรรมโม ไม่ควรโกรธ ไม่ควรใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด อาจต้องออกแนวนุ่งขาวห่มขาว ต้องพูดช้าๆ เดินช้าๆ ถ้าเราไม่เป็นดังนั้น ผู้คนบางกลุ่มจะพากันสงสัยว่า เราอาจไปผิดสำนัก หรือไม่ก็ยังไม่บรรลุอะไรมา เราช่างเป็นคนที่น่าสงสารเสียนี่กระไร
    [​IMG]
    ต่อเรื่องราวเหล่านี้ ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะสนใจสักเท่าไหร่ เพราะการเข้าสู่หนทางแห่งการปฎิบัติของแต่ละคนมีเหตุและปัจจัยต่างๆกันไป ถ้าจะถูกเข้าใจไปทางนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องใส่ใจมาก ต่อให้เรามีปัญหาจริงๆ ในชีวิต ข้าพเจ้าก็มองว่า นี่คือหนทางที่ฉลาดและมีปัญญาอย่างมากแล้วในการหาทางดับทุกข์ คนอื่นจะมองว่าวิธีดับทุกข์แบบนี้ไม่เข้าท่าก็แล้วแต่ความคิดเห็นของท่านผู้นั้น เพราะหลายคนที่ข้าพเจ้ารู้จักก็ยังนิยมหาทางดับทุกข์ด้วยวิธีโลกๆอยู่ ไปเที่ยว ไปฟังเพลง ไปดื่มหล้า (เผากลุ้ม) แล้วก็กลับมาผจญกับปัญหาที่ยังไม่ได้แก้ไขอะไร มันเป็นเพียงวิธีการหนีจากทุกข์และปัญหาไปสักพักก็เท่านั้น แต่บางคนก็เห็นว่าเป็นเรื่องฉลาดกว่าการไปปฎิบัติธรรมเป็นไหนๆ ??
    [​IMG]
    ข้าพเจ้าเคยเห็นคนหลายๆคน พอมีทุกข์ก็ไปช้อปปิ้งตามห้าง ซื้อข้าวซื้อของมามากมาย บางคนก็หาวิธีดับทุกข์ด้วยการกินแล้วก็กิน ออกไปหาของอร่อยๆกิน บางคนก็ไปเริงรื่นอยู่ตามร้านเหล้า ตกดึกก็เมากลับบ้าน แน่นอนนั่นก็เป็นแนวทางหนึ่งที่จะผ่อนคลายความทุกข์ได้ ข้าพเจ้าก็เคยทำแบบนั้นอยู่บ่อยๆ ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าพบว่า วิธีดับทุกข์ที่แท้จริงนั้น คือการหันมาศึกษาและปฎิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์เท่านั้น และเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดและมีปัญญาที่สุดด้วย
    [​IMG]
    มีอีกคำถามหนึ่งที่มักจะออกมาในแนวลึกลับซับซ้อน พอได้ยินแล้วจะทำให้มึนงงมาก พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยทีเดียว เช่นการถามว่า
    ไปนั่งสมาธิมาแล้วเห็นอะไรบ้าง ?
    อันนี้ทำเอาข้าพเจ้าอึ้ง..ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
    ก็เลยถามกลับว่า พี่จะให้เห็นอะไรล่ะ??
    มีชาวพุทธหลายท่านไม่เข้าใจเรื่องของการปฎิบัติธรรม ส่วนใหญ่เข้าใจว่าการไปปฎิบัติธรรม อันดับแรกต้องไปปฎิบัติที่วัด ท่านเหล่านี้มักจะถามว่าไปวัดไหน สำนักอะไร แล้วก็จะถามต่อว่า ไปนั่งแล้วเห็นอะไร ข้าพเจ้าเลยตอบว่า ไม่เห็นอะไร พอได้ยินดังนั้นผู้ถามอาจจะผิดหวังกันไปบ้าง เพราะหลายท่านคาดหวังและเข้าใจว่า ข้าพเจ้าอาจจะเห็นอดีตชาติ เห็นอะไรแปลก ที่เขาว่าๆกันมา
    [​IMG]
    เท่าที่ข้าพเจ้าสังเกตดูและพบเจอมา ในความคิดเห็นของคนทั่วไป มักเข้าใจว่า การไปปฎิบัติธรรมคือการไปนั่งสมาธิ แล้วเห็นอะไรสักอย่าง อาจจะเป็นดวงแก้วดวงดาว เห็นสวรรค์ เห็นนรก อะไรประมาณนั้น ทั้งๆที่การปฎิบัติธรรมมีความหมายและวิธีการกว้างไกลและลึกซึ้งกว่านั้นมาก การปฎิบัติธรรม คือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน หายใจก็ให้รู้ว่าหายใจ เดินก็ให้รู้ว่าเดิน กินก็ให้รู้ว่ากิน แถมมีเรื่องการเดินจงกรม การนั่งสมาธิด้วย ครูบาอาจารย์ท่านว่าต้องมีทั้งสามส่วนที่ว่า และที่สำคัญที่สุดก็คือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่การนั่งสมาธิเพียงอย่างเดียว และการปฎิบัติธรรมไม่จำเป็นต้องทำแต่ในวัด เรานำมาทำที่บ้านก็ได้ ในที่ทำงานก็ได้ ในทุกเวลานาทีที่เราหายใจเข้าออกนั่นแหละ แต่การฝึกเข้มหรือการเข้าสู่วิถีแห่งการปฎิบัติอย่างแท้จริง บางครั้งเราต้องไปศึกษากับครูบาอาจารย์ตามสำนักต่างๆ ที่เราสนใจ ให้รู้หลักและวิธีการก่อนเท่านั้น เหมือนเราเรียนการทำอาหารอะไรสักอย่าง เบื้องต้นเราอาจจะต้องไปเรียนที่โรงเรียนสอนทำอาหารเมื่อเป็นและรู้วิธีทำแล้วเราก็นำมาทำที่บ้านได้ แต่ถ้าเราทำแล้วไม่เข้าใจ หรือไม่แน่ใจก็กลับไปถามครูบาอาจารย์ ไปถามผู้รู้มาช่วยชี้แนะได้
    [​IMG]
    ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้ศึกษาเรียนรู้ว่า ทั้งเถรวาท มหายาน และวัชรยาน ต่างก็มีวิถีแห่งการปฎิบัติที่คล้ายๆกัน นั่นคือต้องมีการเจริญสติเพื่อตื่นรู้ทุกลมหายใจเข้าออก การเดินจงกรม การนั่งสมาธิ และอาจจะมีการนอนสมาธิเข้าไปด้วย
    การปฎิบัติธรรม กับการนั่งสมาธิจึงไม่ได้มีความหมายเท่ากัน เพราะคำว่าการปฎิธรรมนั้น มีความหมายกว้างไกลกว่านั้นมาก
    [​IMG]
    ต่อการถามถึงเรื่องแปลกๆ เวลานั่งสมาธิ มีกัลยาณมิตรบางท่านเล่าว่า ตอนนั่งสมาธิจะเห็นภาพต่างๆ บางท่านมองเห็นภาพเหมือนย้อนอดีตเห็นคนจมน้ำตาย เห็นญาติที่ตายจากกันไปแล้วมาปรากฏต่อหน้า ท่านอาจารย์ที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่มักจะกล่าวว่า ที่เห็นนั้นเห็นจริง แต่ภาพที่เห็นนั้นมันไม่จริง จิตของเราสามารถสร้างภาพต่างๆได้ ท่านไม่ให้สนใจให้กำหนดรู้ แล้วกำหนดให้หายไปเสีย ไม่ควรใส่ใจ เรื่องนี้อาจทำให้หลายคนที่คาดหวังว่ามานั่งสมาธิแล้วจะเห็นอดีตชาติของตนรู้สึกผิดหวังนิดๆ แต่ท่านอาจารยกล่าวว่าการเห็นที่ว่านั้น ก็ไม่ได้ช่วยให้เราหลุดพ้นอะไร ถ้าอยากระลึกชาติได้ก็พอจะมีทางอยู่ อย่างน้อยที่ระลึกได้ในชาตินี้ ก็คือชาติชั่วของตัวเอง
    [​IMG]
    เมื่อเราปฎิบัติธรรมมาสักพัก เราจะเริ่มระลึกได้ถึงสิ่งเลวร้ายที่เราทำไว้มากมาย (ในชาตินี้) ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่เรากระทำไว้แต่หนก่อน อาจจะเป็นเรื่องเมื่อหลายๆปีก่อนที่เราได้ทำร้ายจิตใจคนที่เรารัก และเราจะรู้สึกสำนึกผิดมากมายอย่างไม่เคยมีมาก่อน เราจะยอมรับความผิดนั้นด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง และรู้สึกผิดอย่างลึกซึ้งเป็นการสำนึกผิดด้วยตัวของเราเอง ไม่ต้องมีใครมาสั่งมาสอน ไม่ต้องมีศาลมาพิพากษา จิตใจของเราจะเปิดกว้างและยอมรับว่า ที่ผ่านมาเราเลวร้ายอย่างไร เราทำตัวไม่น่ารักแค่ไหน เมื่อเราสำนึกได้ และคนที่เราเคยทำร้ายไว้ยังมีชีวิตอยู่ เราจะมีโอกาสที่จะแก้ไขและขออภัยได้ อันนี้ข้าพเจ้าว่าคือการแก้กรรมที่เป็นไปได้ แต่ถ้าคนคนนั้นจากไปแล้วเราก็ยังสามารถกลับตัวกลับใจที่จะไม่ทำร้ายใครต่อใครทั้งกาย วาจา ใจ อีก การระลึกชาติได้ในชาตินี้จึงมีความสำคัญและมีคุณค่าอยู่มาก แต่การระลึกไปถึงชาติที่แล้ว มันอาจจะไม่ได้ประโยชน์ใดๆ ในชีวิต มาคิดกันเล่นๆว่า ถ้าเราเกิดระลึกชาติได้ว่า ชาติที่แล้วเราฆ่าคนตาย แล้วเราจะทำอย่างไร นั่นคือเรื่องในอดีต เราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ โดยเฉพาะอดีตเมื่อชาติที่แล้ว มาชาตินี้เราจะแก้กรรมนั้นอย่างไรกัน เราจะทำบุญเก้าวัด ถวายทานครั้งใหญ่เพื่อแก้ไขสิ่งที่เรากระทำไว้อย่างรุนแรงนั้นได้หรือ เพราะกรรมคือการกระทำ เมื่อการกระทำได้เกิดขึ้นแล้ว ผลที่ตามมาย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การฆ่าหนึ่งชีวิตจะสามารถทดแทนแก้ไขด้วยการทำบุญเพียงประการเดียวได้อย่างไร เพราะหนึ่งชีวิต ก็ย่อมมีคุณค่าเท่ากับหนึ่งชีวิต ชีวิตจึงอาจจะต้องแลกด้วยชีวิตเช่นกัน แล้วเราจะพ้นเคราะห์กรรมนี้ได้อย่างไรกัน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย เมื่อมาพิจารณาถึงจุดนี้
    ดังนั้นการระลึกชาติอาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสักเท่าไหร่ เพราะสำหรับข้าพเจ้าแล้วแค่ระลึกได้ถึงชาติชั่วของตัวเองในชาตินี้ ก็รู้สึกเศร้าใจไปหลายประการ ถ้าระลึกได้สักสองสามชาติ ข้าพเจ้าคงจะรู้สึกแย่กว่านี้
    [​IMG]
    ครูบาอาจารย์หลายท่านต่างกล่าวว่า การระลึกชาติ การมีอภิญญารู้วาระจิตคน การหยั่งรู้อนาคต เป็นผลพลอยได้จากการทำสมาธิภาวนา แต่ไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้น ท่านจึงไม่ได้เน้นให้ปฎิบัติเพื่อการนี้ แต่ท่านเน้นย้ำเรื่องการปฎิบัติเพื่อให้เกิดปัญญา ให้เห็นแจ้งถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในกายและใจของเรามากกว่า ท่านว่าการรู้อดีตก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อชีวิตนัก การรู้อนาคตก็ไม่เกิดประโยชน์เช่นกัน แต่การรู้ปัจจุบันคือสิ่งสำคัญที่สุด
    อีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกันก็คือ การรู้อนาคต การดูดวงชะตาราศรี อันนี้ท่านก็ไม่ได้สอนหรือแนะนำ การที่เราชาวพุทธทั้งหลายฝากชะตาชีวิตไว้กับการทำนายทายทัก จึงเป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในข้อแนะนำของพุทธที่แท้ ถ้าใครได้อ่านหนังสือที่ชื่อว่า ตัวกูของกู ของท่านพุทธทาสจะยิ่งเข้าใจเรื่องนี้ เพราะท่านว่ากล่าวตักเตือนถึงความงมงายในเรื่องทำนองนี้ไว้ค่อนข้างแรงทีเดียว
    แล้วข้าพเจ้าไม่มีผลพลอยได้ในเรื่องที่ดูลึกลับซับซ้อน จากการทำสมาธิภาวนาหรืออย่างไร ก็พอมีบ้าง ในครั้งแรกที่ข้าพเจ้าไปฝึกที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่ ข้าพเจ้านั่งสมาธิแล้วสงสัยจิตจะมีสมาธิสูงไปหรืออย่างไรไม่ทราบ ขณะที่ข้าพเจ้านั่งหลับตาอยู่ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงลมพัดใบไม้ชัดเจนมาก และเมื่อใบไม้ร่วงหล่นลงจากต้นตกลงมาถึงพื้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงตั้งแต่ใบไม้หลุดออกมาจากขั้วเลยทีเดียว แถมมีครั้งหนึ่งที่นั่งอยู่แล้วเกิดลักษณะเหมือนนั่งอยู่ในถ้ำ มีแสงสีเหลืองนวลๆอยู่เบื้องหน้า และมีความรู้สึกว่าตัวเองได้พยายามติดตามแสงนั้นไป พอไปส่งอารมณ์กับท่านอาจารย์ ท่านบอกให้กำหนดหายอย่าสนใจและอย่าตามไปเป็นอันขาด
    โดยสรุปแล้ว ไม่มีเรื่องลึกลับซับซ้อนใดๆ ในการปฎิบัติธรรม ไม่ใช่เรื่องของอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ใดๆ ไม่ใช่การมาปฎิบัติเพื่อให้ระลึกชาติได้ หรือหยั่งรู้อนาคต ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในระหว่างการปฎิบัติมีข้ออธิบายได้ทั้งนั้น หลังการปฎิบัติมาพักหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้ได้และเข้าใจได้ด้วยตัวเองก็คือ เราทั้งหลายนั้นประกอบด้วยกายกับจิตจริง และจิตไม่ได้อยู่ข้างใน ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้อยู่ข้างนอก กายมีเสื่อมถอย จิตมีการเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งตั้งอยู่ในกฎของความไม่แน่นอน และแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาจนไม่อาจจะยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดเป็นจริงเป็นจังได้ และความทุกข์ทั้งหมดทั้งปวงนั้นมักจะเกิดจากการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆมากจนเกินไป เมื่อเลิกยึดเหนี่ยวและปล่อยวางได้ ข้าพเจ้าก็รู้สึกมีความทุกข์น้อยลง


    ที่มา : sunny - การเดินบนพื้นโลกคือปาฎิหาริย์ - เรื่องลึกลับ ( แต่ไม่ซับซ้อน) ของผู้ปฎิบัติธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2009
  9. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,275
    ค่าพลัง:
    +82,733
    คนเรานั้น ถ้าหลงอดีต ก็จะไม่ถึงปัจจุบัน ถ้าหลงปัจจุบัน ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากวัฏฏะได้
    อนุโมทนาเป็นที่สุดค่ะ
    ลึกซึ้งและมีประโยชน์มากค่ะ
     
  10. ต้นไทร

    ต้นไทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +666
    ขอบคุณคับผม
     
  11. มาริตา

    มาริตา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +60
    ข อ บ คุ ณ ค่ ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...