นับเวลาถอยหลังสู่วันสิ้นโลก...

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย คีตราชันย์, 24 ตุลาคม 2009.

  1. คีตราชันย์

    คีตราชันย์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +10
    นับเวลาถอยหลัง…วันสิ้นโลก<O:p</O:p

    <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    แก่นแท้ของศาสนาเกือบทุกศาสนาบนโลกคือ วิทยาศาสตร์” ในขณะที่โลกกำลังพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนจุดสุดท้ายปลายทางของถนนทั้ง 2 สายย่อมมาบรรจบกัน เสมือนสายน้ำที่ก่อเกิดจากแควน้ำน้อยใหญ่ไหลมารวมกัน ต่างที่มา ต่างถิ่นฐาน ก่อนจะกลายเป็นทะเลหรือมหาสมุทรในที่สุด
    ...................................................................................................<O:p</O:p
    คำทำนายเกี่ยวกับวันโลกาวินาศ หรือวันสิ้นโลก จากสำนักต่างๆ ได้ถูกเปิดเผยต่อสายตาประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า จนก่อให้เกิดความสับสนไปทั่วทุกมุมโลก ในขณะที่ปัญหาวิกฤติโลกก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข มีเพียงชนกลุ่มน้อยที่เตรียมพร้อมและเข้าใจว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับธรรมชาติ จากสัญชาติญาณที่คลุกคลีอยู่กับธรรมชาติมาช่วงระยะเวลายาวนาน นักบำเพ็ญ นักพรต นักการศาสนา นักวิทยาศาสตร์ นักทำนาย แม้แต่นักกวี ต่างล้วนแสดงความคิดที่เห็นพ้องตรงกันว่า โลกจะถึงจุดจบภายในปลายปี ค.ศ. 2012 หรือ พ.ศ. 2555 เช่นเดียวกับ ชาวมายา (ชนเผ่ามายาแห่งอเมริกากลาง) ที่ทำปฏิทินใช้เองตั้งแต่ 1,000 ปีที่แล้ว ชนเผ่ามายานี้มีความสามารถในการคำนวณการโคจร การเกิดดับของดวงดาวอย่างไม่น่าเชื่อ คือเขาสามารถคำนวณว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์โดยใช้เวลา 365 วัน ตั้งแต่ 1,000 ปีที่แล้ว ซึ่งตรงกับปฏิทินที่ชาวโลกปัจจุบันใช้กัน แล้วยังสามารถคำนวณเกี่ยวกับระบบสุริยะจักรวาลได้อย่างแม่นยำมาก ชาวมายายังกำหนดวันสุดท้ายของปฏิทินของพวกเขาคือ วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) พวกเขาบอกด้วยว่า วันนั้นโลกจะถึงจุดสิ้นสุด (โดยบอกไว้เมื่อ 1,000 กว่าปีที่แล้ว).....
    <O:p</O:p
    คำประกาศจากองค์การ NASA ว่าในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) วันนั้นแกนโลกของเราจะพลิกกลับขั้ว คือ ขั้วโลกเหนือจะมาอยู่ที่ขั้วโลกใต้ ช่วงเวลานั้น โลกของเราจะไม่มีสนามพลังแม่เหล็ก เพื่อป้องกันตัวเองจากสนามพลังแม่เหล็ก และ รังสีต่างๆจากอวกาศ แล้ววันนั้นจะเป็นวันเดียวกับที่ ดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วเช่นกัน เพราะดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วทุกๆ 11 ปี ปีล่าสุดคือปี พ.ศ. 2544 ถ้ามาถึงวันนี้ก็ 11 ปีพอดี (2544 + 11 = 2555) ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังพลิกกลับขั้วนั้น ดวงอาทิตย์จะแผ่สนามแม่เหล็ก และรังสีความร้อนสูงมายังโลก ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่โลก ไม่มีสนามแม่เหล็กป้องกันตัวเอง ผลคือ น้ำแข็งขั้วโลกละลายฉับพลัน น้ำท่วมโลกฉับพลัน ไม่มีทางหนีได้ทัน ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)

    นาย Gordon-Michael Scallion เป็นผู้หยั่งรู้อนาคต (futurist) มีญาณทัศนะ(Spiritual Visionary) คือมองเห็นอนาคตด้วยญาณ มีความแม่นยำมาก สามารถทำนายการเกิดแผ่นดินไหวในสหรัฐฯที่ผ่านมาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เขาได้ทำนายว่า น้ำกำลังจะท่วมโลก จนหลายประเทศหายไปจากแผนที่ ประเทศที่เป็นเกาะจะจมน้ำทั้งหมด ประชากรโลกที่รอดตายมีเพียง 10% เท่านั้น เขาเชื่อว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในระหว่างปี 1998-2012 (พ.ศ.2541-พ.ศ.2555) และเขาได้สร้างแผนที่โลกใหม่หลังน้ำท่วมครั้งใหญ่ ภายใต้ชื่อ Future Map Of The World ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1978 (พ.ศ. 2521) จากแผนที่ของเขาประเทศไทยเหลือพื้นที่เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น (ภาคเหนือและภาคอีสาน)
    <O:p</O:p
    หลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูล" กล่าวไว้ว่า พ.ศ. 2550 ถึง 2555 หางนาคกวาดน้ำให้โลกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว กำลังจะกวาดน้ำขึ้นมาล้างโลก จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ คนไม่ดีไม่มีศีลธรรม จะล้มตายมาก ส่วนคนดีมีศีลธรรม จะอยู่รอดปลอดภัยได้
    <O:p</O:p
    ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่(Suma Ching Hai) ครูทางจิตวิญญาณ/ศิลปิน กล่าวในการประชุมสัมมนาผ่าน Video Conference เรื่อง “ทางออกเพื่อโลกที่สวยงามในภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง” โดยมี ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา และนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิอีกหลายท่านเข้าร่วมสัมมนาเมื่อ วันที่ 15 สิงหาคม 2552 ณ ห้องประชุมมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ว่า “ นับจากนี้โลกจะเหลือเวลา 3-4 ปี (ค.ศ.2012) ก่อนจะเกิดหายนะครั้งใหญ่ จากภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆที่จะเกิดขึ้นโดยเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน ซึ่งมาจากน้ำมือของมนุษย์แทบทั้งสิ้น การบริโภคเนื้อสัตว์เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการถางป่าจำนวนมากทั่วโลกเอามาใช้ในการทำทุ่งหญ้าเพื่อทำฟาร์มปศุสัตว์ ซึ่งฟาร์มมากมายเหล่านี้นี่เองเป็นแหล่งผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซมีเทนจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้โลกเกิดปรากฎการณ์ภาวะเรือนกระจก(Green House Effect) และเป็นตัวการสำคัญที่เร่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อนมากกว่าก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากรถยนต์ทั่วโลกรวมกันเสียอีก ทางออกของมนุษยชาติคือการลดก๊าซเรือนกระจกลง ด้วยการหันมาทานพืชผักหรือเป็นมังสวิรัติแทนการบริโภคเนื้อสัตว์ (ลดความต้องการทางการตลาดหรือ Demand ลง) ทางออกนี้ยังสอดคล้องกับหลักศาสนาของทุกศาสนาบนโลกรวมทั้งคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนให้มนุษย์มีความรักเมตตาโดยการ”ห้ามฆ่าสัตว์” อีกด้วย นอกจากนั้นควรลดการใช้ทรัพยากร เชื้อเพลิง( น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ) หันมาใช้พลังงานทดแทน ใช้ชีวิตอย่างประหยัดและมีคุณธรรม โลกก็อาจจะถึงจุดจบช้าลงอีก”....
    <O:p</O:p
    ปัญหาภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆที่มนุษย์ยุคปัจจุบันยังไม่รู้จักกันเท่าที่ควร อุณหภูมิบริเวณขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้สูงขึ้น <?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]4 องศาเซลเซียส</st1:metricconverter> ทำให้น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะบริเวณทะเลอาร์กติก ไซบีเรีย กรีนแลนด์ และแอนตาร์กติก องค์การนาซาคาดว่าน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือจะละลายหมดภายในฤดูร้อนของปี ค.ศ. 2012 ผลกระทบที่ตามมาเมื่อโลกปราศจากน้ำแข็งช่วยสะท้อนพลังงานจากแสงดวงอาทิตย์ก็คือ ความร้อนถึง 90% จากดวงอาทิตย์จะสามารถถูกส่งผ่านทะลุถึงพื้นผิวน้ำได้ ซึ่งจะเป็นการเร่งภาวะโลกร้อนให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก ก๊าซมีเทนก้อน(Methane Hydrate) ที่สะสมจากการย่อยสลายของซากพืชซากสัตว์นับล้านๆปีภายใต้ชั้นน้ำแข็ง(permafrost)บริเวณขั้วโลก ใต้มหาสมุทร แหล่งน้ำ และพื้นแผ่นดิน กำลังละลายและถูกปลดปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 จนถึงขณะนี้ นอกจากนี้อุณหภูมิจากภาวะโลกร้อนที่เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="2 องศาเซลเซียส">2 องศาเซลเซียส</st1:metricconverter> สามารถทำให้ก๊าซมีเทนปริมาณมากกว่า 1,000 ล้านตัน ถูกปลดปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ อันจะนำไปสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากบนโลก ก๊าซมีเทนเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนได้รุนแรงมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 72 เท่า(เฉลี่ยช่วงระยะเวลา 20 ปี) ตกค้างยาวนานกว่า 10 ปีแหล่งกำเนิดก๊าซมีเทนที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในอุตสาหกรรมการทำฟาร์มปศุสัตว์ และเป็นต้นตอสำคัญที่สุดในการก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งจะต้องได้รับการหยุดยั้งอย่างเร่งด่วน...<O:p</O:p
    ดร.<st1:personName w:st="on" ProductID="อาจอง ชุมสาย">อาจอง ชุมสาย</st1:personName> ณ อยุธยา (อดีตนักวิทยาศาสตร์องค์การนาซา) ยังคาดการณ์อีกว่า “ผลจากการที่น้ำแข็งขั้วโลกละลาย จะทำให้มวลของน้ำบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกเพิ่มสูงขึ้นมหาศาลจนเกิดการเสียสมดุล ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของแกนโลก(ปัจจุบันแกนโลกเอียงจากแนวดิ่งทำมุม 23.5 องศา) ซึ่งจะก่อให้เกิดแผ่นดินไหวและพายุที่รุนแรงบ่อยขึ้นบริเวณภูมิภาคนี้ ” ผลจากภาวะน้ำทะเลหนุนขึ้นสูงซึ่งประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งทะเล 200-1,000 ล้านชีวิตทั่วโลกจะต้องรีบอพยพโดยด่วน (โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีเมืองหลวงอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียง <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="1 เมตร">1 เมตร</st1:metricconverter> ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้น 4 -5 องศาเซลเซียสจะทำให้ระดับน้ำทะเลหนุนสูงขึ้นอีก <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="5 เมตร">5 เมตร</st1:metricconverter>) ถ้าแผ่นน้ำแข็งทางตะวันตกของแอนตาร์กติกละลายหมด ระดับน้ำทะเลทั่วโลกจะสูงขึ้นอย่างน้อย 3.3 ,3.5 เมตร จะส่งผลกระทบกับประชากรกว่า 3.2 พันล้านคน(ประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรโลก) ที่อาศัยอยู่ภายในระยะห่างจากแนวชายฝั่งทะเล <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="200 ไมล์">200 ไมล์</st1:metricconverter> นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ถ้าหากน้ำแข็งที่แอนตาร์กติกละลายหมด ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นมากจนยากจะคาดการณ์ บางคนกล่าวว่าระดับน้ำทะเลอาจเพิ่มสูงถึง <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="70 เมตร">70 เมตร</st1:metricconverter> ซึ่งนั่นหมายถึงทุกชีวิตบนโลกนี้จะพบกับหายนะ ในขณะนี้ มีเกาะอย่างน้อย 18 แห่งทั่วโลกกำลังลังจมหายและมากกว่า 40 แห่งตกอยู่ในภาวะเสี่ยงจากการเพิ่มสูงขึ้นของระดับน้ำทะเล ภาวะโลกร้อนยังทำให้ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของโลก เช่น แม่น้ำคงคา แม่น้ำโขง ฯลฯ กำลังละลายไปอย่างรวดเร็วในแต่ละปี ซึ่งจะส่งผลกระทบที่อันตรายต่อการอยู่รอดของประชากรมากกว่า 2 พันล้านคน โดยประชากร 1 พันล้านคนจะได้รับผลกระทบจากการหายไปของธารน้ำแข็งหิมาลัย โดยธารน้ำแข็ง 2 ใน 3 ของโลกซึ่งมีมากกว่า 18,000 แห่งกำลังหายไป การละลายของธารน้ำแข็งเป็นภัยที่ก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและแผ่นดินถล่ม นอกจากนั้นการละลายอย่างต่อเนื่องจะทำให้ฝนตกน้อยลง เกิดภัยแล้ง และเกิดการขาดแคลนน้ำ แม่น้ำสายสำคัญของโลก เช่น ไนล์(แอฟริกา) ดานูบ(ยุโรป) รีโอ แกรนด์(อเมริกาหนือ) ลา พลาดา(อเมริกาใต้) เมอร์เรย์-ดาร์ลิง(ออสเตรเลีย) แยงซี(จีน) สาละวิน(พม่า) สินธุ(ปากีสถาน) คงคา(อินเดีย) และโขง(สิบสองปันนา) ที่หล่อเลี้ยงชีวิตประชากรกว่า 870 ล้านคน กำลังเหือดแห้งลงอย่างรวดเร็วจากภาวะโลกร้อน สิ่งมีชีวิตในน้ำจืดกว่า 10,000 สายพันธุ์กำลังสูญพันธุ์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังคาดการณ์ว่าในไม่ช้ามนุษย์จะต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนน้ำจืดทั้งแหล่งน้ำบนดินและใต้ดิน พื้นที่ทางการเกษตรมากมายจะได้รับความเสียหาย ภาคอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก จนเกิดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมรุนแรงตามมา....<O:p</O:p
    ภาวะโลกร้อนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ(Climate Change) ปัญหาที่ยิ่งใหญ่และรุนแรงเท่าที่เรารับรู้กันกันอยู่แล้วก็คือ การเกิดปรากฏการณ์ “เอล นิโญ”(El Nino) และ “ลา นิโญ”(La Nino) ที่ก่อให้เกิดความผกผันของการไหลเวียนของกระแสน้ำในมหาสมุทรและกระแสอากาศโลกบริเวณเส้นศูนย์สูตรเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ธารน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเริ่มละลาย รวมทั้งเกิดพายุรุนแรง ภาวะแห้งแล้ง คลื่นความร้อน และไฟป่าอยู่บ่อยๆเช่น ในปี ค.ศ. 2003 คลื่นความร้อน(heat wave)เข้าทำลายบ้านเรือนในยุโรป กว่า 10,000 หลังคาเรือน และก่อให้เกิดไฟป่าครั้งรุนแรงที่สุดในออสเตรเลียนอกจากนั้นการเพิ่มสูงขึ้นของอุณหภูมิในทะเลยังก่อให้เกิดพายุเฮอริเคนและพายุโซนร้อนที่รุนแรงและยาวนานขึ้น ซึ่งจะสังเกตได้ว่ามันเพิ่มสูงขึ้น 100% เมื่อเทียบกับ 30 ปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทางทะเลยังทำให้เกิดพื้นที่ตายในทะเล(Oceanic dead zones)มากกว่า 400 แห่ง ซึ่งเป็นบริเวณที่ขาดก๊าซออกซิเจนที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต สาเหตุมาจากการปล่อยของเสียมากมายจากฟาร์มปศุสัตว์ลงสู่แม่น้ำและมหาสมุทร หลายชาติได้ตระหนักถึงมหันตภัยดังกล่าว ทำให้ในปี 2550 องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกแห่งสหประชาชาติและกรรมาธิการวิทยาศาสตร์นานาชาติ ทุ่มงบประมาณถึง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อโครงการวิจัย 228 โครงการ ในการที่จะติดตามสุขภาพบริเวณขั้วโลก และทำการวัดผลกระทบจากปรากฏการณ์ภาวะโลกร้อน รวมถึงผลกระทบของรังสีแสงอาทิตย์ที่มีต่อบรรยากาศขั้วโลก ไปจนถึงชีวิตสัตว์น้ำที่อยู่ใต้มหาสมุทรน้ำแข็งแอนตาร์กติกอีกด้วย นับเป็นโครงการวิจัยนานาชาติขนาดใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี โดยนักวิทยาศาสตร์กว่า 5,000 คน จาก 63 ชาติ ได้เดินทางสู่ขั้วโลกเมื้อวันที่ 1 มีนาคม 2550 ขณะที่โครงการดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในสิ้นปี 2552 รายงานผลการวิจัยศึกษาของนานชาติ ได้เผยแพร่ข่าวคาดการณ์ภาวะโลกร้อนในอนาคตเอาไว้มากมาย เช่น โลกร้อนที่สุดในรอบ 400 ปีใจกลางโลกร้อนจัดมีอุณหภูมิสูงถึง <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="3,676 องศาเซลเซียส">3,676 องศาเซลเซียส</st1:metricconverter> ใกล้เคียงกับอุณหภูมิที่ผิวพื้นดวงอาทิตย์ ซึ่งร้อนถึง <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="5,526 องศาเซลเซียส">5,526 องศาเซลเซียส</st1:metricconverter> ธารน้ำแข็งขั้วโลกใต้บางลง หวั่นทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น สัตว์นับล้านๆชนิดจะสูญพันธุ์ฯลฯ........<O:p</O:p
    อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น จะทำให้การระเหยของน้ำทะเล มหาสมุทร แม่น้ำ ลำธาร และทะเลสาบ เพิ่มมากขึ้น เป็นผลให้ฝนตกมากขึ้น แต่กระจุกตัวอยู่ในบางพื้นที่ ทำให้เกิดอุทกภัย ส่วนบริเวณอื่นก็จะเกิดปัญหาภัยแล้ง เนื่องจากฝนตกน้อย สภาวะอากาศที่มีความชื้นจึงเหมาะกับการแพร่ระบาดของโรคต่างๆ การเพิ่มของพาหะนำโรค รวมทั้งเกิดเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ ไปจนถึงการกลายพันธุ์ของเชื้อโรคที่เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว สุขภาพที่เสื่อมลงเนื่องจากอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้รัฐบาลในแต่ละประเทศต้องสูญเสียงบประมาณจำนวนมากมายมหาศาลไปกับงานด้านสาธารณสุข ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศทำให้ประชากรเสียชีวิตจำนวน 315,000 คนต่อปี ประชากรกว่า 325 ล้านคนทั่วโลกได้รับผลกระทบ(เจ็บป่วยจากโรคต่างๆ) นำมาสู่การสูญเสียทางเศรษฐกิจมากกว่า 125 พันล้านเหรียญสหรัฐฯทุกปี นอกจากนั้นการลดจำนวนลงของสัตว์ป่าอย่างรวดเร็วจากการสูญพันธุ์ยังไม่มีรูปแบบที่แน่นอนที่จะใช้เปรียบเทียบ นักวิทยาศาสตร์ทำนายว่าสัตว์ป่าจำนวน 16,000 สายพันธุ์กำลังตกอยู่ในอันตรายและอาจจะสูญพันธุ์อย่างรวดเร็วถึง 100 เท่ากว่าอดีตที่ผ่านมา ในเนปาลและออสเตรเลีย ไฟป่าได้ทำให้เกิดภาวะแห้งแล้ง ในแอฟริกา ประชาชนในโซมาเลีย เอธิโอเปียและซูดาน กำลังประสบกับภัยแล้งและกลายเป็นทะเลทราย โดยสาเหตุมาจากการตัดไม้ทำลายป่าจำนวนมากเพื่อใช้ในการทำทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ กำลังส่งผลกระทบต่อประชากรมากกว่า 1.2 พันล้านคน และมากกว่า 100 ประเทศกำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยง แหล่งน้ำต่างๆกำลังเหือดแห้งลง เช่น ในเมืองใหญ่ของ Beijing เดลฮี กรุงเทพฯ ทางตะวันตกของสหรัฐฯ ขณะที่แม่น้ำ Ganges จอร์แดน ไนล์ แยงซี มีปริมาณน้ำลดลงอย่างมากในแต่ละปี ในประเทศจีนเกิดภัยแล้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 5 ทศวรรษ พืชผลทางการเกษตรสูญเสียจำนวนมากอย่างน้อย 12 จังหวัดทางเหนือ ต้องใช้ทุนของชาติกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัย.....<O:p</O:p
    เมื่อเร็วๆนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวถึงทฤษฎีที่เรียกว่า “hydrate hypothesis” ที่อธิบายว่า กิจกรรมของมนุษย์ได้ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนขึ้นอย่างเป็นวัฎจักร จากการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก(ไอน้ำ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โอโซน มีเทน ก๊าซไนตรัสออกไซด์ สารประกอบฟลูออโรคาร์บอน) ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมาเป็นระยะเวลายาวนานนับล้านๆปี ทำให้โลกมีอุณภูมิสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แบคทีเรียในดินได้เปลี่ยนซากพืชซากสัตว์ให้กลายไปเป็นมีเทนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมีปริมาณมหาศาลเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกิดความไม่สมดุล ในขณะที่โลกยังคงร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำให้เกิดการละลายของชั้นดินเยือกแข็งคงตัว(permafrost) ที่เป็นเสมือนแผ่นกักเก็บก๊าซมีเทนเอาไว้ การปลดปล่อยอย่างมหาศาลของก๊าซมีเทนจาก “มีเทนก้อน(methane clathrates or hydrates)” จึงเกิดขึ้น ทำให้อัตราการอุ่นเป็นไปอย่างรวดเร็วและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในท้ายที่สุดเมื่อมหาสมุทรอุ่นขึ้นจากผลข้างต้น จะทำให้ก๊าซมีเทนจำนวนมหาศาลถึง 10,000 พันล้านตันใต้ท้องมหาสมุทรที่เรียกว่า “clathrates” ถูกปลดปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศเข้าแทนที่อากาศ และทำให้สิ่งมีชีวิตมากมายบนโลกต้องขาดอากาศหายใจสิ้นชีพลง(90%) ซึ่งกระบวนการนี้ก่อเกิดเป็นวัฏจักรและเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งบนโลก โดยสัณนิฐานได้ว่านี่อาจเป็นเหตุของการสูญพันุธุ์ของไดโนเสาเมื่อ 251 ล้านปีที่ผ่านมา การร้อนขึ้นของยุคจูแรสซิกตอนต้นเมื่อ 180 ล้านปีก่อน และการร้อนมากที่สุดเมื่อประมาณ 55 ล้านปีมาแล้ว ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โลกมาแล้ว 8-9 ครั้ง และเคยเกิดขึ้นกับดาวอังคารเมื่อประมาณ 40 ล้านปีก่อน รวมทั้งดาวศุกร์อีกด้วย...<O:p</O:p
    ข้อตกลงเรื่องการลดภาวะโลกร้อนจะไร้ผล เพราะพื้นที่ทางการเกษตรถูกเผาไหม้จำนวนมหาศาลกระจายไปทั่วโลกในปี ค.ศ. 2012 และเป็นสาเหตุของความอดอยาก การล่วงล้ำอำนาจอธิปไตย การเจ็บป่วย และเกิดสงคราม ไปทั่วทุกระดับของโลก ประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐ รัสเซีย และจีน จะต่อสู้กันเพื่อควบคุมแหล่งทรัพยากรที่สำคัญของโลก ประชากรมากกว่า 4.5 พันล้านคนจะตายจากผลที่มาจากภาวะโลกร้อนในปี ค.ศ. 2012 ดาวเคราะห์โลกจะขับเคลื่อนเข้าสู่ความหายนะอย่างน่าตระหนก...<O:p</O:p
    บทสรุปของโลกอยู่ในกำมือของมวลมนุษยชาติ หายนะขั้นรุนแรงจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่? มนุษย์ย่อมเป็นผู้เลือก แม้จะโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือเกิดจากความโลภของมนุษย์ก็ตาม ต้นเหตุสำคัญมาจากหลายปัจจัย แต่ปัจจัยหลัก อันเป็นใจความสำคัญของเรื่องราวและสอดคล้องทั้งหลักวิทยาศาสตร์และศาสนานั่นคือ สัตว์จำนวนมากมายมหาศาลถูกเข่นฆ่าทั้งทางตรงและทางอ้อม ตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงอุตสาหกรรมในช่วงเวลาที่ผ่านมา การบริโภคเนื้อสัตว์ก่อให้เกิดการทำลายป่ามากมายเพื่อใช้ทำฟาร์มปศุสัตว์ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน และภัยพิบัติทางธรรมชาติมากมายตามมา สิ่งที่อันตรายที่สุดคือการอุ่นขึ้นของมหาสมุทร นำไปสู่การปลดปล่อยก๊าซมีเทนและก๊าซพิษอื่นๆ ปริมาณมหาศาลที่สะสมมานับเป็นเวลาล้านๆปีภายใต้มหาสมุทร แพร่กระจายเข้าแทนที่ก๊าซออกซิเจนที่ใช้ในการดำรงชีพของสิ่งมีชีวิต ก่อให้เกิดการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตบนโลกมากกว่า 90% ก่อเกิดเป็นวัฏจักรเหมือนในประวัติศาสตร์โลกที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง รวมทั้งการสูญสิ้นสิ่งมีชีวิตบนพื้นผิวดาวอังคารและดาวศุกร์ ทางแก้ก็เพียงแค่การลดก๊าซเรือนกระจกลง ด้วยการหันมาทานพืชผักผลไม้แทนการบริโภคเนื้อสัตว์ เพื่อลดความต้องการลง และยังเป็นการหยุดการรุกล้ำผืนป่าทางธรรมชาติ อันเป็นแหล่งต้นน้ำกักเก็บความชื้น ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวมทั้งมลภาวะทางอากาศ และผลิตก๊าซออกซิเจนให้แก่สิ่งมีชีวิตบนโลก นอกจากนั้นควรลดการใช้พลังงานฟอสซิล (น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ฯลฯ) หันมาใช้พลังงานทดแทน (พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ ฯลฯ) ใช้ชีวิตอย่างประหยัดและมีคุณธรรม ก็จะสามารถรักษาโลกใบนี้เอาไว้ได้......<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    .................................................................................................<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ค้นข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.suprememastertv.com <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2009
  2. สี บุญมา

    สี บุญมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2008
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +315
    สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือสิ่งที่บรรพบุรุษของเรายุคบุกเบิกได้กระทำไว้ เมื่อ 50-100 ปีที่ผ่านมา เราคือผู้รับผลนั้น ถ้าเราเริ่มดูแลโลกตั้งแต่ตอนนี้ อีก 50 ข้างหน้าขึ้นไปจะได้รับผลการกระทำที่เราทำไว้ เพื่อลูกหลานนะ สาธุ
     
  3. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ใจเย็นๆๆครับ ไม่โหดร้ายขนาดนั้นหรอกครับ
     
  4. เทวทูต

    เทวทูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    463
    ค่าพลัง:
    +1,025
    อีก 50 ปีจะเกิดจริงเหรอ

    ตอนนั้นผมคงแก่มากแล้วหนีไม่ทันแน่ๆ คุๆๆ
     
  5. chattrg

    chattrg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    4,337
    ค่าพลัง:
    +13,231
    ขอบคุณ ครับ
    ที่ มาเตือน
     
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขอแชร์ไอเดียสักเล็กน้อยบ้างนะครับ
    แม้ว่าปกติ ผมจะไม่ชอบมาแสดงความคิดเห็นอะไรในกระทู้ของคนอื่นสักเท่าไหร่
    ใครจะคิดอย่างไร ก็เห็นล้วนเป็นความถูกต้องหมด
    ในระดับจิตนั้นๆ ในสภาวะนั้นๆ ในฐานข้อมูลนั้นๆ ที่แต่ละคนมีอยู่
    เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงถูกต้องหมด ในมุมมองของตนเอง

    ผมเองก็ได้ค้นคว้า ได้อ่าน ได้แปล ข้อมุลเกี่ยวกับหายนะของโลกที่ว่านี้
    มานาน และมากมายพอสมควรคนหนึ่ง จึงคิดว่า น่าจะมีข้อมูลที่พอจะแชร์ได้อยู่บ้าง

    เอาย่อๆ แบบไม่อิง ความเชื่อ และศาสนาใดๆ...ก็คือว่า...

    1. มันไม่ใช่วันสิ้นโลกอะไร อย่างที่หลายคนเข้าใจและกลัวกันอยู่
    มันเป็นแต่เพียงระดับขั้นหนึ่งของคลื่นความถี่ของพลังงานและวิวัฒนาการ
    ของดาวเคราะห์โลก และของมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์โลกนี้เท่านั้นเอง
    ที่ระดับพลังงานกำลังมีความถี่เปลี่ยนไปทุกวันๆ โดยความถี่มันสูงขึ้นทุกวันๆ
    เนื่องจากว่า โลกและระบบสุริยจักรวาลของเรา กำลังโคจรอยู่ในเขต Photon zone แล้ว

    ซึ่ง Photon zone นี้ มีแถบความเข้มของพลังงานที่สำคัญๆอยู่ 12 แถบ
    และเมื่อระบบสุริยจักรวาลและโลกของเรา ผ่านเข้ามาในแต่ละแถบ ความเปลี่ยนแปลง
    เพื่อปรับตัวเองของโลกและสิ่งมีชีวิตบนโลก ก็ย่อมจะเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

    ...ตอนนี้เพิ่งมาถึง แถบที่ 1 เท่านั้นเอง...แถบต่อไป จะ ไปถึงราวๆ ปี 2012..
    (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ)

    2. โชคดีของผู้ที่มีจิตใจดีงาม และมีศีล มีธรรม แต่เป็นโชคร้ายของผู้ที่มีจิตใจตรงกันข้าม
    เพราะระดับพลังงานของ Photon zone ที่กำลังเข้ามาถึงอยู่นี้ คลื่นความถี่ของมัน
    มีระดับความสั่นสะเทือนอยู่ในช่วงของ "ความรัก" และความดีงามทั้งหลาย
    ฟังแล้วอาจจะงง ก็เหมือนช่วงความถี่ของคลื่นแสงหนะแหละ ไล่ไปจาก
    สีแดง ส้ม เหลือง เขียว ฟ้า คราม ม่วง ก็จะมีช่วงคลื่นที่แตกต่างกัน

    ...ความรัก ความเมตตา..เป็นสภาวะของคลื่นความสั่นสะเทือนของจิต
    ที่มีระดับความถี่สูงที่สุด ละเอียดอ่อนที่สุด..

    ..ความกลัว..เป็นสภาวะของคลื่นความสั่นสะเทือนของจิต
    ที่มีระดับความถี่ต่ำที่สุด หยาบที่สุด (หนักกว่าความเกลียดอีกนะ)..

    เพราะฉะนั้น..ใคร หรืออะไรก็ตามแต่ที่มีระดับพลังงาน เข้ากันไม่ได้กับ Photon zone นี้
    ก็จะมิอาจอยู่ได้...

    เพราะฉะนั้น..มันจึงกำลังมีปรากฎการณ์ Shock Wave เกิดขึ้นอยู่ทั่วโลกในขณะนี้..

    ปรากฎการณ์ shock wave ที่ผมกล่าวถึงอยู่นี้ คือ การปรากฎหรือเปิดเผยออกมา
    ของสิ่งต่างๆ ที่เป็นความจริงระดับจักรวาล ที่มนุษย์ยอมรับได้ยาก เพราะคุ้นเคยอยู่แต่กับ
    สิ่งเก่าๆ ความเชื่อเก่าๆ ระดับพลังงานเก่าๆ

    UFO โผล่รายวัน, ข้อมูล ความรู้ และอะไรแปลกๆสำหรับมนุษย์ กำลังหลั่งไหลมาสู่มนุษย์
    และโลกใบนี้ จากทั่วจักรวาล มาสู่มนุษย์ ทั่วทุกมุมโลก เกือบจะทุกภาษากระมังนะ ผมว่า
    เพื่อเปิดหู เปิดตา และเปิดใจของมนุษย์ ให้มีโลกทัศน์กว้างขึ้น ให้รู้ความจริงมากขึ้น

    ให้ลด ละ เลิก ความเห็นแก่ตัว ความเข้าใจผิด หลงผิด ว่าร่างกายนี้คือตัวเรา ของเรา
    แล้วหมกมุ่นอยู่แต่กับการหาเลี้ยงมัน กอบโกย และสะสม เพื่อมัน เป็นทาสมัน
    จนไม่ใส่ใจแก่นแท้ของตัวเอง นั่นคือ จิตวิญญาณ จนทำให้ระดับจิตสำนึกโดยรวมของทั้งโลก
    ตกต่ำมากๆ ไม่มีระดับความสั่นสะเทือนของพลังงานสูงมากพอที่จะผ่าน Photon zone นี้ไปได้
    ทำให้สิ่งมีชีวิตจากนอกโลก นอกกาแล็กซี่ นอกจักรวาล รวมถึงในมิติอื่นๆ แห่กันมาเตือน
    แห่กันมาสอน แห่กันมาช่วยเหลือ ทั้งขู่ ทั้งปลอบ ทั้งหลอก ทั้งล่อ
    ทั้งแอบแฝงมาบอก ทั้งมาบอกตรงๆ สารพัดจะช่วย ให้จ้าระหวั่นไปหมด
    เพราะเวลายิ่งผ่านไปนาน ถ้ายังยกระดับจิตกันไม่ได้มากทันการณ์ ก็จะยิ่งล้มตาย
    และเสียหายกันไปมากเท่านั้น

    แต่มนุษย์ก็ยังโง่เขลาเป็นปกติ อย่างที่เคยโง่เขลากันมาแล้ว หลายพันหลายหมื่นปี
    ก็จะมาคร่ำครวญ โวยวายต่อว่า ว่า ถ้าพวกนั้นมาช่วยจริง ทำไมไม่ช่วยให้มันไม่เกิดหละ
    แล้วถ้าพวกเขามีตัวตนอยู่จริง ทำไมหลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมา ไม่เห็นมาช่วยอะไรเลย

    ถูกแล้วครับ ที่ใช้คำว่า "ไม่เห็น" มาช่วยอะไรเลย เพราะคำตอบมันอยู่ที่คำว่า "ไม่เห็น" นี่แหละ
    เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นในจักรวาล ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้อง "ไปรู้" "ไปเห็น" มันได้ทั้งหมด
    เพราะมนุษย์หนะ ไร้ความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้

    ทุกๆความสงสัย และทุกๆคำถาม ที่คุณกำลังอ้าปากจะตามอยู่นี่
    มันมีคำตอบจัดเตรียมขึ้นโต๊ะไว้ให้หมดแล้วหละครับ
    เพียงแต่คุณจะต้องลุกขึ้นออกไปรับประทานมันด้วยตัวคุณเอง
    ไม่ใช่นอนรอให้ใครเอามาป้อนให้ถึงในที่นอน

    มันมีคำอธิบายอีกเยอะมาก..ผมขี้เกียจพิมพ์หนะครับ และผมก็ไม่ได้หวังว่าใครจะต้องมาเชื่อผมด้วยนะ
    เพราะผมบอกแล้วว่าผมแชร์ข้อมูลที่รู้มาให้อ่านกันเท่านั้น

    ข้อมูลที่ผมแปลไว้ให้อ่านแล้ว ถ้ารู้จักขนขวายที่จะรู้ ที่จะเห็น มีอยู่เป็นกระบุงโกยแล้วครับ

    http://palungjit.org/threads/การเตรียมการอพยพมนุษย์โลก-เพื่อช่วยเหลือระหว่างการชำระโลก-ของมิตรจากต่างพิภพ-และข้อมูลอื่นๆจากสาธารณรัฐเช็ก.193101/

    http://www.lemurianconnection.com/en/channeling/photon-belt.htm

    และลอง Search หาคำว่า Photon Zone หรือ Photon Belt ดูกันบ้างนะครับ
    จะได้ข้อมูลอีกมากมายเลยทีเดียว คนทั่วโลก ใครๆเขาก็รู้เรื่องนี้กันทั้งนั้น ยกเว้นคนที่ไม่รู้


    โชคดีนะครับ

    ....................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2009
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    <TABLE class=tborder id=post2197465 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead id=currentPost style="BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px">19-06-2009, 11:58 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #6 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Chayutt<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2197465", true); </SCRIPT>
    ผู้สนับสนุนบริจาค

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Aug 2005
    สถานที่: Vietnam
    อายุ: 37
    ข้อความ: 2,534
    Groans: 39
    Groaned at 9 Times in 6 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 14,344
    ได้รับอนุโมทนา 31,848 ครั้ง ใน 2,690 โพส
    พลังการให้คะแนน: 2211 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2197465 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message --><!-- google_ad_section_start -->ยุค Aquarius และโฟตอนโซน:
    <O:p
    [​IMG]</O:p
    (photon belt-001)<O:p</O:p

    คำบรรยายภาพ:<O:p</O:p
    นอกจากโลกเราจะหมุนรอบตัวเอง โดยใช้เวลาหมุนครบ 1 รอบเท่ากับ 1 วันแล้ว<O:p</O:p
    โลกเรายังโคจรรอบดวงอาทิตย์อีก โดยใช้เวลาโคจรครบ 1 รอบเท่ากับ 1 ปีและ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นอกจากนี้ดวงอาทิตย์และระบบสุริยะจักรวาลของเราเอง <O:p</O:p
    ก็ยังโคจรรอบๆกลุ่มดาวในกาแล็กซี่อยู่อีกด้วย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ซึ่งตรงใจกลางกลุ่มดาวในกาแล็กซี่ทางช้างเผือกของเราที่ว่านี้<O:p</O:p
    (กลุ่มดาวลูกไก่ – Pleiades) จะมีดวงอาทิตย์ที่ชื่อว่า Alcyone อยู่<O:p</O:p
    หรือบางทีเรียกว่าดวงอาทิตย์ศูนย์กลางหรือ Center Sun<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ระบบสุริยะจักรวาลของเราจะใช้เวลาในการโคจรรอบ Alcyone นี้ 26,000 ปี ต่อ 1 รอบ<O:p</O:p
    (บางแหล่งข้อมุลบอกว่า 24,000 ปี ต่อรอบ)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ซึ่งตำแหน่งที่ระบบสุริยะจักรวาลของเราเคลื่อนที่ไปอยู่ในแต่ละช่วงเวลา<O:p</O:p
    จะแทนด้วยยุกต์ของดวงดาวแต่ละดวงตามภาพประกอบ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นอกจากนี้ทั้งระบบของกลุ่มดาวที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ยังโคจรรอบๆกาแล็กซี่ทางช้างเผือกอีก<O:p</O:p
    ซึ่งจะใช้เวลา 225 ล้านปี ในการโคจรครบ 1 รอบ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังเช่นจากภาพนี้ เขาบอกว่า ระบบสุริยะจักรวาลของเรา<O:p</O:p
    จะเข้าไปอยู่ในยุกต์ Aquarius ในปี 2012<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่ในเอกสารที่ผมกำลังแปลให้อ่านอยู่นี้เขาบอกว่า<O:p</O:p
    เข้าไปแล้วตั้งแต่ปี 1998 และเข้าไปอยู่เต็มตัวเมื่อปี 2001<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    <TABLE class=tborder id=post2197469 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead id=currentPost style="BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px">19-06-2009, 12:01 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #7 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Chayutt<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2197469", true); </SCRIPT>
    ผู้สนับสนุนบริจาค

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Aug 2005
    สถานที่: Vietnam
    อายุ: 37
    ข้อความ: 2,534
    Groans: 39
    Groaned at 9 Times in 6 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 14,344
    ได้รับอนุโมทนา 31,848 ครั้ง ใน 2,690 โพส
    พลังการให้คะแนน: 2211 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2197469 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message --><!-- google_ad_section_start -->ยุค Aquarius และโฟตอนโซน (ต่อ):<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    [​IMG]
    (photon belt-002)<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->
    <!-- / message --><!-- attachments --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    <TABLE class=tborder id=post2197473 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead id=currentPost style="BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px">19-06-2009, 12:03 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #8 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Chayutt<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2197473", true); </SCRIPT>
    ผู้สนับสนุนบริจาค

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Aug 2005
    สถานที่: Vietnam
    อายุ: 37
    ข้อความ: 2,534
    Groans: 39
    Groaned at 9 Times in 6 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 14,344
    ได้รับอนุโมทนา 31,848 ครั้ง ใน 2,690 โพส
    พลังการให้คะแนน: 2211 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2197473 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message --><!-- google_ad_section_start -->ยุค Aquarius และโฟตอนโซน (ต่อ):

    <O:p</O:p
    <O:p[​IMG]</O:p
    (photon belt-003)<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายกังวลกันอยู่นั้น
    มันแค่หนึ่งในร้อย หนึ่งในพันของสิ่งที่จะเกิดขึ้น ขี้ประติ๋วมากๆ

    สิ่งที่คนยุคนี้กำลังจะเผชิญอยู่ ก็ไม่ใช่มาจากผลงานของคนยุคก่อนๆอย่างเดียวด้วย

    เพราะถ้ามองเช่นนั้น คือคุณมองด้านกายภาพ เช่น เรื่องโลกร้อน มลภาวะต่างๆเพียงอย่างเดียว

    แต่คุณไม่ได้มองว่า "ทกๆกระแสจิต" "กระแสความคิด" ของมนุษย์เองนั่นแหละคือสาเหตุหลักใหญ่ที่สุด
    บางคนอ่านแล้วอาจจะงง ว่ากระแสจิต และกระแสความคิดมาเกี่ยวอะไรกับภัยพิบัติ

    ขอไม่ตอบในที่นี้นะครับ เพราะมีคนเสริฟขึ้นโต๊ะเอาไว้ให้คุณแล้วมากมายก่ายกอง
    คุณต้องเดินไปตักเอามากินเองนะครับ

    เอ่อ..ยาวไปหน่อยไหม๊เนี่ย...พอดีกว่านะครับ

    .......................
     
  11. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ตื่นตระหนกตกใจเพื่ออะไร
    มนุษย์ไม่สูญพันธุ์หรอกครับ
    โลกจะสิ้นเมื่อกาลกัปป์วินาศ อาทิตย์ระเบิด
    เต็มที่ก็แค่ตายเยอะ

    จักรวาลอื่นก็ยังมีสัตว์ในภพมนุสสภูมิอยู่
    ไม่มีอะไรจำเป็นต้องกังวล

    รูปคือความว่าง ความว่างคือรูป
    รูปไม่ต่างจากความว่าง ความว่างไม่เป็นอื่นไปจากรูป
    เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็เช่นเดียวกัน
     
  12. ratercracker

    ratercracker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +729
    ผมก็คิดเหมือนคุณชัยยุท แหละครับ เป็นการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่สิ้นโลก แต่อาจเปลี่ยนแปลงในระดับที่ใหญ่กว่าที่เคยผ่านมา (สำหรับยุคนี้)
     
  13. nattapong0925

    nattapong0925 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +165
    แล้วผมจะเชื่อใครดีล่ะ..ระหว่าง นักวิทยาศาสตร์ หรือคุณ chayutt ดีล่ะ...แต่ส่วนตัวนะ อยากให้เกิดวันนี้-พรุ่งนี้เร็วๆด้วยซ้ำ.. เบื่อเหลือเกินกับการมีชีวิตที่วุ่นวาย ไม่ประสบความสำเร็จเสียที...เฮ้อ
     
  14. เอก999

    เอก999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +143
    ถึงเราจะเกิดไม่ทันกำเนิดโลก แต่ก็ยังได้เห็นวาระสุดท้ายของมันนี่นา น่าจะดีใจนะ

    ห่วงอย่างเดียว...กลัวจะอยู่ไม่ทันได้เห็นวันโลกแตกก็เท่านั้นแหล่ะ
     
  15. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    นักวิทยาศาสตร์ไม่ใช่พระอริยเจ้าทั้งหมดทุกคน
    แต่รูปธรรมชีวิตต่างมิติที่อยู่มิติสูงๆทั้งหลาย
    อย่างขี้หมูขี้หมาก็โสดาบันขึ้นไปหละครับ (ถ้าเทียบกับทางพุทธเรานะ)
    (อันนี้ทางคุณนีโม่กลุ่มเขากะลาก็เคยกล่าวไว้แบบนี้เหมือนกัน)
    เพราะพวกเขาอยู่แบบไม่มีกายเนื้อแล้ว ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นแล้ว
    ปราศจากความโลภะ โทสะ โมหะแล้ว หรืออย่างน้อยก็เบาบางลง

    การที่เราไม่มีความสุขในชีวิต และไม่ประสบผลสำเร็จแล้วเกิดอาการเบื่อหน่าย
    แล้วอยากให้เกิดเหตุการณ์ชำระล้างโลกไปซะทีให้ตายๆไปให้พ้นๆนั้น
    ก็นับว่ายังสอบตกชั้น ป.ขี้ไก่อยู่เลยนะนั่นหนะ ยังไม่ผ่านชั้นประถมศึกษาเลยด้วยซ้ำไป

    ต้องคิดใหม่ ทำใหม่ครับ ตราบใดที่คุณยังเปลี่ยนมุมมองของชีวิตไม่ได้
    ทำใจให้มีแต่ทัศนคติในแง่บวกไม่ได้ รักตัวเองและผู้อื่นไม่ได้
    นั่นก็ยังสอบตกอยู่ครับ

    แนะนำให้ไปอ่านหนังสือชุดโนวาอนาลัย
    เล่มแรก ชื่อ "ขยายความธรรมชาติของชาติภพ"
    แล้วอะไรๆมันจะกระจ่างขึ้นมาอีกเยอะ และมุมมองของชีวิตจะเปลี่ยนไป
    อันนี้ค่อนข้างรับรองผลนะ เพราะเนื้อหาไม่ได้อิงด้วยศาสนาหรือลัทธิใดๆทั้งสิ้น

    ดาวน์โหลด e-book ไปอ่านได้จากตรงนี้นะครับ

    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>ไฟล์แนบข้อความ</LEGEND><TABLE cellSpacing=3 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>Book1-ขยายความธรรมชาติของาติภพ.doc (1.07 MB, 11 views)</TD></TR></TBODY></TABLE></FIELDSET>

    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->

    ลองชั่งน้ำหนักดูว่าเสียเวลานั่งอ่าน 1 วัน กับทุกข์และสับสนอยู่ต่อไปอีกชั่วชีวิต
    เวลาส่วนไหนที่มากกว่ากัน

    ตัวอย่างหนังสือที่แนะนำมานี้ แค่เพียงส่วนนิดเดียวเท่านั้น อันที่จริงวิธีอื่น
    หนังสืออื่น ฯลฯ ยังมีอีกมากมาย แต่ที่แนะนำไปเพราะคิดว่าง่ายแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2009
  16. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,397
    ค่าพลัง:
    +2,985
    อย่าห่วงอะไรเลย ถ้าตายก็ไม่ใช่เราหรอกที่ตาย .............และไม่ตายคนเดียวแน่นอน
     
  17. nattapong0925

    nattapong0925 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +165
    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ แต่เป็นเพราะโลกใบนี้ ต้องใช้เงินทั้งนั้น พอมีครอบครัว ค่าใช้จ่ายต่างๆ ภาระเรามากขึ้น ทำให้เราต้องดิ้นรน ทุกคนหวังแต่การที่จะประสบความสำเร็จทั้งนั้น แต่ไม่ทุกคนเสมอไปที่จะประสบความสำเร็จ รวมถึงผมด้วย เราเองอยากให้ครอบครัวมีความสุข แต่ก่อนอื่นต้องทำมาหากินเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทอง มาจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องกระทำ ถึงแม้เราจะพยายามเข้าหาทางธรรม เพื่อพยายาม ลด ละ กิเลส แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ค่าครองชีพจะลดลง สรุปยังคงต้องดิ้นรนเหมือนเดิม ถึงทำให้เกิดความเบื่อหน่าย...อยากให้เกิดภัยธรรมชาติรุนแรงเพื่อให้ดับสูญกันไปข้างนึง
     
  18. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    งั้นก็ได้โปรดเสียสละเวลามาอ่านดูอันนี้สักเล็กน้อยเถิดนะครับ
    เพราะผมว่ามันเข้ากับชีวิตคุณมากเลย ก็เพราะว่าคุณยิ่งสับสน
    ยิ่งทุกข์ ยิ่งครุ่นคิด ยิ่งหมกมุ่น และยิ่งจมปลักอยู่กับปัญหานั้นมากเท่าใด
    นั่นก็แปลว่า คุณก็ยัง "ดูรายการดทรทัศนืช่องนั้นอยู่ตลอดเวลา"

    ทำให้รายการของช่องอื่น คุณไม่มีโอกาสได้ดูเลย
    มันเป็นกฎของจักรวาลที่ว่า...

    "จิตวิญญาณจดจ่ออยู่กับสิ่งใด ก็จะได้สิ่งนั้น ไม่มีอย่างอื่น"

    ............................................

    ความลับของโรงเรียนโบราณแห่งการรู้แจ้ง<O:p</O:p

    ต้นฉบับภาคภาษาอังกฤษ โดย : avatar_boy
    แปลภาคภาษาไทย โดย : Chayutt และ ผองเพื่อนจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์
    ที่มา : http://palungjit.org/showthread.php?t=133683<O:p</O:p

    .....................................................................................

    ตอนที่ 6 : ความลับของภูมิปัญญาโบราณแห่งความมั่งคั่ง เงินทอง และความสมบูรณ์พูลสุข
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    ท่านผู้อ่านบางท่าน อาจจะทราบด้วยสัญญชาตญาณแล้วว่า มาถึงตอนนี้ ผมกำลังทำภาระกิจในการให้ความช่วยเหลือท่านอยู่<O:p</O:p
    ถ้าพูดกันตรงๆแล้ว เงินเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญมากสำหรับมนุษย์เพื่อความอยู่รอดของกายเนื้อ แม้ว่ากายเนื้อนี้จะเป็นเพียงมายาหรือเครื่องยนต์แห่งกรรมก็ตาม แต่ถ้าหากเราไม่สามารถมีชีวิตรอดเพราะไม่มีเงิน หรือไม่มีพลังอำนาจพิเศษที่จะดลบันดานให้เงินหรือสิ่งของต่างๆออกมาจากอากาศได้ เราก็คงไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยผาสุก<O:p</O:p
    นอกเสียจากว่าคุณจะเกิดในตระกูลที่มั่งคั่ง หรือมีอนาคตังสญาณ หรือบวชเป็นพระซึ่งไม่ต้องกังวลเรื่องการอยู่การกินในแต่ละวันนัก
    <O:p</O:p
    แต่ถ้าคุณเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญที่มีภาระหนี้สินรุงรัง คุณก็คงจะไม่มีเวลา หรือมีความสงบในจิตใจมากพอที่จะปฏิบัติจิตของคุณได้ เพราะคุณจะมัวแต่กังวลเรื่องสถานการณ์ทางการเงินของคุณ แต่ถ้าคุณมีเงินมากพอที่จะจับจ่ายใช้สอยสิ่งที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของคุณ คุณก็สามารถที่จะมีความสงบในใจของคุณ และคุณก็จะสามารถอุทิศเวลาและพลังส่วนใหญ่ของคุณให้กับการปฏิบัติจิตโดยปราศจากความกังวลใดๆ
    <O:p</O:p
    ด้วยเหตุนี้ ผมจึงอยากจะขอแบ่งปันความลับเล็กๆน้อยๆของความมั่งคั่งให้แก่ผู้ที่ต้องการมันหรือกำลังดิ้นรนต่อสู้อยู่กับปัญหาของการประคองชีวิตให้รอดไปวันวันหนึ่ง
    <O:p</O:p
    ความลับที่ว่านี้คือ “โลกที่เราอยู่ทุกวันนี้มันเป็นเพียงมายา!” โลกทั้งโลกถูกโปรแกรมขึ้นมา! โลกนี้อาจจะดูเหมือนกับว่ามันเป็นวัตถุธาตุ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย! มันมีโครงข่ายลึกลับที่ซ่อนเร้นอยู่บางอย่างคอยควบคุมโลกนี้อยู่<O:p</O:p
    เมื่อเราหลงคิดไปว่า เราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาๆและมีความยึดติดอย่างเหนียวแน่นอยู่กับกายเนื้อนี้ เราจึงคิดว่าเราต้องทำงานหนักๆด้วยกายเนื้อนี้ และต้องทุ่มเทเวลาให้กับการทำงานมากๆ เพื่อที่จะได้เงินมามากๆด้วย นั่นเป็นการตระหนักรู้ที่จำกัดอย่างมากของเรา<O:p</O:p
    ผมขออธิบายให้คุณเข้าใจใหม่ว่า เอกภพทั้งเอกภพนี้มันเป็นเหมือนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือเหมือนรายการทีวี สมมุติว่าช่อง 3 คือช่องช่องสำหรับรายการแห่งความยากจน แต่ช่อง 5 เป็นรายการสำหรับความร่ำรวย ดังนั้น ทุกๆครั้งที่คุณเปิดดูช่อง 3 คุณก็จะพบแต่รายการและฉากละครที่เกี่ยวข้องแต่กับความยากจน แต่ทุกๆครั้งที่คุณเปิดดูช่อง 5 คุณก็จะพบแต่รายการและฉากละครที่เกี่ยวข้องแต่กับความร่ำรวย แล้วชีวิตของคุณจะเป็นอย่างไร ถ้าคุณเอาแต่เปิดดูช่อง 3 อยู่ตลอด ประสบการณ์ในชีวิตของคุณก็จะพบเจอแต่คำว่า “เงินไม่พอ” หรือ “ยากจน” แม้ว่าความปรารถนาจริงๆของคุณคืออยากดูช่อง 5 เพื่อที่จะได้เห็นได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องราวของความมั่งคั่งร่ำรวยบ้างก็ตาม
    <O:p</O:p
    ถ้าตอนนี้ชีวิตของคุณอยู่ที่ช่อง 3 (ช่องแห่งความยากจน) และต้องการจะไปอยู่ในช่อง 5 (ช่องแห่งความร่ำรวย) คุณรู้ไหม๊ว่าคุณควรจะทำอย่างไร??? คุณก็ต้องเปลี่ยนช่องใหม่ ใช่หรือเปล่าครับ? ถ้าคุณไม่ยอมเปลี่ยนช่องใหม่จากช่อง 3 ไปช่อง 5 แต่คุณเอาแต่ทำงานหนักและใช้ความพยายามอย่างเหนื่อยยากเพื่อให้ไปถึงช่อง 5 อะไรจะเกิดขึ้น คุณอาจจะจบลงด้วยการเหนื่อยเปล่า โดยไม่ได้เห็นช่อง 5 เลย ใช่ไหมครับ?? ก็ในเมื่อคุณยังอยู่ที่ช่อง 3 โดยไม่ยอมเปลี่ยนช่องไปช่อง 5 คุณก็จะไม่มีวันได้ดูรายการต่างๆที่เกี่ยวกับความมั่งคั่งร่ำรวยในช่อง 5 ได้เลย ไม่ว่าคุณจะทำงานเหนื่อยยากมากแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายคุณก็จะพบว่ามันสูญเปล่า<O:p</O:p
    ดังนั้นทางเดียวที่เปลี่ยนช่องหรือประสบการณ์ชีวิต คือ เราต้องเปลี่ยนช่องชีวิตเรา ในกรณีนี้เราต้องเปลี่ยนช่องจากช่อง 3 ไปเป็นช่อง 5 แล้วเราจะทำได้อย่างไร? ก็โดยใช้ใจของเรานี่เอง!!! ใจของคุณต้องคิดถึงความมั่งคั่งร่ำรวย ต้องรู้สึกถึงความมั่งคั่งร่ำรวย และต้องกระทำแบบมั่งคั่งร่ำรวย และต้องจินตนาการถึงและพูดถึงความมั่งคั่งร่ำรวยอยู่เนืองนิตย์ จนกว่าคุณจะมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นแล้วว่าคุณพร้อมที่จะรวยแล้ว นั่นแสดงว่าคุณได้เปลี่ยนช่องชีวิตของคุณเรียบร้อยแล้ว จากนั้นโอกาสต่างๆที่จะทำให้ร่ำรวยจริงๆจะเปิดเผยออกมาเรื่อยๆ และผู้คนจะเข้ามาช่วยเหลือคุณให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น หรือไม่ก็คุณอาจจะพบช่องทางอะไรใหม่ๆที่จะนำพาคุณไปสู่ประสบการณ์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวยของคุณเองก็ได้
    <O:p</O:p
    นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนสองคนที่อาศัยอยู่ในที่เดียวกัน แต่คนหนึ่งพบแต่ความโชคดี พบแต่ความร่ำรวย และสมปรารถนาทุกอย่าง แต่อีกคนหนึ่งกลับพบแต่ความยากจน และความโชคร้าย เพราะว่าแต่ละคนอาศัยอยู่ในเอกภพแห่งภาวะจิตใจที่แตกต่างกัน แม้ว่าในทางกายภาพแล้วพวกเขาจะอาศัยอยู่ในที่เดียวกันก็ตาม
    <O:p</O:p
    คนที่มีจิตใจอยู่ใน”ช่องแห่งความมั่งคั่ง” ก็จะพบแต่ความร่ำรวย พบโอกาสดีๆต่างๆที่จะทำให้ร่ำรวย และเขาก็จะอยู่ในกระแสแห่งความร่ำรวยเสมอ แต่สำหรับอีกคนหนึ่งที่สภาวะจิตใจเขาอยู่ใน”ช่องแห่งความยากจน” เขาก็จะพบเจอแต่ความอดอยากและขาดแคลน และโอกาสดีๆต่างๆก็จะถูกขัดขวางไว้ไม่ให้เข้ามาในกระแสชีวิตของเขาได้ ผู้คนต่างๆที่เขาพบก็จะคอยขัดขวางโอกาสดีๆของเขาด้วย เพราะว่าเขาอยู่ใน”ช่องแห่งความยากจน” แม้ว่าเขาจะเห็นโอกาสดีๆนั้นก็ตาม แต่โครงข่ายมหรรศจรรย์ก็จะคอยขัดขวางและป้องกันไม่ให้โอกาสดีๆนั้นเข้ามาในชีวิตของเขาด้วย ดังนั้นคนรวยที่อยู่ในช่องแห่งความมั่งคั่งอยู่ตลอดเวลา ก็จะยิ่งรวยขึ้นๆและโชคดีมากขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนคนที่จนอยู่แล้วและอยู่ในช่องแห่งความยากจน ก็มีแต่จะจนลงๆและโชคร้ายมากขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกัน
    <O:p</O:p
    ความลับอย่างแรกก็คือ เราแต่ละคนอาศัยอยู่ในเอกภพแห่งจิตใจที่แตกต่างกัน เพราะว่าคนเรามีความคิดไม่เหมือนกัน แม้แต่ตัวเราเองก็เถอะ ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เรายังคิดไม่เหมือนเดิมเลย เช่นในช่วงที่เรากำลังมีความรัก เราก็จะมองเห็นว่าโลกนี้สดใสและงดงามกว่าปกติ แต่ในช่วงเวลาที่เราโศกเศร้า เสียใจ หรือกำลังโกรธ เราจะมองเห็นชีวิตและโลกนี้ไม่ดีไม่งามไปซะหมด เป็นต้น ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องของ “จิตใจ” “พลังงาน” “คลื่นความถี่” “ความสั่นสะเทือน” และโลกทั้งโลกที่เราเห็นอยู่นี้มันคือฉากละครฉากหนึ่งเท่านั้นเอง แม้ว่ามันจะดูราวกับว่ามันเป็นจริงเป็นจังมากๆก็ตาม เหมือนอย่างที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “โลกนี้คือมายา” ทางที่จะชนะโลกนี้ได้คือต้องเข้าใจความเป็นจริงเกี่ยวกับมันที่ว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจ
    <O:p</O:p
    ความลับอันที่สองคือ”การให้” เพราะเมื่อเราให้เงินของเราแก่ผู้อื่นโดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทนเลย เราจะรู้สึกว่ามีความสุข สงบ และรู้สึกรวยขึ้นในใจของเราและในพลังงานของเรา และใจของเราก็จะเปลี่ยนช่องจากช่อง 3 (ช่องแห่งความยากจน) ไปสู่ช่อง 5 (ช่องแห่งความมั่งคั่ง) โดยอัตโนมัติ
    <O:p</O:p
    ความลับอย่างที่สามคือ การรู้จักที่จะเรียนรู้ที่จะมีสติอยู่ในปัจจุบันขณะ และรู้จักมีความสุขและพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ไม่ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ไม่ต้องกังวลหรือสนใจกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่ขอให้ดำรงสติให้อยู่กับปัจจุบันขณะให้ได้ตลอดเวลา ยิ่งคนยิ่งทำแบบนี้มากเท่าไหร่คุณก็จะยิ่งจดจ่ออยู่กับที่นี่ เดี๋ยวนี้ และกับเงินที่คุณมีอยู่เล็กน้อยนี้มากเท่านั้น ใจของคุณก็จะเปลี่ยนช่องไปจากช่อง 3 (ช่องแห่งความยากจน) ไปสู่ช่อง 5 (ช่องแห่งความมั่งคั่ง) โดยอัตโนมัติ
    <O:p</O:p
    ความลับอย่างที่สี คือ ความรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณในสิ่งที่คุณมีอยู่ไม่ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตามที แม้ว่าคุณจะมีเงินอยู่แค่ 1 ดอลล่าร์ก็ตาม แต่คุณต้องเรียนรู้ที่จะเอ่ยคำขอบคุณและรู้สึกซาบซึ้งในความโชคดีของคุณ และเมื่อคุณมีความซาบซึ้งและพึงพอใจกับเงิน 1 ดอลล่าร์ของคุณมากเท่าใด ใจของคุณก็จะยิ่งจดจ่ออยู่กับเงินนั้นมากเท่านั้นด้วย จากนั้นใจของคุณก็จะเปลี่ยนช่องไปจากช่อง 3 (ช่องแห่งความยากจน) ไปสู่ช่อง 5 (ช่องแห่งความมั่งคั่ง) อย่างเป็นธรรมชาติ
    <O:p</O:p
    ความลับข้อสุดท้ายก็คือ การเรียนรู้ที่จะมีความสุข ความพึงพอใจและความสงบ เอกภพของเราทั้งหมดเกิดจากพลังงาน คลื่นความถี่ และการสั่นสะเทือน ยิ่งเรามีความสุขความสงบภายในจิตใจเรามากเท่าใด เราก็จะยิ่งมีความโชคดีมากเท่านั้น จากนั้นใจของคุณก็จะเปลี่ยนช่องไปจากช่อง 3 (ช่องแห่งความยากจน) ไปสู่ช่อง 5 (ช่องแห่งความมั่งคั่ง) อย่างสมบูรณ์แบบ
    <O:p</O:p
    เมื่อคุณเข้าใจความลับเล็กๆน้อยๆเหล่านี้และนำไปปฏิบัติแล้ว ใจของคุณก็จะเปลี่ยนช่องไปจากช่อง 3 (ช่องแห่งความยากจน) ไปสู่ช่อง 5 (ช่องแห่งความมั่งคั่ง) และคุณก็จะไม่จำเป็นต้องกังวลหรือใส่ใจกับปัญหาทางการเงินของคุณมากนัก ดังนั้นคุณก็จะมีเวลาเอาไปทำอย่างอื่นหรือเอามาอุทิศให้กับงานปฏิบัติจิตของคุณ หรืออะไรก็ตามที่คุณคิดว่ามันทำให้คุณสงบและมีความสุขมากขึ้นได้ โชคดีครับ!<O:p</O:p

    .....................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2009
  19. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ถ้าอ่านแล้วเห้นว่ามีเค้าอยู่บ้าง
    ก็ไปอ่านต่อได้ที่นี่นะครับ

    http://palungjit.org/threads/การเตรียมการอพยพมนุษย์โลก-เพื่อช่วยเหลือระหว่างการชำระโลก-ของมิตรจากต่างพิภพ-และข้อมูลอื่นๆจากสาธารณรัฐเช็ก.193101/page-22

    โพสต์ที่ 428 เป็นต้นไป


    ถ้าเห็นว่าไร้สาระ ก็แล้วไป ตัวใครตัวมัน

    ส่วนอันนี้แถมให้ครับ..(แต่อย่าไปยึดติดกับคำว่าพระเจ้านะครับ
    เอาออกไปจากหัวซะให้หมด แล้วเพ่งดูที่เอหาสาระอย่างเดียว)

    ...............................................................................................

    ที่มา: http://palungjit.org/threads/การเตรียมการอพยพมนุษย์โลก-เพื่อช่วยเหลือระหว่างการชำระโลก-ของมิตรจากต่างพิภพ-และข้อมูลอื่นๆจากสาธารณรัฐเช็ก.193101/page-29

    โพสต์ที่ 563 - 564

    .................................................................................................

    คู่ที่แตกต่างกันทางจิตวิญญาณ.<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:pนี่คือคู่เหมือนที่ต่างกันทางจิตวิญญาณ นี่คือความลึกลับทางจิตวิญญาณที่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้มีเพียงผู้ที่มีจิตใจสูงส่งเท่านั้นที่เข้าใจมันได้ ที่ฉันเปิดเผยให้เธอรู้มานี่ ฉันได้ใช้วิธีที่เข้าใจได้ง่ายๆแล้วนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในหนังสือเล่มที่หนึ่ง และสัจธรรมขั้นพื้นฐานอันนี้เธอจะต้องเข้าใจนะ เธอจะต้องรู้ให้ลึกซึ้ง ถ้าเธอสามารถรู้และเข้าใจมันได้แล้วความจริงที่สูงส่งยิ่งกว่านี้เรื่องอื่นๆก็จะตามมา ที่นี่ ในหนังสือเล่มที่สาม เล่มนี้
    <O:p</O:p
    ตอนนี้ขอให้ฉันพูดถึงมันสักเล็กน้อยก่อนดีไหม๊ เพราะว่ามันมีคำตอบที่จะตอบคำถามส่วนที่สองของเธอได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นีล: ผมก็หวังว่าเราจะย้อนกลับไปสู่ประเด็นคำถามนั้นเหมือนกันครับ ที่ว่าพ่อแม่ที่มีความรักต่อลูกควรทำอย่างไร ถ้าสิ่งที่ต้องพูดและทำเพื่อให้ลูกได้ในสิ่งที่ดีที่สุด แต่พ่อแม่จำเป็นต้องฝืนความต้องการของลูกไม่ให้ลูกทำตามที่ลูกต้องการ หรือว่าพ่อแม่ควรจะแสดงความรักที่แท้จริงที่สุดต่อลูก โดยการปล่อยให้ลูกเล่นอยู่กลางถนนแบบนั้นดีครับ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระเจ้า : นี่เป็นคำถามที่ดีมากเลย และมันก็เป็นคำถามที่พ่อแม่ทุกคนมักจะถามกันตั้งแต่เริ่มเป็นพ่อเป็นแม่โน่นแล้วหละ แม้ว่าคำถามอาจจะออกมาในรูปแบบอื่นๆก็ตาม และคำตอบสำหรับเธอในฐานะผู้เป็นพ่อเป็นแม่ก็เหมือนกับคำตอบของฉันในฐานะพระเจ้า<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นีล: แล้วคำตอบมันคืออะไรหละครับ?<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระเจ้า : อดทนไว้ก่อน ลูกรัก อดทนไว้ “สิ่งดีๆทั้งหลายมักจะบังเกิดกับผู้ที่รอคอย” เธอไม่เคยได้ยินคำพูดนี้บ้างเลยเหรอ?<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นีล: มันก็ใช่ครับ คุณพ่อของผมก็เคยพูดแบบนี้ แต่ผมเกลียดมันชะมัดเลย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระเจ้า : ฉันเข้าใจ แต่เธอก็ต้องอดทนไว้ โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่เธอเลือกไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดว่าเธอต้องการ คำตอบของคำถามส่วนที่สองของเธอ ก็คือ
    <O:p</O:p
    เมื่อเธอบอกว่าเธอต้องการคำตอบ แต่เธอไม่ได้เลือกมัน เธอก็รู้ว่าเธอไม่ได้เลือกมัน เพราะว่าเธอไม่เคยมีประสบการณ์ของการได้คำตอบนั้น ในความเป็นจริงแล้ว เธอมีคำตอบแล้ว และก็มีอยู่ตลอดเวลาซะด้วย เพียงแต่เธอไม่ได้เลือกมันเฉยๆเท่านั้นเอง เธอเลือกที่จะเชื่อว่าเธอยังไม่ได้รับคำตอบ เธอจึงยังไม่ได้รับคำตอบยังไงหละ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นีล: ใช่ครับ ท่านได้พูดถึงเรื่องนี้มาแล้วในหนังสือเล่มที่หนึ่ง ผมจะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเลือกที่จะมีในตอนนี้ รวมถึงรื่องความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับพระเจ้าด้วย ผมจะยังไม่มีประสบการณ์ของการมีมัน จนกระทั่งผมรับรู้ว่าผมมีมันแล้วซะก่อน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระเจ้า : ถูกเผ็งเลย! เธอพูดได้เยี่ยมมาก<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นีล: แต่ผมจะรู้ได้อย่างไรว่าผมมีมันแล้ว ถ้าผมไม่เคยมีประสบการณ์ว่าผมมีมันแล้ว ผมจะรู้อะไรที่ผมยังไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับมันได้อย่างไร ผู้ที่มีจิตใจสูงส่งท่านหนึ่งไม่ได้พูดหรอกเหรอว่า “ทุกการรับรู้คือประสบการณ์”<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระเจ้า : เขาพูดผิด การรับรู้ไม่ได้ตามหลังประสบการณ์ แต่การรับรู้มาก่อนประสบการณ์ ในกรณีนี้ผู้คนครึ่งโลกเข้าใจสลับกัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นีล: เพราะฉะนั้น..ความหมายของท่านคือ ผมมีคำตอบของคำถามช่วงที่สองของผมแล้วอย่างนั้นหรือครับ นี่ผมยังไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระเจ้า : แน่นอนสิ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นีล: เพราะฉะนั้น ถ้าผมยังไม่รับรู้ว่าผมได้คำตอบแล้ว ก็แปลว่าผมยังไม่ได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระเจ้า : นั่นเป็นคำพูดที่ดูเหมือนขัดแย้งกัน..แต่ก็ใช่<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นีล: ผมไม่เข้า..นอกจากว่าผมจะเข้าใจ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระเจ้า : จริงแท้แน่นอน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นีล: เพราะฉะนั้นผมจะไปถึงจุดที่ ”รับรู้ในสิ่งที่ผมรู้” อะไรเหล่านั้นได้อย่างไร ถ้าผมยังไม่ “รับรู้ในสิ่งที่ผมรู้” <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระเจ้า : เพื่อที่จะ “รับรู้ในสิ่งที่เธอรู้” ก็คือทำเหมือนกับว่าเธอรู้แล้วสิ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นีล: เกี่ยวกับเรื่องนี้ท่านก็ได้พูดเอาไว้แล้ว ในเล่มที่ 1<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระเจ้า : ใช่, และฉันก็คิดว่าการเริ่มเรื่องที่ดีในตอนนี้ ก็น่าจะเป็นการพูดถึงสิ่งที่เคยสอนไปแล้วก่อนหน้านี้ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง เพราะเธอก็เพิ่งถามคำถามนี้กับฉันไปหยกๆ ฉันขออธิบายสรุปแบบย่อๆเกี่ยวกับสิ่งที่เราได้คุยกันไปแล้วก่อนหน้านี้ ให้ละเอียดขึ้นอีกสักหน่อย ตั้งแต่ตอนต้นๆของหนังสือเล่มนี้เลยดีกว่า<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ในหนังสือเล่มที่หนึ่ง เราได้พูดถึงรูปแบบของการ “เป็น - ทำ – มี” กันไปแล้ว รวมถึงว่าคนส่วนใหญ่ใช้มันในทางกลับกันอย่างไร<O:p</O:p
    คนส่วนใหญ่เชื่อว่าถ้าพวกเขา “มี” อะไรสักอย่าง (เช่น มีเวลา,เงิน,ความรัก หรืออะไรก็ตามแต่มากขึ้น) พวกเขาจึงจะ “ทำ” สิ่งนั้นๆได้ (เช่น เขียนหนังสือ,ทำงานอดิเรก,ไปเที่ยว,ซื้อบ้าน,มีสัมพันธภาพ) ซึ่งนั่นจึงจะทำให้พวกเขา “เป็น” สิ่งนั้นๆได้ (เช่น ความสุข, ความสงบ, ความเพียงพอ,หรือความรัก เป็นต้น)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แท้ที่จริงแล้ว พวกเขาใช้มันกลับทิศทางกัน เพราะความเป็นจริงของเอกภพนี้ (ซึ่งตรงกันข้ามกับแบบที่เธอคิดว่ามันเป็น) “การมี” ไม่ได้ก่อให้เกิด “การเป็น” แต่อย่างใดเลย แต่เป็นอย่างอื่นต่างหาก
    <O:p</O:p
    ตอนแรกเธอต้อง “เป็น” สิ่งที่เรียกว่า “ความสุข” (หรือ “ความรู้” หรือ “ความเฉลียวฉลาด” หรือ “ความเห็นอกเห็นใจ” หรืออะไรก็ตามแต่) ก่อน จากนั้นเธอจึงจะ “ทำ” สิ่งนั้นๆจากความเป็นนั้นๆของเธอ แล้วในไม่ช้าเธอจะพบว่าสิ่งที่เธอกำลังกระทำอยู่นั้น จะเหนี่ยวนำเอาสิ่งที่เธอต้องการจะ “มี” นั้นๆมาสู่เธอ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    วิธีที่จะขับเคลื่อนขบวนการสรรค์สร้างนี้ (จริงๆแล้วมันก็คือ “ขบวนการแห่งการสร้างสรรค์”) ก็คือการมองหาสิ่งที่เธอต้องการจะ “มี” แล้วถามตัวเองว่า เธอน่าจะ “เป็น” อย่างไรถ้าเธอ “มี” สิ่งนั้นๆแล้ว จากนั้นเธอก็เดินหน้าเพื่อให้ ”เป็น” สิ่งนั้นๆ
    <O:p</O:p
    แต่ด้วยความเข้าใจผิด เธอจึงได้กระทำสวนทิศทางของกระบวนการแห่งการสร้างสรรค์ของเอกภพ “เป็น – ทำ – มี” ที่แท้จริงนี้มาโดยตลอด แล้วเธอก็ได้กำหนดให้มันเป็นทิศทางที่ถูกต้องสำหรับเธอไปแล้ว และก็ใช้งานมันในทิศทางนี้มาตลอด<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    คำอธิบายหลักการของกระบวนการนี้อย่างสั้นๆก็คือ<O:p</O:p
    ในชีวิตเธอ เธอไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย<O:p</O:p
    สิ่งเดียวที่ควรใส่ใจก็คือ เธอกำลังเป็นอย่างไร เพียงเท่านั้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นี่คือหนึ่งในสามข้อความที่ฉันจะลงในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่งในตอนท้ายของบทสนทนาของเรา เอาไว้ปิดท้ายหนังสือเล่มนี้
    <O:p</O:p
    ตอนนี้ เพื่อที่จะทำให้เธอมองเห็นภาพ ลองนึกถึงใครสักคนหนึ่งที่คิดว่าถ้าตัวเองมีเวลา, มีเงิน, หรือได้รับความรักมากขึ้นอีกสักหน่อยแล้ว เขาคงจะมีความสุขมาก<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    N: เขาไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “การไม่มีความสุข” ของตัวเขาเอง ในปัจจุบันขณะนี้กับ “การไม่มีเวลา, ไม่มีเงิน, หรือ ไม่ได้รับความรัก” ตามที่เขาต้องการ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    G: ถูกต้อง หรืออีกนัยหนึ่งคือ คนที่มีความสุขอยู่แล้ว มักจะมีเวลาที่จะทำสิ่งต่างๆที่สำคัญๆ มีเงินใช้เพียงพอต่อความจำเป็น และได้รับความรักอย่างเพียงพอชั่วชีวิตของเขา<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    N: เขาพบว่าเขามีทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการเพื่อที่จะทำให้เขามีความสุข โดยเริ่มที่การเป็นคนที่มีความสุขซะก่อน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    G: แน่นอนสิ การตัดสินใจไว้ล่วงหน้าในสิ่งที่เธอเลือกที่จะเป็น จะนำพาประสบการณ์นั้นมาสู่เธอ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    N: จะเป็นหรือจะไม่เป็น คือประเด็นสำคัญ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    G: ถูกเผ็งเลย ความสุขเป็นสภาวะทางใจอย่างหนึ่ง ซึ่งก็เหมือนกับสภาวะทางใจอื่นๆ ที่สามารถถ่ายทอดตัวมันเองไปเป็นสภาวะทางกายภาพได้<O:p</O:p
    มีคำกล่าวที่น่าสนใจอยู่ว่า
    <O:p</O:p
    “ทุกสภาวะทางจิต สามารถถ่ายทอดตัวมันเองได้”
    <O:p</O:p
    N: แล้วท่านจะสามารถเริ่ม “เป็น” คนที่มีความสุข หรือเป็นอะไรอื่นที่ท่านกำลังต้องการจะเป็น เช่น เป็นคนที่มั่งคั่งมากขึ้น หรือ เป็นคนที่ได้รับความรักมากขึ้น ได้อย่างไร ถ้าท่านยังไม่มีในสิ่งที่ท่านคิดว่าท่านต้องการ เพื่อที่จะให้ได้ “เป็น” แบบนั้นๆ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    G: ทำประหนึ่งว่าเธอเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วเธอจะได้มันมา อะไรที่เธอแสดงออกมาประหนึ่งว่าเธอเป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอก็จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    N: หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ “แสร้งทำมัน จนกว่าจะได้มันมา”<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    G: ใช่ จะว่าอย่างนั้นก็ได้นะ เพียงแต่ว่าเธอไม่สามารถเสแสร้งแบบให้มันเป็นจริงๆได้เท่านั้นเอง การแสดงออกของเธอต้องเป็นการแสดงออกมาจากใจจริง “ทุกอย่างที่เธอทำโดยปราศจากความจริงใจ ผลตอบแทนของการกระทำนั้นๆก็จะสูญสลายไป”<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเพราะฉันจะไม่ให้รางวัลแก่เธอนะ พระเจ้าไม่ให้ “รางวัล” และไม่ “ลงโทษ” ใครอย่างที่เธอรู้ แต่กฎของธรรมชาติต้องการให้ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ประสานเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งการคิด การพูด และการกระทำ เพื่อให้กระบวนการของการสรรสร้างดำเนินไปได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เธอไม่สามารถหลอกลวงจิตใจของเธอเองได้ ถ้าเธอไม่มีความจริงใจ เธอก็จะรู้อยู่แก่ใจของเธอเอง ซึ่งนั่นก็จะเท่ากับว่าเธอเพิ่งปิดโอกาสที่จิตใจของเธอจะสามารถช่วยเหลือเธอในกระบวนการแห่งการสร้างสรรนี้ไป แต่ว่า แน่นอน เธอสามารถสร้างมันขึ้นมาได้โดยปราศจากการช่วยเหลือจากจิตใจของเธอ แต่มันอาจจะยากขึ้นมาอีกโขเลยเท่านั้นเอง.<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เธออาจจะขอให้ร่างกายของเธอทำอะไรสักอย่าง โดยที่จิตใจของเธอไม่ได้เชื่อเช่นนั้นด้วยก็ได้ และถ้าร่างกายของเธอทำมันไปเป็นเวลานานๆแล้ว จิตใจของเธอก็จะเริ่มละทิ้งความคิดดั้งเดิมของมันเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ แล้วสร้างความเชื่อใหม่ขึ้นมาแทนที่ และเมื่อความเชื่อใหม่เกี่ยวกับอะไรบางอย่างนี้ ได้อย่างเกิดขึ้นมาแล้ว เธอก็จะสามารถสร้างสรรค์สิ่งนั้นๆได้ดี เสมือนหนึ่งว่ามันเป็นมุมมองที่ถาวรของตัวเธอไปแล้ว ไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งที่เธอแค่แสร้งทำไปเฉยๆอีกต่อไป<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เมื่อเป็นเช่นนี้อะไรๆมันก็จะยากขึ้น และแม้แต่ตัวอย่างเมื่อสักครู่นี้ การกระทำก็ต้องกระทำออกมาด้วยความจริงใจ ไม่เหมือนกับสิ่งที่เธอสามารถทำได้กับคนอื่นๆ เพราะเธอจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจักรวาลได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงมีความสมดุลที่ละเอียดอ่อนมาก เมื่อร่างกายทำอะไรที่จิตใจไม่เชื่อตาม แต่จิตใจก็จำเป็นต้องใส่ส่วนผสมของความจริงใจเข้าไปให้กับกิจกรรมที่ร่างกายทำเพื่อให้มันทำงานไปได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    N: แล้วจิตใจมันจะสามารถใส่ความจริงใจเข้าไปได้อย่างไรครับ เมื่อมันไม่ได้เชื่อตามสิ่งที่ร่างกายกำลังกระทำอยู่<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    G: ก็โดยการนำเอาส่วนที่บุคคลจะได้รับเพื่อตัวเองออกไปให้แทน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    N: ยังไงเหรอครับ?<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    G: จิตใจอาจจะไม่สามารถเห็นด้วยอย่างจริงใจกับสิ่งที่ร่างกายแสดงออกว่าจะสามารถนำสิ่งที่เธอต้องการมาให้ได้จริงๆ แต่จิตใจมักจะรู้แน่ชัดว่าพระเจ้าจะนำพาสิ่งดีๆไปให้ผู้อื่นผ่านเธอเสมอ เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่เธอเลือกเพื่อตัวเธอเอง จงให้ผู้อื่น<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    N: ท่านช่วยกรุณาพูดซ้ำอีกครั้งหนึ่งได้ไหมครับ?<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    G : แน่นอน ได้สิ
    อะไรก็ตามที่เธอเลือกเพื่อตัวเธอเอง จงให้ผู้อื่น<O:p</O:p
    ถ้าเธอเลือกที่จะมีความสุข จงทำให้ผู้อื่นมีความสุข<O:p</O:p
    ถ้าเธอเลือกที่จะมั่งคั่ง จงทำให้ผู้อื่นมั่งคั่ง<O:p</O:p
    ถ้าเธอเลือกที่จะได้รับความรักมากขึ้นในชีวิตเธอ จงทำให้ผู้อื่นได้รับความรักมากขึ้นในชีวิตของพวกเขา<O:p</O:p
    จงทำเช่นนี้ด้วยความจริงใจ ไม่ใช่เพราะว่าเธอต้องการได้รับมันเอง แต่เพราะว่าเธอต้องการให้ผู้อื่นได้รับมันจริงๆ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอให้ออกไป มันจะย้อนกลับมาหาเธอ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    N: ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้นหละครับ มันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรครับ?<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    G: ยิ่งเธอให้อะไรออกไปมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้เธอมีประสบการณ์ถึงความเป็นผู้ที่มีสิ่งนั้นๆที่จะสามารถให้ผู้อื่นได้ แต่ถ้าเธอไม่เคยให้อะไรใครเลยเธอก็จะไม่มีประสบการณ์ตรงนี้ จิตใจของเธอก็จะก้าวไปสู่ข้อสรุปใหม่และแนวความคิดใหม่เกี่ยวกับตัวเธอเองว่า เธอต้องมีสิ่งนี้ก่อน ไม่เช่นนั้นเธอจะไม่สามารถให้ใครได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ความคิดใหม่นี้ก็จะกลายมาเป็นประสบการณ์ของเธอ เมื่อเธอเริ่มเป็นแบบนั้นแล้ว วันหนึ่งเธอก็จะเริ่มเป็นสิ่งนั้นด้วย เธอได้หมุนฟันเฟืองแห่งการสร้างสรรค์ที่มีพลังอำนาจมากที่สุดในจักรวาลแล้ว นั่นก็คือจิตวิญญาณของเธอเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อะไรก็ตามที่เธอเป็น เธอก็จะสร้างสรรค์สิ่งนั้น วงจรนี้สมบูรณ์แบบ และเธอก็จะสร้างสรรค์สิ่งต่างๆมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆในชีวิตของเธอ และมันจะถูกเนรมิตให้เกิดขึ้นจริงในโลกทางกายภาพของเธอด้วย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นี่คือความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิต มันคือสิ่งที่หนังสือเล่มที่หนึ่งและสองได้บอกเธอไปแล้ว รายละเอียดลึกๆกว่านี้ ได้เขียนไว้ในนั้นแล้ว<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    N: ได้โปรดอธิบายให้ผมเข้าใจได้ไหมครับว่า ทำไมความจริงใจที่จะให้อะไรกับคนอื่นๆ ในสิ่งที่เราเองก็ต้องการอยู่ ถึงได้มีความสำคัญนัก<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    G : ถ้าเธอให้อะไรแก่ผู้อื่น เพื่อเป็นอุบายที่จะให้ได้บางสิ่งบางอย่างกลับมา จิตใจของเธอรู้ดี นั่นคือเธอได้ส่งสัญญาณออกไปให้จิตใจเธอรู้ว่าตอนนี้เธอไม่มีสิ่งนี้อยู่ และก็เพราะว่า เอกภพนี้ไม่ใช่อะไรอื่น แต่มันคือเครื่องถ่ายสำเนาขนาดใหญ่ มันก็จะถ่ายสำเนาความคิดของเธอแปรสภาพออกไปสู่รูปแบบทางกายภาพ ซึ่งก็จะไปเป็นประสบการณ์ของเธอ นั่นคือ เธอจะยังคงมีประสบการณ์ของความ “ไม่มี” อยู่ต่อไป ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ตามแต่<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ยิ่งกว่านั้น นั่นจะเป็นประสบการณ์ของผู้ที่เธอพยายามจะให้อะไรเขาไปด้วย พวกเขาจะมองว่า เธอเพียงแต่ต้องการทำเพื่อที่จะให้ได้อะไรบางอย่างมาเท่านั้นเอง เพราะว่าจริงๆแล้ว เธอไม่มีอะไรที่จะให้ และการให้ของเธอนั้น ก็จะกลายเป็นการกระทำที่สูญเปล่า และถูกตัดสินว่าเป็นการกระทำเพื่อตัวเองทั่วๆไปเท่านั้นเอง

    <O:p</O:pยิ่งเธอไขว่คว้าเพื่อที่จะให้ได้มันมามากเท่าใด เธอก็จะยิ่งผลักมันออกไปไกลมากเท่านั้น

    แต่ถ้าเธอให้อะไรแก่ผู้อื่นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะว่าเธอเห็นว่าพวกเขาต้องการมันจริงๆ ขาดแคลนมันจริงๆ และสมควรที่จะได้มัน เมื่อนั้นเธอจะพบว่า เธอเป็นผู้มีที่จะให้ และนั่นแหละ คือการค้นพบที่ยิ่งใหญ่หละ<O:p</O:p


    ..................................................<!-- google_ad_section_end -->
     
  20. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    เรามานับถอยหลังสู่มิติใหม่ของโลก(ที่ดีกว่า) กันเถอะแทนที่จะเป็น วันสิ้นโลก อะไรพวกนั้น


    อนุตราจารย์ ชิงไห่ และ คุรุ ท่านอื่น บอกว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่บนโลกใบนี้


    ไม่ได้หมายความว่า มันคือวันสิ้นโลกนะ กรุณาทำความเข้าใจด้วยครับ ทุกท่าน ไม่ใช่เชื่อตามๆเขามา เขาว่าอย่างนั้น เขาว่าอย่างนี้

    ปัญญามาคู่กับตนต้องใช้ให้เป็นครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...