วิทยาศาสตร์และศาสนา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย พระเสกสรร, 25 ตุลาคม 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. พระเสกสรร

    พระเสกสรร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +55
    “Science and Religion”
    อัจฉริยะ 2500 ปีที่ผ่านมา
    สรรพสิ่งไม่มีตัวตนมันเป็นของสมมติ แต่มีอยู่จริงทั้งจักรวาล แต่มัน ไม่มีตัวตน
    ถามว่า ถ้าอะตอมแยกได้อีก คือ อิเล็กตรอน โปรตรอน นิวตรอน ..ใน นิวตรอน ก้อแยกไปอีก 3 คือ กลูออน อัปควาก ดาวควาก เมื่อแยกสสารไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุดของ..อะตอม ....คืออะไรระหว่าง...>>>>มีตัวตน กับ ไม่มีตัวตน
    คำตอบ.คือ
    1. อะตอม แยกๆๆๆไปแล้วยังมีเศษ หรือ ชิ้นส่วนเหลืออยู่ แสดงว่าเป็น อัตตา สสารในจักรวาลมีตัวตน
    2. อะตอมแยกๆๆๆไปแล้ว จนไม่มีอะไรเหลืออยู่ แสดงว่าเป็น อนัตตา สรรพสิ่งในจักรวาลไม่มีตัวตนเป็นของว่างเปล่า
    ___________________________
    สสาร คือ ทุกสิ่งทุกอย่างทางด้านกายภาพ(Physical)ทุกๆอย่างในเอกภพ . พหุภพ
    ________________________________________________
    สัพเพ ธัมมา อนัตตา. สรรพสิ่ง(ธรรมชาติ)ทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน พระองค์ตรัสอย่างนั้น
    ศัพท์ว่า ธรรม มาจาก ธร ธาตุ แปลว่า ทรงไว้ , ตั้งอยุ่ ,ดำรงอยุ่ , ฯลฯ
    ธรรม หมายถึงอะไร (ท่านพุทธทาส)
    นัยอันแรก คำว่า “ธรรม” นี้หมายถึง ธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่ ….
    นัยที่ ๒ คำว่า “ธรรม” หมายถึง กฎของธรรมชาติ
    นัยที่ ๓ นั้น คำว่า “ธรรม” หมายถึง หน้าที่ที่มนุษย์จะต้องประพฤติปฏิบัติ ให้ถูกตรงตามกฎของธรรมชาติ

    [​IMG]
    อนุภาคที่เล็กมากที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แฝงเร้นอยุ่ในทุกสรรพสิ่งของธรรมชาติทั้งปวง
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=LJXbprGzAN0&feature=PlayList&p=CF3BF5C9E97B58F7&index=1"]YouTube- 2of5 -- ATOM - Clash of The Titans (Part 01)[/ame]

    ทำไมจึงเรียกว่า สสารพลังงาน ก็เพราะเมื่อเรากล้องซูมส่องดูเข้าไปเราจะเห็น ระยิบระยับ นั้นคืออะภาคอะตอมซึ่งยึดกันไว้ด้วยพลังงาน ดูในคลิบด้านบน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2010
  2. พระเสกสรร

    พระเสกสรร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +55
    พระองค์ตรัสว่า มันเกิดขึ้นมาเองไม่มีคนสร้างมันเป็นธรรมชาติ คือเกิดขึ้นเองด้วยตัวมันเอง มันเป็นของ อาศัยกันเกิดขึ้น ดังนั้น 3 อย่างนี้ อีเล็กตรอน โปรตรอน และ นิวตรอน อาศัยกัน จึงเกิดอะตอมขึ้นมา และอะตอมคือสสาร ที่มีอย่ในทุกสิ่งทุกอย่างไม่เว้นอันใดอันหนึ่ง สิ่งทั้งหมดในจักรวาล
    ........สสารคืออะตอม และ อะตอม อยุ่ในทุกสรรพสิ่ง สรรพสิ่งคือธรรมชาติทั้งปวง ธรรมชาติทั้งปวงเกิดจาการรวมตัวของอะตอมหน่วยเล็กๆ เป้นรูปเป้นร่างต่างๆ
    ........ตัวอย่างเช่น ก้อนหินที่อยุ่บนภูเขา ที่เราทุกท่านทั้งหลายเคยเห้น... ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ก้อนหิน.. มันคือทรายหลายๆ เม็ดรวมตัวกัน และ ทรายที่ว่านั้น ไม่ใช่ทราย .....
    .....แต่มัน คือ อะตอมของธาตุดิน รวมตัวกันจึงเป้นเม็ดทราย และ ทรายหลายๆ เม็ดรวมตัวกันจนกลายเป็นก้อนหิน....
    ....{ทรายอาศัยกันหลายๆ เม็ด ..รวมเป็นก้อน จึงเรียกว่า ก้อนหิน}

    ก้อนหิน ซึ่งก่อตัวขึ้นจากเม็ดทราย กลายเป็น "รูปร่าง"
    พระองค์ตรัสว่า รูปัง อนัตตา สิ่งที่เป็นรูป ไม่มีตัวตน
    (สสารรวมตัวกันกลายเป็นรูปร่าง ที่จริงแล้วมันไม่มี มันหลอกตา)

    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา. ธรรมชาติทั้งปวงไม่มีตัวตน
    สิ่งที่มีอยุ่แล้วตามธรรมชาติ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ความทุกข์ ความทรมาน รส กลิ่น เสียง อื่นๆอีกมากมาย..ที่เกิดขึ้นเอง..ตามธรรมชาติ
    มนุษย์ เป็นผู้ฉลาดสามารถนำวัตถุดิบ ตามธรรมชาติ มาดัดแปลง เช่น อาวุท เครื่องใช้ พาหนะ เหล็ก แร่ ...แต่ถึงกระนั้น สิ่งที่เอามาดัดแปลงนั้น มันก้อไม่เที่ยงแน่นอน (impermanent)
    ...........ธรรมชาติ หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นเอง, สิ่งที่มีอยุ่เอง , สิ่งที่มีมาโดยกำเนิด เช่น เพศ ญ เพค ช สัตว์บก สัตว์ น้ำ อากาศ ฟ้า ดวงดาว พระอาทิตย์ จักรวาล ฯลฯ เป็นต้น...ให้เข้าใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเอง สิ่งที่มีอยุ่แล้วตามธรรมชาติ เป็นของไม่เที่ยงแท้ ไม่มั่นคง ไม่มีตัวตน
    .......พระองค์ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา"ธาตุทั้ง ๔ รวมกันจึงเรียกว่า ร่างกาย(body)...............ร่างกายเป็นธรรมชาติ(natural) นับแต่มารดาตั้งครรภ์ รูปร่างหน้าตา ผิวพรรณา ลักษณะ ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน นั่นคือ ธรรมชาติ (ธรรมชาติ ไม่แน่นอน เว้นแต่การดับสลาย ) เมื่อมีฃีวิตอยุ่ทำไมถึงเรียกว่าร่างกาย แต่เมื่อเอาไปเผาไฟไหม้หมด ทำไมเรียกว่า ขึ้เถากองกระดูก คำว่าร่างกายจะหายไป... (สสารรวมตัวกลายเป็นรูปและสุดท้ายก็สลายไป จึงเรียกว่า อนัตตา ไร้ซึ่งรูปร่าง เพราะธรรมชาติทุกอย่างยอมเปลี่ยนแปลงนั่นเอง กลายสภาพไปเป็นอีกสภาพหนึ่ง)
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=haPbj50LDjs&feature=player_embedded"]YouTube- CheepPaJornLok 13Oct09 3/4 ???? ?.????????[/ame]#

    .......มโนปุพฺพํ คมา ธมฺมา แปลความว่า ธรรมชาติทั้งหลาย มีใจเป้นใหญ่ มีใจเป้นหัวหน้า (เข้าถึงธรรมะด้วยใจ รู้ด้วยใจ สำเร็จที่ใจ)
    (ศาสนาเเห่งปัญญา~The religion of Wisdom)
    ............... มนุษย์ เป็นผู้บัญญติศัพท์เพื่อใช้เรียกเเทนสรรพสิ่ง ด้วย สรรพนาม ที่ใช้เรียก ทั้งนั้น ที่จริงแล้วสรรพสิ่ง มันไม่มีชื่อเรียก มันคือธรรมชาติ มันเป็นของกลางๆ มันเกิดขึ้นมาเอง มันเปลียนเเปลงอย่เสมอ มันเป็นของอาศัยกันและกัน เกิดเป็นรูปลักษณะ สัณฐาน ดำรงอยู่ และสลายไปในที่สุด(เราใช้ศัพท์เรียกสมมติมัน)
    ___________________________________________________________________________

    ดังนั้นคำว่า ปฏิจจสมุปบาท มาจากศัพท์ว่า ปฏิจจ + สํ + อุปปาท
    ปฏิจจ หมายถึง เกี่ยวเนื่องกัน สัมพันธ์กัน
    สํ หมายถึง พร้อมกัน หรือด้วยกัน
    อุปปาท หมายถึง การเกิดขึ้น

    ปฏิจจสมุปบาท จึงหมายถึง สิ่งที่อิงอาศัยกันเกิดขึ้น ได้แก่ ภาวะของสิ่งที่ไม่เป็นอิสระของตนต้องอาศัยกันและกันจึงเกิดขึ้นได้คำที่มีความหมายเช่นเดียวกันนี้ มีอีก ๒ คำคือ ปัจจยาการ และอิทับปัจจยตา
    ……..1.ปัจจยาการ หมายถึงอาการที่สิ่งทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่กันและกัน ซึ่งหมายถึงสิ่งทั้งปวงในโลกนี้ จะเกิดขึ้นเป็นอยู่ ด้วยตนเองโดยปราศจากเหตุปัจจัยไม่ได้ ต้องอิงอาศัยกัน
    ………2.อิทัปปัจจยตา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในธรรมนิยามสูตรว่า ภิกษุทั้งหลาย ตถตา อวตถตา อนัญญถตา นี่คือหลักของอิทัปปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาท
    ___________________________________________________________________________
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2010
  3. พระเสกสรร

    พระเสกสรร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +55
    คำพูดของไอสไตน์ ก่อนเขาเสียชีวิต 1 ปี ตัดมาบางท่อน

    The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend a personal God and avoid dogmas and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things, natural and spiritual, as a meaningful unity. Buddhism answers this description... If there is any religion that would cope with modern scientific needs, it would be Buddhism
    (May 19th, 1939, Albert Einstein’s speech on “Science and Religion” in Princeton, New Jersey, U.S.A.)

    “ศาสนาในอนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบเทววิทยา (คืออ้างเทวดา เป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้นเมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนความสำนึกทางศาสนาที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจ อย่างเป็นหน่วยรวมที่มี ความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้ ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระ พุทธศาสนา”
    science%26religion.jpg
    Albert Einstein
    [​IMG]
    อัฉริยะผู้นี้ คือ ผู้ที่ทำให้สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติ เป็นผู้สร้างระเบิดปรมาณู จากอนุภาคของอะตอม ที่ปลดปลอ่ยพลังงานนิวเคลียบนดวงอาทิตย์ให้เกิดขึ้นบนโลกได้....
    [​IMG]
    การปลดปลอ่ยพลังงานนิวเคลียร์ของอนุภาคอะตอม ที่ถูกใช้โดยฝ่ายพันธมิตรเพื่อยุติสงครามจากการรุกรานของจักรวรรดิ์ญี่ปุ่นและนาซี
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=cKzfbJVXBXM"]YouTube- 3of5 -- ATOM - Clash of The Titans (Part 01)[/ame]
    ………..ย้อนกลับมาดูว่า ไอส์ไตน์ถึงได้กล่าว ถึงพระพุทธศาสนาเพราะมีอะไรบางอย่างที่เขายังไม่รุ้ความจริงในศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้2500กว่าปีมาแล้วแต่เพราะคนสมัยนั้นยังไม่เข้าใจพระองค์จึงสอนแบบใบไม้ในกำมือ (เอาแต่เนื้อไม่เอาน้ำ) ต่อมาสมัยปัจจุบัน ก้าวหน้ากว่าเดิม...วิทยาศาสตร์มาค้นพบทีหลัง

    ทุกอย่างในจักรวาล อาศัยกันเป็นลูกโซ่ ตัวอย่างง่ายๆ เช่น ปลาต้องอาศัยน้ำ นกต้องอาศัยปีกเพื่อจะบิน โลกต้องอาศัยดวงอาทิต ต้นใม้ต้องอาศัยน้ำ สิ่งมีชีวิตอาศัยอาหารเพื่อดำรงอยุ่ และ ฯลฯ

    .............พุดถึงเรื่องธาตุ เช่น ธาตุน้ำ ต้องอาศัยองค์ประกอบ คือ ไฮโตรเจน ไฮโตรเจน อ๊อกซิเจน หรือ H2O ...…ธาตุเหล็ก ต้องอาศัย ฮีเลียม กับ คาร์บอน และ อื่นๆ อีกมากมายที่อาศัยกัน
    เเม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุด ต่างก็อาศัยกันและกัน


    _______________________________________________________________________________
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2010
  4. พระเสกสรร

    พระเสกสรร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +55
    (แทรก)
    เรากินดิน กับ น้ำ ………
    ข้าว..ที่เรากิน คือสิ่งที่สกัดมาจาก ดิน + น้ำ 2อย่างรวมกัน อาศัยกัน เป็นรูปร่าง

    ขนม..ที่เรากินคือ ธาตุดิน = ขนมทำมาจากแป้ง ...แป้งทำมาจากข้าวหรือมัน... ข้าวออกเมล็ดจากต้นข้าว ... ลำต้นช่วยสกัดสสารจากดิน น้ำและปู๋ย...(กลายสภาพจากสสารในดิน มาเป็นเม็ดข้าว)

    สรุป คือเรากินธาตุดิน สิ่งที่มีลักษณะหยาบ คือดิน เมื่อกิน เราจะรุ้สึกได้ด้วยใจ เรารู้รูปร่างลักษณะมัน กินแล้วเรารุ้รสชาติ เรามีจิตใจปรารถนา อยากกินเพราะมันอร่อย เปรียบเทียบระหว่าง ข้าวชั้นเลิศประดับด้วยผักผลไม้ อันหรูหราของมหาเศรษฐี ..กับ.. ข้าวของผู้ยากไร้ที่ไม่ค่อยอร่อยเลย แต่สุดท้าย ข้าว ก้อยังให้พลังงานแก่ร่างกายเท่ากัน ไม่ต่างกันเลย ต่างตรงที่ความสวยงามเท่านั้น

    ร่างกายในคน หรือ สัตว์ ที่เป็น Orcga ที่เกิดขึ้นมา มี ธาตใหญ่ๆ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม
    .........ดิน(ปฐวีธาตุ) คือ เนื้อ กระดูกฯลฯ ลักษณะหยาบๆ เมื่อไม่มีน้ำล่อเลี้ยง
    .........น้ำ(อาโปธาตุ)คือ เลือด น้ำเหลือง น้ำลาย ฯลฯ หรือจะแยกให้ละเอียดทางวิทยาศาสตร์ เช่น ในเม็ดเลือดแดงมี ธาตุเหล็ก อ๊อกซิเจน ฯลฯ ช่วยทำให้ดิน(ร่างกาย)ชุ่มชื่นได้
    .........ไฟ(เตโชธาตุ) คือ อินฟราเรท ความร้อนในร่างกายมีลักษณะอุ่นๆในกาย ทำให้เกิดการขยายตัว และปรับตัวได้ เมื่อร่างกายผิดปกติ เช่นเป็นไข้(หนาว) ทำให้ตัวร้อนมาก เพราะร่างกายปรับอุณหภูมิให้ต้านความหนาวได้
    ........ลม(วาโยธาตุ) คือ ความเย็น ลมหายใจ เมื่อสูดดเข้าไปจะรุ้สึกเย้น ผายออกมาจะร้อนเพราะไปผสมธาตุไฟในตัว..ลมในท้อง ลมในลำไส้
    ............... สรุปคือ ร่างกายของคน หรือสัตว์ เกิดจากการรวมตัว สสารของอะตอม ดังนั้นเราจึงต้องหาสสาร มาเพิ่มเติมอยุ่เสมอ เพื่อให้มันอยุ่ได้นาน เพราะพลังงานถูกใช้ไป ต้องหามาเพิ่มเพื่อทดแทนสิ่งที่เสียไปอยุ่เรื่อยๆ เช่น ต้องกิน ต้องดื่ม แต่สิ่งที่กินเข้าไปนั้น จะไม่ย่อยสลายไปทั้งหมด มันจะอยุ่ในร่างกายบางส่วน มีทั้งดีและร้าย คือ สะสมพลังงานไว้ใช้ยามจำเป็นบ้าง สะสมของเสียอันนำมาซื่งโรคร้ายบ้าง สิ่งที่กินเข้าไปทั้งหมดมันไม่ได้หายไปไหน มันจะอยุ่ในร่างกายและถูกใช้ ...... พระองค์ตรัสว่า “ร่างกายนี้เป็นรังของโรค เป็นที่อยุ่ของสิ่งปฏิกูล” เป้นที่อาศัยของเชื้อโรค ....... ______________________________________________________________________________
    โลกในทางพุทธศาสนามี 2 แบบ
    .....1.โลกโดยอ้อม (โลกคือร่างกาย body) คือ
    ดิน น้ำ ไฟ ลม ฯลฯ(ตัวเราเองนี้) ที่กลาวไว้แล้วข้างต้น.. ที่เรียกว่า โลก เพราะ จิตใจ(mind)ของเราอาศัยโลกคือร่างกาย เป้นบ้านของจิตใจ และ ร่างกายของเราอาศัยโลกโดยตรง คือ (โลก = Earth)อีกทีหนึ่ง
    ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว เราคือ ขยะ ของดวงดาว ที่ระเบิดแล้ว หรือที่ รู้จักกันดีคือ (SuperNova) และเราก่อตัวขึ้นมาอีก จากจุลชีพ(จุลชีพ มาจากพื้นดิน+ชุ่มชื่นด้วยอุณภูมิที่เหมาะสม)-แบคทรีเรีย มาเป็นเซลลื หลายๆ เซลล์ และ โครโมโซม ช และ ญ ในร่างกายเราวิวัฒนาการมาหลายล้านปี จะเห้นได้ว่า ภายในร่างกายของเรา มี ธาตุเหล็ก มี แคลเซียม มีออกซิเจน มีน้ำ โปรตีน ไขมัน น้ำตาล มีธาตุหลายๆ ธาตุภายในร่างกาย สังเกต..นมกล่องบางชนิดที่เรากินมี ระบุไว้ว่า มีเหล็ก แคลเซียม โปรตีน ไขมัน น้ำตาล กี่% ร่างกายของเราต้องการสิ่งเหล่านี้
    .....สรุปคือ ร่างกายก่อตัวขึ้นมาจาก โลก Earthในยุคเริ่มเเรกของสิ่งมีชีวิต และวิวัฒนาการมาและขยายเผาพันธู์ มาเรื่อยๆ
    [​IMG]

    2.โลกโดยตรง (โลก Earth)ธาตุหลักๆ คือ ดิน น้ำ ไฟ(ลาวา) ลม และอื่นๆ อีกมากมายหลายธาตุหลายชนิด ฯลฯเช่น ทองคำ ตะกั่ว โลหะ เหล็ก แร่ต่างๆ ของเหลวต่างๆ ไฟต่างๆ ลมต่างๆ
    โลกนี้ เป้นโลกพื้นดิน ที่เราทุกคนเหยียบอยุ่ ที่ยึดด้วยแรงโน้มถ่วง จากสนามเเม่เหล็กโลก ที่เเกนกลางโลก ธาตุที่หนักจะอยุ่ล่างสุด นั้นคือ แกนโลกประกอบด้วย ตะกั่ว โลหะ เหล็ก มิทิล ลาวา ฯลฯเป็นต้น
    [​IMG]
    ....สรุปแล้ว โลกทั้ง 2 นั้นไม่ต่างกันเลย มี ธาตุบางธาตุเหมือนกันตัวอย่างเช่น ในร่างกาย(Body)มนุษ์และสัตว์มีธาตุไฟ(อินฟราเรท) โลกEarthก็มีธาตุไฟเหมือนกันเช่น ลาวาใต้ผิวโลก เป้นต้น
    .........body กับ Earthลักษณะตรงกัน....เพราะร่างกายเราแตกหน่อ มาจากโลก Earth นั่นเอง ..
    ..........พระองค์ตรัสให้เราพิจารณาร่างกายนี้ก็เพื่อให้เรารู้ทันโลกการเกิดดับของมัน ความแปรปรวน (ความทุกขื ความกลหน)ในโลก เมื่อเห้นธรรมในร่างกาย....เราก็จะเห้นธรรม(ธรรมชาติ)ในโลก
    .........มองทุกอย่างให้เป้นธรรมะ(ธรรมชาติ) เช่น การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ สลายไป คือว่า มนุษย์รึสัตว์เมื่อเกิดขึ้น ก้มีดำรงอยู่ และที่สุดคือตาย ควรมองทุกอย่างให้เป็นธรรมะ ไม่ว่าวัตถุ หรือ สิ่งของ หรือสิ่งมีชีวิต(เพื่อรู้ทันมัน ด้วยสติและปัญญาพินิจวิเคราะเจาะลึก สาวไปถึงสาเหตุ ไปถึงปัจจัย จนถึงผลที่ออกมา)
    ...........วิปัสสนากรรมฐาน มาจากศัพทว่า
    วิ แปลว่า วิเศษ,แจ้ง,ต่าง
    ปัสสนา แปลว่า การเห็น
    กรรมฐาน แปลว่า ฐานเป็นที่กระทำ (กร ธาตุ แปลว่า กระทำ)
    .......เมื่อเราแปลรวมกันจะได้ ฐานเป็นที่กระทำเพื่อการเห็นแจ้ง (ในโลกด้วยปัญญาเห็นธรรม) วิปัสสนานำไปสู่ความหลุดพ้นจาก ...>>โลกทั้งสอง คือ โลกbody กับ โลกEarth.....เรา(จิตใจ)..ติดอยู่ในโลกทั้งสอง.......
    ..........

    โลกที่เห็นในภาพเกิดจากการรวมตัวของอนุภาคอะตอมทั้งสิ้นเป็นด้านวัตถุทางกายภาพ และ ดาวดวงอื่นๆเกิดจากการรวมตัวของสสารต่างๆ โปรดพิจารณาด้วยตัวท่านเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2010
  5. พระเสกสรร

    พระเสกสรร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +55
    (ต่อ)
    อะตอม ต้องอาศัย อิเล็กตรอน โปรตรอน นิวตรอน ฯลฯ ......ทั้งจักรวาลอาศัยกันและกัน
    .......มันเป็น ปฏิจจสมุปบาท คือ สรรพสิ่งอาศัยกันและกัน...เกิดขึ้น ตั้งอยุ่... และดับไป .... เป้นกฏของจักรวาล กฎของธรรมชาติ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และหนีไม่พ้นกฏนี้ จะอยุ่ส่วนไหนของจักรวาล กฏนี้ครอบคุมทุกๆที่ทุกแห่ง แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือจุดจบ รึ ความดับ ความตายนั้นเอง เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน
    ..............1. ไอสไตน์ คือ อัจฉริยะ ผู้หนึ่งที่ได้ค้นพบสัจจธรรม ซึ่งมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ว่า อะตอมต้องอาศัยสสารอื่น คือ อะตอม สามารถแยกออกไปได้อีก(อะตอม=โปรตรอน นิวตรอนอีเล็กตรอน) ซึ่งเขาได้เข้าถึงความจริงของธรรมชาติโดยไม่รู้ตัว ว่านั่นคือธรรมะ
    ........สรรพสิ่งต่างอาศัยกัน แม้แต่หน่วยเล็กที่สุดคืออะตอม ยังต้องอาศัยสสารอย่างอื่น และเขา คือ ผู้ที่ค้นพบธรรมชาติ ว่าอะตอมจะอยู่ตามลำพังไม่ได้ มันต้องอาศัยสสารอย่างอื่นรวมกัน มันจึงมีอะตอมขึ้น ดังนั้นเขาจึงเป็นคนแรกที่สามารถแยก สสารคืออะตอมได้
    (อะตอมยังแยกได้ ๓ อย่าง แล้ว มันจะแยกไปอีกเรื่อยๆ เป็นหมื่น เป็นแสน หน่วยสสาร แล้วที่สุดของสสารอะตอม มันคืออะไร แยกไปจนไม่มีอะไรจะแยก เหมือนกับเรา สับชื้นเนื้อไปเรื่อยๆ จนไม่รุ้จะสับอะไรอีก ดังบทความที่กล่าวมาแล้วว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา แปลความว่า ธรรมทั้งหลายเป็น อนัตตาทุกอย่าง(สสาร)ในจักรวาลเป็นของไม่มีตัวตน
    ธรรมะ คือ สรรพสิ่งในจักรวาล มีอยุ่ทุกที่ ทุกอย่างคือธรรมะ และ มันไม่มีตัวตน มันแค่ประชุมกันขึ้นจากสสารหน่วยเล็กๆ เป็นรูปร่างมาหลอกตาเรา)
    ............2. พูดถึง พระพุทธเจ้าผู้หยั่งรู้ในโลกธาตุ ว่าสิ่งทั้งหลายในจักรวาล (สสาร) เป็นอนัตตา มันประชุมกันขึ้นจากหน่อยเล็กๆ ของสสาร เกิดเป็นรูปร่าง มันเป็นสิ่งที่หลอกล่อใจทำให้เรายึดติด ลุ่มหลง ตัวอย่างเช่น อยากได้ อยากมี อยากเป็น เช่น อยากได้รถ อยากได้บ้าน อยากได้ ที่ดิน อยากได้ของที่สวยๆ อยากได้ธุรกิจใหญ่ อยากได้เงินเยอะๆ อยากได้โน้น อยากได้นี้ๆ ฯลฯ
    ความยากมี อยากเป็น อยากได้ (ตัณหา) ของมนุษย์ ได้ คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา เป็นความอยากที่ไม่รุ้จักจบ เป็นกิเลสที่ทำให้ใจเกิดความพึงพอใจ…

    ...... ……………………………..
    พระองค์ตรัสว่า ถึงรุ้ไป ไม่ได้ทำให้เราหลุดพ้น เป็นเรื่องไม่มีแก่นสาร ..
    คนส่วนมากพูดว่า......พระพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ (ซึ่งบางคนคิดว่าเป็น)
    คำตอบคือ.... ใช่ บางส่วนและไม่ใช่เป็นบางส่วน ....
    พิสูจน์ได้บางส่วน และ พิสูจน์ไม่ได้เป็นบางส่วน
    ..........ในหลักศาสนาบางศาสนา เมื่อก่อนคนเชื่อว่าโลกแบน แต่สุดท้ายวิทยาศาสตร์ก็ค้นหาความจริงจากหลักศาสนา และ ความเชื่อศาสนา ผลลัพภ์ที่ได้คือ โลกไม่ได้แบน แต่โลกมีลักษณะเป้นทรงกลม ซึ่ง กาลิเลโอ เป็นผู้ให้คำตอบด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งใช้หลักความเชื่อทางศาสนาพิสุนจ์ความจริงซึ่อเขาเกือบจะถูกประหารชีวิตเพราะเหตุที่เขาหมิ่นพระเจ้า ไม่เชื่อว่าโลกแบน ดังนั้นเขาจึงได้สร้างกล้องโทรทัศน์ เพื่อสอ่งไปดวงดาวต่างๆ เพื่อทำให้หลุดจากข้อกล่าวหาได้ "ศาสนจักรบอกว่าโลกแบน แต่ข้าฯ เชื่อว่าโลกกลม เพราะข้าเห็นเงาของดวงจันทร์ และข้าเชื่อในดวงจันทร์ยิ่งไปกว่าศาสนจักร"
    …………………………………………………………………………………
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=4XBNOdBnwrI&feature=player_embedded"]YouTube- ???????????? - 4 ??.?.50 (3)[/ame]#
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2010
  6. พระเสกสรร

    พระเสกสรร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +55
    ทาน กับ ศีล นำไปถึง สวรรค์
    ภาวนา นำไปถึง พรหม
    วิปัสสนากัมมัฏฐาน นำไปสู่ ความหลุดพ้น(นิพพาน) (มีทางเดียวเท่านั้น)
    เทวดา คือ ผู้ที่กำลังบริโภคกรรมเก่า ที่ตนได้กระทำมา แต่ไม่มีโอกาสทำบุญเหมือนมนุษย์
    .............. ฉะนั้น เทวดายังอิจฉามนุษย์ เพราะมนุษย์ คือ ผู้ที่สามารถ ทำได้ ทั้งกรรมดี และ กรรมชั่ว ไปได้ทั้ง ทุคติ และ สุคติ และหลุดพ้น ฉะนั้น อย่าพึงคิดว่าเทวดาสูงกว่ามนุษย์ เพราะมนุษย์สามารถทำตนให้ประเสริฐกว่าเทวดาได้ สูงกว่าได้ เช่น มีคุณธรรมสูง จริยธรรมสูง ไปจนถึง ความหลุดพ้น จากวัฏฏะ
    ตัวอย่างเช่น........พระพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนเทวดา ตอบปัญหาของเทวดา ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้า พระองค์เป็นมนุษย์


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=FbkxO-tpzt4&feature=related"]YouTube- ????????? ??????? Buddha Prayer Song[/ame]



    สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย..
    [​IMG]

    ศาสนาที่ไร้วิทยาศาสตร์ - มืดบอดอยู่อย่างนั้น
    วิทยาศาสตร์ที่ไร้ศาสนา – ไม่มีหลักยึด เพื่อพิสูจน์ความจริง


    การถ่ายทอดความรุ้มิจำเป็นต้องใช้ศัพท์ที่ลึกซึ้ง ยาก หรือ ง่ายก็ตาม แต่เป้าหมายคือ ให้คนๆนั้นเข้าใจ เท่านั้นก็พอแล้ว

    โปรดช่วยกันนำสัจจธรรมนี้ไปเผยเเพร่ ช่วยกัน...

    บทความโดย พระเสกสรร นิสิต มจร.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2010
  7. lelane

    lelane สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +5
    นมัสการค่ะ

    บทความยาวมากจริงๆ อ่านแล้วงงเหมือนกันค่ะ
     
  8. chevasit

    chevasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +424
    อนุโทนา สาธุ
    สรรพสิ่ง ทั้งหมด เป็นไปตามกฎ ไตรลักษณ์
    1.อนิจจัง : ไม่เที่ยง หมายถึง ไม่สามารถ ดำรงสภาพเดิมได้ตลอดเวลา เช่น ตัวเรา ทุกๆเสี้ยว น้ำหนักและรูปร่างเปลี่ยนแปลงไปในการหายใจแต่ละครั้ง เพียงแต่เป็นไปในปริมาณที่น้อยมากจนเราไม่รู้สึก แต่เราก็ตระหนักดีว่า ตัวเราในวันนี้ ไม่เหมือนกับ ตัวเราในตอนเด็ก ทั้งๆ ที่เป็นคนๆ เดียวกัน และแน่นอนมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงในชั่วข้ามคืน แต่มันค่อยๆ เปลี่ยนที่ละน้อยๆ ตลอดเวลา ! หรือแม้แต่ หินผา หรือ เหล็กกล้า หรือ จักรวาล ก็ล้วนเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใด คงสภาพเดิมอยู่ได้
    2.ทุกขัง : สรรพสิ่งล้วนไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ต้องอาศัยสิ่งนั้น สิ่งนี้จึงมีๆๆๆ เป็นผลกระทบ คล้ายซี่ลูกล้อรถมอเตอร์ไซค์ ไม่สิ้นสุดมันหมุนไปเรื่อยๆ :ไม่ได้หมายถึง ในด้านกายภาพอย่างเดียว แต่เป็นมิติด้านพลังงานซึ่งเป็นมิติหลักพื้นฐานของสสาร ซึ่งละเอียดหลายระดับ และมีสภาพของสสารทุกชนิดในจักรวาลนี้ ต้องดูดซับและปลดปล่อยพลังงานตลอดเวลาในระดับเฉพาะตัว ทั้งนี้เพื่อการดำรงอยู่ของสังขาร ในระยะเวลาหนึ่งๆ ซึ่งผลของกระบวนการจะกระทบกับ สสารอื่นๆเสมอหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เราอาศัยพลังงานซึงบางอย่างปลดปล่อยออกมา และ สิ่งอื่นอาศัย บางสิ่งที่เราปลดปล่อยออกไป เป็นพลังงาน เพื่อดำรงสังขาร เช่นเรากินข้าว ซึ่งหมายถึงต้องดูดซับพลังงานในสารอาหารคาร์โบไฮเดรตให้ร่างกาย แต่เราก็ต้อง หายใจออกให้ คาร์บอนไดออกไซค์ให้พืช ให้ อุจจาระแก่ พืช จุลินทรีย์ เป็นต้น มันจึงเป็นภาวะที่ จำใจต้องยอมรับ ที่ต้องทำ หากยังปราถนาที่จะมีสังขาร ...ทุกขัง
    3. อนัตตา: ไม่มีตัวตน จริงๆ แล้วที่เรายังรู้สึกว่าสัมผัสสิ่งต่างๆ ได้ ไม่ใช่ว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นมีตัวตน จริง แต่เป็นเพราะว่า ระบบประสาทของเราสัมผัสละเอียดได้แค่นั้น มันไม่อาจสัมผัสได้ถึงความว่างเปล่า ของพลังงานที่ให้กำเนิดอะตอม มันไม่อาจ สัมพัสได้ถึงกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงในอะตอมซึ่งไร้ตัวตน ทำให้เรารู้สึกเหมือนคนตาบอด ที่เวลามีลมพัดมาก็คิดว่ามีเศษผ้านุ่นๆ บางๆ มากระทบร่างกายเป็นต้น
     
  9. บุญหืด

    บุญหืด Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +50
    มนัสการครับ

    ทำไมเทวดาถึงต้องอิจฉามนุษย์ครับก็ในเมื่อบนสวรรค์ก็มีความโลภ โกรธ หลง เหมือนกันเพียงแต่สถานที่ต่างกัน มิติและเวลาต่างกันเทวดาเมื่อหมดบุญก็ลงมาเกิดครับส่วนจะเป็นอะไรก็แล้วแต่กรรมจัดสรรครับ เพราะเทวดาก็ยังไม่ได้นิพพาน ส่วนรายละเอียดอื่นฯท่านอธิบายได้เยี่ยมครับ
     
  10. andente

    andente เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +101
    ทาน กับ ศีล นำไปถึง สวรรค์
    ภาวนา นำไปถึง พรหม
    วิปัสสนากัมมัฏฐาน นำไปสู่ ความหลุดพ้น(นิพพาน) (มีทางเดียวเท่านั้น)

    อนุโมทนา สาธุ ศาสนาพุทธขององค์สมณโคดมเรียบง่ายอย่างประหลาด ซับซ้อนได้น่าอัศจรรย์
    ลึกกว่าระดับอนูแต่ยิ่งใหญ่กว่ามหาจักรวาลทั้งหลาย พร้อมให้พิสูจน์ได้ทุกยุคทุกสมัย
    ที่เหลือก็แค่รอให้วิทยาศาสตร์เข้ามาสำรวจและจำเข้าใจเองว่า วิทยาศาสตร์นั้นเป็นแค่Subset ย่อยๆ
    ในพุทธศาสนาเท่านั้นเอง
     
  11. ต้นไทร

    ต้นไทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +666
    ขอบคุณ ครับ
     
  12. พระเสกสรร

    พระเสกสรร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +55
    ทำไมเทวดาถึงต้องอิจฉามนุษย์ครับก็ในเมื่อบนสวรรค์ก็มีความโลภ โกรธ หลง เหมือนกันเพียงแต่สถานที่ต่างกัน มิติและเวลาต่างกันเทวดาเมื่อหมดบุญก็ลงมาเกิดครับส่วนจะเป็นอะไรก็แล้วแต่กรรมจัดสรรครับ เพราะเทวดาก็ยังไม่ได้นิพพาน ส่วนรายละเอียดอื่นฯท่านอธิบายได้เยี่ยมครับ<!-- google_ad_section_end -->
    ___________________________________________

    ถ้าพูดถึงเรื่องโลกี ....ความโลภ โกธ หลง เทวดาก้อมีเหมือนมนุษย์ เพราะยังไม่หลุดพ้น
    แต่..อาตมาพูดถึงเรื่อง การทำบุญ ต่างๆ
    ...........ตัวอย่างเช่น ท้าวสักกะ หรือ พระอืนทร์ (คนเดียวกัน)แอบมาใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า. เพื่อหวังเพิ่มบุญตัวเอง ให้รัศมีตัวเองเจิดจ้า กว่าเทวดาที่มาบังเกิดใหม่ เพราะ ตัวเองมีรัศมีน้อยกว่า....บนสวรรค์หาโอกาศทำบุญได้ยาก จึงแปลงกายลงมาแอบใส่ บาตร....(ข้าวทิพย์ จากสวรรค์ ฟุ่งหอมไปทั้งเมือง เมื่อท่านเปิดฝาบาตรออก)

    _________________



    อายุ วัณโณ สุขัง พลัง
    "สิ่งที่ปรารถนาจงสำเร็จ"
    เจริญธรรม..



    Wisdom is the light of the world.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2009
  13. Dreamo

    Dreamo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +82
    ศาสนาครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้ ศาสนาที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน ศาสนานั้นคือพระพุทธศาสนา
     
  14. อิทธิปาฏิหาริย์

    อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,834
    ค่าพลัง:
    +1,472
  15. บุญหืด

    บุญหืด Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +50
    เทวดาอิจฉามนุษย์

    ตามที่ท่านได้ชี้แจงมาการทำบุญของพระอินทร์ก็ยังมีโทสะ(อิจฉา)อยู่ส่วนการทำบุญๆคือความสบายใจครับ กุศลคือความดีการทำบุญมีหลายวิธีครับ(บุญกิริยาวัตถุ10)อยู่บนสวรรค์สามารถเลือกทำอย่างไหนก็ได้ระดับพระอินทร์น่าจะทราบดีไม่น่าจะทำอย่างที่ท่านได้แจ้งมา ส่วนที่ได้ศึกษาจากคัมภีร์หรือพระไตรปิฎกๆถูกเขียนขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพานหลายร้อยปีครับโดยอาจารย์รุ่นหลังๆการศึกษาต้องยึดหลัก กาลามาสูตร ครับโดยใช้ ยถาภูตญาณทัสสนะแปลว่าปัญญาซึ่งเข้าใจทุกอย่างอย่างที่มันเป็นตามธรรมชาติครับ การศึกษาพระไตรปิฎกซึ่งมีอยู่ 45 เล่มแยกเป็น พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม ศึกษาไม่หมดหรอกครับ ความรู้ทางพุทธศาสนาเหมือนใบไม้ทั้งป่าแต่หยิบใช้เพียงกำมือเดียว จิตคือพุทธ ครับ
     
  16. คีตราชันย์

    คีตราชันย์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +10
    ทุกศาสนาคือศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธคือทุกศาสนา
    ความว่างไม่ต่างกับความมี ความมีไม่ต่างจากความว่าง
    แก่นแท้พุทธศาสนาคือความมี+ความว่าง
     
  17. พระเสกสรร

    พระเสกสรร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +55
    ตามที่ท่านได้ชี้แจงมาการทำบุญของพระอินทร์ก็ยังมีโทสะ(อิจฉา)อยู่ส่วนการทำบุญๆคือความสบายใจครับ กุศลคือความดีการทำบุญมีหลายวิธีครับ(บุญกิริยาวัตถุ10)อยู่บนสวรรค์สามารถเลือกทำอย่างไหนก็ได้ระดับพระอินทร์น่าจะทราบดีไม่น่าจะทำอย่างที่ท่านได้แจ้งมา ส่วนที่ได้ศึกษาจากคัมภีร์หรือพระไตรปิฎกๆถูกเขียนขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพานหลายร้อยปีครับโดยอาจารย์รุ่นหลังๆการศึกษาต้องยึดหลัก กาลามาสูตร ครับโดยใช้ ยถาภูตญาณทัสสนะแปลว่าปัญญาซึ่งเข้าใจทุกอย่างอย่างที่มันเป็นตามธรรมชาติครับ การศึกษาพระไตรปิฎกซึ่งมีอยู่ 45 เล่มแยกเป็น พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม ศึกษาไม่หมดหรอกครับ ความรู้ทางพุทธศาสนาเหมือนใบไม้ทั้งป่าแต่หยิบใช้เพียงกำมือเดียว จิตคือพุทธ ครับ<!-- google_ad_section_end -->
    ...........................................................................................
    ตัวอย่าง เช่น ตอนที่คุณโยมกรวดน้ำ คุณโยมอุทิศส่วนกุศลให้กับใครบ้างง ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เราไม่รุ้ว่าเขาไปบังเกิดในสุคติ หรือ ทุกคติ (ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจะกินใบบุญของเราอยู่เรื่อยๆ เป้นผู้รับส่วนบุญจากมนุษย์ฝ่ายเดียว)
    .......มีอีกอย่าง คือ พระภูมิเจ้าที่เจ้าทางที่เราบูชาเคารพท่าน คือ เทวดาจำพวกหนึ่ง ที่มาอาศัยในใกล้ชิดเรา เป้นเทวดาระดับ รากหญ้าว่างั้นก็ได้ เทวดาที่อยุ่ตามต้นไม้ เรียกว่า รุกขเทวดา เป้นต้น ท่านเหล่านั้นจะได้รับกุศลที่เราแผ่ไปให้
    (ตามที่เข้าใจในธรรมบท)

    โปรดพิจารณาและชี้เเจงด้วย.. อาตมาผู้มีปัญญาน้อย


    Buddhism's the way to the Enlightenment....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2010
  18. Jobeo

    Jobeo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +59
    อนุโมทนาครับ
    ภาษาไทยจะได้เป็นภาษาสากลในอนาคตกาลด้วยไหมครับ
     
  19. ผู้ไร้ความกังวล

    ผู้ไร้ความกังวล Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +60
    เป็นกระทู้ ที่ ดีมากครับ เป็นความรู้มาก ผมเข้าใจนะ ขอบคุณมากครับ

    นานๆ จะเข้ามาดูที หามาอีกนะครับ แล้วจะติดตามอ่านครับ
     
  20. พระเสกสรร

    พระเสกสรร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +55
    โลกธาตุ ในทางพระพุทธศาสนานั้น มีแสนโกฏิจักรวาลแบ่งเป็นขนาดเล็ก 1 พันจักรวาล (เช่นสุริยจักรวาล) ขนาดกลาง 1 พันจักรวาล (เช่นกาแล็คซี่) ขนาดใหญ่1พันจักรวาล (เอกภพ =1จักรวาลขนาดใหญ่)
    .......เวลาถือกำเนิดจนสิ้นสลายไปของจักรวาลขนาดเล็กเป็น1จุลกัปป์ จักรวาลขนาดเล็กแตก 7 ครั้งในครั้งที่8จักรวาลขนาดกลางจะแตกเรียกมัชฌิมกัปป์ จักรวาลขนาดกลางแตก 7 ครั้งในครั้งที่ 8 จักรวาลขนาดใหญ่จะแตกเรียกมหากัป
    .......จักรวาลขนาดเล็กแตกด้วยธาตุไฟ จักรวาลขนาดกลางแตกด้วยธาตุน้ำ จักรวาลขนาดใหญ่แตกด้วยธาตุลม ในวันสิ้นโลกในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากล่างว่าดวงอาทิตย์จะมีขนาดใหญ่ขึ้น 7 เท่า (ด้วยการเผาพลาญพลังงานอย่ามหาศาลดวงอาทิตย์โตขึ้นและตายไวขึ้นและระเบิดอย่างรุนแรงที่ปลดปล่อยพลังงานนิวเครียร์)หรืออาจมี 7 ดวง(ด้วยแรงดึงดูดเข้าหากัน....ในอนาคตข้างหน้าอีก 1แสนปีแสง แกเเลคซี่แอนโทรเมด้า จะเคลื่อนที่เข้าชน แกคแลคซี่ทางช้างเผือก กลืนกินกัน หรือ รวมกัน เมื่อนั้นสัณนิฐาษว่า อาจจะเกิดความกลหนในหมู่ดาวต่างๆ)
    ........(ในคัมภีร์ สัตต แปลว่า 7 อาจ 7 เท่า หรือ 7 ดวงก็ได้


    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2010
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...