ลุกขึ้นสู้ด้วย“ธรรมะ”ปฏิบัติได้ (ก็) หายป่วย (ใจ)

ในห้อง 'ข่าวทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 28 ตุลาคม 2009.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,487
    ลุกขึ้นสู้ด้วยธรรมะ ปฏิบัติได้ (ก็) หายป่วย (ใจ)

    คอลัมน์ book is catital



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>"คนทุกคนที่เกิดมาล้วนมีปัญหามากมายแต่เมื่อไหร่ที่จิตใจสงบ เป็นสุข มีสติ ปัญหาที่เกิดขึ้นทางกายก็จะไม่ยากลำบากจนฝ่าฟันไปไม่ได้

    แต่เมื่อไหร่ที่ใจไม่สุข ไม่สงบ ไม่มีสติ ก็จะไม่เกิดปัญญาที่จะแก้ปัญหาที่มันเกิดขึ้นเฉพาะหน้ากับเรา"

    สิ่งที่ "แม่ติ๋ว" สุธาสินี น้อยอินทร์ แห่งบ้านโฮมฮัก ฝากบอกกับผู้อ่านในตอนหนึ่งของหนังสือ ลุกขึ้นสู้ด้วยธรรมะ ปฏิบัติได้ (ก็) หายป่วย (ใจ) ไม่เพียงแต่จะสะท้อนความจริงในชีวิตแต่ยังแฝงหลักคิดมากมายหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หลักทฤษฎีแต่เป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวการดำรงชีวิตของคนคนหนึ่งที่ผ่านความยากลำบากมากมาย เพียงระยะเวลาหนึ่งปีนับตั้งแต่ปี 40-41 เธอต้องเจอปัญหาหนัก ๆ ถึง 3-4 เรื่อง นอกจากคดีความแล้ว ยังต้องสูญเสียพ่อ สูญเสีย ผู้อันเป็นที่รักพร้อมกันถึง 5 คน ที่มากกว่านั้นเธอพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งลำไส้อีก

    ใจที่ท้อ มองไม่เห็นทางออกในชีวิต วันนั้นเธอรวมพลังแล้วกัดฟันบอกกับตัวเองว่า...เราต้องทำงาน ทำงานให้หนัก

    เธอคิดแค่นั้นแล้วลุยไปข้างหน้าอย่างสุด

    ใครที่กำลังท้อ...หมดกำลังใจ ลองหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านดู แล้วอาจจะทำให้หัวใจฟูฟ่องขึ้นมาอีกครั้งได้ไม่ยาก






    --------------
    [​IMG]
    ˹ѧ��;������ЪҪҵԸ�áԨ�͹�Ź� | ���͹�س��ǧ˹�� �ء�� �ء����
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,487
    หนังสือเล่มใหม่ของ "แม่ติ๋ว" ลุกขึ้นสู้ด้วยธรรมะ : ปฏิบัติได้...(ก็) หายป่วย (ใจ)

    [​IMG]






    หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากผลงานเขียนเล่มแรกที่ชื่อว่า "แม่ติ๋ว ชีวิตนี้อยู่เพื่อใคร" ซึ่งจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แซเทอร์เดย์ ในเครือบริษัทสยามอินเตอร์มัลติมีเดีย จำกัด (มหาชน)



    ล่าสุด "หนอนสีชมพู" ได้มีโอกาสติดสอยห้อยตามทีมงานของสำนักพิมพ์แซเทอร์เดย์ ไปเยี่ยมคารวะ "แม่ติ๋ว" สุทธาสินี น้อยอินทร์ ที่บ้านโฮมฮัก จังหวัดยโสธร เพราะได้ข่าวว่ากำลังเตรียมทำงานเล่มใหม่ เราไปติดตามกันดีกว่า เธอมีความคิดเห็นอย่างไรกับผลงานเล่มใหม่ที่วางแผนจะออกมาวางจำหน่ายเร็วๆนี้



    "เล่มสองของติ๋วชื่อว่า ลุกขึ้นสู้ด้วย ธรรมะ : ปฏิบัติได้...(ก็) หายป่วย (ใจ) ซึ่งในหนังสือเล่มนี้เนื้อหาโดยรวม ติ๋วอยากบอกทุกๆคนว่า คนทุกคนที่เกิดมา มันมีปัญหาอุปสรรคมากมายที่เกิดขึ้นทั้งใจและกาย แต่เมื่อไหร่ที่จิตใจสงบ เป็นสุข มีสติ ปัญหาที่เกิดขึ้นทางกายมันจะไม่ยากลำบากที่จนเราฝ่าฟันไปไม่ได้ แต่เมื่อไหร่ที่ใจไม่สุข ไม่สงบ ไม่มีสติ มันจะไม่เกิดปัญญาที่จะแก้ปัญหาที่มันเกิดขึ้นเฉพาะหน้ากับเรา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทั้งกายและใจ เพราะฉะนั้นติ๋วมองว่าหนังสือเล่มนี้ ติ๋วไม่ทราบว่าผู้เสพหนังสือจะเป็นใคร ติ๋วไม่มั่นใจ ในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แต่อย่างน้อยๆติ๋วรู้สึกอบอุ่นใจ ติ๋วภาคภูมิใจที่ติ๋วได้มีโอกาสบอกแนวทางปฏิบัติของติ๋วในแต่ละวันให้กับผู้คนที่ทั้งป่วยใจและป่วยกายได้เรียนรู้ว่า มีคนที่ทุกข์มากกว่าเขา เจ็บปวดมากกว่าเขา และประสบปัญหาและอุปสรรคมากกว่าเขา แต่เขามีวิธีคิดมีวิธีการในการแก้ปัญหานั้นอย่างไร"



    ผู้หญิงเก่งหัวใจแกร่งคนนี้ยังบอกต่อไปอีกว่า เธอไม่อยากให้คนหลายคนไปจมกับโชควาสนาหรือดวงหรืออะไรต่างๆ แต่อยากให้คนหลายคนเชื่อมั่นในสิ่งที่เกิดกับตัวเองในวันนี้ และถ้าวันนี้เราทำอะไรที่เหมาะสมให้คนอื่นเป็นสุข ให้คนข้างหน้าเราเป็นสุข ให้คนยิ้มได้หัวเราะได้ นั่นคือกรรมดีที่ปรากฏอยู่ แล้วกรรมดีตัวนี้ก็จะส่งผลต่อวันพรุ่งนี้ วันนี้ไม่ใช่แค่วันนี้ วันนี้คือทุกๆวันของปัจจุบันที่มันเป็นวันนี้ และมันก็จะส่งผลถึงวันพรุ่งนี้ ซึ่งมันคืออนาคตของวันต่อๆไป


    "คือติ๋วอยากจะบอกว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่เราไปจมอยู่กับเวรกรรม โชควาสนา หรือโชคลาง หรือเพราะใครกระทำใคร กลั่นแกล้ง หรืออะไรก็แล้วแต่ ติ๋วอยากให้เรียนรู้วิธีคิดของใจ แล้วเราจะเกิดคำตอบที่เป็นสุขและสงบ"



    ธรรมะคือสิ่งที่เราปฏิบัติได้ในทุกๆวัน ธรรมะไม่จำเป็นต้องนุ่งขาวกี่วัน ธรรมะไม่จำเป็นว่าจะต้องห่มเหลือง แต่ธรรมะอยู่ที่ใจ เราเรียนรู้กับอุปสรรคที่เกิดขึ้นด้วยสติและสมาธิตรงนั้นอย่างไร เพราะฉะนั้นหนังสือเล่มนี้ก็เหมือนกับเป็นหนังสือที่บอกเล่าไม่ใช่ทฤษฎี แต่เป็นเรื่องราวที่บอกเล่าการดำรงชีวิต มันผ่านยาก แต่มันก็ผ่านไปได้ในแต่ละวัน มันก็เหมือนกับรถเก่าๆที่บางวันสตาร์ตได้ บางวันสตาร์ตไม่ได้ แต่มันสตาร์ตได้ มันก็วิ่งฉิว มันก็นำพาเด็กๆ ที่ยากลำบากสู่จุดหมายปลายทาง ถึงมันจะช้ามันก็ยังไปได้ แต่ถึงแม้เราจะเป็นรถใหม่ถอดด้าม เอี่ยมอ่อง แต่จอดไว้นานๆ มันอาจจะสตาร์ตยากก็ได้ เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่ว่าเราคิดอะไร แล้วเวลาเราแก้ปัญหา เราใช้สติ ใช้สมาธิ ใช้ปัญญาแก้ หรือเราใช้อารมณ์ความรู้สึกแก้ เพราะฉะนั้นติ๋วไม่รู้ว่ามันจะทำให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์มากน้อยหรือไม่ แต่ติ๋วเชื่อว่าถ้าผู้อ่านทุกท่านหันกลับมาดูตัวเอง ดูที่ใจตัวเอง ติ๋วเชื่อว่า ความสุขจะเกิด"

    [​IMG]

    และถึงแม้ว่าเธอจะป่วยเป็นโรคร้ายคือ โรคมะเร็งลำไส้ และปัญหาเรื่องเด็กที่เป็นโรคเอดส์ถูกทอดทิ้งมีจำนวนไม่ลดลง แต่หลักการใช้ชีวิตที่เธอยึดถือมาโดยตลอดคือ หลักธรรมะและที่สำคัญ มันสามารถช่วยให้เธอผ่านวิกฤติครั้งใหญ่ๆในชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้


    เพราะฉะนั้นหลักการปฏิบัติธรรมของเธอถือว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากและเธอก็แบ่งแยกออกมาเป็นหลักการสำคัญ 3 ส่วนด้วยกันที่ทำให้เธอหันไปพึ่งธรรมะ


    สำหรับหลักการที่บอกว่า เป็นการปฏิบัติธรรมของติ๋วก็คือ



    1.เมื่อไหร่ที่ติ๋วรู้สึกติ๋วไม่ไหวแล้ว กายไม่ไหว เมื่อกายไม่ไหว มันส่งผลต่อใจ มันจะล้า มันจะท้อ อยากจะทำแล้วทำไม่ได้ เพราะแรงไม่ถึง มันจะกดดันและคาดหวังตัวเอง ทำให้ตัวเองยิ่งเจ็บปวดทางจิต ติ๋วจะไป จำเป็นและสำคัญที่จะต้องไปพบพี่เลี้ยงของติ๋วก็คือครู ครูของติ๋วคือ แม่ชีศันสนีย์หรือท่านชยสาโร เหตุใดติ๋วถึงไว้วางใจสองท่าน เพราะธรรมะของท่าน ติ๋วสัมผัสได้ ติ๋วเลยไว้วางใจท่าน เมื่อไหร่ที่ร่างกายติ๋วไม่ไหว ติ๋วจะไปพบท่านทุกครั้ง

    2. การไปปฏิบัติธรรมแต่ละครั้ง ทำให้เราเรียนรู้ผู้อื่น นอกเหนือจากการเรียนรู้ตัวเอง ในการเรียนรู้ผู้อื่นจำเป็นไหม มันคือบทเรียนในการสอนใจตัวเราเองด้วย เช่น ติ๋วมีข้อสรุปว่าคนบางคนปฏิบัติกาย ไม่ได้ปฏิบัติจิต หรือคนบางคนไปเพราะพระดี แต่ตัวเองไม่ได้ไปเพื่อปฏิบัติจิต ไปเพราะคิดว่าพระองค์นั้นดี มันเกิดสิ่งที่งดงามในหัวใจ หรือพบการบรรลุอะไรต่างๆ แต่จริงๆจิตมันไม่ได้ไปหรือบางคนที่ติ๋วพบว่า ถ้าชั้นยืนอยู่จุดนั้นแล้ว ชั้นจะไม่เป็นอย่างนี้ ชั้นจะไม่ทำอย่างนี้ นี่คือการเรียนรู้คนอื่นได้ด้วยเหมือนกัน ซึ่งคือหลักธรรมะ คือหลักความจริงที่เราทำอยู่แล้วแต่เราไม่เห็น แต่พอเราไปปฏิบัติธรรมแล้วเราเห็น เห็นความไม่งามของตัวเองจากที่คนอื่นปฏิบัติด้วยเหมือนกระจก



    และ 3. การปฏิบัติธรรม ถ้าเราไปปฏิบัติ มันเหมือนเราไปพักผ่อน ไปผ่อนคลาย จริงๆ ติ๋วไม่ได้ไปปฏิบัติไปเคร่งเครียด ไปก้มหน้า ทำสมาธิ ชั้นจะต้องได้ จะต้องเกิด จะต้องบรรลุ ไม่ใช่อย่างนั้น ติ๋วไปผ่อนคลายกับทุกข์หนักๆ ที่ติ๋วคร่ำเคร่งอยู่กับร่างกายตัวเองในแต่ละวัน ซึ่งคนไม่ใกล้ชิดจะไม่รู้ว่ากว่าจะผ่านหนึ่งวันของติ๋ว มันยาก แต่เมื่อไหร่ที่ติ๋วลุกได้ หมายถึงติ๋วจะไม่นอนแล้ว แต่เมื่อไหร่ที่ติ๋วนอน มันจะไปอย่างนี้ เรี่ยราดของมันไป แต่ถ้าลุก...ไม่มีทาง ต้องก้าวไปข้างหน้า ให้เท้าสัมผัสพื้น ให้รู้ว่า ตอนนี้ชั้นอยู่เท้าซ้าย ตอนนี้ชั้นอยู่เท้าขวา ตอนนี้ชั้นกำลังจะไปที่ไหน คือมันเท่าทันใจถ้ามันรู้ได้ เพราะฉะนั้นการไปปฏิบัติธรรมของติ๋วอันที่สามคือ การผ่อนคลายความเป็นตัวตน ความเป็นแม่''



    นอกจากนี้ เธอยังบอกอีกว่า แนวคิดที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ คนเราจะต้องฝึกปลดปล่อยใจ ด้วยความที่เธอนั้นมี ความเป็นแม่ มีความเป็นพี่เลี้ยงของทีมงานและ ความเป็นลูกของคุณแม่ที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ รวมไปถึงการเป็นคนที่สังคมมาคาดหวังในตัวเธอว่าเธอจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งบางครั้งทำไม่ได้อย่างที่เขาคาดหวัง เพราะความสามารถยังทำไม่ถึงเป้าหมายตรงนั้น


    "ติ๋วมีหลักปฏิบัติสามอัน แต่ถามว่าคนในสังคมจำเป็นไหมว่าจะต้องไปปฏิบัติธรรม ต้องถามตัวเองว่า ตอนนี้ตัวเองอยู่ในภาวะใด อยากไปเรียนรู้ธรรมะเพื่อปลดปล่อยใจ ปลดเปลื้องใจ หรืออยากไปเรียนรู้ธรรมะเพื่อให้รู้ว่าชั้นพิเศษกว่าคนอื่น ชั้นถึงสวรรค์ ชั้นได้บุญแล้ว ชั้นจะต้องไปเกิดในสิ่งดีๆหรือชั้นได้ปฏิบัติในสิ่งที่ดี ถ้าเราติดอยู่ตรงนั้น เราไปไม่ถึง


    แต่ถ้าเรารู้ว่าเราไปเพื่อสิ่งนั้น เราจะไม่ได้ เมื่อไหร่ที่เราไปด้วยสิ่งใดๆ ที่ไม่ใช่ไปเพราะใจตัวเอง มันจะไม่ได้เอาธรรมะกลับบ้าน กลับมาก็ยังทะเลาะเบาะแว้ง กลับมาก็ยัง...ชั้นอยู่ไม่กี่วัน หมาชั้นผอม แมวชั้นเห็บกิน ทุกข์มากกว่าเดิม บางคนไปปฏิบัติธรรมแล้วกลับมาทุกข์มากกว่าเดิม หรือบางคนไปปฏิบัติธรรมแล้วเชื่อเรื่องการถือศีลกินเจ แต่เบียดเบียนหัวใจตัวเองแล้วทุกข์ ติ๋วเคยเจอเขาทุกข์มาก คือเขาไม่ได้เอาใจปฏิบัติ แต่มันต้องถือศีลกินเจ ไม่ยอมรับความเป็นจริง ซึ่งสภาวะความเป็นจริง มันอาจจะไม่ใช่อย่างนั้น แต่เราบังคับตัวเอง แต่ถ้าเราเอาจิตไปปฏิบัติ เอาล่ะ ชั้นไม่ต้องทาแป้ง ชั้นก็มีความสุข ตื่นขึ้นมาไม่ต้องสนใจกับความงาม ตื่นขึ้นมาไม่ต้องไปเสียเวลากับความงามตรงนั้น หรือไม่นอนที่นอน มันก็ดีนะ การไม่นอนที่นอนมันก็ไม่ปวดหลังปวดไหล่ คือคิดอะไรที่เป็นจริง นี่เป็นหลักของการปฏิบัติ"



    อย่างไรก็ตามเธอบอกว่า ถ้าใครที่คิดจะปฏิบัติเช่นนั้นแล้วคิดว่าจะได้ไปสวรรค์หรือจะได้อะไรกลับเข้ามา ซึ่งมันเป็นผลประโยชน์ ใจจะไม่สุข เหมือนที่คนบางครั้งเราเห็นขนมเค้ก เราอยากกินมาก แต่เนื่องจากปฏิบัติธรรม เขาสั่งห้ามไม่ให้กิน แต่ถ้าเอาจิตปฏิบัติ แต่เวลากิน มันมีสิ่งนี้ให้กิน เราก็กิน แต่ไม่ใช่กินเพราะตะกละตะกลาม กินเพราะอยาก แต่มันมีให้กินแบบนี้ก็กิน กินเพื่อให้กายเราคงอยู่ เราก็จะสุข ไม่แสวงหา


    "แต่เมื่อไหร่ที่ติ๋วไปที่ไหน แล้วติ๋วกำหนดว่า ชั้นกินอันนี้ไม่ได้ ต้องเอาน้ำมะพร้าวมา ต้องเอาอาหารที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์มา เขาจะเป็นทุกข์ เมื่อไหร่ที่เขาทุกข์ เรายิ่งทุกข์มากกว่าเขา เพราะเมื่อเขาทุกข์ เขาจะต้องแสดงออกมาให้เราเห็นว่าเขาไม่พึงพอใจในสิ่งที่เราสั่ง เราจะทุกข์ที่เราไปเบียดเบียนเขา ติ๋วเลยมองว่า ไม่ว่าคุณจะไปวัดหรือไม่ ต้องถามใจตัวเองว่าไปเพื่ออะไร ไปเพื่อให้ได้หลักธรรมคำสอนมาสอนตัวเอง หรือไปเพื่อให้ตัวเองได้ไปสวรรค์ ไปเพราะเป็นความดีงาม หรือไปเพราะเป็นค่านิยม หรือไปเพราะให้คนเชื่อถือและยอมรับ ต้องตอบให้ได้ค่ะ"



    นับว่าเป็นหลักการและแนวทางที่น่าสนใจมากสำหรับแนวหลักธรรมะที่เธอนำมาใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจ ถ้าผู้ใดสนใจแนวคิดของเธอ สามารถหาอ่านได้ในผลงานเขียนเล่มใหม่ที่ชื่อว่า ลุกขึ้นสู้ด้วยธรรมะ : ปฏิบัติได้...(ก็) หายป่วย (ใจ) คนที่สนใจจะอ่านหนังสือเล่มนี้ ต้องอดใจรอคาดว่าไม่เกินเดือนตุลาคมนี้ น่าจะได้อ่านกันทั่วประเทศ

    ---------------
    ˹ѧ
     
  3. tomato_patt

    tomato_patt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +328
    ขอเล่าประสบการณ์จากการไปมูลนิธิ ฯ ///ครูติ๋วน่ารักมาก หากใครที่เคยไปมูลนิธิจะรู้ดี ใครที่พอมีกำลังทรัพย์ก็เข้าไปทำบุญกับเด็กๆที่นั้นกันได้นะคะ ไปมาแล้ว 2 ครั้งประทับใจมากๆ กับภาพที่เด็กเขามีความสามัคคีกัน
    เมื่อครั้งแรกที่ได้ไปนั้น (ครั้งยังเรียน ป.ตรี) รู้สึกเศร้านิดหน่อยที่ได้เห็นคนอีกหลายคนที่เขาขาดโอกาสที่จะได้มีพ่อแม่ มีครอบครัวที่อบอุ่น แต่ก็รู้สึกดีในส่วนหนึ่งที่เขาได้มาเจอกับมูลนิธิครูติ๋วที่ทำให้เขาได้มีบ้านใหม่ที่ถึงแม้จะไม่ได้สวยหรู เพรียบพร้อม แต่บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่นที่แท้จริง
    ครั้งที่สอง ได้ชวนเพื่อนที่ทำงานไปเยี่ยมเด็กๆที่นั้น ทุกคนประทับใจเป็นอย่างดีค่ะ
    มีเรื่องเล่าจากพี่ที่ทำงานเล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งที่เพื่อนเขาได้ไปที่มูลนิธิฯ ครั้งแรก พี่เขาบอกว่าก็รู้สึกธรรมดา เพราะได้ไปทำบุญอย่างนี้บ่อยครั้ง และมีความคิดอยู่ในใจว่าคงจะไม่ได้มามูลนิธินี้อีกหรอก แต่แล้วเขาก็ต้องเปลี่ยนใจ หลังจากที่เขาได้ยินประโยคหนึ่งก่อนที่จะเดินทางกลับ "คุณพ่อค่ะ เมื่อไหร่จะมาอีกค่ะ ถ้าคุณพ่อมา ซื้อโบว์ผูกผมมาให้หนูด้วยนะคะ หนูอยากได้ หนูไม่รู้ว่าหนูจะตายตอนไหน" เมื่อสิ้นเสียงนั้นทำให้พี่เขาต้องกลับไปเยี่ยมเด็กๆนั้นอีกครั้งค่ะ
     
  4. tomato_patt

    tomato_patt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +328
    เอารูปมาให้ชม เผื่อจะมีใครอยากไปมั่ง ไปกันเยอะนะคะ คนเราหากเรามองย้อยไปดูอดีตเรา แล้วหันกลับมามองน้องๆเหล่านี้ ท่านจะรู้สึกได้เลยว่า เรายังโชคดีกว่าพวกเขาอีก เรามาช่วยสังคมของเรากันเถอะค่ะ เพื่ออนาคตของชาติ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,487
    อนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ..^_^
    อ่านแล้วรู้สึกประทับใจไปด้วย
     

แชร์หน้านี้

Loading...