ทำไมเราปล่อยปลาชนิดไหนต้องห้ามกินปลาชนิดนั้น

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย poon1645, 29 สิงหาคม 2008.

  1. poon1645

    poon1645 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +12
    ;40 เราเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยถือสักเท่าไหร่กับเรื่องที่ปล่อยปลาชนิดไหนต้องห้ามกินปลาชนิดนั้น.....เราไม่รู้นะว่าทำไมต้องห้ามกิน ใครเป็นผู้ตั้งกฎนี้ขึ้นมา...แต่เห็นใครๆ ก็บอกว่าถ้าปล่อยแล้วกินมันจะบาป เราก็ไม่รู้นะว่าจริงหรือไม่

    แต่เมื่ออาทิตย์ที่ผ่ามมา เราได้ไปตลาดกับน้องคนหนึ่ง ในขณะที่เรากำลังซื้อผักอยู่นั้น เราเหลือบไปเห็นปลาดุกที่เค้าขายอยู่ ก็เลยรู้สึกอยากทำบุญอยากช่วยปล่อยปลาพวกนั้น....
    พอเราจะซื้อน้องเรากลับร้องห้ามและบอกว่า "อย่าปล่อยเลย เดี๋ยวไปซื้อปลาไหลปล่อยกันดีกว่า"

    แต่เรารู้สึกว่าเราอยากปล่อยมากๆ เราก็ไม่สนใจ แต่น้องยังห้ามและบอกอีกว่า "ปล่อยปลาไหลดีกว่าคนเราไม่ค่อยกินกัน เพราะปล่อยปลาอะไรก็ห้ามกินปลานั้นนะ"

    เราก็เลยบอกไปว่า "ปลาไหลเราก็กิน"

    น้องเราเลยถามว่า "แล้วปลาดุกล่ะเราไม่กินเหรอ"

    เราก็เลยบอกไปว่า "ไม่อ่ะ...ไม่ชอบกินปลาดุก"

    ทั้งๆ ที่จริงเราก็กินนะปลาดุกน่ะ แต่เราโกหกน้องเพื่อจะได้ปล่อยปลา
    แล้วเราก็เลยซื้อปลามาโลนึงไปปล่อยสมใจ......
    ลองคิดดูดิ่ ถ้าวันนั้นเราเชื่อน้อง และยึดถือกับความเชื่อนั้น ปลาดุกที่น่าสงสารคงตกไปอยู่ในท้องใครก็ไม่รู้....และเราเชื่อนะว่ายังมีคนที่คิดแบบน้องคนนี้อีกเยอะ คิดแบบว่าไปหาปลาที่เราไม่ชอบกินหรือปลาที่เราไม่ค่อยจะกินกันปล่อยกันดีกว่า.....แต่สำหรับเรา เราไม่ถือความเชื่อพวกนี้หรอกถ้าเราไปเดินตลาดแล้วอยากปล่อยปลาไม่ว่าจะเป็นปลาชนิดไหน และเรามีกำลังซื้อ เราก็จะปล่อย.....
     
  2. natthaya

    natthaya สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +20
    อนุโมทนาค่ะ
    เคยปล่อยปลามาแล้วหลายชนิด แต่ก็ไม่กินปลาชนิดที่ปล่อยเพื่อทำบุญเหมือนกัน เราให้ชีวิตใหม่เค้าไป เลยไม่อยากทำลายอีก ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวที่ปล่อยก็ตามค่ะ เป็นความเชื่อส่วนบุคคลค่ะ
     
  3. หมูสวย

    หมูสวย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +123
    ห้ามกินปลาชนิดที่ปล่อย

    ห้ามกินปลาชนิดที่ปล่อย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ผู้ถาม :
     
  4. kacher

    kacher เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    504
    ค่าพลัง:
    +235


    อนุโมทนาค่ะ
     
  5. กตัญญุตา

    กตัญญุตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +109
    ช่วยชีวิตเป็นสิ่งดีงาม
     
  6. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    เรื่องจริง กรรมที่กินปลาตัวที่ปล่อยของผู้ว่าฯ ปัญญา ฤกษ์อุไร

    เรื่องที่นำมาให้ท่านได้อ่านกันนี้เป็นเรื่องจริงที่เขียนโดยเจ้าของเรื่องคือ ผู้ว่าราชการ ปัญญา ฤกษ์อุไร
    เคราะห์กรรมเนื่องมาจากท่านไปกินปลาที่ท่านปล่อย ทำให้เกิดเหตุมากมาย

    ปลาดุก ย่าง เป็นเหตุ
    ปัญญา ฤกษ์อุไร

    เมื่อเรารดน้ำมนต์หลวงพ่อแพเสร็จแล้ว คุณอำนวย ก็บอกข้าพเจ้าว่า ออกจากนี่เราจะไปวัดอัมพวันกัน วัดอัมพวันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ออกไปทางถนนพหลโยธิน วัดตั้งอยู่ริมทางเลี้ยวเข้าไปประมาณ ๕๐๐ เมตรเท่านั้น ไหน ๆ ก็มาทำบุญ วัดหลวงพ่อแพแล้ว ก็ควรจะเลยไปวัดอัมพวันสักหน่อยก็จะดี
    “ หลวงพ่อองค์นี้ดีทางไหน ”ข้าพเจ้าถามคุณอำนวยผู้แนะนำ“ท่านเก่งทางนั่งทางใน และทางวิปัสสนากรรมฐาน” คุณอำนวยชี้แจง“ท่านเก่งทางวิปัสสนาก็เป็นเรื่องของท่านไม่เกี่ยวอะไรกะเราผู้เป็นฆราวาส” ข้าพเจ้ายังไม่หายสงสัย “เกี่ยวซิ ทำไมจะไม่เกี่ยว ยิ่งคนซวย ๆ อย่างผู้ว่ายิ่งเกี่ยวมากขึ้น เพราะอย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าเรื่องที่ซวยอยู่เวลานี้มันเป็นมาอย่างไร” คุณอำนวยชักฉุนเพราะความขี้สงสัยของข้าพเจ้า “รู้แล้วจะมีประโยชน์อะไร ไปพบท่านแล้วจะหายซวยกระนั้นหรือ” คุณอำนวยเกาหัวยิกยัก คงจะโมโหที่ข้าพเจ้าสงสัยไม่หยุด “อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร จึงได้รับเคราะห์กรรมถึงปานนั้น พระที่นั่งทางในได้นั้นย่อมมองเห็นอดีตและอนาคตของสัตว์โลกทุกชนิด เขาเรียกว่ามีทิพยจักษุ หรือญาณจักษุ อะไรทำนองนี้แหละ เข้าใจหรือยัง” เขาอธิบายจบพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ซาบซึ้งแล้วครับ” ข้าพเจ้าตอบยิ้ม ๆ คุณอำนวยค้อนประหลับประเหลือก คงนึกในใจว่าไม่ควรพาข้าพเจ้ามา ดูจะมีปัญหามากเหลือเกิน

    เราออกจากวัดพิกุลทองของหลวงพ่อแพ มุ่งตรงไปออกทางเข้าสิงห์บุรีตรงตัดกับถนนพหลโยธิน แล้ววิ่งมาตามถนนพหลโยธินมุ่งเข้ากรุงเทพฯ จากปากทางเข้าเมืองสิงห์บุรีมาได้ประมาณ ๘ ก.ม. ก็จะถึงวัดอัมพวัน วัดนี้ถ้ารถยนต์มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ จะอยู่ทางด้านขวามือ ที่ปากทางมีป้ายเขียนไว้ว่า ทางเข้าวัดอัมพวัน หน้าวัดมีโรงเรียนหลังใหญ่อยู่หลังหนึ่งชื่อโรงเรียนวัดอัมพวัน เมื่อผ่านโรงเรียนไปแล้วก็จะถึงตัววัด บริเวณวัดกว้างขวางและสะอาดสะอ้าน มีต้นไม่ใหญ่ ๆ หลายต้นร่มรื่นสมกับเป็นที่อยู่ของบรรพชิต

    เมื่อพวกเราไปถึง ท่านอยู่พอดีมีอุบาสกอุบาสิกานั่งอยู่ก่อนแล้ว ๔-๕ คน พอคณะของพวกเราประมาณสิบกว่าคนไปถึง บรรดาท่านเหล่านั้นก็ลาหลวงพ่อไป คุณอำนวยนำพวกเราไปนั่งใกล้ ๆ สำหรับข้าพเจ้านั้นให้ไปนั่งข้างหน้าใกล้ ๆ กับหลวงพ่อ หลวงพ่อมีตำแหน่งเป็น พระครูภาวนาวิสุทธิ์ ชาวบ้านแถบนั้นเรียกท่านว่า พระครูจรัญ เข้าใจว่าคงจะเป็นชื่อเดิมท่าน อายุประมาณ ๕๐ เศษ ดูท่าทางเป็นคนเคร่งศีลและวินัย การพูดจาตรงไปตรงมาไม่เกรงใจใครทั้งนั้น ทำถูกท่านก็ว่าถูก ทำผิดท่านก็ว่าผิด อาศัยเหตุผลเป็นหลักในการพูด เมื่อคุณอำนวยไปหาท่านโอภาปราศรัยดี แสดงว่าคุณอำนวยเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิคนหนึ่ง “มาวันนี้ก็ดีแล้ว อยู่ให้ถึงเย็น อาตมาจะให้เขาหุงอาหารไว้ให้กิน”
    ว่าแล้วท่านก็สั่งแม่ชีจัดการหุงข้าวทำกับข้าวเลี้ยงคณะคุณอำนวย โดยที่คุณอำนวยไม่ทันจะพูดว่ากะไร “ผมมาวันนี้ นอกจากมากราบนมัสการท่านแล้ว ก็ยังได้แนะนำเพื่อนมาคนหนึ่ง ที่เขาประสบเคราะห์กรรม อยากจะให้หลวงพ่อช่วยนั่งทางในดูสักทีว่าเรื่องราวมันไปยังไงมายังไงกัน ถึงได้มาประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้” คุณอำนวยบอกหลวงพ่อ “ไหนคนไหน” “คนนี้ครับ” ว่าแล้วคุณอำนวยก็ชี้มือมายังข้าพเจ้า “อ้อคนนี้เรอะ ท่าทางดีนี่ไม่เลวเลย แต่หน้าตาดูจะหมองคล้ำไปสักหน่อย คนกำลังมีเคราะห์ก็เป็นแบบนี้แหละ เดี๋ยวอาตมาจะนั่งหลับตาดูซิว่ามันเรื่องอะไรกัน”

    พูดจบท่านก็นั่งหลับตาอยู่ครู่หนึ่ง พอลืมตาคุณอำนวยก็ถาม “เป็นไงหลวงพ่อ พอไหวไหม” “เฮ้อ!
    รายนี้อาการหนักมาก ความจริงดวงชะตาจะขาดอยู่แล้วตั้งแต่เดือนก่อนโน้น มีคนจะมาดักยิงที่บ้านพักแต่ยิงไม่ได้ มันมองไม่เห็นตัว มันเลยยิงไม่ได้ ความจริงมันไปเฝ้าอยู่นอกรั้วบ้านหลายวัน ไม่มีโอกาสเห็นตัวโยมคนนี้ มันเลยเลิกล้มความตั้งใจ มิฉะนั้นดวงชะตาขาดไปแล้ว ยังมีหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์เป็นพระเก่าแก่ซึ่งแขวนอยู่ที่คอคอยคุ้มกันอยู่อีกองค์หนึ่ง ทำให้คนคิดร้ายทำอันตรายได้ยาก แต่ระยะนี้พ้นเคราะห์เหล่านั้นมาแล้ว คงไม่เป็นไร หมั่นทำบุญ สุนทานมาก ๆ หน่อย ปล่อยสัตว์มีชีวิตเช่น นก ปลา มาก ๆ ก็จะดี” หลวงพ่ออธิบาย “แล้วเหตุที่มีเคราะห์ถึงขนาดนี้ มันเนื่องมาจากอะไรกันล่ะครับหลวงพ่อ” ข้าพเจ้าถามท่านบ้าง เพราะปล่อยให้คุณอำนวยถามมานานแล้ว

    “มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่อาตมานั่งหลับตาดู ทบทวนอยู่ถึงสองสามครั้งผลออกมาเหมือนกัน ซึ่งอาตมาก็ยังงง ๆ อยู่เหมือนกัน” “งงเรื่องอะไรล่ะครับหลวงพ่อ”“งงเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้น่ะซิโยม” “เรื่องอะไรล่ะครับที่เป็นไปไม่ได้ ในโลกนี้มีเรื่องที่จะเป็นไปได้เสมอ” ข้าพเจ้าว่า“คือตามเรื่องมีว่า โยมรู้ตัวว่ากำลังมีเคราะห์กรรมก็พยายามซื้อลูกปลาตัวเล็ก ๆ ไปปล่อยลงน้ำ เพื่อช่วยชีวิตของลูกปลาเหล่านั้น เรื่องนี้โยมทำมากตั้งแต่ปีที่แล้วใช่หรือไม่ บอกอาตมาตรง ๆ” หลวงพ่อถามข้าพเจ้าแล้วมองหน้า “ใช่ครับ ผมรู้ว่าตัวเองกำลังมีเคราะห์ ดวงไม่ดีก็พยายามปล่อยนกปล่อยปลามาตั้งแต่ปีที่แล้ว การปล่อยนกปล่อยปลาเป็นการช่วยชีวิตสัตว์ ไม่เห็นจะผิดบาปอะไรนี่ครับหลวงพ่อ” “ถ้าเพียงเอาไปปล่อยนอกจากไม่บาปแล้ว ยังได้บุญอีกด้วย แต่เรื่องนี้มันไม่ยุติเท่านั้น มันยังมีเรื่องยืดเยื้อต่อมาอีกนะซี” พูดจบหลวงพ่อถอนหายใจใหญ่ “ยืดเยื้อยังไงครับ” “คือหลังจากเอาเขาไปปล่อยแล้วโยมก็ไปจับเขามากินอีกนะซี ตอนนี้แหละที่บาปหนัก จวนจะแก้ไม่ตกอยู่แล้วรู้ไหม เท่ากับเราอธิษฐานเมื่อเวลาจะปล่อยเขาลงน้ำว่าจงไปอยู่เป็นสุขเป็นสุขเถิด เราปล่อยชีวิตเจ้าแล้ว เราช่วยชีวิตเจ้าให้ยั่งยืนต่อไปแล้ว เจ้าจงไปอยู่เป็นสุขเป็นสุขเถิด เจ้าเวรนายกรรมขอให้มารับส่วนกุศลในการปล่อยชีวิตในครั้งนี้ด้วย เสร็จแล้วหลังจากนั้นไม่นานโยมก็ไปจับเขามากินอีก เท่ากับกลับคำสัตย์ อธิษฐานที่ให้ไว้แก่เจ้าเวรนายกรรม ทำให้เจ้าเวรนายกรรมเขาโกรธมาก เขาจึงอาฆาตพยาบาท โยมจึงต้องรับเคราะห์กรรมอยู่ขณะนี้ยังไงล่ะ

    นี่แหละที่อาตมาว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ อาตมาดูคนมาแยะ ๆ หลายต่อหลายคนไม่เคยพบเห็นเรื่องอย่างนี้เลย” ข้าพเจ้าบอกหลวงพ่อเรื่องนี้ไม่จริง ข้าพเจ้าปล่อยนกปล่อยปลาเมื่อปีกลายจริง แต่เมื่อปล่อยลงน้ำลงคลองแล้วก็แล้วกันไม่เคยไปตามจับมากินอีก เพราะจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวไหนคือตัวที่ข้าพเจ้าปล่อยไปจะได้จับมากินได้ถูก เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ทำเครื่องหมายไว้ และเวลาปล่อยก็ปล่อยครั้งละมาก ๆ ลูกปลาดุก ปลาช่อน ปลาหมอ ครั้งละจำนวนร้อย ๆ ตัว จะไปจำปลาแต่ละตัวได้อย่างไร เพราะฉะนั้น เรื่องที่หลวงพ่อว่า จึงไม่มีทางจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน สงสัยหลวงพ่อดูผิดเสียแล้ว หลวงพ่อหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี “อาตมาไม่ได้ว่าโยมตั้งใจจะจับปลาที่ปล่อยสะเดาะเคราะห์มากิน แต่อาตมาหมายความว่า โยมกินปลาที่โยมสะเดาะเคราะห์เข้าไป จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อาตมาไม่ทราบเหมือนกัน แต่สรุปว่าโยมกินเขาเข้าไปแน่ ๆ โดยปราศจากข้อสงสัย ลองไปนึกทบทวนดูให้ดีเถิด แล้ววันหลังค่อยมาคุยกันใหม่” “แล้วเรื่องที่ผมมีเคราะห์กรรมอยู่เวลานี้ล่ะครับจะเป็นอย่างไรบ้าง” ข้าพเจ้าอยากรู้เหตุการณ์ในอนาคต “ตอนนี้พ้นระยะเคราะห์หนักแล้ว ที่เหลืออยู่เป็นส่วนน้อย และค่อย ๆ หมดไปราว ๆ เดือนเมษายน-พฤษภาคม ปีหน้าก็คงพ้นเคราะห์เด็ดขาด ไม่เป็นไร ขอชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิดให้อาตมาไว้ แล้วอาตมาจะนั่งบริกรรมภาวนาให้เจ้าเวรนายกรรมเขาเห็นใจเลิกจองเวรจองกรรมเสีย”

    จากนั้นท่านหันไปคุยกับคุณอำนวยและคนอื่น ๆ ที่มาคณะเดียวกัน วันนั้นข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กินข้าวเย็นที่วัดอัมพวัน เพราะเกรงจะกลับกรุงเทพฯ ค่ำ เพราะกำลังมีเคราะห์อยู่ด้วย ต้องระวังตัวเกรงเกิดอุบัติเหตุ ในระหว่างทางขณะขับรถกลับกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าได้ครุ่นคิดไปตลอดทางว่าข้าพเจ้าไปจับปลาที่ปล่อยสะเดาะเคราะห์ไปแล้วเอามากินได้อย่างไร ข้าพเจ้าไม่เคยประพฤติเช่นนั้นเลย ไม่น่าจะเป็นไปได้ การปล่อยปลาแต่ละครั้งก็ปล่อยจำนวนมาก ๆ และปล่อยในลำคลองหนองบึงเป็นส่วนใหญ่ และเมื่อปล่อยไปแล้วก็แล้วกัน ไม่เคยติดตามเอามากินอีกเลย หลวงพ่อคงจะเลอะเลือนดูทางในผิดไปแน่ ๆ แต่ก็ใจไม่ดี คิดว่าบางทีปลาตัวที่เราปล่อยต่อมา พวกจับปลามันจับได้เอาไปขายที่ตลาด เด็กบ้านเราไปจ่ายกับข้าว ซื้อมาแกงเข้าพอดี ถ้าเป็นอย่างนี้ก็มีทางเป็นไปได้เหมือนกัน แต่โอกาสมีหนึ่งในร้อยหรือหนึ่งในพัน

    ต่อมาอีกหลายวันข้าพเจ้าจำได้ว่า ทางอัยการเขาได้นัดส่งฟ้องข้าพเจ้าต่อศาลจังหวัดตราด ซึ่งข้าพเจ้าในฐานะจำเลยก็จะต้องเดินทางไปจังหวัดตราด เพื่อไปฟังคำฟ้องในศาล หลังจากที่อัยการฟ้องเสร็จแล้วศาลก็นัดสืบพยาน โดยสืบพยานโจทก์ก่อนในชั้นต้น ศาลได้นัดเดือนละ ๒ ครั้ง ก็เป็นอันตกลงกันทั้งอัยการ โจทก์ และทนายฝ่ายข้าพเจ้า ทางฝ่ายโจทก์ก็ยื่นระบุพยานทั้งหมด ๓๗ ปาก ข้าพเจ้าคิดในใจว่า ถ้าสืบพยานครั้งละ ๑ ปาก ปีหนึ่งก็จะได้ประมาณ ๒๔ ปาก กว่าจะเสร็จคดีก็คงราว ๆ ปีกว่า หรือ ๒ ปี ทางทนายของข้าพเจ้าแนะนะให้เตรียมพยานเอาไว้บ้าง และให้ติดต่อกับเขาเสียแต่เนิ่น ๆ ข้าพเจ้านึกถึงนายโกสุมคนขับรถของข้าพเจ้า ว่าเขาคงจะเป็นพยานให้ข้าพเจ้าได้ดี เพราะเขาอยู่ใกล้ชิดกับข้าพเจ้าตลอดมา ไม่ว่าข้าพเจ้าจะไปไหนเขาก็มักจะไปด้วยเสมอ ข้าพเจ้าจึงคิดว่า ควรอ้างเขาเป็นพยานสักคนหนึ่ง เมื่อออกจากศาลแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปหาเขาที่บ้านพัก บ้านพักของเขาอยู่ในบริเวณจวนผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ข้าพเจ้าเคยพักอยู่นั่นเอง เมื่อไปถึงไม่พบเขาอยู่ที่บ้าน ได้สอบถามภรรยาเขาว่าเขาไปไหน ภรรยาเขาบอกว่า “โกสุมไปวิดปลาลอกสระอยู่หลังจวน” ข้าพเจ้าจึงเดินอ้อมไปทางหลังจวนจนถึงสระใหญ่ สระแห่งนี้มีมานานแล้วตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏ สมัยโบราณไม่มีน้ำประปา ผู้ว่าราชการจังหวัดสมัยก่อนได้ใช้น้ำในสระนี้อาบกิน แต่เมื่อมีน้ำประปาแล้ว สระนี้ก็ทิ้งไว้เฉย ๆ มีต้นบัวอยู่เต็มสระ พอถึงหน้าแล้งเดือนมีนา-เมษา น้ำก็จะแห้งจนถึงก้นสระ โกสุมจึงถือโอกาสลอกสระแล้วเอาปล่าที่อยู่ในสระจำนวนมากมากินเป็นอาหาร ต้มบ้างแกงบ้าง ย่างบ้างตามแต่จะชอบ เมื่อข้าพเจ้าไปถึงปากสระ โกสุมเห็นเข้าก็รีบตะกายขึ้นมาบนของสระชี้ให้ข้าพเจ้าดูปลาดุกปลาช่อนตัวขนาดเท่าแขนหลายตัวซึ่งนอนแอ้งแม้งอยู่ในถัง แต่ละตัวล้วนอ้วน ๆ ทั้งนั้น ปลาดุกอุยแต่ละตัวเนื้อเหลืองท้องเหลืองอ๋อยน่ารับประทานเป็นอย่างมาก ถ้าได้ย่างน้ำจิ้มปลาพริกมะนาวซอยหอมใส่นิดหน่อย กินกับข้าวร้อน ๆ ก็คงจะอร่อยดีไม่น้อย คิดแล้วก็น้ำลายไหลด้วยความอยาก

    “ปลาดุกอุยตัวโต ๆ ทั้งนั้น” ข้าพเจ้ากล่าวขึ้นลอย ๆ “ปีกลายนี้ผมก็วิดบ่อหนหนึ่งแล้ว ตอนนั้นท่านยังเป็นผู้ว่าอยู่ ผมยังเอาปลาไปให้ท่านกินตั้งหลายตัว ท่านคงจะจำได้ตอนนั้นมีทั้งปลาดุก ปลาช่อน และปลาหมอ ท่านยังบอกว่าปลาดุกย่างอร่อยดี” โกสุมชี้แจง ข้าพเจ้าพยายามนึกทบทวนเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้วมา จำได้ว่าเมื่อข้าพเจ้าย้ายมาเมืองตราดใหม่ ๆ ข้าพเจ้าได้ไปตลาดและได้ซื้อลูกปลาดุก ปลาหมอ ปลาช่อนเป็นจำนวนมาก มาปล่อยลงในสระแห่งนี้เพื่อสะเดาะเคราะห์ ตามคำทำนายของซินแสหมอดูจากจังหวัดระนอง ที่ทายว่าข้าพเจ้ากำลังมีเคราะห์ ให้รีบสะเดาะเคราะห์เสีย

    หลังจากนั้นต่อมาอีกหลายเดือน ประมาณ ๖-๗ เดือนเห็นจะได้ ผู้บัญชาการเรือนจำได้นำนักโทษหลายคนมาขออนุญาตข้าพเจ้าขุดลอกสระหลังจวน โดยอ้างว่าสระตื้นเขินมากแล้ว ตอนนี้น้ำแห้งขอด ควรจะได้ขุดลอกเสีย พอถึงหน้าฝนก็จะได้น้ำเต็มสระ และเป็นน้ำที่ใสสะอาดดี กว่าที่จะปล่อยเอาไว้ให้ตื้นเขินอย่างนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าผู้บัญชาการเรือนจำมีเหตุผลดี จึงได้อนุญาตให้ขุดลอกสระแห่งนี้ได้ ซึ่งเขาได้นำนักโทษมาขุดลอกสระในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น บังเอิญวันนั้นข้าพเจ้าจำได้ว่า มีราชการไปออกท้องที่ประชุมราษฎรที่กิ่งอำเภอบ่อไร่กลับมาเย็นมากแล้ว จึงได้ชวนพรรคพวกมานั่งตั้งวงดื่มสุรากันอยู่ที่บนนอกชานที่จวนนั่นเอง การดื่มสุราของพวกราก็ไม่ได้ดื่มจนเมามายไม่ได้สติ แต่เป็นการดื่มเพื่อเรียกน้ำย่อยก่อนรับประทานอาหารเย็นคนละแก้วสองแก้วก็เลิกกัน ขณะที่นั่งดื่มเหล้ากันอยู่นั้น โกสุมก็เดินขึ้นมาบนจวนถือจานใบใหญ่มาหนึ่งใบ ในจานมีปลาดุกย่างตัวโต ๆ เนื้อเหลืองอ๋อย ประมาณ ๓-๔ ตัว ข้าพเจ้ายังจำได้ติดตา ว่าเย็นวันนั้นข้าพเจ้ากินข้าวกับปลาดุกย่างจิ้มน้ำปลาอย่างเอร็ดอร่อยเป็นกำลัง เมื่อนึกได้ดังนั้น ก็เกิดเฉลียวใจแว่บขึ้นมาทันทีจึงได้ถามโกสุมว่า“ปลาดุกที่ลื้อเอาไปให้อั๊วกินเมื่อปีกลาย เป็นปลาดุกที่วิดจากสระนี้หรือ”“ใช่แล้วครับ วันนั้นพวกผู้คุมเขาเอานักโทษมาขุดลอกสระ ผมเลยถือโอกาสผสมโรงผลัดผ้าขาวม้าลงจับปลากับเขาด้วย ผมได้ปลามาขังโอ่งไว้ตั้งหลายสิบตัว ผมเห็นปลาดุกตัวโต ๆ เนื้อเหลืองดี เลยย่างเอาไปให้ท่านรับประทาน”เขากล่าวจบก็มองหน้าข้าพเจ้า คล้ายจะถามว่าข้าพเจ้ามาถามเขาทำไม

    “ตายแล้ว ถ้าอย่างงั้นก็คงเป็นปลาดุกที่ผมเอามาปล่อยตอนที่ย้ายมาเป็นผู้ว่าใหม่ ๆ ละซี ปล่อยเขาแล้วเอาเขามากินอีก ยิ่งบาปกรรมหนักยิ่งขึ้น แล้วนี่ผมจะทำยังไงดี” ข้าพเจ้าบอกโกสุมด้วยความกังวลใจ“แฮ่ะ แฮ่ะ ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไง เพราะเห็นว่ามันเนื้อเหลือง ๆ ตัวโต ๆ ก็คิดว่าท่านคงชอบ ผมเองก็ไม่ทราบว่าท่านเอามาปล่อยไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ กินเข้าไปแล้วก็แล้วกันเถอะครับ เมื่อเราไม่เจตนาก็คงจะไม่บาปมากนัก” เขากล่าวปลอบใจข้าพเจ้า “ไม่บาปกะผีอะไร หลวงพ่อท่านว่าแบบนี้บาปหนักมาก ต้องรับเคราะห์กรรมไปอีกนาน” ข้าพเจ้าบอกเขา “หลวงพ่ออะไรครับ” “หลวงพ่ออ้า...เอ อย่าไปรู้เลย ชั่งมันเถอะ” พูดจบข้าพเจ้าก็ลาเขากลับ ส่วนเรื่องที่จะขอให้เขาเป็นพยานก็ลืมไปสนิท เหมือนมีอะไรมาบังหัวใจเอาไว้ ที่คิดว่าจะพูดก็เลยไม่ได้พูด ตอนขากลับจากจังหวัดตราดวิ่งรถเข้ากรุงเทพฯ ข้าพเจ้าครุ่นคิดมาตลอดทาง นึกถึงคำพูดโต้ตอบของข้าพเจ้ากับหลวงพ่อที่วัดอัมพวัน “เป็นไปไม่ได้หรอกครับหลวงพ่อ ที่ผมปล่อยชีวิตเขาไปแล้ว จะไปจับเขามากินอีก ผมจะไปรู้ได้อย่างไรว่าปลาตัวไหนเป็นปลาที่ผมปล่อยไป จะได้จับมากินได้ถูก ยิ่งกว่านั้นผมยังปล่อยปลาครั้งละเป็นร้อย ๆ ตัว ยิ่งไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย” “เป็นไปได้แน่นอน และก็เป็นแล้วด้วย อาตมานั่งทางในเห็นชัดเจนและก็ยังสงสัยอยู่ ว่า ทำไมโยมถึงทำเช่นนั้น” ข้าพเจ้าคิดสับสน จนบอกไม่ถูกว่าทำไมเรื่องราวในชีวิตของเราเองจึงได้ยุ่งเหยิงสับสนวุ่นวายถึงขนาดนี้


    ขอเชิญทุกท่านได้โมทนาบุญผ้าป่า ๓ กองบุญร่วมกันครับ
    http://palungjit.org/showthrea...=158315&page=3

    ศูนย์พุทธศรัทธา
    สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง
    เพียงท่านแวะชมและโมทนาท่านก็จะได้บุญได้กุศลตามกำลังใจของแต่ละท่าน

    [​IMG]
    .........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2008
  7. TaeyoLySiS

    TaeyoLySiS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +278
    จากการอ่านความเห็นต่างๆข้างบน

    เหมือนกับว่า พระท่านจะพยายามบอกว่า
    "ปล่อยตัวไหน ห้ามกินตัวนั้น"
    มิฉะนั้นจะให้โทษหนักทีเดียว

    แต่ความเป็นจริงเวลาจะกิน เราไม่รู้หรอกว่า เรากินปลาตัวที่เราปล่อยรึป่าว

    ดังนั้น วิธีแสนง่าย ที่จะไม่เผลอกินปลาตัวที่ปล่อย
    นั่นคือ "ปล่อยชนิดไหน ไม่กินชนิดนั้น."

    นอกจากจะไม่เผลอผิดสัจจะที่ตั้งใจช่วยชีวิตเขาแล้ว
    ยังเป็นอุบายงดเว้นการกินเพื่อนๆร่วมสปีชีส์เขาซะอีกด้วย
    เป็นการทำดีอีกต่อ สองเด้ง อิอิ
     
  8. ชนิศา วรรณวัฒน์

    ชนิศา วรรณวัฒน์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +2
    เราก็ไม่รู้ชัดเจนนะว่า "ปล่อยปลาอะไร ห้ามกินปลานั้น" เราก็เป็นคนหนึ่งที่ "ปล่อยปลาดุก และไม่กินปลาดุกอีกเลย"
    เพราะมีความคิดว่า ในเมื่อเราให้ชีวิตเค้าแล้ว เราก็ไม่ควรเอาชีวิตเค้าคืน
    เราตั้งใจให้เค้ามีชีวิตรอดเพื่อไปออกลูก ออกหลาน สืบทอดเผ่าพันธ์ หรือ
    ไม่ได้คิดไกลถึงขนาดนั้นก็แล้วแต่
    แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า หลังจากนั้นปลาดุกที่เรากินไปจะไม่ใช่เจ้าตัวนั้น หรือลูกของมัน

    สำหรับเรา นี่คือสาเหตุที่ "ปล่อยปลาดุก แล้วจะไม่กินปลาดุกอีกเลย"[/I]
     
  9. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    ขออนุโมทนาบุญกับคุณชนะ และคุณ TaeyoLySiS กับคำตอบอันชัดเจน และให้เหตุผลได้กระจ่างแจ้งที่สุด ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่เลือกจะปล่อยเฉพาะปลาไหล หรือปลาดุก และตั้งใจไว้ว่าจะเว้นจากการบริโภคเนื้อปลาทั้ง 2 ชนิดนี้ตลอดชีวิต เพื่อเป็นการสร้างทานบารมีค่ะ...

    ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม กรรมใดที่ทำแก่ผู้ใดในชาติใด ๆ ก็ตาม ขอให้เจ้ากรรมนายเวร จงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า หรือแม้แต่กรรมที่ใคร ๆ ทำกับข้าพเจ้าก็ตาม ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้ทั้งสิ้น ยกถวายพระพุทธเจ้าเป็นอภัยทาน เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมกันต่อไป...สาธุ[​IMG]
     
  10. อนูดิน

    อนูดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +2,012
    จากที่อ่านทั้งของหลวงพ่อจรัญฯกับหลวงพ่อฤาษีฯ

    มีจุดน่าสังเกตนิดหนึ่งว่า คุณอำนวยที่ประสบเคราะห์ตามที่
    หลวงพ่อจรัญฯท่านเล่า เขาคนนั้นเป็นคนไปสั่งฆ่าปลาตัวนั้นนี่
    ผมคิดว่า ถ้าเราไม่ได้ไปสั่งฆ่าก็ไม่น่าจะมีการอาฆาต
    พยาบาทกันเกิดขึ้นมาอีก ก็ถ้าเราปล่อยปลาไปแล้ว
    ปลานั้นโดนจัุบมาแล้วถูกฆ่า มาแกงกินเป็นอาหารโดยที่เราไม่รู้เรื่องอะไร
    เราเป็นเพียงคนไปซื้อแกงปลามากิน โดยไม่ได้ไปสั่งฆ่าปลาตัวไหน เพื่อจะเอามากิน ก็ไม่น่าจะผิด
    เพราะปลาตัวนั้นก็น่าจะถือได้ว่ามันหมดบุญหรือหนีกรรม
    ไม่พ้น โดยที่เราไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการตายของเขา

    เพราะฉะนั้นผมว่าถ้าเราไม่เกี่ยวข้องกับการตายของเขา
    เราก็ไม่น่าจะผิดนะ ไม่ได้ชี้นิ้วเลือกเขามาเพื่อฆ่านี่


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2008
  11. อนูดิน

    อนูดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +2,012
    ผมเปรียบเองว่า
    เหมือนเราจับโจรร้ายที่มาชิงทรัพย์เราได้ แล้วเราทำการปล่อยไปแล้วยกโทษให้ยกเว้นชีวิตให้ หลังจากเรายกโทษให้แล้วยังไปจับเขามาลงโทษอีกมาฆ่าอีก
    เขาก็น่าจะมีความแค้นเคือง อาฆาตพยาบาทต่อเรา คล้ายเป็นการหลอกเขา
    แต่ถ้าหลังจากเราปล่อยเขาไป แล้วมีเจ้่าทรัพย์คนอื่นไปฆ่าเขาตาย
    แล้วนำทรัพย์ของเรามาคืนเรา เขาจะีมีสิทธิ์แค้นเคืองเราได้ไหม
    ในเมื่อเราไม่มีส่วนรู้เห็นในการตายของเขา
     
  12. TaeyoLySiS

    TaeyoLySiS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +278
    ข้อสังเกต น่าสนใจทีเดียว

    เห็นด้วยกับความเห็นที่ว่า
    "ถ้าเราไม่เกี่ยวข้องกับการตายของเขา เราก็ไม่น่าจะผิดนะ"



    แต่เราก้อยังมีความเห็นว่า
    อุบายการตั้งใจทำความดีอันแสนง่าย
    ที่ว่า "ปล่อยชนิดไหน ไม่กินชนิดนั้น"

    หากคุณอำนวยในเรื่องราวดังกล่าวนี้ ตั้งใจแต่ต้นตามอุบายนี้
    "การสั่งฆ่าปลาจักไม่เกิดขึ้นเป็นอันขาด"

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น พร้อมทั้งให้โทษกับคุณอำนวย
    อาจเพราะความเผลอ
    ทำอย่างไรไม่ให้เผลอ

    อย่างที่หนึ่ง
    ต้องมีสติระวังจะไม่ทำสิ่งที่ให้โทษภายหลัง

    เนื่องจากเรายังเป็นปุถุชน การเผลอทำสิ่งที่ให้โทษอาจเกิดได้

    อย่างที่สอง ง่ายกว่า คือตั้งใจ ว่า "ปล่อยชนิดไหน ไม่กินชนิดนั้น"
    การทำตามอุบายนี้ น่าจะให้ผลดีมากกว่าผลเสีย
    กล่าวคือ
    ทำตามได้ง่าย ไม่ยาก
    แถมสบายใจ ไม่ต้องมาระวังระแวงว่าจะเผลอทำสิ่งที่ให้โทษภายหลัง
    นอกจากนี้
    ยังถือเป็นการตั้งใจทำความดีเพิ่มเติมขึ้นจากเพียงแค่ปล่อยปลานะจ๊ะ
     
  13. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สวัสดีครับ คุณ TaeyoLySiS และ คุณอนูดิน

    ขออนุญาตแสดงความเห็นเพิ่มเติมครับ

    คนที่ประสบเคราะห์กรรมจากการปล่อยปลาและกินปลา ไม่ใช่คุณอำนวยแต่เป็น
    อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดตราด คุณปัญญา ฤกษ์อุไร ตามต้นเรื่องที่ผมนำมาให้อ่านกันอีกครั้งครับ

    เรื่องที่นำมาให้ท่านได้อ่านกันนี้เป็นเรื่องจริงที่เขียนโดยเจ้าของเรื่องคือ
    ผู้ว่าราชการ ปัญญา ฤกษ์อุไร เคราะห์กรรมเนื่องมาจากท่านไปกินปลา
    ที่ท่านปล่อย ทำให้เกิดเหตุมากมาย

    ตามที่ทั้ง ๒ ท่านได้กรุณาให้ข้อสังเกตุ ซึ่งก็ถูกต้องในกรณีที่ท่านยกมากล่าวถึง

    ผมคิดว่า ถ้าเราไม่ได้ไปสั่งฆ่าก็ไม่น่าจะมีการอาฆาต
    พยาบาทกันเกิดขึ้นมาอีก ก็ถ้าเราปล่อยปลาไปแล้ว
    ปลานั้นโดนจัุบมาแล้วถูกฆ่า มาแกงกินเป็นอาหารโดยที่เราไม่รู้เรื่องอะไร
    เราเป็นเพียงคนไปซื้อแกงปลามากิน โดยไม่ได้ไปสั่งฆ่าปลาตัวไหน เพื่อจะเอามากิน ก็ไม่น่าจะผิด
    เพราะปลาตัวนั้นก็น่าจะถือได้ว่ามันหมดบุญหรือหนีกรรม
    ไม่พ้น โดยที่เราไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการตายของเขา
    เพราะฉะนั้นผมว่าถ้าเราไม่เกี่ยวข้องกับการตายของเขา
    เราก็ไม่น่าจะผิดนะ ไม่ได้ชี้นิ้วเลือกเขามาเพื่อฆ่านี่

    ส่วนเรื่องของผู้ว่าฯ ปัญญา ฤกษ์อุไร ประเด็นจริงๆ ไม่ได้อยู่ที่ปลา แต่อยู่ที่
    เจ้ากรรมนายเวร โกรธที่กลับคำสัตย์อธิษฐาน ดังคำกล่าวของหลวงพ่อจรัญ
    ที่ยกมานี้

    คือหลังจากเอาเขาไปปล่อยแล้วโยมก็ไปจับเขามากินอีกนะซี ตอนนี้แหละที่บาปหนัก
    จวนจะแก้ไม่ตกอยู่แล้วรู้ไหม เท่ากับเราอธิษฐานเมื่อเวลาจะปล่อยเขาลงน้ำว่าจงไปอยู่เป็นสุขเป็นสุขเถิด
    เราปล่อยชีวิตเจ้าแล้ว เราช่วยชีวิตเจ้าให้ยั่งยืนต่อไปแล้ว เจ้าจงไปอยู่เป็นสุขเป็นสุขเถิด เจ้าเวรนายกรรม
    ขอให้มารับส่วนกุศลในการปล่อยชีวิตในครั้งนี้ด้วย เสร็จแล้วหลังจากนั้นไม่นานโยมก็ไปจับเขามากินอีก
    เท่ากับกลับคำสัตย์ อธิษฐานที่ให้ไว้แก่เจ้าเวรนายกรรม ทำให้เจ้าเวรนายกรรมเขาโกรธมาก เขาจึงอาฆาตพยาบาท
    โยมจึงต้องรับเคราะห์กรรมอยู่ขณะนี้ยังไงล่ะ


    และปลาที่ผู้ว่าฯ ปัญญากินนั้น ท่านก็ไม่ได้ฆ่าเอง หรือเป็นคนสั่งให้ผู้อื่นฆ่า
    เป็นคนขับรถฆ่าแล้วนำมาให้ผู้ว่าฯกิน ดังนั้นกรรมจากการฆ่าปลาจึงไม่น่าจะมาเกี่ยวกับคนกิน
    แต่เป็นเพราะการอธิษฐานที่ให้ไว้กับเจ้ากรรมนายเวรมากกว่าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2008
  14. humanbeing

    humanbeing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +214
    ขอขอบคุณคุณชนะมากนะคะ ที่ช่วยแสดงความคิดเห็น แต่หลังจากที่ได้อ่านแล้วก็เกิดคำถามขึ้นมาน่ะค่ะ

    ปกติแล้วในทางพระพุทธศาสนาถือว่า กรรมดี หรือกรรมชั่วก็ตามจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเรามีเจตนาเท่านั้นไม่ใช่หรือคะ ("เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเจตนาเป็นกรรม เจตนา ก็ได้แก่ ความตั้งใจหรือความรับรู้ ซึ่งแบ่งไว้เป็น ๓ อย่างคือ ..." Source: www.watkoh.com/kratoo/new_reply_form.asp?M=Q&PID=2542&PN=4&TR<WBR>=33 - 24k -)

    ทีนี้คุณปัญญา ฤกษ์อุไรปล่อยปลาไปด้วยเจตนาที่ดี คือ เพื่อทำบุญ

    แต่คนขับรถไม่รู้ จับปลามาฆ่า และ ทำอาหารให้ท่านกิน โดยที่ท่านไม่ได้เรียกร้องขอให้ทำให้ และท่านก็กินเพราะท่าน(อาจจะหิว และ)ไม่รู้ว่าเป็นปลาที่ตนเองนำไปปล่อย นั่นก็เท่ากับว่าท่านมิได้มีเจตนาที่จะทำบาปโดยการกินปลาที่ตนเองปล่อยไปมิใช่หรือคะ แล้วทีนี้ทำไมท่านถึงต้องรับกรรมหนักด้วยล่ะคะ

    นอกจากนี้ เคยดูรายการธรรมะครั้งหนึ่ง มีพระสงฆ์ชื่อดังรูปหนึ่ง(ขออนุญาตไม่เอ่ยนาม)ก็กล่าวไว้เช่นนี้เจ้าค่ะ ท่านได้กล่าวว่าการกระทำที่เกิดขึ้นโดยเจตนาเท่านั้นจึงจะได้ชื่อว่าเป็นกรรม

    ดังนั้น ถ้าเราโดนยุงกัด และเราตบมันตายโดยสัญชาตญาณ (คือ ไม่ได้มีเจตนาฆ่า แต่มือมันไปเอง ตบไปแล้ว) อย่างนี้เราก็ไม่บาป

    ถ้าผู้ใดทราบหลักธรรมที่ถูกต้อง แท้จริง ที่ขัดแย้ง หรือแตกต่างไปจากนี้ก็ช่วยแจ้งให้ทราบด้วยนะคะ จะได้รู้หลักปฏิบัติที่ถูกต้องน่ะค่ะ

    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

     
  15. กบ+ตูน

    กบ+ตูน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +48
    ตูนก็เคยเจอกรรมเพราะปล่อยปลาดุกแล้วไปกินมันเข้า ปล่อยปลาดุกไปได้2วันสั่งข้าวราดแกงมีผัดเผ็ดปลาดุก กำลังเคี้ยวปลาดุกฟันแตกหลุดออกมาขณะที่เคี้ยวข้าวอยู่ สรุปต้องอุดฟันใหม่3ซี่ข้างซ้ายเป็นฟันกรามทั้งหมดทั้งๆที่กินปลาดุกแค่ชิ้นเดียว รู้เลยว่ากรรมที่เราไปกินปลาดุกแถมช่วงนั้นชีวิตเจอแต่ปัญหาเหมือนดวงตกไปเลยนะคะเครียดนอนไม่หลับ แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเหตุเพราะอะไรเลยตั้งใจว่าจะไม่กินปลาดุก ปลาไหล ปลาช่อนอีกแล้วคะ เลิกกินมันเด็ดขาดเป็นอภัยทานคะ คิดว่าเป็นเรื่องจริงนะคะปล่อยปลาอะไรแล้วห้ามกินมันเจอมากับตัวคะ
     
  16. moonsheep

    moonsheep สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    คงดูที่เจตนาสำคัญที่สุด ถ้าเรารู้ว่ายุงกัดแล้วเราตบอันนี้ก็คงผิดเต็ม ๆ จะทำอะไรถึงต้องมีสติรอบคอบจะได้ไม่พลาดพลั้งทำร้ายชีวิตเค้า แต่ถ้าไปเหยียบยุงที่อยู่ตรงพื้นถนน อันนี้ไม่น่าผิด เพราะไม่มีเจตนาจริง ๆ (เพราะถ้ามองแต่พื้นถนน รถอาจชนได้ แต่ถ้าเห็นมันก่อนก็ไม่ควรเหยียบ เพราะถ้าเหยียบก็แสดงว่ามีเจตนา ก็ผิดอีก) ไม่รู้ว่าที่เข้าใจถูกต้องจริง ๆ ไหม แต่ความรู้สึกที่ใจของเราก็จะเป็นตัววัดได้นะ ว่าเราทำไม่ดีอยู่มั๊ย ถ้าทำไม่ดีใจจะร้อนอ่ะ
     
  17. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    985
    ค่าพลัง:
    +2,951
    ขอแชร์ละกันค่ะ เพราะไม่ทราบแน่ชัดว่า ห้ามกินปลาที่ปล่อยหรือเปล่า

    ตั้งแต่พ่อป่วย เราเหม็นเนื้อสัตว์ทุกชนิดและกินไม่ได้เพราะถ้าฝืนก็จะปวดท้อง และได้เริ่ม

    ปล่อยปลาดุกปลานิล กบ แล้วแต่ เกือบทุกวัน

    แล้ววันนึง เราก็ไปซื้อปลาดุกผัดเผ็ดให้แฟน (เราไม่ได้กินนะ เพราะกินไม่ได้)

    พอเทถุงออกมา เราขนหัวลุกตลอดเวลา จนเครียด กินข้าวตัวเองก็ไม่ลง

    อยากจะมาตั้งคำถามใจเวปนี้ด้วยว่า เราคิดมากไปมั้ย เพราะไม่ได้กิน แค่เป็นคนซื้อตาม

    หน้าที่แม่บ้าน เพราะส่วนตัวก็เลิกทานเนื้อสัตว์ไปแล้ว ซื้อก็ไม่ได้หรือ

    สงสัยเหมือนกันค่ะ แต่แน่ๆ คือ ไม่กล้าซื้อแล้วค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...