การสอนดูจิตตอนนี้ ไม่ต่างไปจากท่านสัญชัยปริพาชกในครั้งพุทธกาล

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 6 พฤศจิกายน 2009.

  1. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อย่างนี้ก้เรียกว่าพูดไปเรื่อย จะเหมือนกันได้ยังไง ก็เห็นๆอยู่ว่าเขาเป็นใครผมเป็นใคร เขาฝึกมาดีแล้วจึงเหยียบย่ำผู้อื่นได้ ผมสงสารในสิ่งที่เขาเป็นเลยทักท้วงไม่ได้คิดว่าจะเป็นเหมือนเขาหรอกเพราะผมยังฝึกไม่ดีพอจิตใจเลยมองเห็นภาพความจริงของตนเองได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่แต่ก็คงชัดพอสำหรับแยกแยะว่า อะไรเป็นธรรมบริสุทธิ์ อะไรเป็นธรรมปฏิรูป และทำไปทำไมเพื่ออะไร ผมก็เจอมาเยอะแล้วประเภทฝึกมาดีแล้ว แล้วก็ตายน้ำตื้น เพราะหลงคิดว่าตนนั้นดีแล้วเลิศแล้วดังที่เห็นดังที่เป็นจึงทำสิ่งต่างๆลงไป อย่างคนไร้สติหรืออาจจะมีสติแต่มีสติแบบที่ไม่ใช่ของคนที่ฝึกตนมาดีแล้วตามคำสอนของพระศาสดา เป็นแต่เพียงความคิดของตนเอง ไม่ดูธรรมชาติแวดล้อมว่าที่ว่าดีนั้นแท้จริงมันเป็นอย่างไร หรือว่า คนดีต้องคอยว่าคนอื่นคอยคิดอกุศลกับผู้อื่น คิดว่าเพราะตนเองบรรลุธรรมแล้วมีศีลครองเพียงหยิบมือ ก็กล่าววาจาก้าวล่วงพระสงฆ์สาวกได้ หากว่าการกระทำเหล่านั้นแล้วเป็นวิสัยของผู้ฝึกตนมาดีแล้วตามคำสอนของพระศาสดาจริงละก็ ผมก็ขออยู่ในส่วนที่ไม่ใช่ทางนั้นด้วยเช่นกัน และหากการบรรลุธรรมหมายถึงรุ้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควรตามที่ผมเข้าใจและเรียนรู้มานั้นละก็ หากเป็นทางที่ผิดผมก็ขอเดินทางนั้นแต่เพียงผู้เดียว คนอื่นหรือใครๆที่คิดว่าตนฉลาดก็ไม่ควรเดินตามมา หรือคิดเช่นเดียวกับผม เพราะหากการบรรลุธรรมนั้นเพื่อเอาทิฐิมานะมาแบ่งให้ทุกๆคนที่พานพบ ผมก็คงต้องบอกว่านั่นไม่เรียกว่าบรรลุหรือฝึกตนดีแล้ว แม้เพียงเศษเสี้ยวก็ไม่ใช่ ตรงไหนคิดดูดีๆ สิ่งที่เห็นชัดที่สุด ก็ยังมองไม่เห็นแล้วจะเรียกว่าฝึกตนมาดีแล้วได้อย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2009
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,077
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,669
    ตอนสัมปยุตต้องเป็นฌานด้วยเหรอครับ เห็นท่านบอกว่าไ่ม่สำคัญ ตอนสัมปยุตนี่ ผมกลับเป็นว่าเป็นเรื่องของมรรคล้วน สมาธิก็ถึงพร้อมด้วยสติ ที่เท่าทันในปฎิจจสมุปบาท ถ้าไปเป็นฌานก็คือภวังค์อย่างหนึ่ง มันจะเอาอะไรไปไล่รูปนามเอ่ย หรือว่ากิเลสน้อยมากเบาบางมากถึงเอาฌานกดจนขาดสายได้เอ่ย

    ตรงหลาย ๆ ส่วนที่มันเกิดเอง ไม่น่าจะมีนะครับ จะมีก็เกิดจากเหตุปัจจัย เกิดแล้วไม่แจ้ง

    ผมว่าอย่างน้อยก็น่าจะไม่ลืมมรรคตัวที่สองคือ ความดำริออก นะครับ

    เกิดแล้วไม่รู้ กับเกิดเองนี่ต่างกันไหมเอ่ย

    ถ้าจะเอาปรมัตถ์มาคุยแล้ว รอเกิดเอง สมบูรณ์เอง ดูจิตโดยไม่รู้อะไร ไม่สามารถจำแนกกองทุกข์ ไม่สามารถจำแนกสมุทัย ไม่สามารถเจริญมรรคได้นี่
    มันจะเอาอะไรไปสัมปยุต

    ดูจิต แล้วไปรอให้ดำเนินการเอง เฝ้าเข้าไป ทั้งที่จิตมันไม่มีอะไรเป็นแก่นสารได้ มันก็หลงไปเรื่อย ไม่ต่างอะไรกับอรูป ไม่ต่างอะไรกับการไปเฝ้าอากาศ

    ผมรู้คุณเข้าใจคุณโป แต่ผมขอติเตียนคำกล่าวของคุณ เพราะมันทำให้คนหลง ยึ่งหลงยึดมั่นถือมั่นเข้าไปอีก

    ผมเสนอประเด็นที่ว่าผู้ปฎิบัติต่อให้เป็นผู้ทำฌานให้แห้งแล้ง ก็ไม่ได้ไม่เจริญสมาธิครับ

    อีกเรื่อง วิปัสสนูปกิเลส คือ กิเลสที่ไม่ทำให้วิปัสสนาก้าวหน้า จะเกิดในช่วงญาณสี่ หลงไม่หลง บ้าไม่บ้า ช้าหรือไว ก็ตรงนี้ครับ สมาธิมากก็แน่นไป วิปัสสนาอย่างเดียวก็ฟุ้ง ญาณ ฌาน สมาธิ ปัญญา มันไม่สมดุลย์ ก็คล้อยตามกิเลสโดยไม่รู้ตัว หลงปรุงแต่งได้

    ใครกลัวติดฌาน ผมแนะนำว่าอย่าไปกลัว เพราะไม่ไปนรกแน่ แต่ถ้าปล่อยใจหลง วาจาหลง กายหลง สรุปมิจฉาทิฐิเยอะนี่สิ อบายภูมิย่อมน่ากลัวกว่ากัน

    ปล. ท่านโป สนทนาธรรม เพื่อเจริญธรรมนะครับ เห็นต่าง ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นอริกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2009
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    คือแบบนี้ ครับ jinny

    การเข้าถึง โลกุตระธรรม ก็เรียกว่า ฌาณ เพราะมีจิตเป็นเอกคตาเหมือนกัน
    แต่ว่า ไม่ใช่ ฌาณแบบโลกียะ คือ ไม่ใช่นิ่งทื่อไป แต่ นิ่งและพร้อม เบิกบาน
    ไม่ติด เพราะถ้าติด ก็จะเป็น ภพ แต่โลกุตรฌาณ ไม่ติด หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า สมมติ เข้าไปไม่ถึงใจ มันจะอยู่ในระดับสมมติเท่านั้น ดังนั้่น จิตนี้จะนิ่งเป็นเอกคตา
    เป็นโลกุตระฌาณ
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    สำหรับ ฌาณ จำเป้นหรือไม่ ตอบว่า จำเป็นมาก แม้จะเป็น โลกียฌาณ ก็ยังเป้นทางให้จิตได้วิ่งไปในทิศทางที่ คุมได้ ไม่ใช่ทิศทางที่วิ่งวุ่น เป็นนิวรณ์
     
  5. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ตรงนี้แหละที่น่าสนใจ แล้วทำไมถึงไม่คิดว่าถ้าตนโดนด่าแล้วจะรู้สึกอย่างไร แค่พัดโหมเข้าไปนิดเดียวยังมีอาการขนาดนี้ หลงตัวหลงตน อยู่ได้ ชัดเจนว่าทั้งหมดที่ผ่านมาคือการเถียง เพราะอะไร เพราะกลัวใช่ไหม ตรงนี้ก็เป็นธรรมทานเช่นกัน แต่ก็อาจจะรู้ว่าอะไรเรียกผิดอะไรเรียกถูกได้จริงๆหรือเปล่าไม่รู้นะ เพราะมีแต่ตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้ จบแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2009
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ท่านครับ ถ้าไม่รู้จักคำว่าฌาน ท่านก็ทำความเข้าใจเสียใหม่นะ
    คำว่า "ฌาน" ความเพ่ง คือการรู้อย่างต่อเนื่องเนืองๆอยู่
    ที่ท่านอาจารย์หลวงพ่อเทียนหรือสายยุบหนอพองหนอ เป็นการเพ่งอิริยาบทแบบหนึ่ง

    ท่านครับ ท่านเคยถามครูบาอาจารย์เหล่านั้นแล้วหรือครับ ว่าท่านเคยหยุดนิ่งรึเปล่า???
    ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ที่ผ่านการปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์มา ล้วนเคยสัมผัสกับสภาวะหยุดนิ่งนั้นมาก่อนทุกท่าน

    ท่านครับ เวลาสัมปยุตกันนั้น ฌานเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดปัญญาในการแหวกอวิชชาออกมา

    มันเกิดขึ้นเองไม่ได้หรอก มันเกิดจากการหมั่นฝึกฝนอบรมจนชำหนิชำนาญแล้วต่างหาก
    ที่ว่าไม่ต้องจงใจนั้น เพราะฝึกฝนอบรมจนชำหนิชำนาญแล้ว จนเป็นอัตโนมัติไม่ใช่อยู่ๆก็เกิดขึ้นเองได้

    เมื่อพูดถึงไม่ต้องจงใจนั้น ท่านต้องรู้มาก่อนว่าท่านฝึกฝนอบรมไว้ดีแล้ว
    อย่าบอกนะ ท่านหลุดพ้นจากขอบเขต จึงทำอะไรโดยพ้นเจตนา....

    ;aa24
     
  7. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    คุณโป ไม่สำคัญได้ไงเขาบอกว่าไม่ได้สำคัญที่สุดนี่นะ งั้นเอาใหม่สำคัญที่สุดครับฝึกอะไรก็ตามถ้าเป็นการฝึกสติแบบเพียวๆเลยก็ต้องให้ผลเป็นฌานสมาธิ แม้กระทั่งนั่งเคาะลูกอะไรไม่รู้โป๊กๆๆๆๆไปเรื่อยๆ เพราะถ้าไม่มีเลยหรือให้ความสำคัญกับผลที่ได้นั้นน้อยแล้ว จะเอาอะไรไปสู้กับกิเลสในจิตละ ผมว่าสำคัญครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2009
  8. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,077
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,669
    เห็นตามนั้น อนุโมทนา

    เพิ่มนิดหนึ่ง
    ทำสมาธิ ถ้าทำก็เลี่ยงฌานมิได้ มันดำเนินไปด้วยกัน ทำสมาธิทำให้มาก ย่อมจะทำให้สติกล้าแข็งขึ้น ทำให้พัฒนาอำนาจวิปัสสนา

    ในทางกลับกันไม่รู้จักทำสมาธิ กลัวติดฌานทั้งที่ไม่ได้ลงมือทำ หรือทำแบบไม่จริงจังแล้วไม่ได้ กิเลสมันก็หลอกว่าฌานไม่จำเป็น เราจะเป็นสุขวิปัสโก

    สุขวิปัสโก ก็เจริญสมาธินะครับ เพราะเห็นประโยชน์อย่างมหาศาล เช่น ตักตวงความสุข ใช้เป็นเครื่องอยู่บ้าง พักบ้าง เสริมกำัลังบาง วางทุกข์ที่ยังตัดขาดไม่ได้บ้าง

    เจริญธรรม
     
  9. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    ..ก่อนขับรถยนต์ เราอ่านหนังสือคู่มือก่อนว่านี่ เบรคนะ นี่ครัช นี่คันเร่ง นี่เกียร์ ฯล
    อ่านจบแล้วขับเองเลย ถามว่าตอนขับอยู่ถนนเรามองที่ไหน
    สายตาเรามอง อยู่ที่หนังสือหรือว่าอยู่ที่ทางข้างหน้า ?

    และเมื่อเราขับเป็นแล้ว เรารู้ได้ยังไงว่าเป็น ?
    แล้วตอนที่เรารู้ว่าขับเป็นแล้วจริงๆ
    หรือมีใครยกป้ายให้ดูว่า "ท่านได้ขับรถเป็นแล้ว"


    ธรรมะก็เช่นเดียวกัน หาใช่ว่านั่งไปเพื่อรอคอย เมื่อไหร่มันจะบรรลุซะทีน๊า..???
    หรือไปเที่ยวถามใคร ทึกทักเอาเองว่า ดีใจแหกปากตะโกน กูบรรลุธรรมแล้วจ้า..
     
  10. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,463
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ฌาณ คนละตัวกันจิงๆครับเห็นด้วย มีอาการต่างกันแต่มีลักษนะเดียวกันมีวิตกวิจารปิติสุขเหมือนกัน แต่สว่างกระจ่าง
     
  11. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    เบื่อพวกสุดโต่ง...

    มีฌาณไม่ได้จำเป็นว่า ต้องหลง ต้องยึดติด ต้องโง่ ทุกคน

    พระอรหันต์ มี 4 หมวด
    3ใน 4 เป็น แบบมีฌาณหนือคนธรรมดา คือมีฤทธิ์ทางใจ พร้อมกับหมดกิเลส เข้านิพพาน
    1ใน 4 ถึงจะเป็นพระอรหันต์แบบธรรมดา คือหมดกิเลสเข้านิพพาน

    **คิดเป็น % ก็คือ 75%มี อีก 25% ไม่มี
    แสดงว่าส่วนใหญ่นั้นมีฌาณแล้วหมดกิเลส เข้านิพพาน
    ไม่ได้มีฤทธิ์แล้วหลงกันหมด ส่วนแบบสุขวิปัสโกนั้นมีจำนวนน้อยกว่าด้วยซ้ำ

    ***อย่าเอาตัวเองมาวัดว่ามีฌาณแล้วทุกคนจะต้องหลงกันหมด
    นั่นคือคุณคิดเอาเอง ว่าถ้าเป็นคุณมีฌาณแล้ว คุณจะหลง
    แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเป็นอย่างคุณ

    ****ถ้ามีฌาณแล้วหลงกันหมด อย่าลืมนะว่า...
    พระอรหันต์ ที่มาประชุมกัน 1,250 รูปน่ะ นั่นเป็นแบบมีฌาณหมดเลย
    ถ้าต้องหลงฌาณกันหมด จะมีท่านเหล่านั้นได้อย่างไร

    *****ถ้ามีฌาณมีฤทธิ์แล้วไม่ดี ทำไมพระพุทธเจ้าจึงสรรเสริญ

    พระโมคคัลลา ให้เป็น เอตทัคคะในทางผู้ชำนาญการใช้ฤทธิ์ล่ะ

    พระอนุรุทธเถระ เอตทัคคะในทางผู้มีทิพยจักษุญาณ

    พระโสภิตเถระ เอตทัคคะในทางระลึกปุพเพนิวาสานุสติญาณ

    พระจูฬปันถกเถระ เอตทัคคะในทางผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ

    พระสาคตเถระ เอตทัคคะในทางผู้ชำนาญเตโชสมาบัติ

    ศึกษาให้ดี อย่าเอาแต่คิดเอาเอง
     
  12. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,463
    ค่าพลัง:
    +1,137
    เค้าก้กล่าวว่าทำสมาทิทำฌาณดีกันนี่นา เป็นไรอ่ะคับมีแค่บางคนเท่านั้นล่ะที่ไม่รู้จักฌาณ 2 ประเภทนี้
     
  13. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    ความเห็นของคุณวิมุติ

    ********************************************************

    ท่านครับ ถ้าท่านเคยปฏิบัติมาจริง ท่านคงไม่ถามคำถามแบบนี้หรอก เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าฌานฟัง

    มีแต่ต้องอยู่ในภาวะปกติเท่านั้น จึงฟังได้ แต่ท่านเหล่านั้นเป็นผู้มีความชำนาญในการเข้าออกฌานมาก่อน..

    **********************************************************


    ความเห็นของคุณธรรมภูติ

    ******************************************************
    ท่านครับ ถ้าไม่รู้จักคำว่าฌาน ท่านก็ทำความเข้าใจเสียใหม่นะ
    คำว่า "ฌาน" ความเพ่ง คือการรู้อย่างต่อเนื่องเนืองๆอยู่
    ที่ท่านอาจารย์หลวงพ่อเทียนหรือสายยุบหนอพองหนอ เป็นการเพ่งอิริยาบทแบบหนึ่ง
    ******************************************************

    เรียนคุณธรรมภูติ....ครับ

    เมื่อกี้กำลังแก้ความเข้าใจว่า ฌาน กับคุณวิมุติอยู่ ว่าคุยกันคนละเรื่อง

    ว่าฌานต้องกำหนดให้เกิด แต่ ฌานตอนมรรคสมังคี ไม่ต้องกำหนดให้่เกิด



    ตอนนี้คุณก็เข้ามาเข้าใจคนละเรื่องไปอีกครับ อารมณ์ฌาน กับ สมถะหรือการเพ่ง

    คนละเรื่องกันครับ มันเป็นอารมณ์ กับ อาการ คนละอย่างกันครับ







     
  14. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    ผมขอเรียนถามง่ายๆ......ครับ

    สำหรับทุกท่านที่มีคำถามและมีข้อสงสัย หรือที่มีความเห็นแย้งกัน

    คำถามง่ายมากสำหรับผู้ที่ปฏิบัติจริง โดยไม่ได้คิดเอง หรือ่านจำจากที่ใด



    คำถามเป็นระดับกลางๆ ในชั้นที่ปฏิบัติมาจนพอสมควรเข้มงวดมาพอสมควรแล้วครับ

    ง่ายเป็นอย่างยิ่ง สำหรับทุกท่านที่ตอบกระทู้ในขณะนี้ นะครับ


    ถามว่า........ก่อนที่ใจจะผุดรับผัสสะภายนอก แล้วปรุงให้เกิดอารมณ์

    ที่เรียกว่า วงจรปฏิจสมุปบาทนั้น ก่อนเกิดใจอยู่อย่างไร ,ขณะเข้าไปรับผัสสะ

    ใจไหวอย่างไร และเมื่อเข้าไปปรุงให้เกิดอารมณ์แล้ว ใจเปลี่ยนไปอย่างไร


    สำหรับผู้ปฏิบัติย่อมตอบได้ครับ เพราะธรรมแท้ล้วนลงสู่ที่เดียวกัน

    ทุกคนย่อมมองเห็นกัน...........
     
  15. 1000lert

    1000lert เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +143
    ผมว่าคุณจิตปรุงแต่งซะมากกว่านะครับ

    อวิชชา ปัจจยา สังขารา

    จิตยังไม่ต้องรับผัสส่ง ผัสสะ อะไรภายนอกหรอกครับ
    ถ้าอวิชชาทำงาน สังขาร ความคิดความปรุงก็เกิดไม่หยุดหรอกครับ
    ถ้าคุณเห็นการเกิดดับของสังขาร เกิดปุ๊บดับปั๊บ เกิดปุ๊บดับปั๊บ ไปเรื่อย ๆ

    คุณจะไม่ถามอย่างนี้หรอก

    ผมว่าคุณจิตปรุงแต่งซะมากกว่านะครับ
     
  16. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,708
    ค่าพลัง:
    +1,563
    ลองฟังพระธรรมเทศนาเรื่อง "แก้ดูจิต" ของหลวงพ่อสงบ มนัสสันโต
    <O:phttp:////www.santi-tham.com/th/topic5.php ด้วยนะครับ

    ขอแสดงความนับถือครับ<O:p</O:p
    <O:p
    IRONMAIDEN
    <O:p</O:p
    <O:pใครดูจิตเชิญฟังครับ . . . </O:p<!-- google_ad_section_end -->
     
  17. 1000lert

    1000lert เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +143
    คุณขวัญ เห็นวันก่อนตั้งเป้าจะให้ได้ปฐมฌาณไม่ใช่เหรอครับ
    อ้าวแล้ววันนี้กลับมากลัว ฌาณ ไปซะงั้น

    เปลี่ยนใจง่ายจริงนะคุณ
     
  18. มโน

    มโน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +100
    อวิชชา ปัจจยา สังขารา ทำให้เกิดวงจรปฏิจสมุปบาทต่อเนื่องไม่ขาดสาย

    หากอยากทราบคำตอบที่เกิดจากการปฏิบัติ

    ภาวนาจนจิตเห็นจิต ที่เป็นจิตเดิมแท้ (ไม่ใช่จิตเห็นจิต ที่เห็นความคิดหรืออาการของจิต)

    ฐีติภูตัง คือ จิตเดิมแท้ หรือจิตประภัสสร ที่เป็นพ่อแม่อวิชชา

    เกิดขึ้นจากการภาวนาเมื่อใด เมื่อนั้นก็หายสงสัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2009
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อ่าว...ไหงตีความไปงั้น ล่ะ
    แค่เตรียมข้อมูลไว้เนิ่นๆ ถ้าเผื่อได้ฌาณจะได้มีพื้นความรู้ไว้หน่อย
    ว่าจิตอาจมีการปรุงแต่งจากอำนาจของฌาณได้ ถ้าขาดสติก็เป็นโลกียฌาณ
    ถ้ามีสติประกอบก็เป็นสัมมาสมาธิ ไม่รู้เข้าใจถูกไหม แต่ก็เข้าใจว่าเป็นงี้อยู่นะ
     
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    มีแต่สติ ที่ถึงพร้อมนั้นจึงเห็นได้ แต่คำว่าถึงพร้อมของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน เพียงแต่การรู้ที่มาที่ไปของสังขารซึ่งเป็นตัวแรกที่ต่อจากอวิชชา หากเอาแค่คิด ก็ลองคิดดูว่าจะต้องทวนสติตามรู้มาจากตรงไหน และในความเป็นจริง คุณจะเห็นได้จากตรงไหน ถ้าความกล้าแกร่งของสตินั้นยิ่งใกล้ต้นกำเนิดของอวิชชานั้นต้องยิ่งมีมากจึงจะเห็นได้ ถ้าไม่หลอกตัวเองนะครับ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าระหว่าง ทุกข์ ไปหา ตัณหา ก็ยังพึ่งสติอย่างมากแล้วจึงจะเห็นได้ แล้วสังขารความปรุงแต่งที่เกิดขึ้นนั้นจะต้องใช้สติขนาดไหน อันนี้ผมลองเสนอเป็นความคิดนะครับ แต่ก็อิงการปฏิบัติอยู่บ้างครับ
    อนุโมทนาครับ คุณโป
     

แชร์หน้านี้

Loading...