จิตคือพุทธะ (ถอดจากเสียงหลวงปู่ดูลย์)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย kengkenny, 23 กันยายน 2009.

  1. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    น่าจะเป็นว่า ถ้าไม่มีจิตก็ไม่มีขันธ์ ๕ มากกว่าค่ะ

    อย่างก้อนหิน ดิน ทราย เพราะไม่มีจิตครอง
    จึงไม่มีขันธ์ ๕ เป็นเพียงรูป อย่างหนึ่งเท่านั้น

    แต่มนุษย์ เพราะมีจิตครอง จึงมีขันธ์ ๕
    รูปขันธ์ มีอายตนะภายใน ๖(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
    เป็นช่องทางของจิตในการติดต่อกับอารมณ์(รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธัมมารมณ์)
    ทำให้เกิดวิญญาณ ๖ การรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    เกิดเวทนา ๓ (พอใจ ไม่พอใจ เฉยๆ)ต่ออารมณ์
    เกิดสัญญา ๖ (การจดจำอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
    เกิดสังขาร (ความคิดดี คิดชั่ว คิดไม่ดีไม่ชั่ว)ต่ออารมณ์นั้นๆ ตามมา

    ครบขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    หรืออารมณ์และอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์
    มาเกิดขึ้นที่จิต และดับไปจากจิต ตลอดวันตลอดคืน

    (smile) อ่านดูที่นี่ค่ะ
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    อ่านเต็มๆที่นี่

    ท่านครับ
    ไม่มีจิต ก็ไม่มีอวิชชา
    ไม่มีอวิชชา ก็ไม่มีภพ
    เมื่อไม่มีภพ ก็ไม่มีทุกข์

    มีพระพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตที่เวียนว่ายอยู่ในสังสารจักร์นี้ มีอยู่ก่อนนานมาแล้ว
    ซึ่งผู้มีปัญญาไม่อาจตามรู้ได้ ว่ามาจากไหน? และจะไปสิ้นสุดเอาเมื่อใด?"

    ;aa24
     
  3. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ถูกทั้งหมดแต่ เพราะตัณหาอุปาทานต่างหากทำให้จิตเวียนว่ายไปเพราะความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ทั้งที่เป็นรูปและเป็นนาม จิตจึงมี และเป็นแหล่งหรือเป็นบ่อเกิดของทุกข์ทั้งหลายเพราะความยึดมั่นถือมั่นทั้งในตัวตนของมันเองและสิ่งปรุงแต่งที่จรมากระทบจากภายนอก และสาเหตุที่เวียนว่ายไปนั้นเป็นผลหรือผลิตภัณฑ์ ที่เกิดสืบเนื่องจากความปรุงแต่งและยึดไปกับอารมณ์ความคิดของจิต ซึ่งเดิมก็เป็นของที่มีมากับขันธ์ทั้ง ๕ นั้นอยู่แล้วเพียงแต่มันจะสิ้นสุดเมื่อทราบความเป็นมาเป็นไปของเหตุของการเกิดความยึดมั่นนั้น และผลของความดับแห่งความยึดมั่นในสิ่งต่างๆเหล่านั้น รวมไปถึงความคิดว่าจิตที่เป็นเราด้วย ภพชาติ จึงดับลงได้อย่างถาวร หรือ เป็นแนวทางที่จะทำให้ดับภพชาติลงได้ไม่มากก็น้อย
     
  4. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อันนี้ก็ถูกครับเพราะมนุษย์สัตว์บุคคลล้วนอาศัยธาตุต่างๆเหล่านี้ประกอบกันขึ้นเพียงแต่ มนุษย์ผู้ได้สดับและมีสติปัญญานั้นจะรู้ว่า เหตุที่เกิดและดับของธาตุนั้นอยู่ที่ไหน หมายถึง จะหาวิธีถอดถอนจิตตนออกจากธาตุทั้งหลายอันเป็นสมมุติให้ยึดเหนี่ยว ซึ่งก็เป็นเรื่องของการแจกแจงธาตุ ที่สัตว์บุคคลมีได้เป็นได้เท่านั้น แต่เรื่องการละตัณหาอุปาทานนั้น ก็อีกเรื่องหนึ่งครับ เพราะมีตัณหาอุปปาทานอีกนั่นแหละครับ ที่ไปยึดอารมณ์ แต่เพราะยึดว่ามีมันก็มีอยู่ที่จิตนั่นแหละครับ ทุกๆอารมณ์เกิดได้เพราะมี...เป็นที่ยึดมั่นถือมั่น การรู้ว่าอารมณ์นั้นความคิดนั้นเกิดดับได้อย่างไรก็คือ การรู้ว่ามี...นั้นอยู่ด้วยเช่นกัน แต่เพราะยึดมั่นว่าสิ่งนั้นมี...นั้นจึงเกิดความยึดมั่นถือมั่น คือ มีตัณหาอุปทานในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งภายในภายนอก ใช่ไหมครับ ... คือ จิต ครับ
     
  5. จีโอ14

    จีโอ14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +262
    ผมเองต่างหาก ที่หลงไปตอแยกับท่าน โดยไม่พิจารณาให้ถ่องแท้เสียก่อนว่า ควรสนทนาด้วยหรือไม่..ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย:cool::cool:

     
  6. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ท่านเข่งครับ ผมเริ่มรู้สึกดีขึ้นและหวังว่าท่านก็คงเป็นเช่นเดียวกับผม อีกทั้ง
    ไอ้ตัวที่มาคอยกวนให้รำคาญใจมันสิ้นท่าไปแล้ว จึงอย่างจะสนทนากับท่าน
    ต่อในเรื่องที่ค้างไว้
    ...........ผมหายสงสัยว่าทำไมท่านถึงชอบว่าผู้ที่ใช้บัญญัติ เป็นเพราะท่านไม่
    สามารถนำบัญญัติ มาสื่อให้ผู้อื่นเข้าใจนี้เอง อีกทั้งท่านต้องเข้าใจด้วยว่า
    การที่จะให้ผู้เข้าใจในตัวเรา เราต้องใช้บัญญัติเป็นสื่อครับ แต่ถ้าเป็น
    การปฏิบัติเฉพาะตัวมันก็อีกเรื่องหนึ่ง
    .........ผมจะอธิบายให้ดูนะครับว่าท่านใช้บัญญัติในการสื่อได้แย่มาก จนทำ
    ให้ผมเข้าใจไปว่าท่านเพี้ยนไป ตัวอย่างเช่น
    ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าเรากำลังสนทนากันใน ศาสนาพุทธ
    ที่มีพระโคดมเป็นศาสดา ถ้าเราจะกล่าวที่นอกเหนือจากนี้เราต้อง อธิบาย
    ความเพิ่มไว้ด้วย เพราะไม่มีผู้อื่นมาเข้าใจข้อความในใจเราได้
    ......ถ้าท่านกล่าวว่าพระธรรม เราๆท่านๆย่อมต้องเข้าใจว่า เป็นคำสอนของ
    พระโคดมพระพุทธเจ้า เพราะเรากำลังคุยกันในคำสอนของพระโคดม
    ฉะนั้นสิ่งที่ท่านกล่าวว่า พระธรรมอันมีพระรัตนตรัย ย่อมทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด
    ไปว่า สิ่งที่เป็นตัวประกอบ จะมามีตัวประธานได้อย่างไร อันที่จริงท่าน
    ต้องใช้คำดังนี้ครับ ธรรมอันเป็นพระรัตนตรัยครับ
    ......ท่านสังเกตุดูมันแตกต่างกันตรงพระธรรมกับคำว่าธรรม
    ......ธรรมในความหมายของผมคือการมีอยู่จริง ส่วนพระธรรมหมายถึง คำสั่งสอนของพระโคดม
    ก็ผมเข้าใจพระธรรมตามความเป็นจริงงัยครับว่า เรากำลังคุยกันถึงพระโคดม
    แต่ท่านท่านเถือกท่านไถ การสนทนาของเราไปไกลแล้ว ไม่อธิบายให้คนอื่น
    เข้าใจ วันหลังท่านจะนอกเรื่องจากที่สมาชิกในนี้เขาคุยกัน กรุณาอธิบาย
    ความไว้ด้วย ผมจะได้ไม่เปลี้องเซลล์สมองคิดว่าท่าน เสียสติไปแล้ว
    ไอ้คำว่า"ไม่นานนี้"ของท่านนะ มันกี่ปีกันครับ อีกทั้งการพิมพ์ข้อความที่ติด
    กันเป็นพรืด มันเหมือนกับชื่อของท่านที่ เป็นจีนอักษรฝรั่งแต่มาพิมพ์หนังสือ
    ไทย เลยทำให้ผมเข้าใจไปว่า ไม่นานนี้ของท่านคงไม่กี่ปีมานี้เอง ทั้งๆที่
    ในความเป็นจริงมันล่วงเข้าสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว

    ......สุดท้ายถ้าท่านโพสท์ข้อความ ไปในแนวของผู้ที่อวดสรรพคุณตัว
    เองแต่ถ่ายเดียว หาใช่เป็นประโยคที่ให้ผู้อื่นสนทนาร่วม ผมก็จะขอออก
    ตัวไว้ก่อนเลย ผมจะหยุดแล้วครับ เพราะถ้าขืนยังคุยต่อสมาชิกท่านอื่น
    อาจเห็นเราบ้าก็ได้ อีกทั้งมันไม่เกี่ยวกับเหตุผลที่ผมโพสท์เข้ามาแต่
    แรกๆว่า มือถือสาก ปากถือศีลหรือปีศาจคาบคัมภีร์
     
  7. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ขอโทษนะคะ ที่เขียนมาว่า การรู้ว่ามี...สิ่งนั้นมี...ฯลฯ
    เลยนึกถึง ปฏิจจสมุปบาทธรรมฝ่ายเกิด-ฝ่ายดับ ฝากให้พิจารณาค่ะ


    ปฏิจจสมุปบาทธรรมฝ่ายเกิด
    เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น

    เมื่ออวิชชามีอยู่ สังขารจึงมี เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
    เมื่อสังขารมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
    เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
    เมื่อนามรูปมีอยู่...ฯลฯ...

    ดังพรรณนามาฉะนี้
    ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้


    ^
    เพราะมีอวิชชาที่จิต...สังขารจึงมี...วิญญาณจึงมี...นามรูปจึงมี...ทุกข์จึงเกิดขึ้นที่จิต
    ไม่ใช่จิตเกิด

    ++เพราะจิตมีอยู่มานานแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเริ่มต้นจากที่ใด และจะไปสิ้นสุดเอาเมื่อใด ( สังสารวัฏ )
    ++จิตเดิมประภัสสรผ่องใส แต่ที่เศร้าหมองเพราะมีอุปกิเลสเป็นแขกจร
    ++ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้เป็นอุปกิเลสของจิต


    จึงทรงสอนให้อบรมจิต โดยการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘
    ซึ่งเป็นการปฏิบัติทางจิต เพื่อให้จิตเกิดปัญญา รู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง

    ปฏิจจสมุปบาทธรรมฝ่ายดับ
    เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ

    เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ
    เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
    เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
    เพราะนามรูปดับ...ฯลฯ...ดังพรรณนามาฉะนี้

    ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้


    ^
    เพราะอวิชชาดับไปจากจิต..สังขารจึงดับไปจากจิต..วิญญาณจึงดับไปจากจิต...ฯลฯ
    ทุกข์ดับไปจากจิตโดยไม่เหลือ ไม่ใช่จิตดับ

    จิตไม่ได้ดับ แต่จิตรู้อยู่ว่าวิญญาณดับไปจากจิต...และทุกข์ดับไปจากจิตโดยไม่เหลือแล้ว
    ปฏิจจสมุปบาทธรรมดับแล้ว ...ดับไปจากจิต
    เพราะทุกข์เกิดขึ้นที่จิต ทุกข์ก็ต้องดับไปจากจิต

    จิต คือ รู้ ( รู้ผิด, รู้ถูก )
    ถ้าจิตดับ คือ รู้ดับ คือ ไม่รู้ไรเลย จะมีประโยชน์อะไรในการปฏิบัติล่ะ???

    เราปฏิบัติเพราะทุกข์ ต้องการดับทุกข์ (ไม่ใช่ดับจิต)
    ทุกข์เกิดขึ้นที่จิต เมื่อดับทุกข์จากจิตแล้ว จิตดับตามด้วยหรือ???


    (smile)
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ท่านครับ "ผลแห่งความดับยึดมั่นในสิ่งต่างๆเหล่านั้น" ผลแห่งความดับของใครๆๆๆ?????
    "รวมไปถึงความคิดว่าจิตที่เป็นเราด้วย" ใครๆๆๆที่คิดว่าจิตเป็นเรา???

    ;aa24
     
  9. จีโอ14

    จีโอ14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +262

    หากคิดว่ามีส่วนไหน..ที่เป็นการตอบตามกระทู้นี้..ก็ชี้หรือเน้นส่วนนั้น..ตรง ๆ ไปเลย

    แต่ถ้าจะยกมา..ให้พิจารณา..

    ก็น่าจะไปตั้งเป็นกระทู้ใหม่ต่างหาก..จะดีกว่านะครับ
     
  10. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ปฏิจจสมุปบาท ว่าไว้ เมื่อมีอวิชา...สังขารจึงมี
    เมื่อจิตเป็นตัวรู้ ตัวรู้นั้นแหละ เป็นอวิชาในเรื่อง
    ...... ความไม่รู้ในปฏิจจสมุปบาท......

    ......ประโยชน์ของการปฏิบัติ มันขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายสุดท้ายของแต่ละคน
    ซึ่งมันก็มีอวิชาแฝงอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับหนทางที่ต้องการนั้น
    มันคืออะไร และต้องดูด้วยว่ามันใช่ หนทางที่จริงแท้หรือไม่

    ......การไม่ขอเกิดในความหมายของนิพพาน ผมมีความเห็นว่า การปฏิบัติ
    ให้ถึง สภาวะที่จิตหรือผู้รู้หยุดการทำงานไม่ส่งต่อให้ สภาวะผู้รู้ไปให้เกิดสภาวะใหม่ต่อไป


    .....สุดท้ายเราเองนั้นแหละที่ต้องมาพิจารณาธรรมในใจว่า เรายังเสียดาย
    สิ่งสมมุติที่เรียกว่าดวงจิตหรือไม่ ยังเสียดายสิ่งที่ต้องการรู้หรือไม่ และยัง
    กลัวต่อการสูญสลายไปในที่สุดหรือไม่
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    จิตคือธาตุรู้ ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น ทรงไว้ซึ่งความรู้
    จิตที่รู้ "ผิด"จากความเป็นจริงเพราะอวิชชาครอบงำจิต
    จิตที่รู้ "ถูก" ตามความเป็นจริงเพราะรู้อริยสัจจ๔ วิชชาจึงเกิดชึ้นที่จิตแทนที่อวิชชา

    ;aa24
     
  12. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,077
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,669
  13. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    ขนาดหนังสือของหลวงปู่ดุลย์ ที่พิมท์จากหลายๆแห่งไำม่ได้นัดหมายกันเลย

    นี้ยังมีคนโฟสต์บอกว่าตรงกับคำสอนของฮวงโปตรงไหน ตรงกับหน้าที่เท่าไหร่



    และแม้มีเสียงเทศน์ของหลวงปู่ชัดๆ ยังมีคนบอกว่า มีคนเอาไปให้ท่านเทศน์


    ช่างร้ายเหลือจริงๆ


    ดังนั้นอย่าเชื่อว่าที่เขาบอกว่าเป็นความจริง โดยที่ยังไม่ได้ปฏิบัติรู้เห็นเอง

    และนำมาเปรียบเทียบ ตามหลักกาลามสูตรของพระพุทธองค์
     

แชร์หน้านี้

Loading...