การปล่อยวางคือธรรมขั้นสูงสุด

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 27 ธันวาคม 2009.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,172
    สิ่งใดก็ตามเมื่อก้าวมาถึงจุดที่สูงสุดแล้ว ย่อมต้องคืนกลับไปสู่ความเดิมแท้อันเป็นธรรมดาสามัญอีกครั้ง ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ที่มีภูมิความรู้ทางด้านธรรมะ อย่างผู้ที่เพิ่งได้ธรรมใหม่ๆ แม้ส่วนใหญ่จะเกิดอาการหลงโลกหลงธรรมไปบ้าง แต่พอผ่านเข้าถึงธรรมขั้นสูงสุดแล้วก็จะเกิดการปล่อยวางมายากิเลสเหล่านั้นลงได้เอง
    โดยทั่วไปผู้ปฏิบัติที่เพิ่งเริ่มเดินทางเข้าสู่เส้นทางธรรมมักจะมีไฟแรงในช่วงต้น เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธาในการปฏิบัติ ประกอบกับจิตใจอันดีที่อยากให้เพื่อนมนุษย์ทุกคนได้เข้าถึงความรู้แจ้งเห็นจริง และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ออกไปได้ ดังนั้นเมื่อจิตของตนได้สัมผัสกับภาวะจิตเช่นใด จึงอยากให้คนอื่นได้มาสัมผัสกับภาวะแห่งจิตเช่นเดียวกับที่ตนสัมผัสได้ และอยากให้ทุกคนได้เข้าถึงสมาธิ เมื่อพบปะเจอะเจอใครๆ จึงมีความปรารถนาที่จะถ่ายทอดและเผยแผ่ในประสบการณ์ดีๆ ทางจิตที่ตนได้สัมผัสมาจากการปฏิบัติ
    แต่บางครั้งความศรัทธาอันแรงกล้าก็อาจนำมาซึ่งความหลงโลกหลงธรรมได้เช่นกัน ด้วยเพราะภูมิปัญญาแห่งธรรมในขั้นต้นสามารถเกิดขึ้นได้ในภาวะที่ผู้ปฏิบัติยังคงมีความหลงในกิเลสโลกอยู่ ถึงแม้ว่าบางครั้งอาจจะเป็นกิเลสในฝ่ายดีอันเป็นทางบุญทางกุศลก็ตาม แต่หากไม่เท่าทันแล้ว กิเลสฝ่ายดีนั้นก็อาจเข้าทำร้ายจิตใจของนักปฏิบัติให้ได้รับความเศร้าหมองได้เหมือนกัน
    ในช่วงที่ได้ธรรมใหม่ๆ ผู้ปฏิบัติจะยังคงไม่เท่าทันต่อกิเลสและตกอยู่ในอำนาจมายาของกิเลสโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นกิเลสที่มีความละเอียดด้วยแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อาจารย์ในหลายๆ สำนักก็ยังมีความรู้สึกอยากมี อยากได้ อยากเป็น อยากมีชื่อเสียง อยากเป็นที่เคารพนับหน้าถือตา อยากเป็นที่รู้จักของผู้คนในสังคม อยากสร้างโน่นสร้างนี่ให้ดีกว่า ให้สวยกว่า ราคาแพงกว่าของที่อื่น
    ถึงแม้หลายท่านจะเป็นผู้ที่มีจิตใจดี แต่ด้วยความหลงโลกที่อยู่ภายในจิต เมื่อจิตไม่เท่าทันต่อความหลงเหล่านี้ (หลงในกิเลสมายาโลก หลงในคำชื่นชมสรรเสริญเยินยอที่ชาวโลกมอบให้)
    สุดท้ายจึงกระทำกิจกรรมที่สนองตอบมายากิเลสโลกเหล่านั้น เพื่อต้องการให้ผู้คนหันมาศรัทธาในคำสอนของตน
    ตราบใดที่สภาวะจิตของผู้ปฏิบัติยังพัฒนาไปไม่ถึงจุดสูงสุดแห่งธรรม ก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดความหลงปรากฏอยู่ภายในจิตใจได้ ต่อเมื่อภูมิแห่งจิตก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งการปฏิบัติแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถปล่อยวางมายากิเลสโลกลงได้อย่างแท้จริง ภูมิแห่งจิตจะลอยอยู่เหนือสมมติโลก เป็นโลกุตระภูมิ ไม่ใยดีต่อมายาสมมติโลกแต่ประการใด ผู้ที่ถึงสภาวะเช่นนี้จึงเลือกที่จะสอนธรรมให้เฉพาะผู้ที่มีความสนใจในธรรม แต่เป็นการสั่งสอนแบบหมดซึ่งความอยาก ไม่มีความอยากหลงเหลืออยู่ภายในจิตใจเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งความคิดที่จะอยากเป็นครูบาอาจารย์สั่งสอนใครก็ยังไม่มี อีกทั้งไม่ได้ยินดีต่อคำสรรเสริญชื่นชมในการปฏิบัติธรรมของตนว่าปฏิบัติดี ปฏิบัติเก่ง เนื่องจากภาวะจิตอยู่ในขั้นหลุดโลกไปแล้ว
    ภูมิแห่งจิตเมื่อพัฒนาไปจนถึงจุดสูงสุด จิตจะมีอาการปล่อยวางจากทุกสิ่งทุกอย่าง หมดมานะ ทิฐิ อัตตาตัวตน ดูราวเสมือนเป็นมนุษย์ปกติธรรมดาที่ไม่มีดีวิเศษแต่ประการใด สูงสุดย่อมคืนสู่สามัญ ผู้ที่บรรลุสำเร็จทางจิตจะกลับมีสภาพเป็นเพียงคนปกติธรรมดาอย่างเราๆ นี้เอง ไม่หลงในลาภยศสักการะ ไม่หลงในคำสรรเสริญเยินยอ ไม่หลงในเกียรติยศชื่อเสียง ไม่อยากออกโทรทัศน์ ไม่อยากลงหนังสือพิมพ์ ไม่อยากโด่งอยากดัง ไม่ต้องการให้ผู้คนมาคอยนอบน้อมกราบไหว้บูชา หมดซึ่งความอยากมี อยากได้ อยากเป็น บนโลกนี้แล้วอย่างเด็ดขาด
    ส่วนอาจารย์ท่านใดที่ยังคงมีกิเลสมายาสมมติโลกหลงเหลืออยู่ในจิต ก็ย่อมทราบดีอยู่แก่ใจตนเอง แม้ว่าท่านจะสามารถสร้างภาพหลอกคนทั้งโลกให้หลงเชื่อท่านได้ แต่ถึงอย่างไรท่านก็ไม่อาจที่จะหลอกจิตใจของตัวท่านเองได้เลย ผู้ที่สั่งสอนผู้คนให้เกิดความหลง สร้างอัตตาตัวตน เป็นเขาเป็นเรานั้นเป็นบาปเป็นกรรม
    ผู้ใดที่รู้ตัวว่าตนได้หลงทางไปแล้ว เมื่อรู้ตัวแล้วสำนึกผิดและคิดกลับตัวกลับใจ ก็ให้ตั้งจิตก้มกราบลงขอขมาต่อแม่พระธรณี ขอให้แม่พระธรณีช่วยบรรเทาบาปกรรมที่ตนได้นำพาผู้คนไปในทางที่ผิด ด้วยเพราะอวิชชาความไม่รู้จริง คิดซื้อขายบุญกุศล ซื้อขายนรกสวรรค์ ซื้อขายสวรรค์วิมาน จองบาปจองบุญ อันเป็นเหตุแห่งเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้
    ทุกวันนี้ในสังคมบ้านเราถูกแทรกซึมไปด้วยนักธุรกิจที่เข้ามาแสวงหาประโยชน์จากการปฏิบัติธรรม จากความเชื่อและความศรัทธาของผู้คนจนแทบแยกไม่ออกว่าอันไหนของจริง อันไหนของปลอม ทำให้การปฏิบัติธรรมเป็นไปในแนวทางที่ผิดเพี้ยน
    หากผู้ปฏิบัติขาดปัญญาในการพิจารณาไตร่ตรองจนเกิดความหลงเชื่อในคำโฆษณาเชิญชวน และการสร้างภาพให้หลงเชื่อต่างๆ ด้วยแล้ว ความศรัทธาก็จะกลายเป็นความงมงายไปได้ ศรัทธากับความงมงายนั้นอยู่ใกล้กันมาก ถ้าก้าวพลาดเพียงนิดเดียว การปฏิบัติธรรมของเราก็จะเริ่มเดินออกนอกเส้นทาง กลายเป็นหลงทาง และไปผิดทางตามที่พวกเขาต้องการให้เป็น
    อาการของผู้ปฏิบัติที่ถึงธรรมขั้นสูงสุดคือการปล่อยวางจากกิเลสโลก มิใช่การสะสมกิเลสโลกเอาไว้ มิใช่การสร้างให้เกิดอัตตาตัวตนเป็นพวกเขาพวกเรา ให้เห็นว่าเราเก่งกว่าดีกว่าคนอื่น เหล่านี้เป็นการสอนที่ผิดทาง
    ทุกคนที่เกิดมาบนโลกล้วนยังคงมีความโง่ติดอยู่ภายในจิตด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่จะโง่มากหรือโง่น้อยกว่ากัน แต่ดวงจิตที่หมดซึ่งอวิชชาความโง่แล้วนั้นไม่มีเลย เพราะหากหมดอวิชชาความโง่แล้วย่อมไม่ต้องมาเกิด แต่ที่ยังเห็นเกิดกันอยู่นี้ก็เพราะอวิชชายังไม่หมดสิ้นไปจากจิต มนุษย์เราทุกคนจึงไม่มีใครดีไปกว่าใคร หรือใครเก่งไปกว่าใคร เราต่างก็เกิดและตายได้เท่าเทียมกันทุกคน.

    อ.บูรพา ผดุงไทยการปล่อยวางคือธรรมขั้นสูงสุด | ไทยโพสต์
     
  2. ขวัญดาว

    ขวัญดาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +577
    น้อมรับคำสั่งสอน นี้ ไว้ในหัวใจ เจ้าค่ะ
     
  3. ปีศาจร้าย

    ปีศาจร้าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1,240
    พอดีได้พบสัจธรรมมากับตัวเองว่าอะไรมันก็ไม่เที่ยง ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แม้ กระทั่งใจคน ที่เคยไว้ใจที่สุด และตอนนี้ก็กำลังฝึกรู้ทันกิเลสที่เกิดเมื่อรู้แล้วก็ปล่อยวาง..........
     
  4. Fai3iola

    Fai3iola เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +319
    สูงสุดย่อมคืนสู่สามัญ
     
  5. patcha2001

    patcha2001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +174
    (ping-love(ping)(one-eye)(sing)(tm-love)(cry)(good)

    วัฏจักรชีวิตของคนเรานั้นมีหลายขั้น

    1.เด็ก(พ่อแม่เลี้ยงดู)

    2.เติบโต(วัยรุ่น) ลองผิดลองถูก

    3.โตเต็มวัย(ผู้ใหญ่) ดูแลตนเอง ครอบครัวและพ่อแม่

    4.วัยกลางคน(อิ่มตัว หรือ ตก)

    5.วัยชรา(มั่นคง หรือไม่มั่นคง)

    ตราบใดที่ยังไม่ชรา ยังคงต้องสู้ต่อไป ควรปล่อยวางความชั่ว

    แต่สู้ชีวิต ทำความดี เพื่อครอบครัว และบุคคลอันเป็นที่รัก

    denceedenceedenceedenceedencee
     
  6. fcaon

    fcaon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +72
    เปรียบได้กับคำสอนที่ว่า
    ทุกสิ่งเราไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
    ไม่ว่าจะเป็น วัตถุ บุคคล หรือ อารมณ์
    ความสุข หรือ ความทุกข์
    เพราะทุกอย่างล้วนเป็นกิเลส
    ที่ทำให้เราต้อง เวียนว่าย ตาย เกิด

    สำหรับผม กิเลสยังเยอะอยู่ บางอย่างก็ปล่อยวางได้ยาก
    คงต้องยังวนเวียนอยู่ ในสังสารวัฏฏ ต่อไป

    หากนำเรื่องการปล่อยวางมาใช้ประโยชน์ ก็คงในเรื่องการดำรงชีวิตทั่วๆไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...