ใครอยากก้าวหน้าในธรรม ต้องตั้งคำถามให้เป็น

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 17 ธันวาคม 2009.

  1. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    แบบนี้แหละ เรียกว่า จดจำมาพูด เพราะว่า คำว่ามีสติ นี่ต้องถามว่า อะไรคือมีสติ
    แล้ว ถ้ามีสติก็เป็นสมาธิ นี่ก็แสดงว่า ไม่ต้องปฏิบัติสมาธิ เอาแค่มีสติอย่างเดียวหรือ

    ไม่ตกลงไปสู่ห้วงกิเลสตัณหา เรียกสัมมาสมาธิ ต้องถามว่า ทำอย่างไร


    ผมถามเอาวิธีปฏิบัติสมาธิ ง่ายๆ นี่แหละ ไม่ใช่ถามเรื่องของหลักการ อธิบายมาด้วยสิ่งที่ตนประสบพบเจอมาสิ จะได้เข้าใจว่า ไอ้คำว่า สตินี้ มันคืออาการอย่างไร



    หาทางละ อะไร ดับความยึดมั่นถือมั่นอะไร ดับตรงไหน คุณลองพูดหน่อยซิ



    ที่ทำอยู่นี่แหละ คือ การที่คุณท่องจำมา นึกคิด ไม่ได้ประสบพบเจอ





    อย่าไปทางอื่น เอาทางตรงๆ ง่ายๆ[/quote]

    แบบนี้แหละ เรียกว่า จดจำมาพูด เพราะว่า คำว่ามีสติ นี่ต้องถามว่า อะไรคือมีสติ
    แล้ว ถ้ามีสติก็เป็นสมาธิ นี่ก็แสดงว่า ไม่ต้องปฏิบัติสมาธิ เอาแค่มีสติอย่างเดียวหรือ
    คิดได้แค่นี้ก็คิดว่าตนเองเก่งแล้วเหรอ แต่ความจริงอาจจะอยากรู้ว่าปฏิบัติยังไงเท่านั้นก็ได้จริงไหม ผมจะไปจดมาพูดเพื่ออะไรครับ พูดไปแล้วมันทำให้ผมนั้นดูดีหรือเป็นในสิ่งนั้นไหมครับ การมีสติคือการระลึกรู้สภาวะต่างๆที่จิตกำหนดไว้หรือตั้งเจตนาไว้แล้ว เมื่อมีสติจิตเกิดขึ้นความตั้งมั่นคือสมาธิก็เกิดขึ้นเหมือนเงาตามตัว แต่คนอื่นผมไม่รู้เพราะผมเห็นในตำรา บอกว่า ฝึกสมาธิต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ผมว่าคุณรู้แน่นอนว่า สติมันมาก่อนสมาธิเสมอ
    ไม่ตกลงไปสู่ห้วงกิเลสตัณหา เรียกสัมมาสมาธิ ต้องถามว่า ทำอย่างไร
    ถ้าสติรู้อยู่ตลอดเวลาของการเห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นขณะภาวนา นั่นคือ เวทนารมณ์ ต่างๆที่เกิดขึ้นสติรู้คือรู้ว่าสิ่งนั้นเกิดเพราะอะไร มาจากสัญญารมณ์ต่างๆไหม ถ้ามีสติอยู่ก็ไม่หลงไหลไป หรือคล้อยไป กับสิ่งต่างๆเหล่านั้น จิตตั้งอยู่ในอารมณ์เดียว ไม่วอกแวก สงบเป็นหนึ่งเดียว ทั้งจากสิ่งภายในและภายนอก

    ผมถามเอาวิธีปฏิบัติสมาธิ ง่ายๆ นี่แหละ ไม่ใช่ถามเรื่องของหลักการ อธิบายมาด้วยสิ่งที่ตนประสบพบเจอมาสิ จะได้เข้าใจว่า ไอ้คำว่า สตินี้ มันคืออาการอย่างไร

    เอ้าก็หายใจเข้าให้รู้หายใจออกให้รู้อยู่อย่างนั้นต่อเนื่องจนจับเป็นอารมณ์ได้ ว่าในขณะลมเข้าออกนั้นมันรู้สึกอย่างไร ทีนี้ที่ว่าจะรู้ได้แบบนั้นก็ต้องมีสติไม่ใช่เหรอ หรือ จะมาบอกว่าอยู่ๆก็วิตกวิจารณ์เลยและไปปิติเลย ใครกันแน่ที่ตำราล้วนๆ

    หาทางละ อะไร ดับความยึดมั่นถือมั่นอะไร ดับตรงไหน คุณลองพูดหน่อยซิ

    จริงๆก็ตอบไปแล้ว ว่าดับที่ไหนนะครับ อ่านดีๆว่า สิ่งที่ทำให้คิดว่าเรานั้นเก่งกว่าคนอื่นนั้นดีกว่าคนอื่นนั้นมันเป็นเพราะอะไร และอยู่ที่ไหน ของผมอยู่ที่ใจหรือจิต ยึดมั่นถือมั่นในความรู้ของตนเองเห็นว่าตนเองนั้นรู้แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง จะดับก็ดับที่พิจารณาหาความจริงว่าอะไรทำให้เราคิดว่าเราเก่งหรือดีกว่าคนอื่น เมื่อรู้แล้วมันก็ดับเว้นเสียแต่ไม่รู้


    ที่ทำอยู่นี่แหละ คือ การที่คุณท่องจำมา นึกคิด ไม่ได้ประสบพบเจอ
    ตรงนี้ตอบได้เลยว่า ข้อความที่เรียกว่าท่องจำมาตอบกับข้อความของลุงขันธ์ทั้งหมดทุกชุดนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ได้เรียกท่องจำ มีบัญญัติมากมายมันเกิดขึ้นเองในหัวสมองอย่างนั้นกระมัง




    อย่าไปทางอื่น เอาทางตรงๆ ง่ายๆ[/quote]
    ทางอื่นที่ไหนทางนี้มีทางเดียวเลย ถ้าปฏิบัติแล้วกิเลสตัวเป้งๆตนเองมองไม่เห็นแล้วยังเที่ยวแสดงตัวให้คนอื่นเห็นอีกเจ้าตัวกิเลส คนอื่นเขาก็หัวเราะเอาแล้วก็พูดอ้อมๆไปว่า ใจตนมองไม่เห็นแต่อยากจะไปเห็นใจเห็นกิเลสของคนอื่นไปฝึกอีกหลายร้อยปีก็คงยังไม่หายหลงหรอกครับ อย่างนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2009
  2. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    อนุโมทนา เห็นด้วยทุกประการ
    การคาดเดาจากตัวอักษรแล้วทึกทักเอาเอง
    โดยที่ไม่รู้จักนิสัยใจคอตัวตนที่แท้จริงของคู่สนทนา
    เป็นเรื่องไม่ควรกระทำ เพราะเป็นการตัดสินจากข้อมูลที่น้อยนิดจนไม่น่าเชื่อถือครับ

    การตัดสินใครจากตัวอักษร เป็นเรื่องที่ตัวเราเองสมควรที่จะถามตนเอง ว่า สมควรกระทำหรือไม่
    ในทางตรงกันข้าม หากมีใครมาตัดสินเราจากตัวอักษร เราจะัยอมรับการตัดสินจากคนอื่นหรือไม่
    ที่สำคัญเหนือกว่านั้น เราควรรักษามิตรภาพความเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน
    มิใช่มุ่งเอาแพ้เอาชนะ แต่ทำลายกันด้วยคำพูดวาจาแบบคนไม่มีศืลธรรมในใจตน

    อนุโมทนา สาธุ
    ผู้ปฏิบัติย่อมอ่อนน้อมถ่อมตน มีจิตใจที่อ่อนโยน เปิดใจกว้างไม่ปิดหูปิดตาตัวเอง

    ขอให้คุณจินนี่ เจริญในธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 ธันวาคม 2009
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    อย่างนาย kengkenny นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ที่ไม่เคยสำรวจตนเอง

    ถ้า สำรวจตนเอง ก็จะเห็นว่า ตัวเองมีเพียงตรรกะพื้นฐานทั่วไป อันเป็น สัญญา

    องค์สมาธิ ที่แท้จริง ยังไม่มี
    องค์สติ ที่แท้จริงยังไม่มี
    องค์ ปัญญาที่แท้จริงยังไม่มี

    มิหนำซ้ำ ยังจะหลงไปว่า ตนรู้แล้ว เห็นแล้ว สอนคนอื่น นี่ให้คนเตือนอีกสิบชาติก็ไม่ฟัง เพราะคิดว่า ตนรู้แล้วเห็นแล้ว ซ้ำร้ายใครเตือนก็ย้อนกลับไปว่าคนอื่นว่า เป็นเช่นนั้นเช่นนี้

    ต้องรู้จัก อัตตานังโจทยัตตานัง

    ดังนั้น ต้องรู้จัก เตือนตนเอง สำรวจตนเอง ว่า พร่องในเรื่องใด แล้วอย่าประมาท รีบแก้ไข
     
  4. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    คำพูดนั้นล้วนเป็นเรื่องของโลกจะพูดให้ดูดีสักเท่าไหร่ก็ย่อมได้ ไม่มีใครรู้ ส่วนการกระทำและความคิดของตนเองนั้น มีตนเองเท่านั้นที่แก้ได้ แม้พระศาสดาจะมาประทับตรงหน้าแล้วบอกให้แก้ และให้ปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านสอนนั้น หากตนเองไม่ประพฤติตามแล้ว ก็หาได้มีค่าหรือประโยชน์อันใด ดังคำที่ว่า พระธรรมที่พระองค์สอนนั้นเป็นเพียงเครื่องชี้บอก ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ตนเองหลุดพ้นได้ แต่ต้องนำมาปฏิบัติแก้ไขจึงทำได้ ถูกแล้วที่หลายท่านเข้าใจว่า เมื่อไม่รู้ว่าใครคืออะไรเลยก็ไม่ควรประมาทเพราะความประมาทนั้นเป็นเหตุของความเสื่อม เพราะความประมาทนั้นเป็นอริต่อธรรมทั้งปวง ท่านที่มีปัญญาทั้งหลายก็พิจารณาเอาเพราะถ้อยคำเหล่านี้ก็ได้มาจาก คำสอนพระศาสดา เช่นกัน แต่อย่าได้ถามเลยว่าตรงไหนเอามาจากไหน เพราะทราบแค่เพียงว่า สิ่งไหนที่ คิดแล้ว ทำแล้ว จิตใจไม่เศร้าหมองสิ่งนั้นพระองค์ทรงสั่งสอนไว้ครับ ท่านผู้ทรงภูมิทั้งหลาย
     
  5. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    กรรมใดๆนั้นล้วนเป็นของตน
    ไม่เบื่อบ้างเหรอที่เห็นแต่สิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นแต่ไม่เห็นสิ่งที่ไม่ดีของตนเอง
    ทั้งยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่รู้ที่เข้าใจนั้นมันจริงหรือไม่จริง
    พวกที่บอกว่าไม่มีสัญญา มีแต่ปัญญา มันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร ก็คิดเอา
    องค์สมาธิของเขาคืออะไรของเราคืออะไร ถ้าจะบอกไปก็ว่าตามตำราซึ่งมันก็ต้องตามตำรานั่นแหละ แต่ของสำคัญคือ สติ ต้องมีในองค์ฌาน แต่กลับบอกว่าให้สร้างสมาธิแล้วค่อยฝึกสติอันนี้ต้องพิจารณากันเอาเองว่า สิ่งไหนจริงสิ่งไหนเท็จ ยังไม่เห็นมีใครเตือนด้วยซ้ำเห็นแต่ คนที่ตำหนิในความเห็นที่ไม่ตรงกับตน เช่น เรื่องของสมาธิก็ดี ที่ว่าอาณาเป็นของพระอริยะเจ้าก็ดี ไม่รู้ไปเอาที่ไหนมาพูด แล้วพอมีคนทักก็ว่าเขาไม่รู้บ้าง โง่บ้าง สารพัดจะคิดคำมาว่าเขาได้ ถามจริงๆไม่เบื่อบ้างเหรอที่เห็นว่าตนเองเท่านั้นที่ถูกผู้อื่นผิดหมดเลย ไม่เบื่อเลยเหรอสิ่งที่เป็นอนุสัยแบบนี้ บาลีเหล่านั้นควรใช้สอนตนเองบ้างนะครับจะได้ทราบว่ามันเกิดเพราะผมเองหรือเพราะใครทำให้เกิด จิตที่เป็นอกุศล โดยเฉพาะเวลาจะ ตำหนิใครพิจารณาดีแล้วหรือยังว่า เขาควรถูกตำหนิหรือไม่ อย่าแค่เพราะอาศัยอัตตา แค่ความรู้อันน้อยนิดนี้มาเป็นเครื่องมือในการตำหนิผู้อื่นเพราะมันก็ไม่ใช่ธรรม และเพราะความจริงผู้รู้ธรรมและเห็นธรรมจริงๆ ที่ไม่ใช่ลักษณะเฉกเช่นท่านผมก็เคยเจอ ความแตกต่างมันมากมายเหลือเกิน เพราะความรู้สึก หรือ สื่อของใจ มันมองไม่ยาก ว่าใครทำเพราะหวังดี หรือเจตนาดี ใครทำเพราะกิเลสหลอกลวงไป ทำให้ตนเองคิดว่าเป็นผู้มีธรรมอันดีแล้ว เพราะกิเลสหลอกผมก็เห็นมาเยอะแล้ว เลยเบื่อเหมือนกัน ที่ตอบเพราะว่าถามมาก็ตอบไป เพราะปกติถ้าไม่มีใครถามก็ไม่ตอบ เพียงทำได้แค่แนะนำเล็กน้อย เพื่อให้เขาได้ปฏบัติได้อย่างเต็มที่เต็มภูมิที่เขามี ไม่ใช่การอวดรู้อวดสาระเต็มที่อย่างพระอรหันต์ เพราะผมกับพระอรหันต์นั้นก็ต่างกันเหลือเกิน เช่นเดียวกับคุณขันธ์กับผมก็ต่างกันเหลือเกิน ผมถ้าจะบอกก็บอกแค่ให้วางลงก่อน แล้วค่อยทำต่อ และก็ขอบคุณสำหรับคำเตือนหรือติ แต่ก็อย่าลืมพิจารณาตนเองด้วยเช่นกันครับ
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    คำเทศหลวงตามหาบัว วันที่ 18 ธันวาคม 2552
    ยกมาจาก Luangta.Com -
     
  7. haha4959

    haha4959 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +85
    เอ มันแปล๊ก แปล๊ก คนอาราย สอนตัวเองก็เป็น

    แบก ตำ รา มัน ดู มี ภู มิ ดี แต่ มัน หนัก นะ เขา สอน ให้ วาง

    รู้ แล้ว ก็ วาง ซะ

    ตา ขัน รู้ จัก พลัง มั๊ย
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    ตนของตนเตือนตนให้พ้นผิด
    ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน
    ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน
    ตนแชเชือนใครจะเตือนให้พ้นภัย
     
  9. sagandrolibra

    sagandrolibra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +243
    ผมมีเรื่องสอบถามครับ .. กรุณาด้วยครับ ..
    คือผมมีอาการตกฌาณ บ่อยๆ เกิดจาก .. ไม่ค่อยมีสติหรือเปล่าครับ ..
    ทางแก้ก้อคือมีสติเหรอครับ .. แล้วมีอุบายอย่างอื่นบ้างไหมครับ ..
    ขอบคุณครับ ..
     
  10. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,077
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,669
    เหมือนวูบตกจากที่สูง วูบหลับ มันก็เป็นภวังค์ ที่เกิดจากร่างกาย จิตใจ ไม่มีกำลัง และบวกกับการขาดสติ (ความจริงฌานกับภวังค์นี่เหมือนคนละเรื่องเดียวกัน)

    ทางแก้สำหรับผม ก็คือพักผ่อนให้เพียงพอ ทั้งกายและใจ แล้วค่อยลองทำใหม่

    ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกนะครับ ลองทำดู
     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    ตกฌาณ ที่คุณว่า มีอาการอย่างไร
    แต่ถ้าหากว่า นั่งสมาธิแล้วเผลอตกภวังค์ วูบเหมือนหลับลงไป ก็แสดงว่า สติยังไม่กล้าพอ
    ต้องเอาใจ จ่อกับคำบริกรรมให้ มาก เอากำลังใจจ่อลงไป ตั้งหน้าตั้งตาเหมือนคนออกศึกมองดาบศัตรู แบบนั้น กำลังใจต้องแบบนั้น

    มองดาบศัตรูไปเรื่อยๆ สักพัก มันจะตื่นขึ้นอีกที แล้วนิ่งเฉย ปราศจากนิวรณ์ใดๆ มารบกวน
    นั่นแหละ จึงเรียกว่า สมาธิ ที่ดี

    คอยประคับประคองใจที่เป็นสมาธินั้น ให้อยู่นาน และ เป็นวสี คือ ชำนาญ เข้าออก
     
  12. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ผมขอเรียนถามท่านขันธ์บ้างครับ
    เป็นที่รู้กันว่าหลักปฎิบัติ คือศีล สมาธิ ปัญญา
    เพื่อบรรลุธรรมต้องทำให้มากเพียงไร จึงจะพอเพียงครับ
    อย่างไรเป็นอธิศีล
    อย่างไรเป็นอธิสมาธิ
    อย่างไรเป็นอธิปัญญา
    ที่ว่ามาประชุมจึงเป็นมรรคสมังคีนั้นได้ครับ
     
  13. sagandrolibra

    sagandrolibra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +243
    อาการของผมคือ .. เหมือนหลับ เเล้วก้อเหมือนตกเหว เเล้วก้อสะดุ้ง ..
    น่าจะอาการเดียวกัน .. จะลองไปทำดูครับ ..
    ขอบคุณมากครับ ท่าน jinny95 และท่านขันธ์ ^^
     
  14. ภวโลกร้อน

    ภวโลกร้อน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    444
    ค่าพลัง:
    +1,272


    อยากให้ช่วยขยายความเรื่องการหาหลักของใจหน่อยค่ะ คือปกติในชีวิตประจำ

    วันเราต้องพบเจอกับเรื่องราวต่างๆมากมาย บางครั้งสติตามไม่ทันเราก้อจะทำ

    อะไรไปตามอารมณ์ จะมีวิธีไหนบ้างคะที่เราจะหาหลักใจเราให้พบและนำมาใช้

    ในการดำเนินชีวิตค่ะ
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    ผ่อนความคิดให้น้อยลง ค่อยๆวางเรื่องต่างๆลง หมั่นทำให้บ่อย
    คอยเตือนสติตน ว่าเรื่องงานก็อย่าไปเผลอเอามันมาคิดทั้งวัน
    เวลาคิด ก็ให้เป็นเวลา รู้จักละมันบ้าง เมื่อละมันบ่อยๆแล้ว ค่อยน้อมจิตมาทำสมาธิด้วยการบริกรรม ให้จิตติดแนบไปกับ พุทโธ เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วจะทราบได้เอง ว่านี่จิตเป็นหนึ่งแล้ว มันก็จะทำให้เราเห็นผลในสมาธิ

    เรื่องสตินี่ต้อง เจริญ คือ คอยกำหนดรู้ตัวให้บ่อยว่านี่กำลังคิด นี่กำลังเครียด แล้วให้เตือนตนว่า เรื่องที่คิดต้องการคำตอบตอนนี้เดี๋ยวนี้เลยหรือ ถ้ายังไม่ต้องการเดี๋ยวนี้พักเอาไว้จะเป็นอะไรไป นอกจากนี้ อารมณ์กังวลว่าจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ อย่าไปเชื่ออารมณ์ เพราะว่า อารมณ์นี่แหละจะผลักดันให้เรามีนิสัยที่วาง งาน ไม่เป็น คอยแต่จะต้องทำตามใจของตนเอง

    เมื่อรู้จักวางบ่อยๆ เราจะเห็นคุณค่าของการมีสติ ไม่ตามอารมณ์ ไม่ตามความรู้สึก
    เมื่อนั้น เราจะกำหนดลำดับความสำคัญของงานต่างๆ ได้เฉียบขาด

    ทีนี้ มาขยายความเรื่องหลักใจ หลักใจ นี่คือ สมาธิ ทีุุ่ถูก ที่ตรง คือไม่ตามอะไรไปเลย นอกจาก คำบริกรรม จนทั้งจิตทั้งใจ นิ่งเป็นหนึ่งได้ มีปัญญาละสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกไปได้ ทำให้เกิดทัสนะขึ้นว่า เมื่อใดก็ตาม จิตใจสอดส่าย หิวอารมณ์ นั่นเป็นเพราะว่า จิตนี้ขาดสมาธิ จิตนี้เต็มไปด้วยนิวรณ์ แล้วเราก็เอาใจมาจับกับหลักให้่ได้ ให้มันหยุดคิดหยุดปรุง ทั้งทางอารมณ์และความคิด มันก็จะเกิดสุขขึ้น แล้วเมื่อทำบ่อยๆ จนชำนาญเราจะเข้าใจว่า ทุกข์ทั้งปวง มาจากการเสกสรรค์ปั้นแต่ง ทางอารมณ์ของเราเอง เราก็จะไม่ตามมันไป จับแต่หลักใจให้ได้ แล้วเพียรไปเรื่อยๆ จะละกิเลสได้ตามภูมิจิต
     
  16. ภวโลกร้อน

    ภวโลกร้อน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    444
    ค่าพลัง:
    +1,272
    ขอบพระคุณมากค่ะ เป็นคำอธิบายที่เข้าใจได้ดีมากๆ จะนำไปปฎิบัติค่ะ...

    ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติฯ
     
  17. sagandrolibra

    sagandrolibra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +243
    สวัสดีครับ
    รบกวนสอบถามต่อครับ ..
    พอทำสมาธิ เเล้วคิดว่า ภาวะนั้นที่ตื่นขึ้นมา โดยที่มีสติพอรู้ตัวเเล้ว ..
    ช่วงนั้นเราควรทำอะไรหรือเปล่าครับ .. หรือว่าทรงไป นานๆ เฉยๆ ==
    หรือว่าที่เค้าว่าช่วงนี้ ควรพิจารณาธรรม ?
    ขอบคุณมากครับ..

    ปล.สุขสันต์ปีใหม่ทุกท่านครับ ^^
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    ทำให้แจ้ง มากขึ้นกว่าเดิม เห็นความสงบให้ชัดกว่าเดิม
    ทำให้ชำนาญ
    และ สุดท้าย คือ ให้ตระหนักว่าสิ่งที่ควรทำต่อไป ควรทำอย่างไรดี
    ให้รู้จัก มีธัมมวิจย คือ สังเกตุ วิจัย ทบทวน สิ่งที่เรากำลังเผชิญ แล้ว ดูว่าสิ่งเหล่านี้ เราควรดำเนินอะไรต่อไปเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง
     
  19. pantham phuakph

    pantham phuakph เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +444
    อนุโมทนากับทุกท่านครับ แสดงความเห็นได้น่าสนใจ

    ผมคิดว่า แม้บางคนจะไม่ใช่อริยบุคคล ก็ควรแสดงความเห็นได้ครับ

    ไม่ได้มีกติกาใดๆมากำหนด

    ความเห็นที่แตกต่าง ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ก็นำมาทดสอบอารมณ์ของตัวเองได้

    ว่ารู้สึกอย่างไร โกรธ อยากด่าให้ซะใจ มีพยาบาท

    ความรู้สึกต่างๆนำมาใช้ในการเจริญวิปัสสนาได้ ผมเองก็พยายามอยู่

    พยายามกันต่อไปนะครับ เป็นกำลังใจให้ทุกคน
     
  20. sagandrolibra

    sagandrolibra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +243
    ขอบคุณมากครับ..จะนำไปปฏิบัติครับ ..
     

แชร์หน้านี้

Loading...