ขอเหตุผลจากคนฝึกอภิญญาหน่อยที่ว่า "ถวายเทียนเข้าพรรษาทำให้มีปัญญาและรัศมีสว่างไสว"

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย KomAon11, 10 กรกฎาคม 2006.

  1. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,682
    การถวายเทียนทำให้เกิดปัญญา ให้เราคิดตามความเป็นจริงว่าการที่เราถวายเทียนให้พระนั้น พระได้นำไปใช้ๆไปเรื่อยๆไม่ช้าเทียนที่เราถวายนั้นก็จะหมดไป
    เราก็คิดต่อว่าเทียนก็เหมือนกับชีวิตคนที่มีวันหมดไปตามทำธรรมดา และก่อนที่เทียนนั้นจะหมดไปตามกาลเวลานั้น ก็ต้องมีลมมากระทบทำให้เทียนนั้นดับไปเช่นกัน เปรียบเหมือนชีวิตที่ดำเนินอยู่ในโลกนั้นล้วนแต่มีอุปสรรคที่ทำให้เรามีชีวิตที่ตกต่ำขึ้นลงเหมือนเสียงเทียนที่เดี๋ยวสว่างมากเดี๋ยวสว่างน้อย ชีวิตนี้เป็นของไม่เที่ยงมีความตายเป็นที่สุด ของจงอย่าประมาทในชีวิต ความทุกข์ในโลกนี้ล้วนมีมาก ให้เร่งทำความดีละเว้นความชั่วทำจิตให้ผ่องใส อย่าประมาทๆนิดเดียวมีนรกเป็นที่ไปทันที นิพพานได้ก็นิพพานนะ
    อานิสงฆ์พิเศษ ถ้าพระได้ใช้เทียนที่เราถวายนั้นเป็นกรรมฐานในการฝึกกสิน และพระท่านบรรลุธรรมอานิสงฆ์ย่อมมีแก่เรามากเป็นพิเศษสุดจะพรรณา

    การถวายเทียนจะมีรัศมีสว่างไสว ถ้าตายจากความเป็นคนจะมีรัศมีกายสว่างและทำให้มีทิพจักษุญาณแจ่มใสมากเป็นพิเศษ จุติมาเป็นมนุษย์ในชาติต่อไปจะมีจิตที่เป็นกุศล มีอำนาจมาก มีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรม (แล้วแต่จะอธิฐานนะคับ) ถ้าเจริญกรรมฐานในด้านกสินสำเร็จอภิญาญจะมีทิพจักษุญาญชัดเจนแจ่มใส่เป็นพิเศษด้วยบุญที่ถวายเทียนหรือแสงแด่พระฯ

    พระอนุรุทธะ ท่านได้ถวายดวงประทีปบูชาพระฯ หลายแสนอสงไขยชาติ และได้อธิฐานเป็นพระสาวกที่เด่นทางด้านทิพจักษุญาณ (บุญนั้นได้บังเกิดขึ้นให้เห็นแล้ว) ขอโมทนาบุญพระอนุรุทธะเป็นอย่างสูง

    บุญที่เราได้ตั้งใจถวายบูชารพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วหาประมาณมิได้ บุญนั้นย่อมมีอานิสงฆ์มากตามแต่จะอธิฐาน ผลนั้นย่อมบังเกิดขึ้นตามความปรารถนาของท่านแล้ว...

    เมื่อข้าพเจ้าดับขันธ์เข้าสู่นิพพานแล้วขอธาตุขันธ์นี้แปลสภาพเป็นดอกบัวแก้วรัตนมณีรัศมีโชติมีกลิ่นดังดอกอุบลบูชาพระรัตนตรัยรองรับพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ตราบจนพระศาสนาพระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย..<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2006
  2. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,810
    ค่าพลัง:
    +18,982
    ทางอื่นก็มีนะครับท่าน - -
     
  3. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,810
    ค่าพลัง:
    +18,982
    สุดยอดไปเลยครับผม บุญเยอะจริงๆ
     
  4. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,810
    ค่าพลัง:
    +18,982
    อานิสงส์ เรื่อง ทิพจักขุญาณ นี่น่าจะเกาะเกี่ยวกับ ปัญญาด้วยครับ...

    ขอโมทนากุศลจิตของทุกท่านครับ ขอให้มีความสุขความเจริญยิ่งๆขึ้นไป
     
  5. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414
    อย่างพื้นฐานก็คือให้แสงสว่างให้พระเณรได้อ่านหนังสือในยามกลางคืน อย่างลึกซึ้งก็คือ ตามที่พระพุธเจ้าตรัสไว้ ปัญญาภายในมีลักษณะเป็นแสงสว่าง (องค์ 5 ของดวงตาเห็นธรรมก็คือ จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ทั้งหมดจะเกิดพร้อมกันและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) เมื่อจิตเกิดแสงสว่าง ก็จะมีจักษุภายในรู้เห็นทุกสิ่งไปตามความเป็นจริงซึ่งก็คือปัญญาหรือความรู้ เมื่อมีปัญญา องค์ญาณอันเป็นเครื่องรู้แจ้งก็เกิดขึ้น และวิชชาที่จะกำจัดความมืดคืออวิชชาให้หมดไป จึงกล่าวได้ว่าแสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญาเป็นไม่มี
     
  6. มหัศฤทธิ์

    มหัศฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    222
    ค่าพลัง:
    +855
    ผู้ให้แสงสว่าง ย่อมชื่อว่าให้ปัญญา
    แสงสว่างส่องนำทางในที่มืด...ไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟ หรือ เทียน ก็ทำให้เกิดความสว่างได้ ทั้งภายนอก และภายใน
    เราย่อมมีอานิสงส์นั้นด้วย...
    ขออนุโมทนาสาธุ ..ทุกคำตอบที่ดี..
     
  7. พิม

    พิม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +95
    ดิฉันถามพระที่นับถือในตอนนี้ ซึ่งตัวดิฉันเชื่อว่าท่านเป็นอริยะแล้ว หลวงปู่เกษม อาจิณณสีโล ท่านตอบว่าไม่จำเป็น ทำบุญด้วยอะไรก็ได้ แล้วขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ อธิษฐานให้บุญนี้เกื้อหนุนส่งผลก็ว่าไปอย่างที่เราต้องการ เช่น เราใส่บาตรวันนี้ เราก็อธิษฐานว่า ขออำนาจ พุทธ ธรรม สงฆ์ ดลบันดาลให้บุญที่เกิดจากการใส่บาตรในเช้าวันนี้ ช่วยให้ข้าสำเร็จในทิพยจักษุญาณด้วยเถิด อย่างนี้เป็นต้นค่ะ ท่านสอนแก่กลุ่มดิฉันว่า นี่คือการใช้อธิษฐานบารมี แต่ถ้าเราขออย่างนี้ก็เป็นการขอให้บุญกุศลที่เกิดจากการใส่บาตรนี้ช่วยแต่ตัวเราเอง พูดง่ายๆว่าอุทิศบุญให้แก่ตัวเอง แต่ไม่ได้อุทิศแผ่ส่วนกุศลให้ใคร ดังนั้นเวลาทำบุญ ก็ต้องเลือกคิดเอาด้วยว่า คุณทำบุญแล้วจะอุทิศส่วนบุญกุศลนี้ให้แก่ใคร ให้ตัวเอง หรือให้ผู้อื่น ก็ได้แก่ ญาติ นายเวร เทวดาที่รักษาตัว สรรพสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ หรือจะอุทิศให้ทั้งสองอย่างเลยก็ได้ ซึ่งคุณก็เพียงแต่อธิษฐานนึกอุทิศให้ตัวเองและผู้ที่คุณต้องการ แต่อย่าลืมนะคะ สิ่งสำคัญการอธิษฐานจะสัมฤทธิ์ผลได้ ต้องขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ ค่ะ
     
  8. jade

    jade สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +6
    การทำบุญ
    เป็นการกระทำ เพื่อ ช่วยเหลือผู้อื่น
    เป็นการกระทำ เพื่อ จรรโลงสังคมให้มีความสุข
    ถวายเทียนหรือหลอดไฟ พระรับเทียนไปจุด จุดแล้วสว่าง พระสามารถปฏิบัติกิจได้ในยามมืด
    เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็คือว่าเราช่วยเหลือเกื้อกูลพระสงฆ์นั่นเอง
    เรามิได้ทำบุญหวังผลตอบแทน
    นั่นคือการ ยึดติด ในบุญ
    แม้ยึดติดในพระนิพพาน ก็ยิ่งห่างพระนิพพานไปทุกที
    ทุกอย่างเป็นอิททัปปจยตา
    ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุแลปัจจัยของมันเอง





    ขอรับ
     
  9. กิมท้ง

    กิมท้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +165
    (verygood)
    ประวัติ เทียนพรรษา
    วันเข้าพรรษาเป็นวันที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบัญญัติให้พระภิกษุสงฆ์จำพรรษาเป็นเวลา 3 เดือนในฤดูฝน ระหว่างแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เพื่อไม่ให้พระสงฆ์ไปเหยียบย่ำข้าวกล้าของชาวนาให้ได้รับความเสียหาย

    ในวันเข้าพรรษามีประเพณีที่สำคัญ 2 ประเพณี ได้แก่ ประเพณีแห่เทียนพรรษาและประเพณีการถวายผ้าอาบน้ำฝน
    ประเพณีแห่เทียนพรรษานั้น เนื่องจากสมัยก่อนพระภิกษุสงฆ์ไม่มีไฟฟ้าใช้ ชาวบ้านจึงหล่อเทียนต้นใหญ่ขึ้น เพื่อถวายพระภิกษุสงฆ์จุดให้แสงสว่างในการปฏิบัติกิจวัตรต่างๆ เป็นพุทธบูชาตลอดเวลา 3 เดือน การนำเทียนไปถวายชาวบ้านมักจัดขบวนแห่กันอย่างเอิกเกริกสนุกสนานและปฏิบัติสืบทอดกันมาจนกลายเป็นประเพณี
    การถวายเทียนจำนำพรรษา มีมูลเหตุที่สำคัญคือ คือ

    * พระอนุรุทธะ เอตทัคคะในทางผู้มีทิพย์จักษุญาณ พระอนุรุทธะ สาวกของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลม ฉลาดรอบรู้พระธรรมวินัยอย่างแตกฉาน พระพุทธเจ้าตรัสว่าเพราะในชาติปางก่อนพระอนุรุทธะเคยให้แสงประทีปเป็นทาน จึงมีปัญญาเฉลียวฉลาด พระอนุรุทธะ เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้เรียนกรรมฐานจากพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรแล้ว เข้าไปสู่ป่าปาจีนวังสมฤคทายวัน ขณะเจริญสมณธรรมอยู่นั้นได้ตรึกถึงมหาปุริสวิตก ๗ ประการ
    คือ:-๑ ธรรมนี้ของผู้มีความปรารถนาน้อย ไม่ใช่ของผู้มีความปรารถนาใหญ่
    ๒ ธรรมนี้ของผู้สันโดษ ยินดีด้วยของที่มีอยู่ ไม่ใช่ของผู้ไม่สันโดษ
    ๓ ธรรมนี้ของผู้สงัดแล้ว ไม่ใช่ของผู้ยินดีในหมู่
    ๔ ธรรมนี้ของผู้ปรารภความเพียร ไม่ใช่ของผู้เกียจคร้าน
    ๕ ธรรมนี้ของผู้มีสติตั้งมั่น ไม่ใช่ของผู้มีสติหลง
    ๖ ธรรมนี้ของผู้มีใจตั้งมั่น ไม่ใช่ของผู้มีใจไม่ตั้งมั่น
    ๗ ธรรมนี้ของผู้มีปัญญา ไม่ใช่ของผู้มีปัญญาทราม <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    *เมื่อพระเถระตรึกอยู่อย่างนี้ พระบรมศาสดาเสด็จไปยังที่อยู่ของพระเถระ ทราบว่าเธอกำลังตรึกอยู่อย่างนั้น ทรงอนุโมทนาว่า ดีล่ะ ดีล่ะ แล้วทรงแนะให้ตรึกในข้อที่ ๘ ว่า
    ๘ ธรรมนี้ของผู้ยินดีในธรรมที่ไม่เนิ่นช้า ไม่ใช่ของผู้ยินดีในธรรมที่เนิ่นช้า <o:p></o:p>
    *ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ตรัสสอนพระเถระแล้ว ได้เสด็จกลับสู่ที่ประทับ ส่วนพระอนุรุทธะ ได้บำเพ็ญสมณธรรมต่อไป ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ตั้งแต่นั้นมา ท่านได้ตรวจดูสัตว์โลกด้วยทิพยจักษุญาณเสมอ ยกเว้นขณะกำลังฉันภัตตาหารเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ *พระบรมศาสดา ได้ตรัสยกย่องชมเชยท่านในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้มีทิพยจักษุญาณ
    * อดีตชาติพระอนุรุทธะ* <o:p></o:p>
    *พระอนุรุทธะ ในอดีตชาติท่านเคยเกิดเป็นคนยากจน แต่ท่านได้ทำบุญใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ออกจากฌาณสมาบัติ และอธิษฐานขอคำว่า ไม่มี จงอย่าเกิดแก่ข้าพเจ้า และก็ได้เป็นเศรษฐี เมื่อตายไปก็ได้ไปเกิดเป็นพระอินทร์ ๗ ชาติ พระมหาจักรพรรดิ์ ๑๔ ชาติ อีกทั้งเคยทำบุญใหญ่สร้างประทีปโคมไฟหลายพันดวงเพื่อบูชาเจดีย์บรรจุพระบรม สารีริกธาตุของพระปทุมุตระพุทธเจ้า และเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระกัสสปะพุทธเจ้าอีก เมื่อเกิดมาในชาตินี้ก็เป็นพระราชโอรสของ อมิโตทนะศากยะ พระอนุรุทธะถือการไม่นอนเป็นข้อวัตรอยู่ ๕๕ ปี กำจัดความง่วงเหงาได้ ๒๕ ปี และท่านมีญาณรู้เห็นทุกสรรพสิ่ง *ขณะที่พระพุทธเจ้าใกล้จะปรินิพพาน ท่านก็ตามดูจิตและบอกพระอานนท์ทราบทุกขณะ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องท่านเป็นเลิศทางทิพย์จักษุญาณ

    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
     
  10. กิมท้ง

    กิมท้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +165
    (verygood)
    ประวัติ เทียนพรรษา
    วันเข้าพรรษาเป็นวันที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบัญญัติให้พระภิกษุสงฆ์จำพรรษาเป็นเวลา 3 เดือนในฤดูฝน ระหว่างแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เพื่อไม่ให้พระสงฆ์ไปเหยียบย่ำข้าวกล้าของชาวนาให้ได้รับความเสียหาย
    ในวันเข้าพรรษามีประเพณีที่สำคัญ 2 ประเพณี ได้แก่ ประเพณีแห่เทียนพรรษาและประเพณีการถวายผ้าอาบน้ำฝน
    ประเพณีแห่เทียนพรรษานั้น เนื่องจากสมัยก่อนพระภิกษุสงฆ์ไม่มีไฟฟ้าใช้ ชาวบ้านจึงหล่อเทียนต้นใหญ่ขึ้น เพื่อถวายพระภิกษุสงฆ์จุดให้แสงสว่างในการปฏิบัติกิจวัตรต่างๆ เป็นพุทธบูชาตลอดเวลา 3 เดือน การนำเทียนไปถวายชาวบ้านมักจัดขบวนแห่กันอย่างเอิกเกริกสนุกสนานและปฏิบัติสืบทอดกันมาจนกลายเป็นประเพณี
    การถวายเทียนจำนำพรรษา มีมูลเหตุที่สำคัญคือ คือ
    * พระอนุรุทธะ เอตทัคคะในทางผู้มีทิพย์จักษุญาณ พระอนุรุทธะ สาวกของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลม ฉลาดรอบรู้พระธรรมวินัยอย่างแตกฉาน พระพุทธเจ้าตรัสว่าเพราะในชาติปางก่อนพระอนุรุทธะเคยให้แสงประทีปเป็นทาน จึงมีปัญญาเฉลียวฉลาด พระอนุรุทธะ เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้เรียนกรรมฐานจากพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรแล้ว เข้าไปสู่ป่าปาจีนวังสมฤคทายวัน ขณะเจริญสมณธรรมอยู่นั้นได้ตรึกถึงมหาปุริสวิตก ๗ ประการ
    คือ:-๑ ธรรมนี้ของผู้มีความปรารถนาน้อย ไม่ใช่ของผู้มีความปรารถนาใหญ่
    ๒ ธรรมนี้ของผู้สันโดษ ยินดีด้วยของที่มีอยู่ ไม่ใช่ของผู้ไม่สันโดษ
    ๓ ธรรมนี้ของผู้สงัดแล้ว ไม่ใช่ของผู้ยินดีในหมู่
    ๔ ธรรมนี้ของผู้ปรารภความเพียร ไม่ใช่ของผู้เกียจคร้าน
    ๕ ธรรมนี้ของผู้มีสติตั้งมั่น ไม่ใช่ของผู้มีสติหลง
    ๖ ธรรมนี้ของผู้มีใจตั้งมั่น ไม่ใช่ของผู้มีใจไม่ตั้งมั่น
    ๗ ธรรมนี้ของผู้มีปัญญา ไม่ใช่ของผู้มีปัญญาทราม <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    *เมื่อพระเถระตรึกอยู่อย่างนี้ พระบรมศาสดาเสด็จไปยังที่อยู่ของพระเถระ ทราบว่าเธอกำลังตรึกอยู่อย่างนั้น ทรงอนุโมทนาว่า ดีล่ะ ดีล่ะ แล้วทรงแนะให้ตรึกในข้อที่ ๘ ว่า
    ๘ ธรรมนี้ของผู้ยินดีในธรรมที่ไม่เนิ่นช้า ไม่ใช่ของผู้ยินดีในธรรมที่เนิ่นช้า <o:p></o:p>
    *ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ตรัสสอนพระเถระแล้ว ได้เสด็จกลับสู่ที่ประทับ ส่วนพระอนุรุทธะ ได้บำเพ็ญสมณธรรมต่อไป ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ตั้งแต่นั้นมา ท่านได้ตรวจดูสัตว์โลกด้วยทิพยจักษุญาณเสมอ ยกเว้นขณะกำลังฉันภัตตาหารเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ *พระบรมศาสดา ได้ตรัสยกย่องชมเชยท่านในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้มีทิพยจักษุญาณ
    * อดีตชาติพระอนุรุทธะ* <o:p></o:p>
    *พระอนุรุทธะ ในอดีตชาติท่านเคยเกิดเป็นคนยากจน แต่ท่านได้ทำบุญใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ออกจากฌาณสมาบัติ และอธิษฐานขอคำว่า ไม่มี จงอย่าเกิดแก่ข้าพเจ้า และก็ได้เป็นเศรษฐี เมื่อตายไปก็ได้ไปเกิดเป็นพระอินทร์ ๗ ชาติ พระมหาจักรพรรดิ์ ๑๔ ชาติ อีกทั้งเคยทำบุญใหญ่สร้างประทีปโคมไฟหลายพันดวงเพื่อบูชาเจดีย์บรรจุพระบรม สารีริกธาตุของพระปทุมุตระพุทธเจ้า และเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระกัสสปะพุทธเจ้าอีก เมื่อเกิดมาในชาตินี้ก็เป็นพระราชโอรสของ อมิโตทนะศากยะ พระอนุรุทธะถือการไม่นอนเป็นข้อวัตรอยู่ ๕๕ ปี กำจัดความง่วงเหงาได้ ๒๕ ปี และท่านมีญาณรู้เห็นทุกสรรพสิ่ง *ขณะที่พระพุทธเจ้าใกล้จะปรินิพพาน ท่านก็ตามดูจิตและบอกพระอานนท์ทราบทุกขณะ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องท่านเป็นเลิศทางทิพย์จักษุญาณ

    <o:p></o:p>
     
  11. กิมท้ง

    กิมท้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +165
    (verygood)
    ประวัติ เทียนพรรษา
    วันเข้าพรรษาเป็นวันที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบัญญัติให้พระภิกษุสงฆ์จำพรรษาเป็นเวลา 3 เดือนในฤดูฝน ระหว่างแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เพื่อไม่ให้พระสงฆ์ไปเหยียบย่ำข้าวกล้าของชาวนาให้ได้รับความเสียหาย
    ในวันเข้าพรรษามีประเพณีที่สำคัญ 2 ประเพณี ได้แก่ ประเพณีแห่เทียนพรรษาและประเพณีการถวายผ้าอาบน้ำฝน
    ประเพณีแห่เทียนพรรษานั้น เนื่องจากสมัยก่อนพระภิกษุสงฆ์ไม่มีไฟฟ้าใช้ ชาวบ้านจึงหล่อเทียนต้นใหญ่ขึ้น เพื่อถวายพระภิกษุสงฆ์จุดให้แสงสว่างในการปฏิบัติกิจวัตรต่างๆ เป็นพุทธบูชาตลอดเวลา 3 เดือน การนำเทียนไปถวายชาวบ้านมักจัดขบวนแห่กันอย่างเอิกเกริกสนุกสนานและปฏิบัติสืบทอดกันมาจนกลายเป็นประเพณี
    *การถวายเทียนจำนำพรรษา มีมูลเหตุที่สำคัญคือ คือ
    * พระอนุรุทธะ เอตทัคคะในทางผู้มีทิพย์จักษุญาณ พระอนุรุทธะ สาวกของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลม ฉลาดรอบรู้พระธรรมวินัยอย่างแตกฉาน พระพุทธเจ้าตรัสว่าเพราะในชาติปางก่อนพระอนุรุทธะเคยให้แสงประทีปเป็นทาน จึงมีปัญญาเฉลียวฉลาด พระอนุรุทธะ เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้เรียนกรรมฐานจากพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรแล้ว เข้าไปสู่ป่าปาจีนวังสมฤคทายวัน ขณะเจริญสมณธรรมอยู่นั้นได้ตรึกถึงมหาปุริสวิตก ๗ ประการ
    คือ:-
    ธรรมนี้ของผู้มีความปรารถนาน้อย ไม่ใช่ของผู้มีความปรารถนาใหญ่
    ธรรมนี้ของผู้สันโดษ ยินดีด้วยของที่มีอยู่ ไม่ใช่ของผู้ไม่สันโดษ
    ธรรมนี้ของผู้สงัดแล้ว ไม่ใช่ของผู้ยินดีในหมู่
    ธรรมนี้ของผู้ปรารภความเพียร ไม่ใช่ของผู้เกียจคร้าน
    ธรรมนี้ของผู้มีสติตั้งมั่น ไม่ใช่ของผู้มีสติหลง
    ธรรมนี้ของผู้มีใจตั้งมั่น ไม่ใช่ของผู้มีใจไม่ตั้งมั่น
    ธรรมนี้ของผู้มีปัญญา ไม่ใช่ของผู้มีปัญญาทราม <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    *เมื่อพระเถระตรึกอยู่อย่างนี้ พระบรมศาสดาเสด็จไปยังที่อยู่ของพระเถระ ทราบว่าเธอกำลังตรึกอยู่อย่างนั้น ทรงอนุโมทนาว่า ดีล่ะ ดีล่ะ แล้วทรงแนะให้ตรึกในข้อที่ ๘ ว่า
    ธรรมนี้ของผู้ยินดีในธรรมที่ไม่เนิ่นช้า ไม่ใช่ของผู้ยินดีในธรรมที่เนิ่นช้า <o:p></o:p>
    *ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ตรัสสอนพระเถระแล้ว ได้เสด็จกลับสู่ที่ประทับ ส่วนพระอนุรุทธะ ได้บำเพ็ญสมณธรรมต่อไป ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ตั้งแต่นั้นมา ท่านได้ตรวจดูสัตว์โลกด้วยทิพยจักษุญาณเสมอ ยกเว้นขณะกำลังฉันภัตตาหารเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ *พระบรมศาสดา ได้ตรัสยกย่องชมเชยท่านในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้มีทิพยจักษุญาณ
    * อดีตชาติพระอนุรุทธะ* <o:p></o:p>
    *พระอนุรุทธะ ในอดีตชาติท่านเคยเกิดเป็นคนยากจน แต่ท่านได้ทำบุญใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ออกจากฌาณสมาบัติ และอธิษฐานขอคำว่า ไม่มี จงอย่าเกิดแก่ข้าพเจ้า และก็ได้เป็นเศรษฐี เมื่อตายไปก็ได้ไปเกิดเป็นพระอินทร์ ๗ ชาติ พระมหาจักรพรรดิ์ ๑๔ ชาติ อีกทั้งเคยทำบุญใหญ่สร้างประทีปโคมไฟหลายพันดวงเพื่อบูชาเจดีย์บรรจุพระบรม สารีริกธาตุของพระปทุมุตระพุทธเจ้า และเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระกัสสปะพุทธเจ้าอีก เมื่อเกิดมาในชาตินี้ก็เป็นพระราชโอรสของ อมิโตทนะศากยะ พระอนุรุทธะถือการไม่นอนเป็นข้อวัตรอยู่ ๕๕ ปี กำจัดความง่วงเหงาได้ ๒๕ ปี และท่านมีญาณรู้เห็นทุกสรรพสิ่ง *ขณะที่พระพุทธเจ้าใกล้จะปรินิพพาน ท่านก็ตามดูจิตและบอกพระอานนท์ทราบทุกขณะ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องท่านเป็นเลิศทางทิพย์จักษุญาณ

     
  12. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,810
    ค่าพลัง:
    +18,982
    โมทนาสาธุครับ

    ถ้าหากจะแก้ไขข้อความ หรือลบ ... ให้เข้าไปตรง edit นะครับ

    ..... สมัยก่อน... องค์ปัจจุบันตอนเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านก็มาช่วยพระอนุรุทธะด้วยครับ ..ให้บำเพ็ญสำเร็จ
     
  13. countdown

    countdown เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,018
    ค่าพลัง:
    +3,165
    ปลูกถั่วเขียวดันได้กินถั่วงอก...(หลวงพี่เท่ง) ตอบทู้4
     
  14. sorayarn

    sorayarn สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +24
    การนั่งสมาธิ ปฏิบัติ คือ การทำให้เกิดปัญญา การถวายเทียนพรรษา เป็นประเพณี ที่สืบทอดกันมา ถือว่าเป็นการทำบุญ
     
  15. Pan&R

    Pan&R เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +320
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมญาณ หรือหลวงพ่อฤาษี ท่านสอนเรื่องนี้บ่อยค่ะ สามารถอธิษฐานจิตแล้วเปิดหาดูในหนังสือเล่มต่าง ๆ ของท่านได้

    แต่จะขอเล่าไว้ในที่นี้นะคะ การทำบุญด้วยแสงสว่าง จะเป็นน้ำมันตะเกียงก็ดี เทียนก็ดี หลอดไฟก็ดี ท่านบอกว่า จะมีอานิสงฆ์ให้ได้กษิณแสงสว่าง หรือ เมือได้ทิพย์จักขุญาณ ก็จะมีความแจ่มใส ชัดเจน กว่าบุคคลอื่น

    การทำบุญถวายพระพทูรูป หรือ ซ่อมแซมพระพุทธรูป มีอานิสงฆ์ทำให้ร่างกายที่เป็นทิพย์ จะมีรัศมีกายที่สว่างโชติช่วง ซึ่งเทวดา เค้าวัดกันที่ความสว่างของรัศมีกาย แม้เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็จะมีความงดงาม (เช่นท่านวิสาขา)

    อันนี้ว่าตามหลวงพ่อนะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...