การว่าร้าย พระสงฆ์ ที่ทำไม่ดี บาป หรือ ไม่บาป

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย 12punna, 11 กรกฎาคม 2006.

  1. chuang205

    chuang205 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +708
    ผมว่านะ คนที่ด่าว่าคนอื่น ว่าไม่ดี อย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ไปตัดสินคนนั้นว่าอย่างนั้น อย่างนี้ สู้เอาเวลามาดูใจเราดีกว่าไหมครับ ว่ายังมีอารมณ์ไหนต้องแก้ไข แล้วมาตัดสินหรือตักเตือนตัวเองก่อนดีกว่าเนอะ เพราะว่าการไปตัดสินคนอื่นนั้นน่ะ ต้องหมายความว่าเราดีแล้ว บริสุทธิ์แล้ว ไม่มีอารมณ์หรือพฤติกรรมแบบนั้นแล้ว สรุปแล้ว คิดว่าการไปว่าไปด่าคนอื่นนั้นน่ะ ไม่ว่าเขาผิดจริงไม่จริงก้อเรื่องของเขา เอาเวลามาอบรม มาว่าจิตใจ อารมณ์เราก่อน ดีที่สุดครับ
     
  2. โอมม์

    โอมม์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +35
    การที่พระสงฆทำผิด เราชาวพุทธยังทำนิ่งเฉย โดยไม่กล้าเตือนกล้าพูดเพราะกลัวบาป แล้ววันเวลาผ่านไปเรื่อยๆเหมือนกิ่งก่าได้พลอย ทำผิดก็ไม่มีใครว่าไม่มีใครด่า จาก1คนเป็น2คนจนเป็นวัด แล้วเป็นคณะ บางครั้งก็มีนิกายประหลาดๆขึ้นมา
    ตามที่เคยอ่านเจอจากในเวบเกี่ยวกับการเสื่อมของพระพุทธศาสนาว่าหลังจาก2500ปีไปแล้วมี เกจิ ดังๆพระปฎิบัติดีดี หรือแม้แต่ ฆารวาส อย่างเราๆท่านๆนี้แหละที่จะช้วยสืบทอดศาสนาต่อไป พระทำผิดผิดในวินัยของเค้าๆมีกฏระเบียบ200+ข้อไม่ตั้งขึ้นมาให้แหกแต่ตั้งขึ้นมาให้ยึดถือปฏิบัติถ้าทำไม่ได้นั้นไม่ใช่พระ อาจจะเรียกได้ว่าผู้ทรงศิล หรือบางพวกทำตัวเป็นประเทศ

    buddha free คือ อาตมาถือศิลตามใจชอบ 200 ท่องให้รู้ว่ามีแต่เข้าใจไหมไม่รู้ พระทำผิดเรามีสิทธท้วงติงท่าน อาจจะไม่ใช่ด่าว่า ยกตัวอย่างเช่น ตอนผมบวชเจอพระลูกวัดเล่นหวย ผมเลยแกล้งถามว่า เออพระเล่นพนันงี้ตอนให้ศิลโยมเค้าจะทำได้เหรอขนาดเรายังทำเลย พูดให้เค้อาจหรือคิด แม้แต่ตอนศึกมาบางครั้งไปเจอพระซื้อแผ่น ซีดีตามคลองถม ผมจะแกล้งเข้าไปถามว่า หลวงพี่ครับร้านนี้ไม่มี ซีดีธรรมมะนิครับ ไม่ลองไปด้านในหรือครับ เพื่อให้เค้าเกิดความละอาย บางท่านยังตอบกลับมาว่า อ๋อ อาตมามาหาซื้อซีดีเพลงไปฟังนะ ผมก็จะแกล้งถามต่อว่า เอ้าพระนี้ต้องตัดเรื่องความบันเทิงใจมิใช่หรือครับเพราะมันทำให้เกิดกิเลศ แล้วถามต่อไปว่า
    เอหลวงพี่ไม่ทราพอยู่วัดไหนครับแถวนี้หรือเปล่าว่างๆจะไปเยี่ยมรู้สึกถูกชตาเท่านี้ ท่านก็บอกว่าอ๋ออาตมาอยู่ไกล มาจากต่างจังหวัดเพียงเท่านี้ผมก็รู้แล้วว่า เค้าละอายใจอายโยม ผมก็จะไม่บี้เค้าต่อ ทีนี้เพื่อนๆพี่ๆลองนึกดูนะครับ ผม1คนทำแบบนี้กับพระ อาจจะ5-10รูป แล้วคนอื่นๆเวลาเจอเรื่องแบบนี้ก็เริ่มทำทำนองเดียวกัน ไม่ด่าไม่ว่า แค่หยิกพอคันๆ พระบางท่านเคยบอกกับผมว่า โยมถ้าวันนั้นโยมไม่พูดถามขึ้นมา อาตมาคงยังคิดไม่ได้ ผมรู้สึกสุขใจมากกับคำพูดนั้นจากปากคนห่มเหลือง
    คนเรายิ่งละยิ่งเจอ คุณๆเคยสังเกตุไหมพระที่มีเรื่องอย่างว่ากับสีกา บางตัวหน้ายังกับหนอนแต่ทำไมพระรูปนั้นถึงได้พลาดท่าทั้งๆที่ครองผ้าเหลืองมาไม่ตำกว่า10 พรรษา เหตุผลก็คือ การที่คนเราละเลิกอยู่ในกฎอยู่ในระเบียบ ยิ่งคนถือศิลสวดมนต์จะรู้เลยว่ามันจะมีมารเข้ามาหาได้ง่ายมากๆ เเล้วพระที่เป็นมนุษยมี ฮอรโมนเพศชายที่บางครั้งก็หลังออกมาได้ทั้งๆที่ไม่ได้ต้องการ(ฝันเปียกเหมือนอย่างเราๆท่าน)คุณว่าเค้าจะทนได้ไหมกับไอพวกบ้าที่เข้าวัดใส่คอกระเช้าซะยวยถึงตาตุ่ม เมื่อก่อนนี้ผมจะมีอคติกับพระที่ทำผิดค่อนข้างแรงมากจนบางครั้งผมเจอผมถึงขนาดเอ่ยเรียกท่านว่า "เฮยทำไรอะเรา" แต่พอหลังจากที่ได้อ่านเกี่ยวกับประวัติพระพุทธเจ้า ในหลายๆเรื่องที่ ศานุศิษท่านทำผิดท่านก็ให้อภัยจนโจรกลับตัว เป็นพระ พระกลับใจจนเป็นอรหันต์

    ผมเลยคิดว่าถ้าวันหนึ่งผมอยู่ในที่พระรูปที่ทำผิดแล้วมีโอกาศที่สองที่ให้แก้ตัว หรือแค่ไม่มีคนซ้ำเติมผมจะดีใจมาก ตั้งแต่นั้นผมเลยเลิกด่าว่าเป็นเป็น หยิกเล็กท่านคิดได้ผมก็ติดผ้าเหลืองท่านใครจะไปรู้พระที่หลงผิดถ้าเราช้วยให้เค้าคิดได้แล้วอีก70-80ปีท่านได้เป็น อรหันต์ขึ้นมาเราอาจจะได้ติดชายผ้าเหลืองไปกับท่านด้วยก็ได้ ******ผมอยากให้เรามาช้วยกันครับ ไม่ใช่บางคนคิดแต่ว่า ตัวเองศึกษาธรรมได้ ถอดจิตได้ ก็เอาแต่ตัวเองไปหาแต่พระของตัวเอง โดยไม่ได้เหลี่ยวไปข้างๆเลยว่ายังมีพระอีกหลายรูปที่อาจจะโดนจิตมารเข้าแทรกแล้วต้องการคนใจบาปอย่างพวกเราไปแนะนำ อย่าลืมนะครับคนที่จะบอกว่าอะไรดีหรือไม่ดีได้นั้น คนๆนั้นต้องผ่านเรื่องราวแบบทำนองนั้นมาก่อน คนไม่โดนไฟลวกแต่เที่ยวไปบอกคนว่าระวังนะไฟมันร้อนมันไม่ได้ ฉันใดพระที่ห่มเหลืองเป็นเวลานานละทางโลกเป็นเวลานาน ก็มีสิทที่จะพลาดได้เหมือนกัน เค้ามีคณะสงฆไว้คอยดูแลเหมือนหัวหน้าครอบครัวดูแลลูกในบ้าน เราเป็นเพียงคนนอกมีอะไรก็ให้หัวหน้าครอบครัวเค้าจัดการกันเอาเอง หยิกนิดกัดหน่อยแต่พองาม
    แต่ไปขว้างปาขับไล่พระ หรืออะไรต่างๆตามหน้าหนังสือพิมพ์นั้นมันไม่ใช่หน้าที่ของเรา จับโจรให้ตำรวจจับ เกี่ยวข้าวให้ชาวนาทำ ถ้าเราเข้าไปทำแทนซะหมด องค์กรต่างๆจะมีขึ้นมาเพื่ออะไรครับ พระก็คือคนเหมือนเราๆ เตือนเเล้วไม่ฟังบอกเจ้าอาวาส ถามไปเลยอยู่วัดไหนไปหาถึงที่ นิมนเจ้าอาวาสมาคุย(ถ้าอยากให้ดีขึ้นนะ)แต่ถ้าจะเอาแบบว่าด่าๆไม่ชอบไม่ถูกใจด่า แล้วไม่มีไรดีขึ้น ไอตกนรกอะคงไม่ตกหรอก แต่ทุกข์หลังจากด่าไปนี้สิบางทีเก็บอยู่ในใจถึง2-3วัน นี้ก็แค่ความคิดผมนะจริงๆเข้าเวปนี้มาสักพักไม่ค่อยชอบตอบกระทู้อะไรมาก ยิ่งออกความคิดมากยิ่งเกิดข้อพิพาก แต่ครั้งนี้มันเป็นเรื่องที่ผมแค่อยากลองออกความเห็นดูเท่านั้นไม่ได้ว่ากระทบใครนะครับ ขอต่ออีกนิดนะครับ ถึงคนทำข่าวที่ไม่มีข่าวจะทำจนต้องเอาข่าวพระทำผิดเรื่องเล็กออกมาหากิน ผมขอถามนิดนึงนะครับ ที่พวกคุณทำไปเพราะต้องการให้เค้ากลับตัว ประจารเค้า

    หรือ กุลงแค่ข่าวเรื่องคนจะกลับตัวไม่กลับตัวกุไม่สน แต่ในมุมมองของผมผมขอบอกอีกนิดนะว่า มีเพื่อนผมต่างชาติเวลาถามว่าผมนับถือศาสนาอะไรพอบอกว่าพุทธ 3ใน10จะถามกลับมาว่าพระสงฆศาสนานี้ทำไมชอบทำผิดจนเป็นข่าวลงหน้า1 แล้วผมก็คิดต่อไปอีกนิดว่า เออนะเคยมีใครทำการอบรมพระสงฆใหม่ไหมหมายถึงในคณะสงฆด้วยกัน เช่นเราทำผิดเราโดนติดคุก โดนส่ง นนดัดสันดาร ทำไมพระไม่มีมั้ง ถ้าพระเสพเมถุลโดยสีกายินยอม ไม่ได้ข่มขืน ถามว่าผิดไหม ผิด ผิดศิลแน่นอนแต่ไม่ได้ผิดกฎหมายนะถ้าสีกาไม่เอาเรื่องแล้วทำไม คนที่ไปจับศึกกลับเป็นตำรวจทำไมต้องใส่กุญแจมือข้อนี้เป็นคำถามใครรู้ช้วยแก้โง่ให้ผมที อีกอย่างข่าวลงปาวๆเคยคิดมั้งไหมว่าคนมันจะเสื่อมศัธราในศาสนาเราขนาดไหน หัดเอาข่าวพระดีๆมาลงมั้งครับพี่เพื่อนๆลงข่าวไม่ดีเกี่ยวกับศาสนาตัวไปแล้วเกือบ10ฉบับขอแค่เดือนละเท่ากันคือ10ฉบับแบบลงหน้าเดียวกัน(หน้า1)
    เพื่อถ่วงสมดุล ทางศาสนา เพื่อประเทศของเรา เราประเทศพุทธอย่าเอาแต่ลงข่าวเพียงเพื่อรับเงินเดือนไม่โดน บกด่าโดยลืมนึกถึงจุดเสียหลายๆอย่างจากข่าวที่ลง อีกอย่างพระเสพเมถุลผิดเล่นหวยก็ผิด เอาเงินให้เดผ้กวัดไปซื้อกาแฟก็ผิด200ข้อผิดข้อไหนก็ร้ายแรงเท่ากัน แต่ทำไมเราๆท่านๆถึงลำเอียงในศิลแต่ละข้อหละในเมื่อผิดก็คือผิด พระดูดวงก็ผิดทำไมไม่ไปด่าหละ เพราะชอบเราได้ประโยชน์ลิเลยอนุโลม พระให้หวย ทำเครื่องราง ห้อยกันเต็มคอ ชอบ เราได้นิ ทำไมไม่ด่าอะ ก็พระมีกิเลสตัดไม่ขาด ห่วงเราๆท่านๆกลัวรดชนเลยพิมพพระมาแจก ให้ญาติโยมบริจาคตังเพื่อสร้างพระเหรียญ มีส่วนเกี่ยวข้องในการเงินการจัดการของวัด ไม่ผิดศิลเหรอ ทำไมไม่ด่าหละไม่ลงข่าวกันมั้ง
    ในเมื่อพระไม่มีสิทธเอ่ยขอไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามจากโยมเลย เราให้เราให้เอง พระบางรูปหมามาเปิดฝ่าบาทจะกินข้าวพระ พระตะโกนว่า "ฉิ่วไป"ผิด อาบัติ ไม่สำรวม ไม่ด่าหละไม่ว่าหละ ถ้าจะด่าจะว่าจะลงข่าว ที่พูดมาก็ผิดศิลทั้งนั้น เพียงแต่ข้อไหนที่ว่าร้ายหรือไม่ร้ายใจเรานี้แหละเป็นคนกำหนด เพราะงั้นเลยขอว่าอย่าเอาแต่เรื่องเสียๆไปลงข่าวเรื่องดีดีลงมั้งเพื่อถ่วงสมดุลทางศาสนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2006
  3. piyaporn

    piyaporn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +25
    ปราชิก นั้นหมายถึงการหมดสภาพของการเป็นสงฆ์ โดยไม่ต้องให้พระที่อาวุโสกว่ามาทำการสึกให้ ครับ ถ้าจำไม่ผิดมี 3 ข้อ คือ มีเพศสัมพันธ์ ขโมย อีกข้อนึงรู้สึกจะฆ่าคนตาย นะครับ ผมสึกมานานตั้งแต่พรรษาปี 43 จำไม่ค่อยได้แต่เคยถาม พระอาจารย์ ว่าปราชิกเกิดเมื่อใด ท่านบอกว่าเมื่อทำครับไม่ใช่ให้ใครมาจับได้หรือให้ พระรูปอื่นมาทำการสึกให้ หมายความว่า ทันทีที่มีการร่วมประเวณี จะพ้นสภาพจากการเป็นสงฆ์ทันที กลายเป็นคนธรรมดาไปเดี๋ยวนั้นเป็นต้นไป หากปราชิกกับสีกา วันที่ 1มค. แต่ไม่มีใครรู้อยู่มาจนวันที่ 30 มค.ให้ถือว่าปราชิกมาตั้งแต่วันที่ 1 มค. เวลา ที่มีเพศสัมพันธ์ ครับ
    ดังนั้นถ้าหากเราบอกว่า ด่าพระที่ปราชิกนั้นบาบ คงไม่บาบในข้อหาด่าพระ แต่ บาบในข้อหาที่เราด่าว่า คนธรรมดา ทำให้โทษแห่งกรรมนั้นลดลงมา ครับไม่น่าจะมีโทษแห่งกรรมเท่ากับ ด่าว่าพระ แล้วพระที่ ต้องปราชิก บวชอีกไม่ได้ตลอดชีวิต
     
  4. piyaporn

    piyaporn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +25
    ส่วนพระที่ทำผิดศีลในข้ออื่นๆเรียกว่าต้องอาบัติ
     
  5. piyaporn

    piyaporn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +25
    ขอโทษครับมือไปโดนตัวส่งข้อความ ส่วนการที่พระทำผิดศีลข้ออื่นๆ เรียกว่าอาบัติ ครับ มีโทษทางสงฆ์ไม่เท่ากัน อาบัติจะมีหลายๆข้อครับเรียกว่าแยกเป็นหมวดหมู่ เช่นทำผิดแบบนี้เรียกว่า ต้องอาบัติ ปาจิตีย์ หรือ ทุกข์กฎ แล้วแต่ การทำผิด ครับสามารถปลงอาบัติได้ ยกเว้น อาบัติที่ชื่อว่า ต้องสังฆาธิเสธ อันนี้ไม่สามารถปลงอาบัติได้ ต้องอยู่กรรมมีลักษณะประจานพระรูปนั้นในหมู่สงฆ์ด้วยกันเพื่อให้สำนึกในบาบ

    เช่น การนั่งเรียงลำดับต้องไปนั่งหลังสุดทั้งที่พระรูปนั้นอาวุโสสูง และ ต้องบอกกล่าวพระรูปอื่นๆให้ทราบว่า เราต้องอาบัติสังฆาธิเสธ การอาบัติไม่ต้องเจตนาก็ถือว่าอาบัติครับแม้เหตุจำเป็นก็ถือว่าอาบัติ เช่น เราไม่แสดงธรรมต่อคนที่อยู่สูงกว่าเราเมื่อเรายืนอยู่ยกเว้นคนเป็นไข้ ตอนผมออกบิณฑบาตรมีคนใส่บาตรตอนเช้าๆ นิมนต์ผม เค้ายืนในตำแหน่งที่สูงกว่าผม เพราะฟุตบาตมันเอียง และ เค้าก็ไม่ถอดรองเท้า(ในพรรษาฝนตกเปียกฟุตบาตเค้าต้องไปทำงานถอดรองเท้าลำบาก ) ซึ่งผมถอดรองเท้า หมายความว่าผมอยู่ต่ำกว่าเค้าแต่ผมต้องรับบาตร ครับอย่างนี้ผมต้องอาบัติ ครับ หรือผมเดินบิณฑบาตรไปเรื่อยๆที่แถวตลาด มีผู้หญิงเดินมาเฉี่ยวจีวร ผม เพราะเค้ารีบไปทำงาน ผมต้องอาบัติ ครับ ฝนตกเลยวิ่งเข้าที่ร่ม วิ่งก็ต้องอาบัติ ครับ แต่โดยมากพระใหม่จะยอมวิ่งครับ

    เพราะพระ ใหม่ที่ยังไม่ได้พรรษาอย่างผม สามารถครองจีวรได้ แค่2 ผืนเท่านั้น ถ้าอีกผืนตากอยู่และ ไม่แห้ง แล้ว จีวรที่ใส่อยู่เปียกจะทำให้ไม่มีจีวรใส่ครับ ส่วนพระที่ทำผิดเล็กน้อยแต่ดูไม่ดีในสายตาชาวบ้าน เช่น ทานข้าวเย็น ดื่มเหล้า หรือฟังเพลง เล่นหวย แค่ต้องอาบัติเล็กๆ สามารถปลงอาบัติได้ ครับเพียงแต่เป็นการกระทำที่เค้าเรียกว่าโลกติเตียนครับไม่ผิดมาก และ จะมีพวกพระหัวหมอเอาข้ออาบัติเล็กๆ มาอ้างเช่นดื่มเหล้าเมา , กินข้าวเย็น ก็ไม่กลัวเพราะปลงอาบัติก็ บริสุทธิ ส่วนการอบรมพระสงฆ์ใหม่ มีครับพระพี่เลี้ยงจะคอยสอน หรือ อุปัชฌา จะสอนให้ในคืนที่บวชคืนแรก เวลา ทำวัตรเย็นเสร็จ แล้ว ถ้าบวชแล้ว ปวนาเข้าพรรษาด้วย จะสอนวิธีการปฏิบัติในการเข้าพรรษาอีกครั้งนึง ส่วนศีลพระ 227 ข้อไม่มีใครสอนให้หมด ครับ

    จะบอกแต่ข้อที่สำคัญ แล้ว เมื่อเราทำผิดเค้าจะเตือนเช่น ผมอยากกินน้ำที่แม่เอามาถวายตอนกลางวัน พระพี่เลี้ยงจะบอกว่า"อย่าฉัน(กิน) นะท่านไม่ได้ ต้องให้ เณรหรือ โยมประเคนใหม่ ถึงจะฉันได้ " แบบนี้เป็นต้น ส่วนมากพระที่บวชใหม่แล้วกะว่าจะบวชในเวลาสั้นๆ 7 วัน เดือนนึง พรรษานึง มักไม่ทำผิด ปราชิก หรือ สังฆาธิเสธ กันหรอกครับเพราะเค้ารู้ว่าอีกไม่กี่วัน หรือ ไม่กี่เดือน เราก็ออกไปทำอะไรๆ ไม่มีใครห้าม และ เห็นหลายๆคนมักเรียกการบวช 3 เดือนว่าการบวช 1 พรรษา เป็นการเรียกผิดครับ การบวช 1 พรรษาต้องบวชก่อนเข้าพรรษา และ ต้องสวดปวรณาตนเข้าพรรษา ด้วย ถ้าบวช ตอนเข้าพรรษาแล้ว ไม่ สวดปวรณา ไม่ถือว่าได้ พรรษาเป็นการบวช 3 เดือน ครับ ตอนผมบวช บวช 1 พรรษาที่วัดธรรมงคล 1 พรรษา ปี 43 หลวงพ่อ วิริยังค์ เป็นพระอุปัชฌา ครับ
     
  6. piyaporn

    piyaporn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +25
    แก้ไขครับ
     
  7. piyaporn

    piyaporn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +25
    ปราชิกคือ มีเพศสัมพันธ์ ,ขโมย,อวดอุตริมนุษ ครับ ขอโทษที่ทำให้เปลืองกระทู้ ครับ มือผมชอบไปกดโดนส่งข้อความ ครับ
     
  8. อำนาจ

    อำนาจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    579
    ค่าพลัง:
    +11,487
    ขอเพิ่มเติมคุณ piyaporn ครับ

    อาบัิติปาราชิก
    1. เสพย์เมถุน
    2. ลักของเขาราคาตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไป
    3. ฆ่ามนุษย์ให้ตาย
    4. อวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน
     
  9. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ...พิจารณา พระในพระพุทธศาสนา หมายถึงพระอริยะตั้งแต่ โสดาบันขึ้นไป

    ...การละเมิด ทาง กาย วาจา หรือทางใจ ไม่ว่ากับผู้ใด ก็ไม่ควรทั้งสิ้น
     
  10. anko

    anko เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    972
    ค่าพลัง:
    +8,252
    อนุโมทนากับทุกความเห็นข้างบนด้วยค่ะ
     
  11. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,792
    ค่าพลัง:
    +7,482
    บาป

    แต่ควรปล่อยให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม เพราะกรรมใครกรรมมันอยู่แล้ว ...
     
  12. pkomsan

    pkomsan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    6,206
    ค่าพลัง:
    +21,298
    เมื่อก่อนมีคำ "ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์" ผมคนโบราณเขามีกุศลบายที่ดีในการสั่งสอนลูกหลานน๊ะครับ ที่จะไม่ให้ตนเองต้องทำบาปจากการปรามาสพระรัตนตรัย อันเนื่องจากการกล่าวว่าโทษพระภิกษุสามเณร รวมถึงท่านที่ประพฤติธรรม
    เท่าที่จำได้จากสัญญา
    คำว่า"พระ" ในพระพุทธศาสนา นั้นมีอยู่ 4 พวก 8 ชนิดครับ
    คือ โสดาปฎิมรรค โสดาปฎิผล
    สกินาคามีมรรค สกินาคามีผล
    อนาคามีมรรค อนาคามีผล
    อริยมรรค อริยสงฆ์
    นอกนั้นเขายังไม่ใช้คำว่าพระครับ เขาจะใช้คำว่า " โยคาวจร" หรือสมมุติสงฆ์แทน
    ฉนั้น หากมีการกล่าวโทษ บุคคลที่อยู่ในผ้าเหลือง แต่ไม่ได้ประพฤติอยู่ในพรมจรรย์ หรือ ไม่ได้ถือศีล อย่าใช้คำว่าพระครับ เพราะเท่ากับคุณได้ ปรามาส พระรัตนตรัย ไปแล้วโดยไม่รู้ตัว ซึ่งบาปมากครับ และควรขอขมาพระรัตนตรัย เสียด้วยซ้ำ เพราะโทษของการปรามาสพระรัตนตรัยนั้นหนักมาก เท่ากับการปรามาสพระอริยเจ้าไปจนถึงพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว
    ทางที่ดี หากจำเป็นต้องพูดถึงให้เอยชื่อของผู้ขาดจากการถือศีลพรมจรรย์เหล่านั้น เลยดีกว่า เช่น นาย ก, นาย ข เลยดีกว่า จะปลอดภัยกับตัวเองที่สุด
     
  13. ปัชฌา

    ปัชฌา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    292
    ค่าพลัง:
    +1,428
    เราเห็นผ้าเหลือง เราก็กราบด้วยใจที่บริสุทธิ์อยู่แล้ว เพียงแต่ทุกวันนี้คนที่นำผ้าเหลืองมาใส่ต่างหาก ไม่ได้ผ่านกระบวนการคัดเลือกคัดเกลาว่าจะผ่านไปต่อได้หรือไม่ เลยมีทั้งคนที่ดีและไม่ดีเข้ามาทำให้ผ้าเหลืองร้อน
     
  14. Raindrops

    Raindrops เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +1,147
    "อานนท์! ต่อไปเบื้องหน้าจักมีแต่โคตรภูสงฆ์ คือสงฆ์ผู้ทุศีล มีธรรมทราม สักแต่ว่ามีกาสาวพัสตร์พันคอ การให้ทานแก่ภิกษุผู้ทุศีลเห็นปานนั้นแต่อุทิศสงฆ์ ยังเป็นทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์ไพศาลประมาณมิได้" -พระอานนท์พุทธอนุชา
     
  15. Raindrops

    Raindrops เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +1,147
    "อานนท์! ต่อไปเบื้องหน้าจักมีแต่โคตรภูสงฆ์ คือสงฆ์ผู้ทุศีล มีธรรมทราม สักแต่ว่ามีกาสาวพัสตร์พันคอ การให้ทานแก่ภิกษุผู้ทุศีลเห็นปานนั้นแต่อุทิศสงฆ์ ยังเป็นทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์ไพศาลประมาณมิได้" -พระอานนท์พุทธอนุชา
     
  16. ชุติพนธ์ แจ่มอุลิตรัตน์

    ชุติพนธ์ แจ่มอุลิตรัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +314
    ผมว่าอย่าเรียกพระสงฆ์เลยครับเพราะว่าพระสงฆ์นั้นท่านอยู่ในพระรัตนตรัย3ประการนะครับ การที่เราว่าพระสงฆ์นั้นเป็นบาปมาก เป็นการล่วงเกินพระรัตนตรัยเจ้าทั้งสามเลยทีเดียวเถอะ ผมว่าถ้าเกิดว่าท่านเห็นมูลความผิดจริง น่าจะบอกกับพระสงฆ์เจ้าอาวาสอุปัชฌาย์ หรือพระเถระผู้ใหญ่ต้นสังกัดดีกว่านะครับ แล้วถ้าจะพูดว่า ให้พูดว่านักบวชหรือผู้บำเพ็ญดีกว่า มาว่าพระสงฆ์อย่างงี้ไม่ถูกหรอก
     
  17. Gow27

    Gow27 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +19
    ถ้าจะวินิจฉัยเรื่องบาปหรือไม่บาป ต้องพิจารณาความเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมเป็นสำคัญ

    กรรม นั้น มีเจตนาเป็นตัวตั้ง ถ้าหากว่าการว่า ตำหนินั้นเป็นไปด้วยกุศลจิต กล่าวคือ มีความปรารถนาดีต่อพระที่ประพฤติมิชอบเพื่อหวังให้ท่านได้ฉุกคิดและเร่งแก้ไขปรับตัวสมกับเพศบรรพชิต ก็ขึ้นชื่อว่า คำพูดของเราเป็นการอนุเคราะห์พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาให้พ้นจากนรก แถมยังเป็นการอุปถัมภ์ค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้มั่นคงต่อไปได้อย่างมีเสถียรภาพขึ้นอีก เมื่อพุทธบริษัทต่างช่วยกันสอดส่องดูแลธรรมวินัยให้บริสุทธิ์ พระพุทธศาสนาก็จะเจริญรุ่งเรืองไม่เสื่อมสลายไปในเวลาอันสั้น

    ผู้ที่ตำหนิด้วยเจตนาที่ดี ย่อมเป็นดั่งสำนวนว่า "ผู้ที่ตำหนิ คือผู้ที่ชี้ขุมทรัพย์ให้เรา" อันเป็นอานิสงส์อันแรงกล้า

    พิจารณาดังนี้ เจตนาทั้งหมดของการติเพื่อก่อ (มิใช่ติเพื่อทำลาย) จึงมีจุดกำเนิดจากบุญ (กุศลจิต)ล้วนๆ เพราะเราตำหนิเพื่อหวังความเจริญต่อบุคคลผู้ที่เรากล่าวถึง ให้ผู้ฟังได้สติและพัฒนาตนเองต่อไป ไม่ใช่การพูดเพื่อบ่อนทำลายผู้ฟัง ให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจ ให้เขารู้สึกเสียใจ เพื่อสนองความสะใจของตัวเรา

    เมื่อเกิดความโกรธหรือความไม่พอใจแซมในการตำหนิตักเตือนนั้น ส่วนของขณะจิตดังกล่าวก็ชื่อว่าเป็นบาป ที่จะต้องแยกส่วนกันให้ชัด ว่าถ้าเจตนาเตือนด้วยความหวังดีก็มีผลเป็นบุญ แต่ถ้ามีเจตนาด่าว่าด้วยความโกรธ เป็นที่ตั้ง ส่วนนั้นก็เป็นบาป พิจารณาง่ายๆ ได้ตามนี้

    ยิ่งหากว่า ไม่พอใจในพฤติกรรมของพระที่ทำตัวชวนเสื่อมศรัทธาแล้ว กลับกลายเป็นก่นด่าด้วยความโกรธ รุมกันสาปแช่ง นั่นย่อมเป็นวจีทุจริตโดยสมบูรณ์ (เป็น หนึ่งในอกุศลกรรมบท 10 ข้อ ผรุสวาจา) เพียงแต่ ผู้ที่ถูกด่ามีศีลธรรมต่ำ จึงยังผลเป็นกรรมที่เบาบางกว่าการด่าว่าพระที่ศีลบริสุทธิ์

    ต่อให้ด่าโจรที่ฆ่าขมขืนเด็กทารก เราก็ยังชื่อว่าบาป เพราะ ขึ้นชื่อว่า "คำด่า" จิตย่อมประกอบด้วยโทสะเป็นประธาน มีอกุศลกรรมเป็นมูลเหตุ และการกระทำหรือวาจาที่ออกมาจากจิตแห่งโทสะอันร้อนแรงนั้น ย่อมมีผลเป็นบาปเสมอครับ

    ทราบดังนี้แล้ว อยากให้เลิกหวาดกลัวเรื่องบาปโดยไร้เหตุผลครับ ในฐานะที่ทุกคนเป็นพุทธบริษัทขอให้เอา ธรรมวินัย เป็นที่ตั้งและตรวจสอบพระภิกษุด้วยเจตนาที่ซื่อสัตย์ต่อพระศาสนาครับ ถ้ามีพระทุศีลอยู่เราก็ต้องช่วยกันกำจัดออกไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2006
  18. ท่าข้าม

    ท่าข้าม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2006
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +2,513
    ไม่อยากตอบแบบฟันธงว่า บาปหรือไม่บาปขึ้นอยู่กับว่าอารมณ์ที่เห็นภาพข่าวถ้าตอนเห็นภาพข่าวมันรุนแรงก็จะคิดแล้วว่า ท่านขาดจากความเป็นพระ ก็เป็นแค่คนทำชั่วธรรมดานี่แหล่ะ(มาบวชทำไม ถ้าไม่ได้เข้ามาเพื่อทำให้แจ้งเพื่อนิพพาน จ๊าก...ด่าไปแล้ว) แต่ถ้าภาพข่าวไม่รุนแรงกระแทกใจ ก็จะยังเห็นว่าท่านสวมผ้าเหลือง เป็นอนุสสติที่ทำให้นึกถึงพระพุทธเจ้า ก็จะได้แต่เซ็ง นิดๆ หน่อยๆ ไม่กล้าด่า (เพราะนึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่)
     
  19. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    717
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ยังอยู่ในวัฏฏะอยู่ยังไงโอกาสพลาดก็มี ที่เค้าทำผิดไปก็เพราะมีรู้โทษภัยวัฏฏะ
    ก็เตือนด้วยความเมตตา กรุณา มุทิตา ถ้าไม่ฟังกันก็อุเบกขาเสีย ถือว่าไม่เบียดเบียนกัน ในทางกลับกันถ้าผมทำผิดอะไรมีคนมาเตือนด้วยความเมตตา กรุณา ผมก็คงดีใจ ไม่ใช่ด่าเตือนกันด้วยโมหะ โทสะ ราคะ ยิ่งเตือนยิ่งร้อนทั้งคนผิดทั้งคนเตือน
     
  20. กิมท้ง

    กิมท้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +165
    (verygood)
    *ถ้าหากนักบวชรูปนั้นทำชั่วจริง การที่เราเป็นชาวพุทธไปว่ากล่าวตักเตือนไม่ถือว่าบาปหรอกจ้ะ เพราะถ้าเป็นเรื่องจริง และเราเองก็พูดความจริง ไม่ถือเป็นการว่าร้ายนะจ๊ะ
    *แต่ถ้าท่านทำผิดวินัยเล็กน้อยไม่ร้ายแรง ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธก็ควรจะเข้าไปชี้แนะ แนะนำบอกกล่าวกันด้วยปิยวาจา ถ้าเห็นว่ามันไม่เหมาะควร
    *ถ้านักบวชนั้นไม่อยู่ในศีล ไม่ปฎิบัติตามพระธรรมวินัยเลย ก็ไม่ควรปล่อยไว้ให้เป็นโจรปล้นพระพุทธศาสนาอยู่ ควรขับออกไปเสียนะจ้ะ
    *เพราะว่าพระแปลว่า "ผู้ประเสริฐ" นะจ๊ะ
    *นาใดหว่านข้าวแล้วให้ผลเจริญดีงอกงามไพบูลย์ ก็เลือกหว่านที่นานั้นแหละจ้ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...