ตามรอยบุญ ณ แดนพุทธภูมิ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ชานนคนไทย, 15 ธันวาคม 2009.

  1. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    [​IMG]
    บ้านเรือนในชนบทที่อินเดีย...จะเห็นกำแพงบ้านมีก้อนสีเขียวเต็มกำแพงคือก้อนขี้วัวไว้ขายเป็นเชื้อเพลิงราคาประมาณ=1รูปี
     
  2. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    [​IMG]
    อาหารของชาวอินเดียเครี่องเทศจะแรงมาก...ผมไม่ค่อยทานส่วนมากจะทานของเขาอย่างเดียวคือ ใจ แปลว่าชาที่ทานตอนเช้า...นอกนั้นก็มาม่า,ไวไว,ไข่เจียว...น้ำพริกที่นำมาจากเมืองไทย...สวัสดีครับ
     
  3. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    [​IMG]
    เด็กนักเรียนอินเดียตามหมู่บ้านที่ฝรั่งมาสอนศาสนา...ถ้าคนมีฐานะก็จะเรียนในเมืองหรึอโรงเรียนประจำที่อยู่บนภูเขา...เพราะว่าลูกสาวเคยไปเรียนที่อินเดียโรงเรียนประจำก็จะมีคนทุกที่(ต่างชาติมาเรียนเยอะมาก)ภาษาและระบบของเขาใช้ได้...แต่ก็สู้ไทยไม่ได้ครับเพราะเราสอนให้รู้จักพ่อรักแม่...และสอนให้รู้จักเคารพผู้ใหญ่รู้จักช่วยผู้อื่น...จึงให้ลูกกลับมาเรียนที่ประเทศไทยครับ...สวัสดีครับ
     
  4. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    [​IMG]

    รถไฟของอินเดียใช้ตั้งแต่สมัยอังฤกษปกครองอินเดีย...เคยขึ้นรถไฟอินเดียภายในรถไฟจะมี2ชั้น...ผมนั่งข้างล่าง(ชั้น1)ชั้นบนคือนั่งอยู่บนหัวเราคนนั่งข้างบนก็จะเอาขาห้อยลงมาเหม็นสุดๆ(เท้าแขก)แต่ก็ได้บรรยากาศแบบอินเดียตอนนั่งจากพุทธคยาไปพาราสีนั่งเช้าไปถึงเกือบค่ำ...สุดๆ...ไปเองกับพระและแม่ชีไม่มีไกค์ทัวร์...เข้าถึงชีวิตของคนอินเดียครับ...สวัสดีครับ
     
  5. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    [​IMG]
    เวลาที่ซื้อของคือผ้าจะมีแขกชาวอินเดียพาไปดูตามห้องแถวเขาจะมาตามวัดไทย,วัดญีปุน,ที่มีชาวต่างชาติมาพักโดยจากการแนะนำของเด็กที่อยู่ที่วัดแต่ของก็ราคาไม่ถูกคือราคากลางๆแต่ก็ดีกว่าไปซื้อเองครับ...ที่นี้อาหารที่ถูกที่สุดคือขนมปัง...เพราะประเทศอินเดียนำข้าวมาทำเป็นแป้งสาลีแล้วนำมาทำขนมปัง...สวัสดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2009
  6. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    มีหลายๆท่านสนใจ(PM)มาบอก...ที่จะไปแสวงบุญที่อินเดียด้วยกันประมาณปลายปี53

    ด้วยผมบอกว่ารายังมีเวลาตั้ง355วันประมาณ11เดือนเต็ม...จะได้มีเวลาเก็บเงินและเตรียมตัวและหาข้อมูลกัน...มีอะไรPMมาบอกได้ตลอดครับ...สวัสดีครับ
     
  7. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    <TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    <TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    <TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    <TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    ประเทศอินเดียได้รับอิสระภาพจากการปกครองของอังกฤษเมื่อ 15 สิงหาคม 1947 ( พ.ศ.2490) วันที่ 15 สิงหาคม ปีนี้ จึงเป็นวันที่คนอินเดียทั้งชาติร่วมเฉลิมฉลองกันอย่างมีความสุข ในวันประกาศอิสระภาพ จากการที่ประเทศนี้เคยตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติและสามารถต่อสู้เรียกร้องอิสรภาพได้เพราะพลังแห่งความรักชาติและความสามัคคี ปึกแผ่นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติบรรพบุรุษนักสู้ของเขาต้องสละชีวีตเพื่อชาติไปเป็นจำนวนมาก
    [​IMG]
    หากอินเดียช่วงนั้นมีการแยกกลุ่มแยกสีแบ่งฝ่าย และมีแต่คนที่เห็นแต่ได้ เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตน การได้รับมาซึ่งวันประกาศอิสระภาพในวันนี้ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้แน่นอน และเพราะบทเรียนแห่งความแตกแยก แตกสามัคคีของคนอินเดียจึงทำให้ต่างชาติเข้ามายึดครองได้ และจากนี้อินเดียจะไม่ยอมเปิดโอกาสให้ต่างชาติได้มายึดครองอย่างเช่นในอดีตเป็นแน่ จึงได้ปลูกฝังค่านิยม ความรักชาติ รักประเทศ รักแผ่นดินไว้กับเยาวชนตัวน้อย ๆ อันเป็นอนาคตของชาติไว้อย่างเข้มข้นได้เห็นเลือดรักชาติของเด็กอินเดียแล้วยอมรับว่าทึ่งและน่าประทับใจยิ่ง แต่เมื่อหันมองมาที่ประเทศไทยแผ่นดินบ้านเกิดของข้าพเจ้า ไทยเรามีความภาคภูมิใจที่จะกล่าวว่า เราไม่เคยมีวันประกาศอิสระภาพ เพราะประเทศไทยไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร ก็คงแน่นอนว่า ความรู้สึกจากการถูกกดขี่ ข่มเหงของคนต่างชาติ การอยู่ภายใต้อำนาจของชาติอื่นย่อมไม่มีในจิตสำนึกของคนไทยส่วนใหญ่ คนไทยจึงมีความภาคภูมิใจในความเป็นไทยว่า เราไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของชาติใดในโลก แต่คนไทยก็อย่าประมาทไปว่า
    สักวันหนึ่งกาลข้างหน้าเราอาจจะตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติและไม่มีโอกาสได้เห็นวันประกาศอิสระภาพของคนไทยก็เป็นได้ หากคนไทยเรายังคงแยกแตกสามัคคีแบ่งฝ่าย แบ่งสี เพื่อที่จะเอาชนะกันอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศ มุ่งหวังแต่เพียงประโยชน์ของกลุ่มพวกตน บนความหายนะของชาติ ที่กำลังคลืบคลานเข้ามาและพวกเรากำลังเผชิญอยู่ ในท่ามกลางกระแสแห่งความแตกแยกที่ก่อตัวเป็นมะเร็งร้ายที่กำลังรุกรานไปทั่วไทยอยู่ในขณะนี้ หรือไทยจะคิดได้ต่อเมื่อวันแห่งการสิ้นอิสระภาพนั้นมาถึง ฯ
    [​IMG]
     
  12. surapong chot

    surapong chot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +1,212
    <CENTER>สวัสดีปีใหม่ คุณชานนคนไทย และทุกท่าน ครับ ค่ะ...

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>เนื่องในวาระขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๕๓ นี้

    ผมธรรมรักษา(เป้)และภรรยา(แอน) ขอให้พรทุกท่านนะ

    ขอให้ทุกท่านรวยบุญและวาสนา รวยเงินตราและทรัพย์สิน

    รวยสุขภาพและของกิน รวยมิตรภาพและ อำนาจถ้วนทุกถิ่น

    รวยไม่รู้จักจบสิ้นเทอญ........
     
  13. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    ขอบคุณมากครับ...พรอันใดที่ท่านให้มาขอให้กลับไปหาท่านและครอบครัวครับ...ขอให้

    ธรรมรักษาท่านและครอบครัวตลอดไป...สวัสดีครับ
     
  14. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    ขออนุญาตินำภาพสวยๆและภาพประเพณีสำคัญของชาวอินเดียที่เพื่อนๆสมาชิกได้ไปสัมผัสมาให้ดูครับวันนี้ออกเดินทางไป Coorg ตอนตี 5
    เมื่อคืน Santosh ส่ง message มาบอกว่าจะออกเดินทางตี 4 เอาตอนเที่ยงคืน
    ตอนนั้นเรานั่งดูหนังกันอยู่ - -'
    ทำให้มีเวลานอนแค่ 3 ชั่วโมง เพราะตอนแรกคิดว่าจะออกสายๆ
    แต่ Santosh มารับจริงๆ ราวๆ ตีสี่กว่าๆ
    นั่งง่วงๆ ไป อากาศเย็นสบายมากตอนเช้า แม่ Santosh ไปด้วย
    เราแวะทานอาหารเช้ากันแถวๆ Mysore ที่ร้านอาหารอินเดียข้างทาง
    คนเยอะมาก เพราะวันนี้เป็นวัน X'mas ด้วย

    [​IMG]
    อาหารมื้อเช้าวันนี้ที่กิน มี dosa, idly, vada ชอบอันนี้ กับแกงต่างๆ ตบท้ายด้วย tea
    ตามระเบียบ :) ท้องอิ่ม หนังตายิ่งหย่อน
    [​IMG]
    [​IMG]
    มาถึง Coorg ประมาณ 10 โมงได้
    เมืองนี้น่ารัก เป็นเมืองที่อยู่บน hill แต่ถนนจะแคบๆ กับชำรุดเยอะ ทางขึ้นๆ ลงๆ
    เหน่งนั่งเมารถมาเลย
    มาถึงบ้านญาติ Santosh รู้สึกว่าจะชื่อ นันจาป้า
    จริงๆ แล้วเค้าเป็น family's friend ที่สนิทมากของครอบครัว Santosh
    บ้านหลังใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยไร่กาแฟ พริกไท และ ต้นมะพร้าว
    [​IMG]
    Coorg เป็นเมืองน่ารักๆ ที่ขึ้นชื่อเรื่อง กาแฟ กับพริกไท
    [​IMG]
    [​IMG]
    บ้าน แถบนี้จะต่างจาก Bangalore
    ก็เหมือนกับเวลาเราไปเที่ยวบ้านที่ต่างจังหวัดในไทย คือมีบ้านหลังใหญ่ๆ
    อยู่กลางลาน ล้อมรอบด้วยสวน ไม่ใช่บ้านที่ติดๆ กันเป็นชุมชน
    [​IMG]
    ทางเข้าบ้าน ต้องขึ้นเนิน
    [​IMG]
    อากาศที่นี่ สบาย fresh มาก
    สดชื่นรับ o2 ไปเต็มๆ ปอด ไม่ต้องดมควันพิษเหมือนในเมือง
    [​IMG]
    ตั้งใจถ่ายภาพบ้าน แต่ถ่ายออกมาเบี้ยว hahahaha
    [​IMG]
    [​IMG]
    ลูกสะใภ้ของ นันจาป้า กับหลานสาว น้อง สุวิชชา น่ารักมาก

    [​IMG]
    เราเดินชมรอบบ้านหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปงานแต่ง
    [​IMG]
    มาดูพริกไทยใกล้ๆ กัน มันเหมือนกาฝากที่อยู่บนต้นมะพร้าว
    [​IMG]
    ด้านล่างคือผลกาแฟ สีแดงสวยงามเหมือนลูกเบอร์รี่เลย
    [​IMG]
    [​IMG]
    นันจาป้าพามาเดินชม ต้น cardamon
    เราเข้าใจผิดมานาน ว่ากินชา cardamon คือ แอลมอน - -'
    ที่แท้เป็นต้นแบบนี้เอง
    [​IMG]
    ผลจะอยู่แถวๆ รากของมัน เป็นเม็ดเล็กๆ
    แต่กลิ่นออกหอม แรงๆ
    [​IMG]
    จากนั้นนั่งรถไปงานแต่งของเพื่อน Santosh
    [​IMG]
    วิวรอบข้างสวย เป็นภูเขา เนินเขา มีโบสถ์ สวยงาม
    [​IMG]
    มาถึงงานแต่ง งานนี้ใหญ่มาก เพื่อน Santosh สมัยเรียนหนังสือที่ Bangalore
    แต่ตอนนี้ไปทำงานอยู่ Australia และพบภรรยาที่นั่นเป็นสาวชาวอินเดียเมือง Coorg
    ทั้งคู่เป็นทันตแพทย์ กลับมาแต่งงานที่อินเดีย แล้วจะกลับไปใช้ชีวิตต่อที่ Aussy
    [​IMG]
    มาถึงงานช่วงพิธี Blessing พอดี
    [​IMG]
    การอวยพรของอินเดีย จะให้ผู้ร่วมงานโปรย ข้าวสาร ( สีขาวๆ นั่นละ)
    พร้อมทั้งกล่าวคำอวยพร
    [​IMG]
    [​IMG]
    ต่างจากของเราที่ใช้การรดน้ำ สำหรับอวยพร
    [​IMG]
    ตาลได้อวยพรด้วยละ ^^
    [​IMG]
    หลังจากนั้นก็มาทานอาหาร งานนี้จะแบ่งที่กินอาหารออกเป็น 2 โซน
    คือ Veg กับ Non Veg
    และแต่ละโซนจะแยกฝั่งหญิง กับชาย
    ตาลมากินแบบ Non Veg
    เมืองนี้อาหารที่ทำด้วยหมู (pork) จะขึ้นชื่อ
    และเป็นเมืองเดียวด้วยมั้งแถบนี้ที่กินหมู
    นอกนั้นจะเห็นแต่ไก่ กับส่วนใหญ่เป็น non veg
    [​IMG]
    นั่งกินอาหารแยกอยู่คนเดียว เพราะ ผู้ชายแยกไปอีกโซน
    และแม่ของ Santosh เป็น Veg
    แต่เราไม่อาย อิอิอิ ตักอาหารนั่งกินๆ อิ่มแปร้
    แล้วตบท้ายด้วย ขนมที่หวานแสบทรวง ของอินเดีย
    [​IMG]
    ระหว่างรอกลับ
    [​IMG]
    มาดูโฉมหน้าเจ้าบ่าว เพื่อน Santosh ใกล้ๆ
    [​IMG]
    หลังจากนั้นเดินทางกันต่อไปบ้านลูกสาว นันจาป้า
    คนกลางคือลูกสาว ผู้ชายคือลูกเขย และ ขวาสุดคือแม่ของ Santosh
    [​IMG]
    นี่คือแม่ของลูกเขย
    [​IMG]
    บ้านเค้าก็จะคล้ายๆ กัน อยู่บนเนิน ล้อมรอบด้วยสวนกาแฟ และพริกไท
    [​IMG]
    บ้านหลังใหญ่ๆ
    [​IMG]
    [​IMG]
    มีนาอยู่ใกล้ๆ
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    ได้ถ่ายรูปกับต้นคริสมาสต์ ด้วยละ​
     
  15. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    อชันตา...ถ้ำมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่แห่งศรัทธาของชาวพุทธ<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><IFRAME id=google_ads_frame1 style="LEFT: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px" name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1262761555&flash=10.0.42.34&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff76%2F%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B2-%25E0%25B8%2596%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B3%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2583%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%258D%25E0%25B9%2588%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%25AB%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2598-160801.html&dt=1262761555656&correlator=1262761555656&frm=0&ga_vid=289844807.1262761556&ga_sid=1262761556&ga_hid=1478097579&ga_fc=0&ga_wpids=UA-7034934-1&u_tz=420&u_his=8&u_java=1&u_h=1024&u_w=1280&u_ah=994&u_aw=1280&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=-12245933&bih=-12245933&ifk=1382075325&ref=http%3A%2F%2Fimages.google.co.th%2Fimgres%3Fimgurl%3Dhttp%3A%2F%2Fwww.trekkingthai.com%2Fwebboard%2Fbackpacker%2F4633-17.jpg%26imgrefurl%3Dhttp%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff76%2F%2525E0%2525B8%2525AD%2525E0%2525B8%25258A%2525E0%2525B8%2525B1%2525E0%2525B8%252599%2525E0%2525B8%252595%2525E0%2525B8%2525B2-%2525E0%2525B8%252596%2525E0%2525B9%252589%2525E0%2525B8%2525B3%2525E0%2525B8%2525A1%2525E0%2525B8%2525AB%2525E0%2525B8%2525B1%2525E0%2525B8%2525A8%2525E0%2525B8%252588%2525E0%2525B8%2525A3%2525E0%2525B8%2525A3%2525E0%2525B8%2525A2%2525E0%2525B9%25258C%2525E0%2525B8%2525A2%2525E0%2525B8%2525B4%2525E0%2525B9%252588%2525E0%2525B8%252587%2525E0%2525B9%252583%2525E0%2525B8%2525AB%2525E0%2525B8%25258D%2525E0%2525B9%252588%2525E0%2525B9%252581%2525E0%2525B8%2525AB%2525E0%2525B9%252588%2525E0%2525B8%25258&dtd=31&xpc=5gVvHYM4dz&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=250 scrolling=no height=250 allowTransparency></IFRAME></INS></INS>
    [​IMG]


    ที่อินเดีย....หากจะดูความยิ่งใหญ่ของฮินดูต้องไปที่คาชูระโห
    หากจะดูความยิ่งใหญ่ของมุสลิมต้องทัชมาฮาล...
    หากจะดูความยิ่งใหญ่ของพุทธศาสนาต้อง..ถ้ำอชันตา
    Ajanta Caves ถ้ำอชันตา

    ถ้ำอชันตา เป็นถ้ำที่เป็นของพระพุทธศาสนาล้วน ๆ

    ถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปีพุทธศักราช ๓๕๐-๔๐๐ มาสิ้นสุดประมาณพ.ศ.๑๒๐๐

    ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองออรังกบาด รัฐมหาราษฎร์ อินเดีย

    ในปี พ.ศ.๒๓๖๒ ได้มีทหารอังกฤษ สังกัดกองทัพที่เมืองมัทราส

    ออกเดินทางมาล่าสัตว์ คราวหนึ่งได้วิ่งตามกวางที่หนีเข้าไปในถ้ำ

    จึงได้พบถ้ำอชันตาดังกล่าว ภายในถ้ำแห่งนี้มีจิตรกรรมภาพเขียนผนังที่งดงาม

    หาใดเปรียบ ปัจจุบันได้รับจดขึ้นเป็นทะเบียนมรดกโลกแล้ว ทั้งหมดมี ๓๐ ถ้ำ

    แต่ละถ้ำจะถูกเจาะแกะสลักเป็นพระพุทธรูปที่งดงามน่าทึ่งในศรัทธาของผู้สร้างยิ่งนัก

    นับเป็นความอัศจรรย์ใจทันทีที่ได้มาเห็น...ในจำนวน ๓๐ ถ้ำนั้น ๕ ถ้ำ

    เป็นการแกะสลักองค์เจดีย์และอีก ๒๕ ถ้ำจะเป็นวิหารและที่พักสงฆ์

    ถ้ำหมายเลข ๘, ๙, ๑๐, ๑๒, ๑๓ และ ๓๐ จะเป็นถ้ำสายมหายาน

    ส่วนที่เหลือจะเป็นสายเถรวาท

    อยากนำความมหัศจรรย์ความยิ่งใหญ่แห่งศรัทธาของชาวพุทธในอดีตนำเสนอ

    ด้วยภาพให้ท่านได้เห็น..อันจักเป็นศรัทธาในเบี้องต้น..

    แม้ท่านจะไม่ได้ไปเห็นด้วยตนเองถึงถิ่นมหัศจรรย์แห่งนี้ก็ตาม..ฯ


    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  16. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    เรื่องก็มีอยู่ว่า..มีพระสงฆ์ไทย นำคณะผู้แสวงบุญชาวไทย ไปไหว้พระที่สถูปสถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมืองกุสินารา
    ขณะนั้นมีพระสงฆ์อินเดียมากว่ายี่สิบรูปและโยมท่านหนึ่งก็ถามพระคุณเจ้าว่า พระที่นั่ง ๆ อยู่นี่เป็นพระจริงหรือพระปลอม พระคุณเจ้าก็ตอบว่า ส่วนใหญ่ก็จะปลอมบวช ที่เป็นพระจริงก็มี แต่เขาก็ไม่ว่าอะไรกันนั่งด้วยกันได้เพราะอินเดียไม่มีกฎหมายด้านดูแลเรื่องศาสนาไม่เหมือนบ้านเรา นี่แหละโยมคนไทยต้องระวังอินเดีย แม้แต่พระก็ยังไว้ใจไม่ได้..สมกับที่กล่าว ว่าเจองูกับเจอแขก..ให้ตีแขกก่อนนั้นแหละโยม....
    แต่การกล่าวเช่นนี้เผอิญว่ามีคนแขกที่เคยไปอยู่เมืองไทยฟังภาษาไทยรู้เรื่องได้ยินเข้าและไปบอกพระอินเดียที่นั่ง ๆ อยู่ ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นเรื่องเลย...พระสงฆ์อินเดีย ทั้งที่ปลอมและไม่ปลอม ทำหนังสือร้องเรียนถึงท่านนายอำเภอ ว่า พระไทยรูปนี้...กล่าวคำดูถูก เหยียดหยาม คนอินเดียทั้งชาติ สมควรได้ดับการลงโทษตามกฎหมายอินเดียเพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่าง...
    และขบวนการสืบสวนสอบสวนก็เริ่มขึ้น โดยหน่วยสืบสวนของอินเดียได้มาสอบถามเพื่อหาตัวพระรูปนั้นเผอิญว่า ท่านอยู่ที่วัดนี้พอดี..เลยเรียกตัวท่านมาถามเป็นภาษาไทย ..ท่านบอกว่าก็พุดจริง เพราะใคร ๆ ก็พูดถึงอินเดียแบบนี้ทั้งนั้น รู้กันทั่วโลก..เออ..อย่างนี้งานเข้าเลยอาตมา
    โชคดีที่ว่าเจ้าหน้าที่ ที่มาสอบสวนนั้น เป็นคนรู้จักกันมานาน อาศัยความคุ้นเคยกัน และเชื่อในคำในการแปลของอาตมา ก็เลยแปลอธิบายเป็นภาษาอังกฤษให้เจ้าหน้าที่ฟังว่า... จากที่ได้สอบถามพระเมื่อสักครู่นี้ได้ความว่า...พระท่านนี้ท่านยอมรับ ว่าพูดประโยคนี้ที่ว่า เจองูเจอแขกให้ตีแขกก่อน จริง...แต่แท้จริงแล้วท่านได้กล่าวเตือนคนไทยที่ไปไหว้พระวันนั้นว่า..เรามาไหว้พระที่อินเดีย เราต้องให้ความเคารพสถานที่ เคารพคนอินเดีย เพราะพระพุทธเจ้าก็เป็นคนอินเดีย พุทธสถานคนอินเดียก็ดูแลรักษาไว้ให้เรามาสักการะ การที่จะกล่าวคำไม่ดี เช่น เจองู เจอแขก.......นั่นนะ ไม่สมควรที่จะกล่าว เพราะไม่ใช่เรื่องดีและดูถูกคนอินเดีย...ท่านกล่าวเตือนคนไทยต่างหาก และเป็นไปได้ว่าที่พระอินเดียฟังอาจจะฟังไม่จบประโยคเลยเหมารวมว่า ท่านพูดไม่ดีต่อคนอินเดีย
    ก็เป็นอันว่า การสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้ ได้ถูกบันทึกถึงเจ้าหน้าที่อินเดียและปิดคดีตั้งแต่เริ่มสืบสวนครั้งแรก เป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับการกล่าวขอบคุณของตำรวจอินเดียและขอโทษแทนคนอินเดีย ที่เข้าใจพระไทยผิดด้วย
    ดังนั้นการกล่าววาจาใด ๆ ที่เป็นไปในทางส่อเสียดเหยียดหยามซึ่งกันและกันไม่ว่าเขาจะเป็นคนชาติเดียวกันหรือต่างชาติก็เป็นการไม่สมควร...ทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นวจีทุจริต ทำชั่วทางวาจาต้องระวัง..หากเจอกรณีกับพระคุณท่านรูปนี้พระก็ช่วยไม่ทันนะโยม......เจริญพร
     
  17. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    วาระวันปีใหม่ใครต่อใครต่างก็อวยพร ซึ่งกันและกันขอให้มีความสุข ความสมหวัง สมปรารถนา ฯลฯ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการดี อย่างน้อย ๆก็ได้ส่งความรู้สึกดี ๆ ให้กันและกันเนื่องในวันปีใหม่ ได้ช่วยละลายความไม่เป็นมงคลของบ้านเมืองไปได้ชั่วขณะ เพราะบ้านเรามีวาระอันเป็ํนมงคลตลอดปี สิ่งที่เป็นมงคลจึงอยู่ได้ไม่นาน นอกเสียจากพวกอัปปรีย์ศรีกะบาล นำวันมงคลไปทำให้เป็นวันอัปมงคลเสียเลยทำให้วันอันเป็นมงคลต้องเป็นวันอัปมงคลของบ้านเมืองไป
    ถ้าสังเกตให้ดีว่าคำอวยพรต่าง ๆ ที่พวกเราส่งให้กันนั้นส่วนใหญ่ก็จะซ้ำไปซ้ำมาจนทำให้เดาได้ว่า เทศกาลนี้ตนเองจะถูกอวยพรเช่นไร คำว่าพรแปลว่า สิ่งอันประเสริฐ มงคลคือสิ่งที่ประสบเป็นความดี ในฐานะชาวพุทธอันที่จริงแล้วข้อปฏิบัติทางธรรมมีมากมาย หนังสือที่เขียนถึงหลักธรรมข้อธรรมมีมากแค่เห็นก็เวียนหัวแล้ว เพราะหนังสือธรรมะมีมากจริง ๆ ไม่ทราบว่ามีหนังสือธรรมกันแล้วนำข้อธรรมไปปฏิบัติกันจริง ๆ สักเท่าไหร่ เท่าที่ตั้งข้อสังเกต ปัญหาความวุ่นวายในบ้านเมืองพุทธไทยก็ยังมีความรุนแรงอยู่เหมือนเดิม ลงหน้าหนึ่งรายวันแล้วแล้วแต่เป็นเรื่องปัญหาการขาดศีลธรรมทั้งนั้น
    ดังนั้นเนื่องในโอกาสวันปีใหม่นี้อยากให้ทุกท่านลองกลับมายึดข้อปฏิบัติสั้น ๆ ในบรรดาข้อธรรมทั้งหลายเพื่อจักยังผลสำเร็จแห่งรูปธรรมแห่งการมีธรรมให้ปรากฎกันดีกว่า หลักธรรมที่่ว่านั้นก็คือ หลักเบญจศีลและเบญจธรรม อันเป็นหลักมารตฐานการปฏิบัติดำรงตนในฐานที่จักยังความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์นั่้นเอง เพื่อความสุขของตนเองและบ้านเมืองกันดีกว่า
    หลักข้อที่ ๑
    - ปาณาติปาตา เวรมณี.....คือ การเว้นจากการฆ่าสัตว์ สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ข้อนี้เป็นการสร้างหลักประกันชีวิตของเราและผู้อื่น ทำให้ชีวิตปลอดภัยไม่ต้องหวาดกลัวการถูกทำลายล้าง ปฏิบัติคู่กับเบญจะธรรมข้อแรก เมตตา คือ ความปรารถนาดีต่อสัตว์เพื่อนร่วมโลกไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ดิรัจฉาน เท่านี้ความสุขก็เริ่มปรากฎแก่พวกเราแล้ว
    หลักข้อที่ ๒
    - อทินนาทานา เวรมณี...คือการงดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่ไม่ใช่ของตน ที่เจ้าาของเขาไม่ได้ให้ หลักข้อนี้ก็เป็นการประกันซึ่งทรัพย์สินสมบัติบรรดามี ย่อมปรอดภัยได้รับการรักษาด้วยศีลข้อสองนี้ ปฏิบัติคู่กับเบญจธรรมข้อสองคือ สัมมาอาชีพ คือการเลี้ยงชีพดำรงชีวิตในการงานหน้าที่ ที่ไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดศีลนั่นเอง ก็จะช่วยให้เราและเพื่อนมนุษย์ดำรงอยู่ได้อย่างสบายใจเพราะไม่ต้องกลัวว่าทรัพย์สมบัติที่มีจะถูกลักขโมยหรือธุริกิจที่มีจะโดนตรวจสอบเป็นต้น
    หลักข้อที่ ๓
    - กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี....คือการเว้นจากการประพฤติผิดในหลักกาม มนุษย์มีกามคือความใคร่ติดตัวมาแต่กำเนิดห้ามหรือตัดยากนักแต่หลักนี้จักยับยั้งให้รู้จักการปฏิบัติไม่ผิดหลักด้วยการปฏิบัติตามลักเบญจะธรรมข้อ ๓ ก็คือ สทารสันโดษ อันได้แก่ความยินดีหรือมีกามกิจเฉพาะกับคู่ครองของตนเองไม่ล่วงละเมิดถึงคู่ครองของผู้อื่นถ้าไม่ใช่ของตนต้องหักห้ามอารมณ์ให้ได้มิฉะนั้นแล้ว ปัญหาครอบครัวก็จะเกิดขึ้นทันที ปัญหาต่าง ๆ ก็จะแห่ตามกันมาเยี่ยมไม่เว้นวัน
    หลักข้อที่ ๔
    - มุสาวาทา เวรมณี.....คือ การเว้นจากการพูดเท็จ โกหก (ตอแหล) หลอกลวง ผิดสัญญาคู่กรณีต่าง ๆ นี้เป็นต้น มนุษย์เราที่ไม่ได้รับการไว้วางใจซึ่งกันและกันก่อปัญหาทะเลาะกันมากขึ้นทุก ๆ นี้ก็เพราะหลักศีลข้อนี้ละเลยกันมาก และให้ปฏิบัติคู่กับเบญจะธรรมข้อที่ ๔ คือ สัจจะวาจา การรักษาวาจาสัตย์และความเป็นคนตนตรงไปตรงมา รักษาคำพูด รักษาสัญญา เท่านี้หลักประกันสังคมก็จะเกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติย่อมได้รับความนับถือไว้วางในวงคมเพื่อนร่วมงาน
    หลักข้อที่ ๕
    - สุราเมรัยมัชชปมาทัฎฐานา เวรมะณี....คือ การเว้นจากสิ่งมึนเมา สิ่งเสพติด ต่าง ๆ อันเป็นที่มาแห่งความประมาท ขาดสติ ทำให้เสียทรัพย์เสียชีวิตมากมาย เป็นศีลข้อที่ปฏบัติคู่กับเบญจะธรรมข้อ ๕ คือ สตึ ปฎิลาภะ..คือการกลับได้ซึ่งสติ การเจริญสติ ทำโดยประการที่ตนเองจะไม่ขาดสตินั้นเอง ก็จักเป็นหลักประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุได้อย่างดี ปีใหม่แต่ละปีก็ไม่ต้อง มารณรงค์ ๗ วันอันตรายหรือเมาไม่ขับ ให้เปลืองงบประมาณของบ้านเมืองกันหรอก
    ปฎิบัติเท่านี้ก็มีสุขตลอดปีตลอดไปเพราะมีสรุปท้ายแห่งการให้ศีลของพระว่า
    สีเลนะ สุคตึ ยันติ.....แปลว่า มนุษย์เราจะถึงซึ่งสุขได้ก็เพราะรักษาศีล
    สีเลนะ โภคสัมปทา...แปลว่า มนุษย์เราจะถึงซึ่งความร่ำรวย มั่งมีศรีสุขได้ก็เพราะรักษาศีล
    สีเลนะ นิพพุตึ ยันติ...มนุษย์เราจะถึงฝั่งแห่งความสุขได้ก็เพราะศีล
    ยังมีแถมอีกว่า ตัสมา สีลัง วิโสธะเย....เพราะเหตุฉะนั้นแล้ว ขอให้ทุกท่านจงหมั่นรักษาศีลของตนให้บริสุทธิ์เนือง ๆ ตลอดปีตลอดไปนะโยม...
    ส่งพรจากแดนพุทธองค์มายังทุกท่านด้วยหลักธรรม ๕ ข้อ ขอฝากเป็นของขวัญปีใหม่นี้
     
  18. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    วันศุกร์ ที่ 11 กันยายน 2552
    นำชม พุทธสถานที่คนไทยยังไปไม่ถึง...เห็นแล้วต้องตะลึง ?
    Posted by คมสรัญญี , ผู้อ่าน : 648 , 10:04:09 น.
    หมวด :
    ศาสนา
    [​IMG] พิมพ์หน้านี้

    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>

    [​IMG]
    พุทธสถานแห่งนี้อยู่ที่รัฐโอริสสา..หรือแคว้นกาลิงคะในอดีต ปัจจุบันอยู่ในเขตเชื่อมต่อระหว่างรัฐเวสต์เบงกอลและกัณณาทกะ มีเนื้อที่ส่วนใหญ่ติดอ่าวเบงกอล มหาสมุทรอินเดีย ปัจจุบันมีประชากรประมาณ ๓๘ ล้านคน มีเมืองหลวงคือ Bhubaneswar
    [​IMG][FONT=courier new,courier,monospace][/FONT]
    ในประวัติการรบเพื่อชิงอานาจครั้งสุดท้ายของพระเจ้าอโศก คือ การรบกับแคว้นกาลิงคะ ซึ่งถึงแม้จะเป็นแคว้นเล็กๆ แต่ก็มีกองทัพที่เข้มแข็งและเอาชนะยากที่สุด ทั้งสองฝ่ายรบกันอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุด ฝ่ายพระเจ้าอโศกสามารถรบชนะตีแคว้นกาลิงคะได้สาเร็จ แต่การรบครั้งนั้นทาให้ผู้คนล้มตายกันเป็นแสนๆ พระองค์เห็นศพของเหล่าทหารหาญของทั้งสองแคว้นที่นอนตายเกลื่อนสนามรบโลหิตไหลนองแล้วเกิดความสลดพระทัย พระองค์ทรงสานึกเสียพระทัยในการก่อสงครามเป็นครั้งแรก
    หลังจากที่พระองค์ได้ศรัทธาในพระพุทธศาสนาแล้ว ได้ประกาศพระองค์เป็นพุทธมามกะ ได้ทรงทานุบารุงพุทธศาสนาหลายประการ เช่น ทรงพระราชทานทรัพย์จานวนมากเพื่อทาทานทุกวัน ทรงสร้างวัด วิหาร พระสถูป พระเจดีย์ และหลักศิลาจารึกเป็นต้น เมื่อทรงทราบจากพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระว่าเคยมีพระสถูปในพระพุทธศาสนาถึง 84,000 แห่ง จึงทรงโปรดให้สร้างวัดเท่ากับจานวนนั้น โดยโปรดให้สร้างวัดอโศการามที่เมืองปาฏลีบุตรและมหาวิทยาลัยนาลันทา
    ต่อมาก็ทรงโปรดให้สร้างบ่อน้า ที่พักคนเดินทาง โรงพยาบาล และปลูกต้นไม้ เพื่อจัดสาธารณูปโภคและสาธารณ ตามหลักพุทธธรรม ต่อจากนั้นก็เสด็จไปพบสังเวชนียสถาน 4 แห่ง เป็นพระองค์แรก และทรงสถาปนาให้เป็นเป็นสถานที่สักการบูชาของพุทธศาสนิกชนในเวลาต่อมา นับว่าพระองค์เป็นอัครศาสนูปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง และพระพุทธศาสนาก็แพร่ไปทั่วชมพูทวีปนานาประเทศ รวมถึงประเทศไทยตั้งแต่บัดนั้นมา
    จึงมีพุทธสถานต่างในเขตแคว้นกลิงคะ ยังหลงเหลือเป็นอดีตแห่งความเจริญรุ่งเรืองมาให้เห็นเป็นหลักฐาน อยู่ ณ ขณะนี้
    [​IMG]
    สถูปองค์เล็ก ๆ นับเป็นร้อย ๆ ที่รัตนคีรี ห่างจากเมืองBhubaneswar 20 KM
    [​IMG]
    ซุ้มประตูทางเข้าสุดจะวิจิตร แสดงศิลปะและศรัทธาสูงสุดในพุทธศาสนา
    [​IMG]
    แคว้นกลิงคะแห่งนี้ พระพุทธศาสนาเจริญสูงสุด ยุค พ.ศ. 1200-1600
    [​IMG]
    [​IMG]
    พระพุทธปฎิมาทำสลักหินสามชิ้น กว่าจะแล้วเสร็จต้องศรัทธามาก
    [​IMG]
    สถูปนี้มีลักษณะเหมือนที่ Borobuddho at Indonesia
    [​IMG]
    [​IMG]
    ภาพประวัติศาสตร์การขุดค้นครั้งแรกโดยรัฐบาลอินเดีย พ.ศ. ๒๕๐๕
    [​IMG]
    [​IMG]
    ก่อนหน้านั้นในยุคอังกฤษแค่มาสำรวจเท่านั้นแต่ไม่ได้ขุดค้น
    [​IMG]
    สิ่งที่เห็น คือพลังศรัทธามหาชนในอดีต
    [​IMG]
    พระพุทธรูปที่เมือง Lalitapur
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    ไม้กลายเป็นหิน ๆ สลักเป็นพระพุทธรูป
    [​IMG]
    [​IMG]
    พระสถูปบนยอดเขาอุทัยคิรี​
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    พระถังซัมจั๋งก็เคยเดินทางมาถึงสถานที่แห่งนี้ และมีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุด้วย​
    [​IMG] พระพุทธปฎิมาง่ามเด่นสง่าน่าศรัทธายิ่ง
    [​IMG]
    [​IMG]
    บางส่วนก็ถูกทิ้งไว้ ไร้หลังคามุง...
    [​IMG]
    [​IMG]
    มากมายเกินที่จะบรรยายจริง ๆ และก็มีอีกมากมาย นำมาเสนอไม่ไหว...โปรดติดตามเอ็นทรี่ต่อไป
    และที่อืน ๆ มากกว่ายี่สิบเมืองนั้น ยังไม่มีการขุดค้น เพราะรัฐบาลอินเดียก็มีงบประมาณจำกัด อีกทั้งสถานที่ทางประวัติศาสตร์ในอินเดียมีมากมายเกินกำลังที่จะดูแลรักษา
    และที่ใครบอกว่า พุทธสถานในประเทศอินเดีย มีอยู่ไม่กี่แห่งคงต้องมาดูเองก็แล้วกัน.
    ขอขอบคุณ พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ ที่เอื้อเฟื้อภาพประกอบ
    ชมพุทธสถานอื่น ๆ ทั่วอินเดียได้ที่.
    http://www.oknation.net/blog/mylifeandwork/category/Buddhistplaces
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    เปิดบันทึก สงครามสุดท้าย พระเจ้าอโศกมหาราช ณ แคว้นกลิงคะ

    Posted by คมสรัญญี , ผู้อ่าน : 655 , 15:38:06 น.
    หมวด :
    ศาสนา
    [​IMG] พิมพ์หน้านี้

    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    พระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ยิ่งใหญ่แห่งอินเดีย ได้ทำการศึกสงครามขยายอาณาเขต ให้ยิ่งใหญ่ทั่วชมพูทวีป ทุกแห่งหนที่กองทัพพระองค์บุกเข้าไปไม่มีคำว่าปราชัยมาเลย แต่เมื่อได้ทำการบุกยังแคว้นกลิงคะ..ปรากฎว่า พระองค์ต้องทุ่มกำลังทหาร ทุ่มเวลาในการต่อสู้กับคนเมืองแคว้นกลิงคะเป็นเวลานาน เพราะคนเมืองนี้ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ๆหรือแม้แต่ผู้หญิงต่างก็จับอาวุธต่อสู้กับกองทัพของพระองค์ จึงได้รับชัยชนะอย่างลำบากยิ่งนัก
    การรบเพื่อชิงอานาจครั้งสุดท้ายของพระเจ้าอโศก คือ การรบกับแคว้นกาลิงคะ ซึ่งถึงแม้จะเป็นแคว้นเล็กๆ แต่ก็มีกองทัพที่เข้มแข็งและเอาชนะยากที่สุด ทั้งสองฝ่ายรบกันอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุด ฝ่ายพระเจ้าอโศกสามารถรบชนะตีแคว้นกาลิงคะได้สาเร็จ แต่การรบครั้งนั้นทาให้ผู้คนล้มตายกันเป็นแสนๆ พระองค์เห็นศพของเหล่าทหารหาญของทั้งสองแคว้นที่นอนตายเกลื่อนสนามรบโลหิตไหลนองแล้วเกิดความสลดพระทัย พระองค์ทรงสานึกเสียพระทัยในการก่อสงครามเป็นครั้งแรก
    ในจารึกที่มีชื่อเสียงมีจารึกหลักหนึ่ง ได้ระบุถึงชัยชนะที่กาลิงคะ พระจักรพรรดิพระองค์นี้ได้ทรงแสดงความเสียพระทัยออกมาให้เป็นที่ปรากฏแก่สาธารณชน และตรัสถึงความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดซึ้ง พระองค์ได้ทรงป่าวประกาศว่า พระองค์จักไม่ทรงถอดพระแสงดาบออกมาเพื่อการพิชิตใดๆ อีกต่อไป พระเจ้าอโศกมหาราชไม่เพียงแต่ทรงประกาศล้างมือจากสงครามด้วยพระองค์เองเท่านั้น แต่ยังทรงแสดงพระราชประสงค์ว่า
    “ลูกเราและหลานเหลนเราอย่าได้คิดว่าการพิชิตดินแดนเพิ่มขึ้นเป็นสิ่งที่มีค่าควรกระทา ขอให้คิดถึงเฉพาะการพิชิตเพียงอย่างเดียว คือการพิชิตโดยธรรมเท่านั้น การพิชิตด้วยวิธีนี้เป็นความดีทั้งในโลกนี้และโลกหน้า”
    ทรงปฏิวัติสังคมโดยธรรม ทรงประกาศให้ยกเลิกการฆ่าสัตว์บูชายัญ ห้ามการรื่นเริงเลี้ยงสุรา หรือชนสัตว์ ทรงตั้งโภชนาคารหรือโรงครัว โรงพยาบาลสาหรับมนุษย์ และสาหรับสัตว์ทั่วพระราชอาณาจักรตลอดถึงต่างประเทศ ทรงให้ปลูกสมุนไพร และไม้ผลสองข้างถนน ให้ขุดสระสาหรับมนุษย์และสัตว์

    ด้วยเหตุนี้เองที่ทาให้พระเจ้าอโศกจึงทรงตั้งมั่นในการแสวงหาสัจธรรม และทรงพบกับนิโครธสามเณรที่มีกิริยามารยาทสงบเรียบร้อยซึ่งเป็นโอรสของเจ้าชายสุสิมะ สามเณรนิโครธก็แสดงธรรมโปรดพระเจ้าอโศก หลังจากพระองค์ได้ฟังธรรมแล้ว จึงมีความเลื่อมใสในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า และได้ประกาศพระองค์เป็นพุทธมามกะ ได้ทรงทานุบารุงพุทธศาสนาหลายประการ เช่น ทรงพระราชทานทรัพย์จานวนมากเพื่อทาทานทุกวัน ทรงสร้างวัด วิหาร พระสถูป พระเจดีย์ และหลักศิลาจารึกเป็นต้น เมื่อทรงทราบจากพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระว่าเคยมีพระสถูปในพระพุทธศาสนาถึง 84,000 แห่ง จึงทรงโปรดให้สร้างวัดเท่ากับจานวนนั้น โดยโปรดให้สร้างวัดอโศการามที่เมืองปาฏลีบุตรและมหาวิทยาลัยนาลันทา ต่อมาก็ทรงโปรดให้สร้างบ่อน้า ที่พักคนเดินทาง โรงพยาบาล และปลูกต้นไม้ เพื่อจัดสาธารณูปโภคและสาธารณ ตามหลักพุทธธรรม ต่อจากนั้นก็เสด็จไปพบสังเวชนียสถาน 4 แห่ง เป็นพระองค์แรก และทรงสถาปนาให้เป็นเป็นสถานที่สักการบูชาของพุทธศาสนิกชนในเวลาต่อมา นับว่าพระองค์เป็นอัครศาสนูปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
    นอกจากนี้ พระองค์ทรงบารุงพระภิกษุสงฆ์ด้วยปัจจัย 4 คือ อาหาร ที่อยู่ อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค เพื่อจะได้พระภิกษุในพุทธศาสนาได้รับความสะดวก มีโอกาสบาเพ็ญสมณธรรมได้เต็มที่ แต่ต่อมามีพวกนักบวชนอกศาสนาเป็นจานวนมากปลอมตัวเข้ามาบวชในพุทธศาสนาเพราะเห็นแก่ลาภสักการะ จานวนพระอลัชชีมากกว่าพระภิกษุแท้ๆ ต้องหยุดการทาอุโบสถสังฆกรรมถึง 7 ปี จึงทาให้พระเจ้าอโศกมหาราชไม่สบายพระทัยในการแตกแยกของพระสงฆ์ ทรงปวารณาจะให้พระสงฆ์เหล่านั้นสามัคคีกัน จึงได้ตรัสสั่งให้อามาตย์หาทางสามัคคี ฝ่ายอามาตย์ฟังพระดารัสไม่แจ้งชัด จึงได้บังคับให้พระภิกษุบริสุทธิ์ทาอุโบสถร่วมกับพระอลัชชี พระภิกษุผู้บริสุทธิ์ต่างปฏิเสธที่จะร่วมอุโบสถสังฆกรรม อามาตย์จึงตัดศีรษะเสียหลายองค์ [FONT=Times New Roman,Times New Roman][FONT=Times New Roman,Times New Roman]7 [/FONT][/FONT] เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทราบข่าวนี้ ทรงตกพระทัยยิ่งจึงเสด็จไปขอขมาโทษต่อพระภิกษุที่อาราม และได้ตรัสถามสงฆ์ว่า การที่อามาตย์ได้ทาความผิดเช่นนี้ ความผิดจะตกมาถึงพระองค์หรือไม่ พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระได้ตอบพระองค์ว่า การที่อามาตย์ได้ตัดศีรษะว่าเป็นบาปได้ก็ต่อเมื่อพระองค์มีเจตนาที่จะฆ่าเท่านั้น คาวิสัชนานั้น ทาให้พระองค์ทรงพอพระทัยมาก
    เมื่อพระองค์หันมานับถือพุทธศาสนาแล้ว ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่ทรงผนวชขณะที่ยังทรงครองราชย์อยู่ อีกทั้งพระองค์ยังเปลี่ยนนโยบายใหม่จากการมุ่งชนะด้วยสงครามมาสู่การเอาชนะด้วยธรรมแทน ทรงเลิกการแผ่อานาจในการปกครองมาใช้หลักพุทธธรรม หรือธรรมราชา ปกครองอาณาจักรของพระองค์แทนโดย ทรงส่งสมณะทูตไปเผยแพร่ศาสนา โดยแบ่งเป็น 9 สาย ซึ่งรวมถึงการส่งพระโสณะและพระอุตตระไปสุวรรณภูมิด้วย
    พระเจ้าอโศก เสวยราชย์รวมทั้งสิ้น 41 ปี ทรงสละราชสมบัติ ออกผนวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาอยู่ปีเศษ แล้วปริวัตรเพศออกมาเสวยราชย์ใหม่ พระราชปฏิปทานี้นับว่าเป็นแบบแผนประเพณีของพระมหากษัตริย์ที่นับถือพระพุทธศาสนาสืบมา ในบั้นปลายแห่งพระชนม์ชีพ ทรงได้รับพระสมัญญาว่า “พระเจ้าธรรมาโศกราช” หรือ “ธรรมมาอโศก” แปลว่า “อโศกผู้ทรงธรรม” และเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 313 และกระดูกของพระองค์ถูกนาไปโปรยที่แม่น้าคงคา
    หากพระเจ้าอโศกมหาราชย์ไม่เห็นซากศพของทหารนักรบเรือนแสนที่รัฐกาลิงคะ พระองค์อาจจะยังคงเป็นกษัตริย์ที่โหดร้าย ซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะขยายดินแดนโดยไม่คำนึงถึงการเบียดเบียนและความสูญเสียที่เกิดขึ้นพระพุทธศาสนาก็คงไม่เจริญรุ่งเรืองลูกเผยแพร่ไปทัวชมพูทวีปอย่างที่เป็นอยู่ พุทธศาสนาคงไม่เจริญรุ่งเรืองมาถึงประเทศไทยในทุกวันนี้
    [​IMG]
    นี้คือ อักษรพรหมมี ที่พระเจ้าอโศกทรงโปรดให้สลักขึ้นไว้ ณ นครกลิงคะ เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งสงครามครั้งสุดท้ายของพระองค์ที่กล่าวถึง จำนวนผู้เสียชีวิต เด็ก สตรี และทหารทั้งหลายเป็นจำนวนนับแสน เป็นเหตุให้พระองค์เกิดความสลดและเลิกกระทำซึ่งสงครามนำหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนามาปกครองประเทศ คือ การไม่เบียดเบียนเป็นต้นตำนานกษัตริย์องค์แรกของโลกที่นำกองทัพธรรมแทนกองทัพที่นำด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์
    [​IMG]
    บันทึกบนลานหินแห่งนี้นั้น ปัจจุบันตั้งอยู่ที่เมืองดุมลี ห่างจากโอริสสา เมืองหลวงของรัฐโอริสสาไปทางทิศไทย ๑๘ กิโลเมตร มีหินสลักรูปช้างและด้านล่างคือสลักอักษรพรหมีของพระเจ้าอโศกมหาราช
    [​IMG]
    ในปีพุทธศักราช ค.ศ. 1930 สมณะญี่ป่น ท่านฟูจิ นิกายนิชิเรน ได้มายังอินเดียและเข้าร่วมกับท่านมหาตมคานธี ต่อสู้เรียกร้องอิสระภาพจากการปกครองของอังกฤษ จนประสบความสำเร็จ และปี 1969 ได้สร้างสันติสถูปไว้ ณ สถานที่แห่งนี้ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระเจ้าอโศกมหาราชผู้ทรงธรรม เป็นสัญญลักษณ์แห่งการไม่ใช้อาวุธ ใช้คุณธรรมคืออหิงสา นำการบริหารการปกครองประเทศ และเน้นพัฒนาสังคมให้เป็นไปเพื่อสันติภาพ ญี่ปุ่นจึงถือว่า พระเจ้าอโศกมหาราชคื่อบิดาแห่งสันติภาพโดยแท้ เพราะประเทศนี้ได้ลิ้มรสแห่งสงครามที่เอาชนะกันด้วยอาวุธอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วในกรณีระเบีดนิวเครียร์ที่นครฮิโรชิมาและนางาซากิแห่งญี่ปุ่น โดยอาศัยสถานที่แห่งนี้เป็นแรงบันดาลใจนั่นเอง ฯ
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    เรื่องหมออินเดีย..ที่น่าสนใจ เสนอแนวรักษาธรรมชาติบำบัด
    Posted by คมสรัญญี , ผู้อ่าน : 466 , 09:51:58 น.
    หมวด :
    ศาสนา
    [​IMG] พิมพ์หน้านี้

    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>ได้รับเรื่อง FWD เมล์มาเห็นว่าดี น่าจะมีประโยชน์สำหรับสุขภาพเล่าถึงเรื่องหมออินเดียคนหนึ่ง ซึ่งทางสเถียรธรรมสถานได้เชิญมาบรรยายเรื่องการรักษาสุขภาพแบธรรมชาติบำบัด มีจุดที่น่าสนใจหลายเรื่องมากลองอ่านดูเผื่อว่าจักนำเป็นลองปฎิบัติและบอกกล่าวเล่าต่อเป็นวิทยาทานกันต่อไป
    Dr Jacob - หมอในอินเดีย...

    เมื่อช่วงวันสงกรานต์ที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสไปเสถียรธรรมสถาน ในวันนั้นแม่ชีศันสนีย์ ได้เชิญคุณหมอซึ่งเป็นหมอประเทศอินเดีย ที่รักษาโรคต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด มาบรรยายให้พวกเราฟังซึ่งคุณหมอมีเรื่อง ที่น่าสนใจหลายเรื่อง ทำให้เราอยากมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ฟังบ้าง
    ประวัติ Dr. Jacob Vadakkanchery N.D.
    Dr. Jacob เป็นคุณหมอในประเทศอินเดีย เป็นเจ้าของโรงพยาบาล ธรรมชาติบำบัด อยู่ 3 แห่ง ซึ่งคุณหมอ
    จะเน้นการรักษาให้กับคนยากจน ประมาณ 80% คุณหมอเป็นนักต่อต้าน, นักอนุรักษ์นิยม, นักพูด (อันดับหนึ่ง
    ในรั ฯลฯ คุณหมอใช้วิธีรักษาแบบธรรมชาติบำบัดกับตัวเองมา ประมาณ 30 ปี ปัจจุบันคุณหมอแข็งแรงมาก ผู้แนะนำบอกว่า “คุณหมอสามารถว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ไป-กลับ ภายใน 15 นาทีได้” คุณหมอเล่าให้ฟังว่า คนเราส่วนใหญ่ มักนิยมกินยาพิษในรูปแบบต่างๆ ดังนี้
    1. ยารักษาโรค (ยาพาราเซตามอล, ยาทิปฟี้ ฯลฯ)
    2. อาหารเสริม
    3. อาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น McDonald. KFC, Pizza ฯลฯ
    ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักและเป็นบ่อเกิดโรคต่างๆ คุณหมอบอกว่าร่างกายเราเป็นสิ่งที่วิเศษมาก มันสามารถเปลี่ยนแปลงอาหารที่เรากินเข้าไปให้กลายเป็นสารอาหารต่างๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป และมีวิธีการกำจัดของเสียในร่างกาย ออกเป็น 5 ทาง คือ
    1. ทางลมหายใจ 2. ทางเหงื่อ 3. ทางปัสสาวะ 4. ทางอุจจาระ และ 5. ทางประจำเดือน และร่างกายเรายังมีความวิเศษอีกอย่างคือ หากเรามีของเสียมาก ร่างกายจะกำจัดโดยแสดงออกในรูปแบบต่างๆเช่น การเป็นหวัด คือ ร่างกายเราจะมีน้ำมูกมาชะล้างเชื้อโรคบริเวณเยื่อบุจมูก แต่คนเราส่วนใหญ่เมื่อมีการอาการเหล่านี้ ก็มักจะกินยา เพื่อรักษาอาการโรคเหล่านี้ ซึ่งความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ร่างกายเราไม่สามารถกำจัดเชื้อโรค ต่างๆ ได้ ทำให้โรคต่างๆ ยังคงอยู่ในร่างกายเราต่อไป
    คุณหมอบอกว่าคนเราส่วนใหญ่ เวลาที่เราปวดหัว เราก็จะกินยาพารา 1 เม็ด แล้วกินน้ำตาม แต่วิธีการของคุณหมอจะแตกต่างจากคนทั่วไป คือคุณหมอจะใช้ยาพารา 2 เม็ด มาบดให้ละเอียดแล้วคลุกกับข้าว แล้วไปตั้งที่ห้องครัว 2-3 วัน เมื่อกลับมาดูอีกครั้ง คุณหมอจะพบหนูตายประมาณ 10-15 ตัว นี่แสดงว่า ยาพาราเซตามอล เป็นยาฆ่าหนูชนิดหนึ่ง และเมื่อเราเป็นไข้ เรากินยาพาราเซตามอล แสดงว่าเราได้กินยาพิษเข้าไปในร่างกายด้วย

    ยาพิษอีกตัวหนึ่งที่คุณหมอกำชับหนักหนากับพวกเราที่นั่งฟังอยู่ก็คือ น้ำตาลทรายขาว ที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน คุณหมอถามพวกเราว่า เคยรู้หรือเปล่าว่าน้ำตาลทรายขาว มาจากไหน ? ทุกคนก็ตอบว่ามาจาก “อ้อย” ซึ่งคุณหมอบอกว่า “ใช่” แต่ก่อนที่มันจะเป็นน้ำตาลทรายขาว ผู้ผลิตได้นำอ้อยที่มีประโยชน์ ไปใช้ในขบวนการผลิตเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์ เรียบร้อยแล้ว นำน้ำตาลส่วนที่เหลือซึ่งมีสีดำและไม่มีประโยชน์ ไปผ่านมาฟอกสี จนกลายเป็นน้ำตาลทรายขาวที่เรากิน อยู่ทุกวัน น้ำตาลทรายขาวนี้จะเข้าไปทำร้ายร่างกายเรา ตั้งแต่ลำคอ ผ่านไปกระเพาะ ลำไส้ ดังนั้นคุณหมอจึงอยาก ให้พวกเราทุกคนเลิกกินน้ำตาลทรายขาว และห! ันมากินน้ำตาลทรายแดง ซึ่งมีประโยชน์มากกว่า
    คุณหมอ ถามพวกเราอีกว่า เราเคยใช้ยาสีฟัน หรือเปล่า พวกเราก็บอกว่า “เคย” คุณหมอบอกว่ายาสีฟัน ก็เป็นสารซักฟอก เช่นเดียวกับสบู่ที่เราใช้อาบน้ำนั้นแหละ เพรา ะเมื่อเราแปรงฟัน จะมีเศษของยาสีฟันตกลงไปอยู่ใ
    ท้องของเรา อาจทำให้เรามีปัญหาอาจเป็นโรคกระเพาะได้ คุณหมอบอกว่าคุณหมอใช้ใบมะม่วงหรือผงสมุนไพร ในการแปรงฟัน คุณหมอก็ใช้แปรงสีฟันธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้มาแล้ว (นั่นก็คือนิ้วชี้ของคุณหมองัย) คุณหมอแปรงฟันด้วยวิธีนี้มานาน 28 ปี แล้ว ฟันของคุณหมอยังขาวและแข็งแรงอยู่เลยนะ ! มีผู้ฟังถามคุณหมอว่า “เราควรจ ะบริโภคนมวัวหรือปล่าว” คุณหมอบอกว่า “แล้วเราเป็นลูกวัวหรือปล่าวล่ะ ที่ต้องกินนมแม่ (แม่วัว) ถ้าไม่ใช่ เราก็ไม่ควรกิน มีนมอยู่อย่างเดียวที่เรากินได้ คือนมของแม่เราเอง ซึ่งเป็นนมที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเราจริงๆ นอกนั้นนมอื่นๆ นั้น ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกายเราเลย” คนฟังก็ถามต่อว่า “แล้วเราจะกินนมอะไรได้บ้าง หรือปล่าว กินนมแพะ ได้ไหมค่ะ” คุณหมอบอกว่า “แล้วเราเป็นลูกแพะหรือปล่าวล่ะ ถึงจะไป กินนมแพะนะ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ควรกิน แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบระหว่างนมวัวและนมแพะ นมแพะจะมีคุณค่าสารอาหารที่ เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเรามากกว่านมวัวนะ” และมีผู้ฟั งถามเรื่องโยเกิร์ต (เราจำรายละเอียดไม่ค่อยได้เท่าไร) คุณหมอบอกว่ากินได้บ! ้าง แต่ไม่ควรจะบ่อยๆ เพราะมันก็ไม่มีประโยชน์และไม่ดีอย่างที่เราคิดไว้นะค่ะ การรักษาแบบธรรมชาติบำบัดของคุณหมอ สามารถรักษาโรคได้หลายๆ โรค เช่น โรคผิวหนัง,ภูมิแพ้ต่างๆ, โรคมะเร็งบางชนิด, โรคไมเกรน ฯลฯ มีบางโรคที่รักษาให้หายขาด และมีบางโรคที่ช่วยให้ทุเลาลงได้มาก หากใครสนใจติดต่อ เสถียรธรรมสถาน พี่สมบูรณ์ 08-4115-1114 ได้นะค่ะ เค้าจะมีการจัดอบรมการรักษาแบบธรรมชาติบำบัดในเดือนนี้และเดือนหน้าตามจังหวัดต่างๆ หรือขอคำปรึกษาได้
    วิธีการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด
    สิ่งที่ควรรู้ก่อน

    1. การตากแดด ควรเป็นแสงแดดช่วงเวลาก่อน 9 โมงเช้าและหลัง 4 โมงเย็น
    2. น้ำมะพร้าว คือ น้ำมะพร้าวสด และต้องเป็นมะพร้าวที่ยังมีเปลือกสีเขียว เนื่องจากยังไม่ผ่านมาใช้สารฟอกเปลือกให้เป็นสีขาว
    3. กินผลไม้สด (ไม่ควรแช่ตู้เย็น) คือ การกินผลไม้ 2 ชนิด โดยให้มีรสชาติเดียวกัน เช่น รสชาติหวานเหมือนกันทั้ง 2 อย่าง หรือเปรี้ยวทั้ง 2 อย่าง

    4.น้ำหยวกกล้วย คือการนำหยวกกล้วยที่ผ่านการมีผลมาแล้ว นำมาสับและปั่นแล้วคั่นน้ำออกมา

    5. การออกกำลังกายที่ดี คือ การเดิน, การว่ายน้ำ และการเล่นโยคะ
    ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ก่อน
    8 โมงเช้า และ 5 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม และควรออกทุกวัน

    การดำรงชีวิตประจำวัน

    1. ตื่นนอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น หรือตื่นนอนก่อน 6 โมงเช้า

    2.
    ดื่มน้ำมะพร้าวหรือน้ำผึ้ง
    3.ไปนั่งถ่าย และแปรงฟันด้วยมือกับใบมะม่วงหรือผงสมุนไพร นวดเหงือกและฟัน ประมาณ 10 นาที
    4.
    ชโลมน้ำมันงาหรือผงถั่วเขียว (แทนสบู่) ที่ศีรษะ, หน้าและร่างกาย หลังจากนั้น ให้นวดศีรษะ, นวดหน้า (เป็นการนวดเป็นนวดขึ้น เพื่อทำให้หน้าตาเต่งตึง), นวดร่างกาย เช่น นวดท้อง และนวดหัวใจ พร้อมทั้งพูดกคุยกับอวัยวะของตัวเอง ประมาณ 15-20 นาที แล้วนวดฝ่าเท้าประมาณ 15-20 นาที รอให้น้ำมันซึมเข้าผิวประมาณ 15-20 นาทีแล้วค่อยล้างออก
    5.
    กินอาหารเช้าประมาณ 8 โมง ควรเป็นผักหรือผลไม้
    6.
    เวลาเที่ยง 12.00 น. ให้ทานอาหารมื้อหลัก
    7.
    เวลา 6 โมงเย็น ให้หยุดกิจกรรมให้น้อยลง
    8.
    อาหารเย็นควรเป็นผักและผลไม้ หรือน้ำผลไม้หรือน้ำมะพร้าว
    9. ให้นอนประมาณ 4 ทุ่ม เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่จะทำให้เราหลับง่ายที่สุด หากเลยเวลานี้ ร่างกายเราจะดึงพลังงาน!

    แล้วทำให้เรานอนหลับยากขึ้น
    การรับประทานอาหารที่ดี คือ

    ให้ทานผลไม้ 2 มื้อ คือมื้อเช้าและมื้อเย็น

    ทานอาหารหลัก 1 มื้อ คือ มื้อเที่ยง

    วิธีการรักษาโรคแบบต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด

    โรคปวดท้องประจำเดือน
    วิธีรักษา วันแรกให้กินน้ำมะพร้าวและผลไม้ กินไปประมาณ 3-4 วัน ประมาณ 3 เดอน จะหายปวดท้องและดีต่อการคลอด
    โรคปวดหัว

    วิธีรักษา
    ให้เอาน้ำเปล่าราดหัว ประมาณ 5 นาที
    โรคสิว

    วิธีรักษา
    ไม่ให้กินขนมปังเบเกอรี่, กินของทอด, กินพวกน้ำมัน, กินอาหารเผ็ด, กินแป้งขัดสี,
    กินน้ำตาลทรายขาว
    ควรกินแต่ผัก, ผลไม้และน้ำมะพร้าว
    โรคปวดเมื่อย

    วิธีรักษา
    ให้เอาผ้าเปียกมาคลุมบริเวณที่ปวดเมื่อย ประมาณ 1 ชม. (ไม่ให้เกินนี้)
    ผู้มีสุขภาพเรื้อรัง

    วิธีรักษา

    1. ให้กินน้ำหยวกกล้วยตอน 6.00 โมงเช้าประมาณ 1 เดือน หรือให้กินหยวกกล้วยสดก็ได้

    2. ให้ตากแดดวันละ 1 ชม. ทั้ง เช้า 0.30 ชม.และเย็น 0.30 ชม.

    โรคผิวหน ัง
    วิธีรักษา ใส่เสื้อผ้าที่ทำด้วยผ้าฝ้ายและไปตากแดด วันละ 2 ชม. เช้าและเย็น

    โรคหัวใจ

    วิธีรักษา
    ให้กินเจ และกินผลไม้ตอนเย็น ประมาณ 3 เดือน และไปตากแดดเช้า 1 ชม. และเย็น 1 ชม. กินน้ำเปล่า,
    น้ำมะพร้าว, น้ำผึ้ง หรือน้ำผลไม้ต่างๆ

    โรคไมเกรน

    วิธีรักษา
    ใช้น้ำราดศีรษะวันละ 5 ครั้ง ๆ ละ 5 นาที และกินผลไม้ทั้งวัน 3 มื้อ ประมาณ 1-2 วัน
    คนสายตาสั้นหรือยาว

    วิธีรักษา
    ให้บริหารสายตาด้วยการกรอกลูกตา
    1.
    จากบนลงล่าง
    2.
    จากขวาไปซ้าย

    3.
    บนขวาไปเฉียงล่างซ้าย
    4.
    บนซ้ายไปเฉียงล่างขวา
    5.
    บน ซ้าย ล่าง ขวา
    6.
    บน ขวา ล่าง ซ้าย
    แล้วใช้น้ำมะพร้าวหยดตา รวมทั้งให้มองพระอาทิตย์ตอน 7! โมง และตอน 6 โมงเย็น และไม่ให้กินอ าหารเย็น และให้
    กินผลไม้, ผัก และน้ำมะพร้าว ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการจะดีขึ้น
    โรคเหน็บชา

    วิธีรักษา
    ไปนั่งตากแดด เช้าเย็น และกินเจ

    โรคเบาหวาน

    วิธีรักษา
    กินผักสด 1-2 เดือน และหลังจากนั้น หากอยากกินน้ำผลไม้ก็ได้
    ความดันโลหิตสูง

    วิธีรักษา
    เอาน้ำราดศีรษะ 5 ครั้งและกินผลไม้
    โรคสะเก็ดเงิน

    วิธีรักษา
    กินผลไม้ 2-3 เดือนและตากแดด
    โรคคลอเรสเตอรอส

    วิธีรักษา กินแต่ผักและผลไม้

    โรคกระเพาะ

    วิธีรักษา
    กินผักและผลไม้
    โรคหวัด

    วิธีรักษา
    กินแต่ผลไม้
    ท้องเสีย

    วิธีรักษา
    กินน้ำผลไม้และน้ำมะพร้าว และพักผ่อนเยอะๆ
    โรคนอนไม่หลับ

    วิธีรักษา
    ก่อนนอนให้ราดหัว ประมาณ 10 นาที
    การเตรียมตัวตั้งครรภ์และการคลอดให้ราบรื่น

    1.
    ให้กินผลไม้ 2 มื้อและอาหารเจ 1 มื้อ
    2.!
    การตากแดด (เช้า-เย็น)

    3.
    รักษาจิตใจ ให้มีความสุข
    จะช่วยให้เด็กแข็งแรง และไม่ปวดท้องตอนคลอด
    (คุณหมอให้คนไข้ของคุณหมอในประเทศอินเดียทำอย่างนี้นะค่ะ)

    การล้างสารพิษในผักและผลไม้

    ใช้น้ำผสมเกลือเล็กน้อย แช่ผักและผลไม้ทิ้งไว้ ประมาณ 1 ชม.

    หวังว่าคงเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่รักสุขภาพ หวังอายุวัฒนะแห่งตนที่ประกอบด้วยพุทธประทานพรว่า อโคยา ปรมา ลาภา จงมีแก่ทุกท่านเทอญ ฯ </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...