วิธีทำน้ำมนต์ และ รัตนสูตร โดย หลวงพ่อฤาษี

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย felies, 29 กรกฎาคม 2006.

  1. felies

    felies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,370
    วิธีทำน้ำมนต์

         บันทึกเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฏาคม ๒๕๐๖ ตรงกับ แรม ๙ ค่ำ เดือน ๘ วันนี้เจริญกรรมฐานเวลา ๘.๓๐ น. จิตจับอนาปาฯ และปราโมทย์ในพระนิพพานเป็นอารมณ์ เมื่อภาวะจิต เข้าสู่แดนพระนิพพานพบท่านโมคคัลลาน์ และท่านกัญจายนะ แล้วเข้าไปสู่หน้าห้องๆหนึ่ง มีพระบอกว่าเป็นที่ประทับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นท่านเสด็จออกรับแล้วทรงนำบาตรมาลูกหนึ่งทรงเทน้ำเก่าในบาตรออกแล้วทรงตักน้ำใหม่ทำน้ำมนต์ คิดว่าท่านจะรดน้ำมนต์ให้ แต่ความจริงกลายเป็นท่านสอนทำน้ำมนต์โปรดคน น้ำมนต์ที่ทำ ห้ามเรียกค่าจ้างรางวัล ให้สงเคราะห์ด้วยอำนาจเมตตา แม้แต่ดอกไม้ธูปเทียนก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องไม่จำเป็น ถ้าเขามีหรือหามาง่าย ก็ให้จัดหามา ถ้ายากก็ไม่ต้อง

         ให้เอาน้ำใส่บาตรแล้วเพ่งจิตลงสู่ก้นบาตร ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ในอดีตทั้งหมด แล้วสวด อิติปิโสฯลฯ ทั้งสามห้อง ขณะสวดให้เพ่งจิตลงก้นบาตรแล้วอธิษฐานว่า "ขอให้กระแสน้ำนี้จงซาบซ่านไปทั่ววรกาย กำจัดโรคาพยาธิของมนุษย์ทั้งหลายและสัตว์ให้หายโดยฉับพลัน" แล้วว่า อิติปิโสฯลฯ ต่อไปอีกหลายจบก็ได้ตามความพอใจ เมื่อพอใจแล้วอธิษฐานตามเดิมอีกครั้ง เอามือวนรอบบาตรว่า อิติปิโสฯลฯ ห้องต้น วนครบ ๑ รอบ ห้องสอง วนอีก ๑ รอบ ห้องสาม วนอีก ๑ รอบ เป็นอันเสร็จพิธี

    น้ำมนต์พระพุทธเจ้า

         เวลานี้ได้ยินข่าวบอกมีพระบางวัด เวลาที่ญาติโยมพุทธบริษัทไปหา เขาบอกว่าเป็นงานศพ ออกมาพูด ๒ องค์ ๓ องค์ ก็มาโจมตีเรื่องเชื่อน้ำมงน้ำมนต์ เป็นต้น

         อันที่จริง พระเราทำอย่างนั้นมันก็ไม่ถูก ต้องศึกษากำลังใจคนเสียก่อน กำลังใจคนน่ะอยู่ระดับไหน และก็น้ำมนต์มันไร้ผลหรือเปล่า ไอ้ที่เขามีผลมันก็มี ที่ทำกันเลอะเทอะไร้ผลก็มี ก็รวมความว่า คนติน้ำมนต์ก็ถือว่าเป็นคนที่มีความไม่รอบคอบ จะขอนำเรื่องน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้ามาเล่าสู่ท่านฟังสักเรื่องหนึ่ง

         ในพระธรรมบทภาคที่ ๗ ท่านกล่าวว่าเป็นเรื่องบุพกรรมของพระพุทธเจ้าเอง พระพุทธเจ้าทรงสั่งให้พระอานนท์ทำน้ำมนต์ จะได้รู้กันว่าการทำน้ำมนต์พระพุทธเจ้าก็ทรงสั่งให้พระอานนท์ทำ และพระอานนท์เป็นพุทธอนุชาด้วย (เป็นน้องชาย) และเป็นพุทธอุปฐาก เป็นที่อุปถัมภ์เหมือนเงาตามตัวพระพุทธเจ้า ถ้าน้ำมนต์ไม่ดี ถ้าพระอานนท์ไปทำเข้า พระพุทธเจ้าต้องเล่นงานแน่

         แต่ทว่าในเรื่องนี้คาถาที่ทำน้ำมนต์ พระพุทธเจ้าบอกให้พระอานนท์ศึกษา เมื่อพระอานนท์เรียนไปแล้วก็ไปทำน้ำมนต์ ก็เป็นอันว่า คนที่ด่าคนทำน้ำมนต์ก็ถือว่าคนนั้นก็ด่า พระพุทธเจ้าด้วย คนที่ด่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ใช่สาวกของพระองค์ คำว่า สาวก หมายความว่า ผู้รับฟัง คือคนไม่ใช่คนของพระพุทธเจ้านั่นเองถือว่าเป็นคนของเดียรถีย์

         วันนี้อาจจะพูดแรงไปนิดหนึ่งก็ต้องขออภัย พูดให้พวกเราสู่กันฟังนี่เป็นเรื่องของภายใน จะสุ่มสี่ สุ่มห้า พูดส่งเดชไปมันจะลงนรก ท่านที่ปฏิบัติพระกรรมฐานได้แล้วไปดูเสียบ้าง ว่าคนที่พูดไม่ค่อยดูเหนือดูใต้ประเภทนี้เขาไปอยู่ขุมไหนกัน

         เนื้อความก็มีอยู่ว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภบุพกรรมของพระองค์เองจึงได้ตรัสพระธรรมเทศนาอันนี้ ในสมัยหนึ่ง ณ เมือง ไพสาลี ซึ่งมีอณาจักรติดต่อกับกรุงราชคฤห์มหานคร เวลานั้นเมืองไพสาลีเกิดโรคร้ายขึ้น โรคอันดับแรกคือ ความแห้งแล้ง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล และก็เกิดโรค คนก็อด โรคก็มาก ร้อนก็ร้อน ความจริงเมืองไพสาลีกับเมืองราชคฤห์นี่อยู่ใกล้กัน เขตนี้ถ้าร้อนก็ร้อนน่าดู ไปมาแล้ว เกือบจะทนไม่ไหว

         ก็เป็นอันว่าคนก็เจ็บป่วยตายกันเป็นแถวๆ อันดับแรกโรคก็เกิดก่อน ไอ้ความไข้มีเข้ามาร่างกายทรุดโทรมอากาศไม่ดี โรคอื่นก็เข้ามาแทรก หนักๆเข้าก็อหิวาตกโรคก็มา เรื่องอหิวาตกโลกนี่ ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท

         อหิ นี่เขาแปลว่า งู
         วาต นี่เขาแปลว่า ลม
         โรคะ นี่เขาแปลว่า การเสียดแทง

         ฉะนั้นคำว่าอหิวาตกโรคเนี่ยเขาแปลว่า โรคหรืออาการเสียดแทงมาจากลม ลมที่มีพิษเหมือนงู ฉะนั้นคนที่เป็นอหิวาต์ตายเร็วเหมือนคนถูกพิษงูกัด เวลานั้นการแพทย์ก็ดี แต่ทว่ามันไม่ทันถึงวาระที่คนจะตาย ก็ตายกันเกลื่อนฝังกันไม่ทัน ทิ้งหมักหมมกัน โรคอื่นก็เข้ามาแทรก พวกอมนุษย์ คือพวกอสุรกายบ้าง พวกเปตร พวกอะไรบ้างก็เข้ามายื้อแย่งศพกิน ก็หมักหมมกันมากคนตายหนัก อาการตายเมื่อมากอย่างนั้นจริงๆพวกชาวบ้านเขาก็โทษพระราชา

         ความจริงพระราชานี่เป็นกระโถนท้องพระโรงจริงๆ ท่าก็อยู่เฉยๆ ท่านก็ทำความดีทุกอย่าง แต่ชาวบ้านก็โทษว่า ๗ รัชกาลมาแล้ว ไม่เคยมีโรคอย่างนี้เลย แต่มารัชการนี้เป็นรัชกาลที่ ๘ นั่นก็หมายความว่า เขาปกครองราชสมบัติเป็นพระราชาถึง ๗,๐๐๐ องค์มั้ง มันมากด้วยกันไม่รู้กี่องค์ ขี้เกียจจำมา นับว่าเป็นพันๆองค์ในเมืองนี้ เขาไม่มีการปฏิวัติ รัฐประหาร บ้านเมืองมีแต่ความสุข

         แต่ว่าคนทราบว่าตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึง ๗ ในช่วงหลังไม่เคยมีโรคร้ายอย่างนี้แต่พอรัชกาลที่ ๘ เข้ามา โรคหนักจริงๆ เขาเลยโทษพระราชา ว่าพระราขาไม่ทรงธรรมพระราชาท่านก็ดีแสนดี จึงประชุมอำมาตย์ ข้าราชบริพาร ปุโรหิตที่มีความรู้ด้านต่างๆให้สอบสวนความประพฤติของพระองค์ ว่าความประพฤติของพระองค์มันไม่ดีตรงไหนบ้าง บกพร่องตรงไหนบ้างขอให้ชี้แจงออกมา ถ้ามีอะไรไม่ดีก็ทรงยอมรับผิด

         บรรดาประชาชนทั้งหลายเหล่านั้นก็พิจารณาเห็นแล้วว่าพระองค์ทรงทำดีทุกอย่าง อยู่ในศีลธรรมทุกอย่าง ท่านบอกว่าเวลานั้นเกิดโรคขึ้น ๓ ประการคือ

    ๑. ภัยเกิดจากอาหาร อาหารมันหายากจนไม่มีอะไรจะกิน
    ๒. ภัยเกิดจากอมนุษย์ คือพวกผี พวกเปรต พวกอสุรกาย
    ๓. ภัยเกิดจากโรค ที่มันเกิดขึ้นเพราะอากาสไม่ดี

         ในเมื่อทุกคนเห็นว่าพระราชาดีก็กราบทูลให้ทรงทราบว่า "ความผิดของพระองค์ไม่มีพระเจ้าค่ะ"
         พระองค์จึงได้ปรึกษาว่า "ถ้าอย่างนั้นจะทำยังไงดี เอายังไงกันแน่ โรคจึงจะบรรเทา"
         บรรดาลูกศิษย์ของอาจารย์ทั้ง ๖ เป็นพวกเดียรถีย์บอกว่า "ถ้าไปนำอาจารย์ทั้ง ๖ มา อาจารย์ทั้ง ๖ มีฤทธ์มาก มีบุญญาธิการมาก โรคอย่างนี้จะหาย"

         แต่ทว่าเวลานั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกใหม่ๆ หมายความว่าใหม่เอี่ยมเลย ข้าไปอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ประมาณ ๑ ปีเห็นจะไม่ครบดีเป็นเวลาจวนที่จะเข้าพรรษา ก็หมายความว่า เข้าปีที่ ๒ บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญานเป็นปีที่ ๒ ก็มีคนที่ทราบข่าวพระพุทธเจ้า ก็บอกว่า

         "เวลานี้พระพุทธเจ้าได้ทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก ขอให้ไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามาที่นี่ โรคภัยไข้เจ็บมันจะหาย ภัยอันตรายต่างๆ มันจะหมดไป"

         ในที่ประชุมลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าเห็นด้วย อาจารย์ทั้ง ๖ มีมานานแล้วโรคภัยมันก็มี แต่ว่า สมเด็จพระชินสีห์ คือพระพุทธเจ้าเราใฝ่ฝันกันมานาน ใครก็พูดถึงพระพุทธเจ้า แต่ไม่เคยพบพระพุทธเจ้าจริงๆ สักที เวลานี้พบพระพุทธเจ้าจริงแล้ว

         ขณะที่ปรึกษากันอยู่นั่นก็มี พระเจ้าลิจฉวี องค์หนึ่งท่านประทับอยู่ด้วย พระเจ้าลิจฉวีองค์นี้ไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้าพร้อมกับ พระเจ้าพิมพิสาร ในวันที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารเข้ามากรุงราชคฤห์เป็นครั้งแรก และเวลานั้นพระเจ้าพิมพิสารกับบรรดาพุทธบริษัทเป็นพระโสดาบันกันเป็นแถวๆ พระเจ้าลิจฉวีองค์นี้ก็เป็นพระโสดาบันด้วย ในเมื่อเขาพูดถึงพระพุทธเจ้าท่านก็ทรงยืนยันว่าพระพุทธเจ้ามีความดีจริง ถ้าพระพุทธเจ้ามาในที่นี้โรคนี้มันจะหาย

         ความจริงโรคร้ายที่เบียดเบียนร่างกายมันเป็นของธรรมดา มันเป็นโรคมาใหม่ แต่โรคร้ายที่สุดที่ประจำใจคือ ความเลวของจิตมันจะหายไปด้วย

         ทุกคนก็ตัดสินใจว่า ถ้าอย่างนั้นต้องให้พระเจ้าลิจฉวีองค์นี้กับลูกชายของปุโรหิตไปนิมนต์พระพุทธเจ้าที่กรุงราชคฤห์มหานคร เมื่อท่านรับอนุมัติเขาส่งไปแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร

         ความจริงท่านเป็นเพื่อนกัน เอาเครื่องบรรณาการไปมอบให้แก่พระเจ้าพิมพิสารไปถวายมีคนเขาบอกว่ามีความต้องการอยากจะได้พระพุทธเจ้าไปสงเคราะห์ที่เมืองไพสาลีเพราะเวลานี้คนตายกันมากฝังก็ไม่ทัน เผาก็ไม่ทัน

         พระเจ้าพิมพิสารก็บอกว่า "พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในอำนาจของกระผม ผมเองก็เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะทรงเสด็จไป หรือไม่เสด็จไปเป็นเรื่องของท่านที่ต้องไปกราบทูลเอง จะเอาเครื่องบรรณาการ เครื่องกำนัล เครื่องผู้ใหญ่บ้านอะไรก็ตาม ผมรับไม่ได้ ทางที่ดีไปนิมนต์เอง"

         พระเจ้าลิจฉวีกับลูกชายของปุโรหิตก็ไปกราบทูลสมเด็จพระศาสดาให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าทรงทราบก็พิจารณาดูตามอำนาจพระพุทธญาน ก็ทรงทราบว่า ถ้าตถาคตไปที่นั่น (นึกในใจนะ) ไปถึงแล้วฝนจะตกหนัก จะชะสิ่งโสโครกทั้งหมด ให้ไหลลงแม่น้ำคงคา ความสะอาดของพื้นที่จะเกิดขึ้น

    ๑.โรคจะบางเพราะความสกปรกเริ่มหายไป
    ๒.ถ้าเราแสดงพระธรรมเทศนารัตนสูตร คือ ยานีธะภูตา ฯลฯ ในเจ็ดตำนาน ผลจะเกิดมหันต์ ให้คนเข้าอยู่ในไตรสรณาคมน์ อยู่ในศีล ๕ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจะมีความสุขกันคือไม่เบียดเบียนกันโดยทางกาย ไม่ฆ่ากันบ้าง ไม่เบียดเบียนทำร้ายกันบ้าง ไม่รักไม่ขโมยกัน ไม่แย่งคนรักกัน ไม่โกหกมดเท็จ ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ไม่นินทาชาวบ้าน และก็ไม่เมาเกินไป อันนี้เมืองไพสาลีจะมีความสุขยิ่งกว่าเดิม แต่ว่าจะให้หมดไปทีเดียวไม่ได้เพราะว่าความเลวของมันมีอยู่

         เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญานก็ทรงรับว่า "ตถาคตจะไป"

         ต่อมาเมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบ ก็เข้าไปกราบทูลสมเด็จพระจอมไตรว่า "จะเสด็จไปเมืองไพสาลีหรือพระพุทธเจ้าข้า"
         พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า "ไป จะไปสงเคราะห์ แต่ว่าจะไปไม่นานจะต้องกลับมาเข้าพรรษาที่พระเวฬุวัน เวลานี้ก็เหลือเวลาอีก ๑๐ วันจะเข้าพรรษา"
         พระเจ้าพิมพิสารจึงกราบทูลว่า"ก่อนที่พระองค์จะเสด็จไป รอข้าพระพุทธเจ้าก่อน ขอปรับพื้นที่ให้ดีเสียก่อน พื้นที่ยังไม่ราบเรียบ"
         จึงทรงสั่งให้พนักงานปรับพื้นที่ให้เรียบดำเนินสะดวกๆ สำหรับพระพุทธเจ้ากับบรรดาพระสงฆ์ ๕๐๐ รูป ระยะทางสิ้นทางไกล ๕ โยชน์ และก็จัดดอกไม้ ๕ สี โปรยปรายไปที่ทางสูงแค่เข่า เป็นการบูชาพระพุทธเจ้า เมื่อเสร็จแล้วก็กราบทูลให้เสด็จพระดำเนิน

         เวลานั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ ก็เอาร่มฉัตร ๒ ชั้นกั้นให้พระพุทธเจ้า ฉัตรชั้นเดียวกันให้พระสงฆ์ ๕๐๐ รูป ๑ รูปต่อฉัตร ๑ คัน หลังจากนั้นไปถึงแม่น้ำแล้วต้องข้ามฟาก ก็เอาเรือ ๒ ลำเข้ามาเทียบกัน ทำเป็นเรือกัญญา ประดับประดาสวยงาม สำหรับเรือพระพุทธเจ้า นี่ประดับประดาสวยงาม

         พระเจ้าพิมพิสารไปส่งเรือถึงน้ำแค่คอ เรือถอยออกไป ท่านก็เดิตามเรือไป มือพนมไปไหว้พระพุทธเจ้า ลงทั้งเครื่องทรงไม่ใช่มีแต่ผ้าขาวม้า น้ำแค่คอก็กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า "ถ้าพระองค์ยังไม่เสด็จกลับเพียงใด ข้าพระพุทธเจ้าก็จะคอยพระองค์อยู่ที่นี้จนกว่าเสด็จกลับ"

         พระพุทธเจ้าก็ทรงเสด็จทางเรือสิ้นระยะทาง ๓ โยชน์ แล้วก็ทรงขึ้นฝั่ง ทางฝั่งโน้นก็เช่นกัน เมื่อทราบว่าพระเจ้าพิมพิสารทำอย่างนั้น พระราชาเมืองไพสาลีก็ลงมารับน้ำแค่คอเหมือนกัน จัดที่ให้เรียบเป็นทางระยะ ๓ โยชน์ ถึงเมืองแล้วก็เอาดอกไม้โปรยปรายด้วยเช่นเดียวกัน แต่ว่าทางโน้นจัดหนัก ของพระพุทธเจ้าฝั่งนี้จัดฉัตร ๒ ชั้น ทางฝั่งโน้นจัดฉัตร ๔ ชั้นรับพระพุทธเจ้า ฝั่งพระเจ้าพิมพิสารจัดร่ม ๑ ชั้นกับบรรดาพระสงฆ์ แต่ฝั่งโน้นเอาร่ม ๒ ชั้นทำเกยกัน

         พอพระพุทธเจ้าทรงเหยียบพื้นดินฝั่งโน้นของเมืองไพสาลี มหาเมฆใหญ่ตั้งขึ้นฝนตกหนักนับเป็นชั่วโมงๆ นาบางแห่งน้ำท่วมแค่เข้าบ้าง บางแห่งท่วมแค่อก น้ำพัดพาเอาสิ่งโสโครกต่างๆลงในแม่น้ำคงคาทำให้บ้านเมืองสะอาดไปอีเยอะ ทำให้สิ่งปฏิกูลไหลลงแม่น้ำคงคาหมด ส่วนเลอะเทอะต่างก็ไหลมาตาม ส่วนพื้นดินก็สะอาด ความชุ่มชื้นก็ปรากฏ คนก็เริ่มมีความสบายเพราะฝนไม่ตกมานาน

         ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงเสด็จเข้าเมืองไพสาลี เข้าไปในเขตพระราชฐาน แล้วองค์สมเด็จพระประทีบแก้ว ก็ทรงเรียกพระอานนท์ว่า

       "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ จงมานี่ เธอจงเรียนรัตนสูตร เรียนรัตนสูตรอันนี้ไปแล้วก็เดินบริกรรมรอบๆ เขตของเมืองไพสาลีทั้ง ๔ ทิศ"

         พระอานนท์เรียนรัตนสูตรแล้วหลังจากนั้นก็เอาบาตรขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วใส่น้ำ เริ่มทำน้ำมนต์

    วิธีการทำน้ำมนต์ของพระอานนท์ ก็คือ

         อาราธนาบารมีของพระพุทธเจ้า ๓๐ ทัศ คือ บารมีปกติ ที่เรียกว่า บารมีเฉยๆ ๑๐ ทัศ อุปบารมี ๑๐ ทัศ ปรมัตถบารมี ๑๐ ทัศ และก็ความดีของพระพุทธเจ้าอันหนึ่งคือ มหาบริจาค ๕ ประการ และก็ จริยา ๓ ประการ คือ

         ๑.โลกัตถจริยา ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงประพฤติให้เป็นประโยชน์แก่โลก
         ๒.ญาตัตถจริยา ที่พระพุทธเจ้าทรงประพฤติให้เป็นประโยชน์แก่พระญาติ
         ๓.พุทธัตถจริยา คือทรงบำเพ็ญประโยชน์ในฐานะที่ทรงเป็นพระพุทธเจ้า คือสอนให้คนบรรลุมรรคผล
    และการอารธนาความดีขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ในการก้าวเข้าสู่พระครรภ์ในภพสุดท้ายและความดีของการประสูติ ความดีในการเสด็จออกมหาภิเนษภรมภ์ของพระพุทธเจ้า

         และพระพุทธเจ้าทรงทำความเพียรถึง ๖ ปี ต่อมาความดีของพระองค์บารมีช่วยให้ชนะมาร ตลอดจนอาราธนาความดีที่แทงตลอดเพื่อพระสัพพัญญุตญาน เหนือบัลลังค์ต้นโพธิ์เป็นพระอรหันต์ การยังธรรมจักรที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่ปัญจวคีย์ ฤาษีทั้ง ๕ ให้เป็นไปในโลก และ ก็อาราธนา โลกุตรธรรม ๙ ประการ คือ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ได้แก่

         โสดาปัตติมรรค
         สกิทาคามิมรรค
         อนาคามิมรรค
         อรหันตมรรค
         พระโสดาปัตติผล
         สกิทาคามิผล
         อนาคามิผล
         อรหันตผล
         และ นิพพาน อีก ๑ เป็น ๙


         หลังจากอาราธนาพระบารมีทั้งหมดเสร็จ พระอานนท์ก็เข้าไปยังเขตของเมืองในพระนครเที่ยวทำพระปริตร คือสูตร ยานีธะ ภูตา ฯลฯ เรื่อยไปในกำแพงทั้ง ๓ ด้าน คือเดินกำแพง ๓ ด้านตลอด ๓ ยามในราตรีนั้น เดินไปเดินไปก็สวดรัตนสูตร ยานีธะ ภูตาฯลฯ และท่านบอกว่าเมื่อพระอานนท์ใช้ศัพท์ว่า "ยังกิญจิ" เท่านั้นแหละ ท่านพรมน้ำไปด้วย ทำน้ำมนต์น่ะ (เขาทำน้ำมนต์ด้วยบทนี้นะ) พรมน้ำขึ้นไปเบื้องบน ตกลงบนกระหม่อม ของอมนุษย์ คือ เปรต อสุรกาย เป็นต้น

         พวกนั้นทนไม่ไหววิ่งกันพล่านไปหมด แล้วตกลงมาบนหัวมนุษย์ทั้งหลาย ผู้ป่วยและบรรดาคนป่วยทั้งหลายหายโรคในทันทีทันใดนั้นเอง แล้วลุกขึ้นแวดล้อมพระเถระ เรื่องทำน้ำมนต์นี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล ถ้าทำถูก อาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระจอมไตรมีผลมาก


    [​IMG]


    จาก หนังสือสมบัติพ่อให้
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤาษี ลิงดำ)
     
  2. felies

    felies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,370
  3. felies

    felies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,370
    บทพระพุทธมนต์ รัตนสูตร

    .: รัตนสูตร :.

    ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข.
    เหล่าภูตทั้งหลายทั้งที่อยู่ ณ ภาคพื้นก็ดี ทั้งที่อยู่ในอากาศก็ดี ที่มาชุมนุมกันอยู่ ณ สถานที่นี้ก็ดี

    สัพเพวะ ภูตา สุมะนา ภะวันตุ
    ขอหมู่ภูตทั้งปวงนั้น จงเป็นผู้มีใจดีเถิด

    อะโถปิ สักกัจจะ สุณันตุ ภาสิตัง
    และเชิญฟังคำสดุดีพระรัตนตรัย อันข้าพเจ้ากล่าวโดยเคารพเถิด

    ตัสมา หิ ภูตา นิสาเมถะ สัพเพ
    ดูก่อนภูตทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล ท่านทั้งหลายทั้งปวง จงฟังข้าพเจ้า

    เมตตัง กะโรถะ มานุสิยา ปะชายะ
    ขอท่านทั้งหลาย จงกระทำเมตตาจิต ในประชาชาวมนุษย์เถิด

    ทิวา จะ รัตโต จะ หะรันติ เย พะลิง
    ซึ่งเขาทั้งหลาย ทำเทวตาพลีอยู่ ทั้งกลางวันและกลางคืน

    ตัสมา หิ เน รักขะถะ อัปปะมัตตา
    เพราะเหตุนั้นแล ท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้ไม่ประมาท ช่วยคุ้มครองรักษาเขาเหล่านั้นด้วยเถิด

    ยังกิญจิ วิตตัง อิธะ วา หุรัง วา
    ทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งในโลกนี้ หรือในโลกอื่น

    สักเคสุ วา ยัง ระตะนัง ปะณีตัง
    หรือรัตนะใดอันสูงค่า ในสรวงสวรรค์

    นะ โน สะมัง อัตถิ ตะถาคะเตนะ
    ทรัพย์หรือรัตนะนั้นๆ ที่จะเสมอด้วยพระตถาคตเจ้า มิได้มีเลย

    อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง
    ข้อนี้ จัดเป็นรัตนะอันสูงส่ง ในพระพุทธเจ้า

    เอเตนะ สัจเจนะสุวัตติ โหตุ
    ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงบังเกิดมีเถิด

    ขะยัง วิราคัง อะมะตัง ปะณีตัง ยะทัชฌะคา สักยะมุนี สะมาหิโต
    พระศากยมุนีเจ้า ทรงมีพระหฤทัยดำรงมั่น ได้บรรลุธรรมอันใด
    เป็นที่สิ้นกิเลส เป็นที่สิ้นราคะ เป็นอมตะอย่างแท้จริง

    นะ เตนะ ธัมเมนะ สะมัตถิ กิญจิ
    สิ่งใดๆที่เสมอด้วยพระธรรมนั้น ย่อมไม่มี

    อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง
    ข้อนี้ จัดเป็นรัตนคุณอันสูงส่ง ในพระธรรม

    เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ
    ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด

    ยัมพุทธะเสฏโฐ ปะริวัณณะยี สุจิง
    พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ทรงสรรเสริญสมาธิใด ว่าเป็นธรรมอันสะอาด

    สะมาธิมานันตะริกัญญะมาหุ
    บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวถึงสมาธิใด ว่าให้ผลไม่มีสิ่งใดคั่นได้

    สะมาธินา เตนะ สะโม นะ วิชชะติ
    สมาธิอื่น ที่เสมอด้วยสมาธินั้น ย่อมไม่มี

    อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง
    ข้อนี้ ก็จัดเป็นรัตนคุณอันสูงส่งในพระธรรม

    เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ
    ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงบังเกิดมีเถิด

    เย ปุคคะลา อัฏฐะ สะตัง ปะสัตถา
    บุคคลเหล่าใด นับเรียงองค์ได้เป็น ๘

    จัตตาริ เอตานิ ยุคานิ โหนติ
    นับเป็นคู่ได้ ๔ คู่ อันสัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญแล้ว

    เต ทักขิเณยยา สุคะตัสสะ สาวะกา
    บุคคลเหล่านั้น เป็นสาวกของพระสุคตเจ้า เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน

    เอเตสุ ทินนานิ มะหัปผะลานิ
    ทานทั้งหลาย ที่บุคคลถวายในท่านเหล่านั้น ย่อมมีผลเป็นอันมาก

    อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
    ข้อนี้ จัดเป็นรัตนคุณอันสูงส่ง

    เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ
    ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด

    เย สุปปะยุตตา มะนะสา ทัฬเหนะ นิกกามิโน โคตะมะสาสะนัมหิ
    บุคคลทั้งหลายเหล่าใด ประกอบความเพียรอย่างดี ดำเนินไปในศาสนา ของพระโคดมเจ้า ด้วยใจอันมั่นคง

    เต ปัตติปัตตา อะมะตัง วิคัยหะ
    บุคคลทั้งหลายเหล่านั้น หน่วงเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ ได้บรรลุคุณอันควรบรรลุ คือ พระอรหัตตผลแล้ว

    ลัทธา มุธา นิพพุติง ภุญชะมานา
    จึงได้เสวยอมตะรส คือ ความสงบเย็น จากความเร่าร้อนทั้งปวง

    อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
    แม้ข้อนี้ ก็เป็นรัตนคุณอันสูงส่งในพระสงฆ์

    เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ
    ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด

    ยะถินทะขีโล ปะฐะวิง สิโต สิยา จะตุพภิ วาเตภิ อะสัมปะกัมปิโย
    เสาเขื่อนที่ฝังลงดิน อย่างมั่นคงแล้ว ลมทั้งสี่ทิศ ไม่พึงทำให้หวั่นไหวได้ ฉันใด

    ตะถูปะมัง สัปปุริง วะทามิ โย อะริยะสัจจานิ อะเวจจะ ปัสสะติ
    เราตถาคตกล่าวว่า สัตบุรุษผู้หยั่งเห็นอริยสัจธรรม ก็มีอุปมาฉันนั้น นั่นแล

    อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
    แม้ข้อนี้ ก็เป็นรัตนคุณอันสูงส่ง ในพระสงฆ์

    เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ
    ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด

    เย อะริยะสัจจานิ วิภาวะยันติ คัมภีระปัญเญนะ สุเทสิตานิ
    บุคคลเหล่าใด กระทำอริยสัจธรรมทั้งหลาย ที่พระบรมศาสดา
    ผู้มีปัญญาอันลึกซึ้ง ทรงแสดงดีแล้ว ให้แจ่มแจ้งแก่ตนได้

    กิญจาปิ เต โหนติ ภุสัปปะมัตตา
    บุคคลเหล่านั้น ถึงจะยังเป็นผู้ประมาทอยู่มาก

    นะ เต ภะวัง อัฏฐะมะมาทิยันติ
    แต่ท่านก็ย่อมไม่ถือเอา ซึ่งภพที่ ๘

    อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
    แม้ข้อนี้ ก็เป็นรัตนคุณอันสูงส่ง ในพระสงฆ์

    เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ
    ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด

    สะหาวัสสะ ทัสสะนะสัมปะทายะ ตะยัสสุ ธัมมา ชะหิตา ภะวันติ,
    สักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉิตัญจะ สีลัพพะตัง วาปิ ยะทัตถิ กิญจิ

    สังโยชน์ ๓ ประการ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส
    ซึ่งเป็นกิเลสเครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพ อันพระโสดาบันละได้แล้ว
    เพราะความถึงพร้อมแห่งญาณทัสนะ

    จะตูหะปาเยหิ จะ วิปปะมุตโต
    อนึ่ง พระโสดาบันเป็นผู้พ้นได้แล้ว จากอบายภูมิทั้ง ๔

    ฉะ จาภิฐานานิ อะภัพโพ กาตุง
    ทั้งไม่อาจที่จะทำอภิฐาน คือ ฐานะอันหนัก ๖ ประการ (คือ อนันตริยกรรม ๕ และการเข้ารีต)

    อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
    แม้ข้อนี้ ก็เป็นรัตนคุณอันสูงส่งในพระสงฆ์

    เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ
    ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด

    กิญจาปิ โส กัมมัง กะโรติ ปาปะกัง กาเยนะ วาจายุทะ เจตะสา วา
    พระโสดาบันนั้น ยังทำความผิดเล็กน้อยทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ อยู่บ้างก็จริง

    อะภัพโพ โส ตัสสะ ปะฏิจฉะทายะ
    แต่เมื่อทำแล้ว ท่านเปิดเผย ไม่ปกปิดความผิดนั้นไว้

    อะภัพพะตา ทิฏฐะปะทัสสะ วุตตา
    ความที่บุคคลเข้าถึงกระแสพระนิพพานแล้วเป็นผู้ไม่ปกปิดความผิดไว้นี้ อันเราตถาคตกล่าวแล้ว

    อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
    แม้ข้อนี้ ก็เป็นรัตนคุณอันสูงส่งในพระสงฆ์

    เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ
    ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด

    วะนัปปะคุมเพ ยะถา ผุสสิตัคเค คิมหานะ มาเส ปะฐะมัสมิง คิมเห
    พุ่มไม้ในป่า แตกยอดในเดือนคิมหันต์แห่งคิมหันตฤดูฉันใด

    ตะถูปะมัง ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ
    พระตถาคตเจ้า ได้ทรงแสดงธรรมอันประเสริฐ

    นิพพานะคามิง ปะระมังหิตายะ
    ซึ่งเป็นหนทางให้ถึงพระนิพพาน เพื่อประโยชน์อย่างยิ่งแก่สัตว์ทั้งหลาย ก็มีอุปมาฉันนั้น

    อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
    แม้ข้อนี้ ก็เป็นรัตนคุณอันสูงส่ง ในพระสงฆ์

    เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ
    ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด

    วะโร วะรัญญู วะระโท วะราหะโร
    พระตถาคตเจ้า ทรงเป็นผู้ประเสริฐ ทรงเป็นผู้รู้สิ่งอันประเสริฐ
    ทรงเป็นผู้ให้สิ่งอันประเสริฐ ทรงเป็นผู้นำมาซึ่งสิ่งอันประเสริฐ

    อนุตตะโร ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ
    ทรงเป็นผู้ไม่มีใครยิ่งกว่า ได้ทรงแสดงแล้วซึ่งพระธรรมอันประเสริฐ

    อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง
    แม้ข้อนี้ ก็เป็นรัตนคุณอันสูงส่ง ในพระพุทธเจ้า

    เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ
    ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด

    ขีณัง ปุราณัง นะวัง นัตถิ สัมภะวัง
    กรรมเก่า ของพระอริยบุคคลเหล่าใดสิ้นแล้ว กรรมสมภพใหม่ย่อมไม่มี

    วิรัตตะจิตตายะติเก ภะวัสมิง
    พระอริยบุคคลเหล่าใด มีจิตอันหน่ายแล้ว ในภพต่อไป

    เต ขีณะพีชา อะวิรุฬ หิฉันทา
    พระอรหันต์เหล่านั้น มีพืชคือวิญญาณสิ้นไปแล้ว ไม่มีความพอใจที่จะเกิดอีกต่อไป

    นิพพันติ ธีรา ยะถายัมปะทีโป
    เป็นผู้มีปัญญา ย่อมนิพพาน เหมือนดังดวงประทีปที่ดับไปฉะนั้น

    อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
    แม้ข้อนี้ ก็เป็นรัตนคุณอันสูงส่ง ในพระสงฆ์

    เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ
    ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด

    ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข.
    เหล่าภูตทั้งหลายทั้งที่อยู่ ณ ภาคพื้นก็ดี ทั้งที่อยู่ในอากาศก็ดี ที่มาชุมนุมกันอยู่ ณ สถานที่นี้ก็ดี

    ตะถาคะตัง เทวะสะนุสสะปูชิตัง พุทธัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ
    เราทั้งหลายจงนมัสการพระพุทธเจ้าผู้มาแล้ว อันเทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว ขอความสุขสวัสดีจงมีเถิด

    ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข.
    เหล่าภูตทั้งหลายทั้งที่อยู่ ณ ภาคพื้นก็ดี ทั้งที่อยู่ในอากาศก็ดี ที่มาชุมนุมกันอยู่ ณ สถานที่นี้ก็ดี

    ตะถาคะตัง เทวะสะนุสสะปูชิตัง ธัมมัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ
    เราทั้งหลายจงนมัสการพระธรรมอันมาแล้ว อันเทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว ขอความสุขสวัสดีจงมีเถิด

    ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข.
    เหล่าภูตทั้งหลายทั้งที่อยู่ ณ ภาคพื้นก็ดี ทั้งที่อยู่ในอากาศก็ดี ที่มาชุมนุมกันอยู่ ณ สถานที่นี้ก็ดี

    ตะถาคะตัง เทวะสะนุสสะปูชิตัง สังฆัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ
    เราทั้งหลายจงนมัสการพระสงฆ์ผู้มาแล้ว อันเทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว ขอความสุขสวัสดีจงมีเถิด ​

    ที่มา : http://www.geocities.com/buddhamantra/page005.htm

    และ เวอร์ชั่นเสียงสวดโดยพระสงฆ์ http://www.geocities.com/chruawan/page14.htm ตามลิงค์นี้นะครับ
     
  4. felies

    felies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,370
    สามารถ อ่านเรื่องนี้ จากพระไตรปิฎก ตามลิงค์นี้ครับ

    http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=7

    [ปล.จากข้อสังเกต เมือง ไพสาลี ที่หลวงพ่อกล่าวถึงนั้น ในพระสูตรจะเรียกว่า เมือง เวสาลี]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2006
  5. felies

    felies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,370
    ครั้งนึง เคยอ่านจากกระทู้ของ สมาชิกในเว็บนี้อ่ะคับ รู้สึกจะเป็นเรื่องการทำน้ำมนต์ของพระญี่ปุ่น แล้วเค้าเอาน้ำ ที่ยังไม่ได้ผ่านการ เจริญพุทธมนต์ ไปส่องดู เปรียบเทียบกับ น้ำที่ผ่านการเจริญพุทธมนต์แล้ว ผลที่ออกมา ได้ประมาณนี้อ่ะครับ

    [​IMG]
    Before

    [​IMG]
    After

    แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่รู้ที่มาอย่างชัดเจน จริงเท็จอย่างไร ให้ผู้รู้มาตอบนะคับ

    อิอิ
     
  6. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    อันนี้พี่ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ภาพล่างดูเหมือนเกล็ดหิมะ...

     
  7. varanyo

    varanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    925
    ค่าพลัง:
    +3,373
    มีหนังสือวางขายครับ...ผมเองก็ยังไม่ได้ซื้อ (ฮะๆๆๆ)...เห็นเขาบอกกันว่าวิจัยโดยดร.ชาวญี่ปุ่น ซึ่งทำเรื่องนี้โดยเฉพาะมา 10 กว่าปีแล้ว...ว่าจะลองไปหาหนังสือดูเหมือนกันครับ...
     
  8. suvicht

    suvicht เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +312
    สาธุถ ครับ ดีมากๆๆ เลย
     
  9. c.c.n.

    c.c.n. สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +7
    ที่เป็นงานวิจัยเรื่องนํ้าธรรมดากับนํ้ามนต์นั้นน่าจะจริงนะครับ เพราะเคยมีรายการสารคดีช่องอะไรไม่รู้ฉายผลงานวิจัยที่นักวิทยาศาสตร์ทดลองให้นํ้าฟังเพลงเพราะสบายๆกับเอานํ้าที่อยู่ในห้องของคนที่ทะเลาะกันมาวัดกันดู ปรากฏว่านํ้าที่ได้ฟังเพลงมีผลึกที่สวยงาม ต่างกับนํ้าที่ฟังคนทะเลาะกันที่มีผลึกกระจัดกระจายน่าเกลียด
    นักวิทยาศาสตร์เลยสรุปกันว่านํ้าก็ชอบฟังสิ่งที่เพราะๆดีๆเหมือนคน เช่นเพลง หรือคนชมกัน เพราะฉะนั้นการสวดมนตร์ก็น่าจะให้ผลเหมือนกันครับ
     
  10. elm

    elm สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +37
    โมทนาสาธุๆๆ ครับ กับการนำเอาสิ่งดีๆมาเล่าสู่กันฟังครับ
     
  11. คุณ 4

    คุณ 4 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +5,159
    นะ เต ภะวัง อัฏฐะมะมาทิยันติ
    แต่ท่านก็ย่อมไม่ถือเอา ซึ่งภพที่ ๘

    ภพที่ 8 คืออะไรคับ ใครช่วยอธิบายให้ด้วยคับ
     
  12. i.sahassa

    i.sahassa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +1,978
    เป็นภาำพเดียวกันกับหนังสือที่วางขายอยู่ครับ เล่มเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก...มีหลายแบบมาก ๆ ครับ แบบว่า ให้ลองพูดจาหยาบคายใส่แก้วน้ำ กับ พูดจาดี ๆ เพราะ ๆ ใส่แก้วน้ำ มีให้ฟังเพลงเพราะ ๆ กับ ฟังเพลงโหดๆ มีให้สวดมนต์ ก็ด้วย รู้สึกจะอย่างนั้นครับ...เป็นการวิจัยจากญี่ปุ่น ครับ ทั้งในเมล์ และ ในหนังสือ บอกว่ามาจากญี่ปุ่น ก็คิดว่าน่าจะเป็นคนที่ได้อ่านหนังสือ แล้วส่งเมล์ แล้วก็เกิดการส่งต่อไปเรื่อย ๆน่ะครับ...แต่ผ๊ม เอง ก็ยังไม่ได้ซื้อหนังสือเลยครับ ...แวะมาบอกกล่าวเฉย ๆครับผม
     
  13. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
  14. felies

    felies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,370
    " น้ำก็มีชีวิต"

    โลกที่เปลี่ยนไป

    เทคโนโลยีที่ทันสมัย เปิดโลก ให้เราได้เรียนรู้มิติต่างๆของธรรมชาติ มีการศึกษาวิจัยงานหนึ่งที่น่าสนใจ เก็บมาฝาก

    เพื่อให้คำตอบ กับคำกล่าวที่ว่า " ทุกสิ่งทุกอย่างมีไว้สำหรับคนที่ คนที่มุ่งมั่น และต่อสู้อย่างแท้จริง" คนที่ว่ายน้ำอย่างมีความทุกข์นั้น

    จะสร้างความหม่นหมองให้กับทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา แม้แต่น้ำเองก็มีชีวิตที่จะรับรู้ถึงความมุ่งมั่นและจิตใจที่มั่นคงของท่าน

    ผมเก็บเอางานเขียนของ คุณนิตยา จรุงจิต ที่แปลงานวิจัยของนายมาซารุ อิโมโต

    ที่ว่าด้วยเรื่องการศึกษาน้ำๆ ที่เป็นสิ่งที่เราว่ายน้ำแช่เล่น อยู่ ทุ๊กวัน ว่าจริงๆแล้วมีอะไรมากกว่าที่เราไมรู้

    ลองอ่านดูครับ ได้ความรู้สึกอย่างไรเล่าให้กันฟังด้วยครับ

    โดย ลุงคนขี้บ่น

    ++++++++++++

    น้ำกับชีวิต

    เมื่อชีวิตอุบัติขึ้นนั้น จุดศูนย์กลางที่เล็กที่สุดของชีวิตเป็นเพียงหน่วยพันธุกรรมจากแม่ครึ่งหนึ่ง และจากพ่อ อีกครึ่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นน้ำ ณ เวลานั้น ชีวิตได้เริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางส่วนประกอบซึ่งเป็นน้ำถึง ๙๕%

    จนถึงทุกวันนี้ที่ชีวิตเราเติบใหญ่ขึ้นมา ร่างกายของเราประกอบด้วยกระดูก กล้ามเนื้อ เอ็น พังผืด ผิวหนัง เม็ดเลือด น้ำเลือด ฯลฯ กว่า ๗๐% ของร่างกายเราคือ น้ำ

    ข้อพิสูจน์ว่าชีวิตกับน้ำเป็นความสัมพันธ์ที่แนบแน่น จนไม่อาจแยกจากกันได้ คือ ร่างกายของคนเรา อาจขาดอาหารได้หลายๆ วัน แต่ถ้าต้องขาดน้ำสัก ๒-๓ วันเท่านั้น ร่างกายก็ทนไม่ได้เสียแล้ว

    แม้กระทั่งโลกที่เราอาศัยอยู่ ผิวโลกเป็นสีน้ำทะเล เพราะมีผืนน้ำอยู่ถึง ๗๐% โลกนี้จึงได้ชื่อว่า ดาวเคราะห์สีน้ำเงิน ขณะที่มีผืนแผ่นดินให้เป็นที่อาศัยของมนุษย์เพียง ๓๐% เท่านั้น

    น้ำ ตามธรรมชาติ จะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะของสิ่งแวดล้อมและมลพิษได้ หากเรานำน้ำจากแหล่งต่างๆ มาตรวจ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง หนองบึง หรือแม้กระทั่งน้ำใต้ดิน เราจะทราบได้ว่า ที่นั้นๆ แหล่งน้ำมีสภาพความ ปนเปื้อน และมลพิษมากน้อยเพียงใด

    ในร่างกายคนเราก็เช่นกัน เมื่อต้องการจะตรวจการทำงานของระบบต่างๆ เราจะเจาะเอาเลือดออกมาแล้วปั่นแยกเม็ดเลือดออกไป นำน้ำที่ได้ไปตรวจ ก็จะสามารถบอกได้ว่า ตับ ไต หัวใจ เส้นเลือด อวัยวะใหญ่น้อยภายในตัวเรายังทำงานปกติดีอยู่หรือไม่

    จากตัวอย่างที่กล่าวมา จึงพอตั้งสมมุติฐานได้ว่า น้ำ มีคุณสมบัติในการถ่ายทอดสิ่งที่มันแวดล้อมอยู่และเป็นที่บันทึกข้อมูลได้เป็นอย่างดี

    ในเมื่อชีวิตเราจะขาดน้ำไม่ได้เลย เราเองต้องดื่มน้ำทุกวัน นอกจากนี้แล้ว เรายังใช้น้ำเพื่ออาบ เพื่อชำระร่างกาย ฯลฯ น้ำที่เราใช้ทุกวันนี้ จึงมีส่วนอย่างมาก ต่อสุขภาพร่างกายของเรา

    ภาษาแห่งน้ำ


    [​IMG]

    มาซารุ อิโมโต
    ผู้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสาสน์จากน้ำ


    มีนักวิชาการชาวญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่ง นำโดย นายมาซารุ อิโมโต (ภาพซ้าย) พยายามที่จะศึกษาเรื่องน้ำ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากการที่เขาได้พบกับนักชีวเคมีชาวอเมริกัน ดร.โลเรนเซน ผู้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับการถ่ายทอดพลังแม่เหล็กจากสารต่างๆ ลงไปในน้ำ ทำให้น้ำที่ได้มีพลังงานเฉพาะ และที่สำคัญคือ ช่วยรักษาโรคได้ เครื่องมือที่ ดร.โลเรนเซน ใช้ เป็นเครื่องมือถ่ายทอดพลังงานแม่เหล็ก (Magnetic Resonance Analyzer) ซึ่งใช้กันทั่วไปในกลุ่มแพทย์ด้าน Homeopathy (เป็นการแพทย์ดั้งเดิมของชาวเยอรมัน)

    [​IMG]

    ภายในห้องทดลองของมาซารุ

    มาซารุ เกิดแรงบันดาลใจว่า น้ำธรรมดาๆ จะสามารถถ่ายทอดพลังงานเข้าไปสู่ตัวมันได้จริงหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง แล้วจะสามารถอ่านข้อมูลที่น้ำบันทึกไว้ได้อย่างไร จากการทำงานศึกษาวิจัยอย่างหนัก เขาใช้เวลา ไปกับการเก็บตัวอย่างน้ำในที่ต่างๆ ทั่วโลก และสร้างห้องเย็นที่มีอุณหภูมิ -๕ องศาเซลเซียส ซึ่งในอุณหภูมิขนาดนี้ คนจะสามารถเข้าไปทำงานในห้องนั้นได้อย่างมาก ไม่เกินคราวละ ๓๐ นาทีเท่านั้น เขาศึกษาผลึกของน้ำ และพยายามถ่ายภาพผลึกน้ำต่างๆ เพื่ออ่านข้อมูลที่บันทึกไว้ หลังจากการลองผิดลองถูกมานับครั้งไม่ถ้วน ด้วยการนำกล้องถ่ายรูปติดเข้ากับกล้องจุลทรรศน์ เข้าไปถ่ายผลึกของน้ำในตู้แช่แข็งขนาดใหญ่ เป็นเวลานานร่วม ๒ เดือน และใช้ฟิล์มไปหลายพันม้วน ในที่สุดเขาก็สามารถถ่ายภาพผลึกของน้ำภาพแรกได้สำเร็จ


    [​IMG]

    ผลึกน้ำ จากน้ำพุที่เมือง Lourdes ประเทศฝรั่งเศส

    ผลึกน้ำจากน้ำใต้ดินของเกาะ เหนือ ประเทศนิวซีแลนด์

    ผลึกน้ำ ที่เปิดเสียงสวดมนต์ Hado ของญี่ปุ่นให้ฟัง

    ผลึกน้ำ ที่เปิดเพลง Heavy Metal จังหวะกระชากกระชั้น [ ตามลำดับภาพ ]


    หลังจากนั้น เขาได้ศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นเวลาประมาณ ๔ ปีครึ่ง ก็ได้ภาพของผลึกน้ำประมาณหนึ่งหมื่นภาพ พร้อมๆ กับการค้นพบอันน่ามหัศจรรย์เหลือเชื่อ มาซารุพบว่า น้ำจากที่ต่างๆ มีผลึกที่ ไม่เหมือนกัน น้ำจากธรรมชาติมีผลึกที่สวยงาม ในขณะที่ น้ำที่มีการปนเปื้อนสารเคมีและสิ่งสกปรกต่างๆ จะมีผลึก ที่น่าเกลียดน่ากลัว มาซารุเก็บตัวอย่างน้ำจากที่ต่างๆ และนำมาศึกษาโดยหยดตัวอย่างน้ำลงบนจานแก้ว แล้วนำ ไปแช่แข็งในห้องทดลองที่มีอุณหภูมิ -๕ องศาเซลเซียส จากนั้นนำผลึกน้ำมาถ่ายภาพเก็บข้อมูลไว้ เขาจะทำเช่นนี้ ซ้ำๆ กันในแต่ละตัวอย่างจำนวน ๑๐๐ ครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่า สิ่งที่เขาค้นพบ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

    เขาศึกษาน้ำจากน้ำประปาที่ต่างๆ และตามเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก น้ำในลำธาร น้ำจากน้ำพุธรรมชาติ น้ำในแม่น้ำลำคลอง น้ำในทะเลสาบ จนถึงน้ำแข็งขั้วโลก

    วันหนึ่ง มาซารุเกิดสงสัยว่า น้ำฟังดนตรีได้หรือไม่ สิ่งที่เขาพบจากการทดลองคือคำตอบที่น่าอัศจรรย์ใจ ปฏิกิริยาของน้ำ ต่อดนตรีหรือเพลงต่างๆ รวมทั้งเสียงสวดมนต์ด้วย ทำให้น้ำเกิดผลึกที่แตกต่างกัน มาซารุพบว่า น้ำที่ผ่านเสียงสวดมนต์มีผลึกที่สวยงาม แต่น้ำที่เปิดเพลง Heavy Metal จะเกิดปฏิกิริยาในทางลบต่อผลึก

    [​IMG]

    การทดลองเขียนคำต่างๆ แล้วติดไว้ ข้างขวดน้ำ โดยหันด้านตัวอักษรเข้า หาน้ำ

    ผลึกน้ำที่ติดคำว่า "ขอบคุณ" เป็นภาษาญี่ปุ่น ไว้ข้างขวด

    ผลึกน้ำที่ติดคำว่า
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    766
    ค่าพลัง:
    +5,790

    พระโสดาบัน อย่างช้า ท่านจะเข้าสู่นิพพานใน 7ชาติ ไม่มีชาติที่แปด
     
  17. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    766
    ค่าพลัง:
    +5,790
    พระโสดาบัน ถึงแม้ว่าท่านจะประมาทในธรรมบางส่วนอยู่ แต่ท่านไม่ถือกำเนิดเกิน 7ชาติครับ ท่านก็เข้าสู่นิพพาน หมดกิเลสโดยสิ้นเชิง
     
  18. rosey

    rosey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +1,345
    ว๊าว.. ถูกใจจอร์จ.. เรื่องน้ำกับชีวิต
    ขอบคุณนะคะ อนุโมทนา สาธุ สาธุ...
    (bb-flower (bb-flower (bb-flower
     
  19. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            การทำน้ำมนต์ท่านบอกว่า ห้ามเรียกของทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ดอกไม้ธูปเทียน ถ้าเขามีมาให้ก็รับ ไม่มีก็แล้วไป วิธีทำน้ำมนต์ เอาน้ำใส่ในบาตรแล้วก็เพ่งจิตสู่ก้นบาตร ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณในอดีตทั้งหมด คืออิติปิโสทั้งหมดก็แล้วกันนะ แล้วก็เพ่งจิตเข้าสู่ในบาตร แล้วอธิษฐานขอกระแสน้ำนี้จงซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย กำจัดโรคภยาพาธทั้งหลายของมนุษย์และสัตว์ให้หายโดยฉับพลัน แล้วเอามือวนปากบาตรแล้วแล้วเพ่งอีกครั้งหนึ่งอธิษฐานอีก ให้รักษาโรคทุกชนิดไม่เลือก ไม่ต้องใช้ยา เวลาน้ำมนต์จะหมด ให้เทน้ำมนต์ไปสู่ภาชนะอื่น แล้วก็เอาน้ำสะอาดมาใส่บาตรทำน้ำมนต์ แล้วเอาน้ำมนต์ที่เหลือใส่ลงไป ขณะนั้นมือวนไปรอบปากบาตรบนด้านฝา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2006
  20. thongchat

    thongchat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +2,195
    ขอโมทนากับข้อมูลต่างๆ ที่ทุกท่านได้นำมาแสดง โดยเฉพาะรายงานการวิจัยของ ดร.ชาวญี่ปุ่น ดังนั้นเราจะเห็นว่า ความจริงแล้ว น้ำนั้นเป็นเพียงสื่อเท่านั้น สำคัญที่ข้อมูลหรือพลังจิตที่เราจะอัดเข้าไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...