ต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์จากท้องทะเลสู่พื้นปฐพี

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย vera_p, 30 สิงหาคม 2009.

  1. vera_p

    vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    ตั้งแต่ผมเข้ามาเล่นอยู่ในเวปพลังจิต ยังไม่เคยมีใครค่อยเล่านิทาน เพื่อสร้างบรรยากาศให้เบาๆเพื่อไล่ความอับชื้นแห่งอารมณ์เลย

    พอดีผมมีเวลาว่างอยู่นิดหน่อย แล้วก็มีเพื่อนสมาชิกในเวปพลังจิตห้องพุทธภูมิแห่งนี้ ว่าเล่าให้ฟังหน่อย ก็เลยจะมาเล่านิทานทิ้งไว้สักเรื่อง หวังว่าคงไม่ผิดกฏห้องพุทธภูมิ-โพธิสัตว์นะครับ

    เรื่องมันเกิดขึ้นมานานมากโขแล้ว ตั้งแต่ ปฐมบรมกาลเริ่มต้นแห่งการตั้งกัปป์คือแผ่นดินทั้งปวง(3โลก) แผ่นดินได้บังเกิดผู้มีบุญอันใหญ่ยิ่ง คือ พระเจ้าจักรพรรดิ์พระองค์หนึ่ง ครอบครองเสียทวีปทั้ง4 แลเกาะน้อยใหญ่อันเป็นบริวารเป็นอันมาก และมีบุญญานุภาพครอบงำเสียสวรรค์ถึงชั้นครึ่งคือชั้นมหาราชเทพเจ้าทั้ง4 และครึ่งชั้นของพระอินทร์

    พระเจ้าจักรพรรดิ์นั้นครองแผ่นดินทั้งปวงโดยไม่มีการสงครามเลย สมบูรณ์ด้วยรัตน-รชตะ-สุวรรณชาติทุกๆสิ่ง มีความสุขอันสุดพรรณา

    อายุผู้คนทั้งหลายมี 100,000 ปีเป็นอายุไขย์
    พระองค์สั่งสอนเหล่ามนุษย์และเทวดาในเขตของพระองค์ให้ดำรงอยู่ในธรรม อันมีศีล5และ8 เป็นต้น ทุกๆคนในยุคกาลนั้น ไม่มีการเบียดเบียนกันเลย ไม่มีความทุกข์ ยกเว้นเสียทุกข์อันเป็น

    เงื่อนไข คือทุกข์เพราะโรคเพียง ๓ อย่าง คือ
    ๑. ความปรารถนา (อยากอาหาร)
    ๒. ความไม่อยากกินอาหาร (เกียจคร้านอยากนอน เป็นอารมณ์อย่างนี้จริงๆนะครับ 555)
    ๓. ความแก่.


    มีอยู่วันหนึ่งพระเจ้าจักรพรรดิ์ ได้ทรงมีพระดำริจิตนาการในใจว่า "ตามปกติธรรมดาเหล่ามนุษย์ทั้งหลายย่อมเที่ยวสัญจรไปในที่จำเพาะของตนเท่านั้น ไม่สามารถไปในที่อื่นเช่นกับเราได้ หากเราต้องการจะสัญจรไป ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งในทวีปทั้ง4 หรือแม้แต่ชั้นสวรรค์ ก็จะไปด้วยจักรอันประเสริฐได้ หรือ ถ้าเราปราถนาจะนำใครไปก็ได้ แต่ว่าเป็นของไม่ควร จึงนำผู้คนไปไม่มาก ถ้าเป็นดังนี้แล้ว เราจะประกอบเรือลำใหญ่ แล้วให้ รัตนะแก้ว 7 ประการอันบังเกิดแต่บุญของเราคือ
    ๑. จักรแก้ว (จักกรัตนะ)
    ๒. ช้างแก้ว (หัตถิรัตนะ)
    ๓. ม้าแก้ว (อัสสรัตนะ)
    ๔. แก้วมณี (มณีรัตนะ)
    ๕. นางแก้ว (อิตถีรัตนะ)
    ๖. ขุนคลังแก้ว (คหปติรัตนะ*ลูกชายคนโต*)
    ๗. ขุนพลแก้ว (ปริณายกรัตนะ*ลูกชายคนรอง*) และเจ้าฟ้ามหากษัติรย์อันปรากฏในชมพูทวีปทั้งสิ้นพร้อมด้วยเหล่าข้าราชบริพารใหญ่น้อย ประชาชนส่วนหนึ่ง"
    ดังนี้

    พอพระองค์มีพระดำริอย่างนี้ชัดแล้ว ก็ตรัสเรียกประชุมเหล่ามหาอำมาตย์ ขุนพลทั้งหลาย บอกความประสงค์ตามที่พระองค์ทรงดำริไว้ เหล่าข้าราชบริพารของพระองค์ต่างยินดีเป็นอย่างยิ่ง

    กล่าวชื่นชมในพระดำริของพระองค์ กว่าจะจบใช้เวลาถึง 7 วัน (เวอร์ไปมั้ยครับ... ถ้าคนสมัยนี้ ก็จะต้องคิดว่า นั่งให้คนอื่นชมนานขนาดนี้ ง่อยกินแหงๆ 555 และหน้าเบื่อเป็นที่สุด มีอารมณ์เซง ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ เขาชื่นชมด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ไม่มีความประจบสอพอ เพื่อประโยชน์ตนแอบแฝง อย่างสมัยทุกวันนี้หรอกครับ จึงรู้สึกว่า เบิกบาน เอิบอิ่บ เพราะชื่นชมในบทคาถาต่างๆที่สื่อออกมามีความแต่บริสุทธิ์ล้วนๆ)หลังจากประชุมกันเสร็จแล้ว พระองค์ก็รับสั่งให้ช่างผู้มีฝีมือดีที่สุด ประกอบต่อเรือทั้งหมด 9 ชั้น อันวิจิตรพิสดาร สำเร็จด้วยเงินทองประดับประดาด้วยเพชรนิลจินดาอันตระการตาเป็นที่สุด ในงานต่อเรือนี้ พระอินทร์ก็ส่งเทพวิศนุกรรมมาช่วยประกอบด้วยเช่นกัน เรือนั้นเมื่อประกอบเสร็จแล้ว

    เมื่อตอนกลางวัน ก็จะปรากฏมีรัศมี 7สี 7แฉก ดุจดังพระอาทิตย์ทรงกรดไม่แสบตาอันบังเกิดจากรัตนชาติทั้งหลายที่ออกจากตัวเรืออันประเสริฐนั้น

    เมื่อตอนกลางคืน เรือนั้นลอยอยู่ท่ามกลางแห่งพื้นผิวน้ำก็จะงดงามประดุจดังว่าวิมานของมหาพรหมก็ไม่ปาน

    เมื่อสร้างสำเร็จแล้ว รับสั่งให้จัดเสบียงสัมภาระให้พอเพียงกับผู้คนที่จะเดินทางไปด้วยตลอดการเดินทาง ได้ยินว่า คนที่ไปในครั้งนั้นมีประมาณ 9 แสน ไม่ขาดไม่เกิน

    พอถึงเวลาก็ได้ล่องเรืออันประเสริฐนั้น ไปสู่ทะเลหลวง(ไม่ใช่มหาสมุทรอินเดียหรือว่า มหาสมุทรแปซิฟิกนะครับ เป็นทะเลสีทันดร) มนุษย์ทั้งหลายไม่เคยได้เห็นอะไรก็ได้เห็นเป็นอัศจรรย์ไม่เคยได้พบได้เจอ ต่างก็มีความสุขดุจดังความสุขของเทพ ขอเล่าแบบไม่ต้องพรรณาเอาความสุขที่เกิดในระหว่างการเดินทางนะครับ เสียเวลา เพราะสุขมาก สุขมากเหมือนเทพเจ้าเลยว่างั้น 555

    เมื่อล่องเรือมาถึงกลางมหาสมุทรหลวงแล้ว ก็มีพวกผีทะเลเป็นอันมาก(นับไม่ได้ว่าประมาณเท่าไร กี่ 100 หมื่นแสนล้านโกฏิตัว) เห็นความสุขอันบังเกิดขึ้นกับเหล่ามนุษย์บนเเผ่นดินดุจดังว่าได้เสพรสแห่งความสุขบนเทพพิภพ มาบัดนี้พวกมนุษย์ยังมาท่องเที่ยวถึงทะเลหลวงพร้อมด้วยพระเจ้าจักรพรรดิ์อันประเสริฐนี้อีก ชั่งมีความสุขเสียยิ่งนัก จึงยากจะขึ้นไปเกิดเป็นมนุษย์บนแผ่นดินบ้าง

    จึงปรึกษากับพวกผีทะเลเหล่าต่างๆนั้นว่า เราจะทำอย่างไรจะได้ไปเกิดบนแผ่นดินบ้าง พวกผีทะเลผู้เป็นใหญ่เหล่าหนึ่ง จึงได้บอกว่า "ตามปกติธรรมดาพระเจ้าจักรพรรดิ์ทั้งปวงอันมนุษย์และเทวดาให้ความสักการะเคารพแล้ว จะมีพระวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ หากพระองค์ประทานพรให้ พวกเราทั้งหลายไปเกิดเป็นมนุษย์บนแผ่นดินแล้วไซร์ เราทั้งหลายก็จะพ้นอัตตภาพความเป็นผีทะเลอย่างแน่นอน" ดังนี้

    พวกผีทะเลทั้งหลายฟังแล้วก็ดีใจอย่างที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน เพราะเป็นโอกาศอันหาได้โดยยากและหาแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว จึงช่วยกันจับเรือของพระเจ้าจักรพรรดิ์ไม่ให้เเล่นไปได้ เรืออันประเสริฐนั้นเมื่อถูกเหล่าผีทะเลจับไว้ก็ไม่ไหวติง สงบนิ่ง เหล่ามนุษย์และข้าราชบริพารของพระ

    เจ้าจักรพรรดิ์จึงได้พากันทูลให้พระองค์ทรงทราบ จึงทรงตรัสถามหาเหตุของการไม่เเล่นไปของเรือ จึงได้รู้ว่าผีทะเลทั้งปวงได้จับเรือไว้ไม่ให้แล่นไปได้ พระองค์จึงออกมายืนที่ระเบียงสำหรับดูทิวทัศน์ท้องทะเล เห็นพวกผีทะเลทั้งหลายจับเรือไว้เป็นที่หน้าสะพึงกลัว ภายใต้ท้องมหาสมุทรที่เคยใสเหมือนกระจกกลับกลายเป็นสีดำทะมึน ดุจดัง มหาเมฆใหญ่ประจำจักรวาลตั้งขึ้นเพื่อทำลายสัพพสิ่งก็ไม่ปาน พวกมนุษย์ทั้งหลายก็ต่างตัวสั่นงันงก เพราะไม่เคยเห็นสิ่งที่น่ากัวและร้ายกาจถึงเพียงนั้น

    ตามธรรมดาพระเจ้าจักรพรรดิ์ทั้งหลายทั้ง 3 กาลย่อมไม่เกรงกลัวต่อสิ่งเหล่านี้อยู่ในกมลจิตอยุ่แล้ว จึงได้มีพระดำรัสตรัสถามว่า "ท่านทั้งหลายเป็นผู้ใด ใยจึงมาจับยึดเอาเรือของเราไม่ให้เเล่นไปได้ พวกท่านมีประสงค์ประการใดเล่าหนอ จงบอกแก่เราเถิด" (พระองค์ตรัสถามด้วยความเมตตาในผีทะเลดุจเดียวกับว่าเป็นลูกในอกของพระองค์เอง)

    พวกผีทะเลจึงทูลตอบว่า "พระองค์ผู้เจริญ ผู้เป็นจอมโลกแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีผู้ใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าพระองค์อีกแล้ว ข้าพเจ้าได้ยินมาว่า พระองค์เป็นผู้มีพระวาจาสิทธิ์ยิ่งนัก ตรัสอะไรแล้วย่อมเป็นไปตามนั้น ขอพระองค์จงโปรดประทานพรให้แก่ข้าพพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิดพระเจ้าข้า"

    พระเจ้าจักรพรรดิ์ทรงตรัสตอบว่า"ใช่เป็นเช่นนั้นจริง ในแผ่นดินทั้งหลายนั้น เราเป็นจอมแห่งโลกเเต่เพียงผู้เดียว หากท่านทั้งหลาย ปราถนาสิ่งใดบนแผ่นดิน จงแถลงความปราถนาบอกเรามาเถิด หากเราพิจารณาแล้ว เห็นสมควรแก่พวกท่านก็จะให้ดังที่ท่านทั้งหลายขอมา"

    ผีทะเลทูลตอบว่า"พระองค์ทรงพระราชทานประสาทพรให้แก่พวกข้าพองค์ได้เป็นแน่แท้ ถ้าหากพระองค์ไม่ประทานพรให้แก่พวกข้าพองค์ทั้งหลายแล้ว ข้าพองค์ทั้งหลายก็จะพากันจับเรือแล้วคว่ำลงสู่ท้องมหาสมุทรเสีย พวกมนุษย์ทั้งหลายก็จะพากันจมน้ำตายเป็นเหยื่อปูปลา พระเจ้าข้า"

    พระเจ้าจักรพรรดิ์ทรงตรัสถามว่า"ท่านทั้งหลายประสงค์สิ่งใดจงแถลงมาเถิด"

    พวกผีทะเลก็ทูลว่า"ขอพระองค์จงพระราชทานให้พวกข้าพระองค์ทั้งหลายได้ไปเกิดบนแผ่นดินด้วยเถิดพระเจ้าข้า"

    พระเจ้าจักรพรรดิ์จึงทรงดำริพิจารณาในพระทัยว่า "ตามธรรมดาอัธยาศัยพวกผีทะเลทั้งปวงนี้ เป็นธรรมชาติหยาบกระด้าง มายา ก้าวร้าว โหดเหี้ยมอำมหิต ไร้ศีล ไร้ธรรม บอกยากสอนยาก ถือทิฏฐิตนเป็นใหญ่ไม่ฟังผู้อื่น ต่ำช้าลามก มากด้วยอวิชชา ตัณหาอุปาทานมีประการต่างๆ ไม่มีธรรมอันเป็นของมนุษย์แทรกในกมลสันดาลอยู่เลยสักน้อย กรรมทั้งหลายจึงได้จัดให้มาเกิดในน้ำเฝ้าท้องมหานทีอยู่ในกาลบัดนี้ ถ้าเราไม่ให้พรตามที่ขอ เห็นทีพวกมนุษย์ที่ติดตามเรามาจะต้องพากันฉิบหายเสียหมด ถ้าหากเราจะใช้ฤทธานุภาพอำนาจจักรแก้วของเราแล้วไซร์ก็ไม่เป็นการอันควร ถ้าไงเราจะให้พรแก่พวกผีทะเลเหล่านี้ ให้ไปเกิดบนแผ่นดินนั้นได้ตามที่เขาขอมาเถิดนะ"

    ด้วยความที่พระเจ้าจักรพรรดิ์ทั้งหลายทั้งปวงย่อมมีจักษุญาณและปัญญาญาณอันไกลกว่าคนปกติ และทรงมีพระประสงค์ป้องกันไม่ให้โลกนั้นเดือดร้อนเพราะพวกผีทะเลหยาบช้าเหล่านั้น ขึ้นไปเกิดได้โดยง่าย จึงได้มีพระกระแสดำรัสตรัสประทานพรว่า "ดูกร ท่านผู้ได้นามว่าผีทะเลทั้งหลาย เมื่อใด น้ำไหลขึ้นสู่ฟ้า ปลาไม่อยู่ในคลอง กองไฟคว่ำหน้าสู่แผ่นดิน เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายจงขึ้น
    ไปเกิดบนแผ่นปฐพีนั้นเถิด"


    เมื่อผีทะเลทั้งหลายได้พรเช่นนั้นแล้ว ก็พากันปล่อยเรือของพระเจ้าจักรพรรดิ์แล่นไปได้ เพราะเชื่อในพระดำรัสของพระเจ้าจักรพรรดิ์ว่าต้องเที่ยงแท้แน่นอนไม่กล่าวกุคำมุสา จึงพากันดีแล้วแล้วก็กลับไปที่ที่ตนนั้นจากมา

    ส่วนพวกมนุษย์ได้ยินคำที่พระเจ้าจักรพรรดิ์ประสาทพรให้พวกผีทะเลต่างก็พากันคบคิดไปว่า มันเป็นไปไม่ได้แน่ มีที่ไหน น้ำจะไหลขึ้นสู่ฟ้า มีแต่น้ำจะตกลงจากฟ้า ปลาที่ไหนจะไม่อยู่ในคลอง ไม่มีทางเป็นไปได้เลย อีกอย่าง กองไฟที่ไหนจะคว่ำหน้าลงสู่เเผ่นดิน คิดแล้วก็เป็นไปไม่ได้สักอย่าง เห็นทีว่า พระเจ้าจักรพรรดิ์คงหาอุบายโกหกไม่ให้พวกผีทะเลขึ้นไปเกิดแน่เเท้ทีเดียว

    มนุษย์บางพวก ก็เห็นว่าพระเจ้าจักรพรรดิ์ของเรามีปัญญาจักษุอันไกลคงจะรู้จักกาลเวลาเหมาะกับพวกผีทะเลเหล่านั้นเป็นแน่ จึงได้ดำรัสประทานไป ข้อถกเถียงต่างๆก็เกิดกันอย่างสนุกสนานทีเดียว

    เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิ์ได้ยินพวกมนุษย์ทั้งหลาย ถกเถียงกัน ก็แค่ทรงอมยิ้มแย้มสรวลที่พระโอฏ(ยิ้ม...กริ้ม...) อยู่บ่อยๆ แต่ไม่ทรงตรัสอะไร .....


    ฝ่ายพวกผีทะเลนั้น ทุกๆวันนับตั้งแต่วันที่พระเจ้าจักรพรรดิ์ประสาทพรให้มาเกิดบนแผ่นดินได้ ก็ได้เฝ้าพลัดกันมามองดูที่ฝั่งว่า น้ำไหลขึ้นสู่ฟ้า ปลาไม่อยู่ในคลอง กองไฟคว่ำหน้าสู่เเผ่นดินหรือยัง

    ทำอย่างนี้อยู่นานแสนนานก็ไม่มีวี่เเววจะมีปรากฏในสิ่งที่พระเจ้าจักรพรรดิ์ทรงตรัสบอกเลย แต่ก็ยังเชื่อมั่นในพระดำรัสอยู่ต่อไป จนผ่านมานับกัปป์นับกัลป์อสงไขย์กัปป์กัลป์ไม่ได้ จนอายุไขย์มนุษย์ทั้งหลายต่ำกว่า 100 ปี วิวัฒนาการทางปรุงแต่งของมนุษย์ทั้งหลาย ก็ได้สรรสร้างสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ เช่น ทำน้ำให้ไหลขึ้นสู่ฟ้า (ยิงน้ำพุต่างๆจะให้สูงแค่ไหนก็ได้) ปลาที่เคยอยุ่ในคลอง กลับมาอยู่ในกระชังหรืออยุ่ในสระรอคนมาเอาไปประหารกินเนื้อกินหนัง กองไฟที่ไม่เคยคว่ำหน้าลงสู่แผ่นดิน ก็กลายเป็นหลอดไฟแสงสีปรับเปลี่ยนมุมมองได้หลากหลายวิธื ไฟตามถนนหนทางก็ต่างพากันคว่ำหน้าลงสู่แผ่นดินหมด

    วันหนึ่งพวกผีทะเลก็มาที่ฝั่ง ได้มองเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้ก็ต่างพากันโหร้องกันกึกก้องเหมือนแผ่นดินไหว คลื่นน้ำสนั่นหวั่นไหวอย่างไม่เคยมีปรากฏมาแต่กาลก่อน พวกผีทะเลบางพวกก็กลับไปบอกข่าวแก่กันและกันว่า สิ่งที่พระเจ้าจักรพรรดิ์ผู้ประเสริฐพระองค์นั้น ตรัสไว้เป็นความจริงแล้ว
    จึงได้พากันแห่โหม ขึ้นมาเกิดบนแผ่นดินกันอย่างมโหฬาร

    นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา บนแผ่นดินที่เราๆอยู่กันนี้ ก็เต็มไปด้วยพวกผีทะเลที่มาเกิด จะดูได้อย่างไรว่าเป็นพวกผีทะเลมาเกิด ก็ดูที่ว่า ใครเป็นคนว่ายากสอนยาก ดื้อด้าน ไม่ฟังใคร ถูกอยู่คนเดียว ไร้เหตุผล จะเอาอย่างเดียว ไม่แบ่งปั่น รักโลภโกรธหลง มีทิฏฐิของตนเป็นที่ตั้งเป็นใหญ๋เสมอ เบียนเบียดคนดี สังคมเดือดร้อน เป็นต้น

    นิทานเรื่องนี้มีข้อให้เก็บมาคิดที่หลากหลาย เช่น

    1.วิสัยหรือปัญญาของพระเจ้าจักรพรรดิ์ไม่ควรดูถูกว่าจะเป็นไปไม่ได้ หรือไม่สามารถจะเป็นความจริงได้ เพราะไม่ถูกต้องเหมือนที่ตัวเองคิดหรือเห็นนั้น เปรียบได้กับการปฏิบัติ ไม่ควรจะดูถูกปัญญาของสำนักอื่นที่ไร้ปาฏิหาริย์จิต หรือ ผู้ที่ไม่มีปาฏิหาริย์จิตก็ไม่ควรดูถูกว่าเลอะเทอะเป็นไปไม่ได้ ให้ดูกันที่ผลว่าละ ลด เลิก ได้แค่ไหนเป็นสำคัญ ไม่ควรเอาวิถีแห่งความประพฤติมาวัดกัน
    ต่างคนก็ต่างมีรูปแบบในการดำเนินชีวิตปฏิบัติที่แตกต่างกัน ต่างคนต่างรู้วิถี ยอมรับของกันและกัน ก็จะสบายโดยแท้....

    2.ให้เอาตัวอย่างความอดทน พากเพียรพยายามที่จะขึ้นสู่ฝั่ง ของพวกผีทะเล ที่เชื่อในคำพูดคำกล่าวของมหาจักรพรรดิ์ อดทนพากเพียร เฝ้าพยายามที่จะขึ้นสู่ฝั่งให้พ้นจากอัตตภาพความเป็นผีทะเล การปฏิบัติธรรมก็เฉกเช่นเดียวกัน ให้เรามีจุดหมายคือฝั่ง อันเป็นดินแดนที่ไม่มีน้ำคือสมุทัยทะเลทุกข์ทั้งปวง คำพูดคำกล่าวที่พระศาสดานั้นได้ตรัสไว้ อันเป็นวิธีที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้ ก็จพากเพียรทำให้สุดสามารถเถิด....

    3.ท่านเป็นผีทะเลหรือป่าว อย่าให้เขากล่าวได้ ว่า "ไอ้ผีทะเล" ได้ละครับ 5555 ขำๆครับ

    ท่านอ่านแล้วอย่าได้ซีเรียส หรือว่า เครียดในนิทานเรื่องนี้เลย เล่าแค่พอเป็นกษัย ครับ

    ผิด หรือว่า ล่วงเกินกิริยาใดขออโหสิกรรมด้วยครับ


    เชื่อคนไม่ใช่พระ เชื่อพระไม่ใช่คน
    ถ้าเชื่อเหตุเชื่อผล เป็นทั้งคนทั้งพระ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2009
  2. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    โอ้ ท่านวีระพี ส่วนนิทานของข้าพเจ้าสั้นๆ แต่ได้ใจความ
    เป็นนิทานแห่งนามธรรม อันไม่มีรูปร่าง ที่เกิดขึ้นในนครแห่งจำนวน
    วันหนึ่งจำนวนที่เรียกว่าศูนย์ มองเห้นจำนวนอื่นๆ ต่างงดงามเพราะห้อยท้ายด้วยตัวเล็กมากมาย รู้สึกว่าตนไร้ค่าด้อยค่า หาค่าไม่ได้ เพราะมีค่าเป็นศูนย์ ต้องการมีสิ่งที่เรียกว่าจำนวนมากๆ จึงได้เดินทางเที่ยวไปถาม "สวัสดีท่านคือใคร"เจ้าศูนย์ถาม "เรามีนามว่าหนึ่ง " ท่านหนึ่งตอบด้วยเมตตา เจ้าศูนย์จึงกล่าวต่อไปว่า"ข้าพเจ้าทำอย่างไรจึงจะมีจำนวนเช่นท่าน" ท่านจำนวนหนึ่งจึงกล่าวว่า"ท่านก็รวมเอาเราเข้าไปท่านก็จะได้สิ่งที่เป็นเรา"
    ด้วยความอยากใหญ่ อยากเป็น เจ้าจำนวนศูนย์จึงรวมจำนวนหนึ่งเข้ามา
    ตอนนี้มันรู้สึกว่าตนเองมีค่า เป็นตัวตน ''นี่หล่ะฉัน หึหึ"เจ้าศูนย์ที่เป็นหนึ่งมองเห้นตัวเองแล้วเกิดอัตตาตัวตนขึ้น และต้องการความยิ่งใหญ่มากขึ้นอีกเเล้วท่องไปในโลกแห่งจำนวนต่อไป
    ได้พบกับจำนวนสอง เจ้าจำนวนศูนย์ที่เป้นจำนวนหนึ่งก็ถามเช่นเดิม
    "สวัสดีท่านคือใครหนอ จำนวนของท่านช่างงดงามนัก "เจ้าศูนย์ถาม
    "เรามีนามว่าสอง " ท่านสองตอบด้วยเมตตา
    เจ้าศูนย์จึงกล่าวต่อไปว่า"ข้าพเจ้าทำอย่างไรจึงจะมีจำนวนอันงดงามวิจิตรเช่นท่าน"
    ท่านจำนวนสองจึงกล่าวว่า"ถ่าท่านรวมเอาเราเข้าไปท่านก็จะได้สิ่งที่เป็นเรา "
    เจ้าศูนย์ที่เป้นหนึ่งไม่รอช้ารีบรวมเอาสองเข้ากับตัวเอง กลายเป็นจำนวนที่เรียกว่าสาม
    ตอนนี้เจ้าศูนย์รู้สึกว่า โอ้ เราคือสามมันช่างยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้ รู้สึกว่า นี่หล่ะเรา นี่ตัวเรา นี่จำนวนที่เป็นเรา
    แล้วโคจรไปในวิถีของจำนวนต่อไป ไปพบกับจำนวนที่มากกว่าต่อไปเรื่อยๆ และขอรวมกับจำนวนนั้นเรื่อยๆเป็นจำนวนที่มากขึ้นเรื่อยๆ
    จนกลายเป็นจำนวนที่มีชื่อเรียกว่า 100,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000
    มันมีความรู้สึกว่า ยิ่งใหญ่โอ้เรายิ่งใหญ่จริงๆ โอ้พระเจ้า หาที่ติไม่ได้ ใครจะใหญ่เท่าเรา หึหึ เจ้าศูนย์คิดในใจ 55555

    แล้วทันใดนั้นก็ปรากฎ สิ่งๆ หนึ่งผ่านไปอย่างช้าๆ
    นั่นคือ 10000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000.....................................................................................................................................................((ศูนย์มากมายจนมองไม่เห็น)
    เจ้า100,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000ยืนอึ้งด้วยความสลดใจ โอ้....

    ขอยุติไว้เพียงเท่านี้ (สายแล้วครับ จะไปทำงาน555) จะมาเล่าต่อใหม่นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2009
  3. vera_p

    vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    อ่านนิทานแห่งสูญของท่านปรมิตรแล้ว ต้องอมยิ้ม ฮึ่ ฮึ๊ ฮึ้

    เจ้าตัวสูญตัวดี สำคัญๆๆๆๆนัก
     
  4. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    อ๊ากส์สสสสสสสสสสสสสสส
    5555
     
  5. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    เอาหล่ะ เล่าต่อ ๆ ครับท่าน
    เมื่อเจ้าศูนย์ ได้เห็นท่านผู้เจริญมีศิริโฉมงดงาม ท่วงท่าน่าเกร็งขามกว่าตน เคลื่อนไหวติดตามมาด้วยจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ผ่านไปราวกับกำลังตามหาผู้ใดอยู่
    จึงได้ถามเช่นเดิมอีกว่า
    "สวัสดีท่านคือใครหนอ จำนวนของท่านช่างงดงามนัก เราไม่เคยเห็นมาก่อน จำนวนที่ติดตามท่านก็มากมายมหาสารเรานับไม่ถูกเลยท่าน ท่านกำลังไปที่ใด หากข้าเป็นท่าน ข้าพเจ้าคงอิ่ม คงเต็มไปด้วยจำนวนมากมายมหาศาลเช่นท่าน เหตุใดท่านต้องเดินทางเสาะหาสิ่งใดอีกหรือ"
    ท่านผู้งดงามนั้นตอบไปว่า "เราคือ อนันต์ ผู้หาจำนวนไม่ได้
    เรากำลังเเสวงหาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ผู้ประกอบผู้อื่นไว้ในฐานะแห่งความสูญเปล่า ผู้จะปลดเปลื้องเราจากฐานะแห่งภาระอันหนักอึ้งทั้งหลาย ท่านเองก็คงจะทราบด้วยจำนวนที่มากมายติดตามท่านไปมาหรือเล่า " ท่านอนันต์กล่าวถาม
    เจ้าศูนย์ที่ มีความอยาก เที่ยวแสวงหา ความยิ่งใหญ่ ความสุข ความสวยงาม ก็หยุด นิ่งแล้วคิดถึงภาระที่ต้องเคลื่อน ไปพร้อมจำนวนติดตามที่มากมาย ก็รู้สึกหนักแน่นอึดอัดขึ้นมาทันที
    ท่านอนันต์กล่าวต่อไปอีกว่า " ผู้ที่เราตามหาอยู่คือ ผู้มีนามว่า ศูนย์ "
    ท่านผู้มีนามว่าอนันต์ถามต่อไปอีกว่า''แล้วท่านเห็นจำนวนที่เรียกว่าศูนย์หรือไม่"

    เจ้าศูนย์อึ้งไป เริ่มคิดและตระหนักได้ว่า เรา เดิมว่างเปล่า แต่เที่ยวหาสิ่งที่มาเติม หาความสุข หาสิ่งที่เรียกว่าตัวตน เมื่อมีตัวมีตน ก็ทุกข์เพราะตัวตน ยิ่งมีมากก็ ทุกข์มาก
    เมื่อคิดได้เช่นนี้จึง สลัดคืน ซึ่งจำนวนทั้งหมดแตกสลายออก แล้ว กลับสู่ศูญตา อันว่างเปล่า แห่งตัวตน กลายเป็นจำนวนที่เรียกว่าศูนย์เช่นเดิม อิ่ม นิ่ง อยู่ เช่นนั้น มองดูจำนวนทั้งหลายที่เที่ยววิ่งหา จำนวนอื่นๆ เพื่อ บำบัดความต้องการเติมเต็มแห่งจำนวนแก่ตน เพื่อสนองอัตตาตัวตนต่อไป
    เอวังด้วยประการละฉะนี้

    (หึหึ แล้วอย่าถามล่ะว่า แล้วท่านอนันต์ผู้นั้นล่ะ ไปไหนเล่า ต่อไปจะเป็นอย่างไรเล่า
    หากท่านผู้อ่านพิจารณาจะพบว่า ธรรมทั้งหลายย่อมเกิดเป็นคู่ๆ เมื่อท่านอนันต์คิดได้ว่า เราเดิมทีเป็นจำนวนที่เรียกว่าศูนย์มาก่อน ไม่ยึดติดในจำนวนที่ตนถือเอาว่าเป็นของตนก็จะหลุดพ้นจากจำนวนนั้นๆ และกลายเป็นศูนย์เช่นกัน แล้วจำนวนที่ติดตามอนันต์ไปไหนเล่า มีผู้ต้องการความยิ่งใหญือีกมากมาย วิ่งหาจำนวนที่เรียกว่าอนันต์ ดังนั้นท่านอนันต์ก็มีมาเติมอีกเรื่อยๆ และก็มีจำนวนที่ ต้องการศูนย์อีกไม่น้อย เฉกเช่นหมู่สัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายในสังสารวัฎฎ์นี้แล สาธุ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2009
  6. NikuSeed

    NikuSeed เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    336
    ค่าพลัง:
    +724
    เป็นนิทานที่ข้อคิดแฝงเอาไว้น่านับถือมากครับ
    เป็นแบบที่ไม่เคยพบมาก่อนเลย

    อนุโมทนาครับ
     
  7. vera_p

    vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่จริงให้ท่านทั้งหลายพิจารณาดูให้ถี่ถ้วนตามธรรมชาติดูเถิด....

    เชื่อคนไม่ใช่พระ เชื่อพระไม่ใช่คน
    ถ้าเชื่อเหตุเชื่อผล เป็นทั้งคนทั้งพระ
     
  8. CHOTIYA

    CHOTIYA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +359
    ดีๆๆๆ นับถือทั้งสองท่าน๕๕๕๕๕๕
     
  9. vera_p

    vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    หัวเราะอย่างเดียวเลยนะครับ ว่างๆก็หานิทาน(ส่วนตัว)มาเล่าดูบ้างนะครับท่านโชติยะ
     
  10. มาร-

    มาร- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +487
    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า... แผ่นดิน สามารถรองรับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่อำเอียง ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่เว้น ไม่เลือก ไม่เฟ้น ไม่หา ไม่รอ ใครหาผลประโยชน์ หรือทำลาย ก็ไม่บ่นสักคำ

    พระเจ้าจักรพรรดิ์ ยัน ผีทะเล หุหุหึหึ


    เฮ้อ.... และแล้วผมก็ย้อนกลับมาดูจิต ทำอย่างไรหนอ เราจะเป็นเหมือนแผ่นดิน ไม่อำเอียง ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่เว้น ไม่เลือก ไม่เฟ้น

    รักทุกๆคนให้เหมือนพ่อแม่ตัวเองอย่างสนิทใจ โดยไม่ลังเล หรือเสแสร้ง ได้สักที....

    สัพเพ สัตตา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ ปาณา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ ภูตา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ ปุคคะลา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพ เพ อัตตะภาวะปะริยาปันนา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตูติ อิเมหิ ปัญจะหากาเรหิ อะโนธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติฯ
    กะตะเมหิ สัตตะหากาเรหิ โอธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติฯ

    สัพเพ อิตถิโย อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ ปุริสา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ อะริยา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ อะนะริยา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ เทวา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ มะนุสสา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ วินิปาติกา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตูติฯ
    อิเมหิ สัตตะหากาเรหิ โอธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติฯ
    กะตะเมหิ ทะสะหากาเรหิ ทิสา ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติฯ
    สัพเพ ปุรัตถิมายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ ปัจฉิมายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ ปัจฉิมายะ อะนุทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ ทักขะณายะ อะนุทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ

    สัพเพ ปุรัตถิยายะ ทิสายะ ปาณาอะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ ปัจฉิมายะ ทิสายะ ปาณาอะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ ปาณาอะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ ปาณาอะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ ปุรัตถิมายะ ทิสายะ ปาณาอะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ ปัจฉิมายะ อะนุทิสายะ ปาณาอะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ ปาณาอะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ ทักขินายะ อะนุทิสายะ ปาณาอะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ ปาณาอะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ
    สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ ปาณาอะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุฯ


    อนัตตา
    ทุกขัง
    อนิจจัง

    ....จริงไหมครับ คุณ Vera_p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2009
  11. vera_p

    vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    จริงแล้วครับท่านมาร-
     
  12. jinngee

    jinngee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2009
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +114
    เล่านิทาน ^^
     
  13. 11111111111

    11111111111 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    203
    ค่าพลัง:
    +226
    บทความเยี่ยมมากครับ ขอบคุณข้อมูลใหม่ที่ได้จดจำไว้แล้ว อิ...อิ...


    ธรรมะ คือ ธรรมชาติ
     
  14. vera_p

    vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    ดีเหมือนกันที่มีคนขุดกระทู้นี้ขึ้นมาอ่านอีกครั้ง หลัีงจากถูกฝังกลบไว้นานแล้ว เหอๆ สาธุๆ หวังว่า คงจะเป็นประโยชน์อยู่บ้าง
     
  15. vera_p

    vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    เล่าไว้นานแล้วครับ เดี๋ยวจะว่างๆจะเล่าเรื่องใหม่ๆให้ฟังอีก แต่ก็ต้องดูเหตุการณ์ก่อน
     
  16. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
  17. คนนะ

    คนนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +221
    แฝงธรรมดีไม่น้อย.............
     
  18. แชมป์คุง

    แชมป์คุง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    212
    ค่าพลัง:
    +279
    อนุโมทนาสาธุการครับ
    เมี่ยว วิธีมหัศจรรย์อาตยะหกสะอาด
    สาน สัมพันธ์ดีแปรเปลี่ยนเป็นธาตุ
    กวน เพ่งว่างเพ่งรูปรู้สึกแน่
    อิม เสียงแท้หากได้ยินแสวงหา
     

แชร์หน้านี้

Loading...