เรื่องจริง "ส่งลูกไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า"

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย ลูกแก้วแววตา, 19 พฤศจิกายน 2009.

  1. ลูกแก้วแววตา

    ลูกแก้วแววตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    886
    ค่าพลัง:
    +952
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><!--Last Update : 12 พฤศจิกายน 2552 13:21:05 น.-->หนังสือดีๆ... " ส่งลูกไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า"
    <!-- Main -->

    เมื่อวานมีเหตุที่จะต้องไปทำธุระโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งใช้เวลาเกือบทั้งวันที่จะต้องอยู่ที่นั่น นั่งรอแบบไม่รู้จะทำอะไรดี มองไปที่วางหนังสือ ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย รอจนถึงช่วงบ่าย ขณะที่กำลังงัวเงียได้ที่ก็เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่ง ใครเอามาวางไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แค่เห็นชื่อเรื่องกับรูปเล่มก็รู้สึกน่าสนใจแล้ว

    "ส่งลูกไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้่า..."

    ตอนแรกที่เห็นก็นึกประมาณว่า คงเป็นเรื่องของพ่อแม่ที่ส่งลูกไปบวชเรียน แล้วนำมาเล่าให้ฟัง น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ต้องไม่ค่อยสนุกแหงๆ แต่อยากรู้ไง ทำไมถึงตั้งชื่อหนังสือชื่อนี้

    แต่พอเริ่มเปิดหน้าแรก ก็จะเล่าถึงประวัติเด็กคนหนึ่ง ชื่อ น้องโย่ง อายุประมาณ 20 ปี กำลังเรียนอยู่เอแบคปี 2

    เปิดๆไป (ไม่ทุกหน้า) ก็จะมีคำนำ (ไม่แน่ใจว่าเค้าเรียกคำนิยม หรืออะไรประมาณนี้) ที่แต่ละคนเขียนถึงน้องเค้าบ้าง ครอบครัวเค้าบ้าง

    จนมาถึงหน้าที่แม่น้องเค้าเขียนคำนำถึงลูก ถึงได้รู้ว่า น้องเค้าไม่อยู่แล้ว

    ผู้ที่เขียนหนังสือเล่มนี้ ก็คือแม่ของเค้านั่นเอง เราเลือกๆอ่านแค่บางตอน เพราะใกล้เวลาที่จะเสร็จธุระแล้ว แต่พออ่านแล้วไม่อยากวางเลย น้ำตาซึมจนถึงไหลในตอนจบ บอกกับตัวเองเลยว่า เสาร์นี้ถ้ามีเวลาจะไปหาซื้อเล่มนี้ และจะอ่านให้จบให้ได้

    ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่น่ารัก มีกันสี่คน พ่อ แม่ ลูก น้องโย่งเป็นลูกคนโต เป็นเด็กดี น่ารัก รักครอบครัว และเป็นครอบครัวที่ยึดมั่นในศาสนา ไม่ได้เป็นเพียงผู้ที่นับถือศาสนา พุทธ ตามบัตรประชาชนเท่านั้น แต่ครอบครัวนี้ใช้ชีวิตอยู่กับคำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยความศรัทธา และตั้งใจปฏิบัติ

    น้องโย่งเป็นวัยรุ่นที่รูปร่างสูง ดูแข็งแรง ร่าเริงตามวัย จนมาถึงช่วงหนึ่ง น้องเค้ามีอาการไอบ่อยๆ แล้วก็พบว่าน้องป่วยเป็นมะเร็งที่ขั้วปอด และการรักษาไม่ได้ผล เพราะเชื้อดื้อยา ซึ่งเป็นส่วนน้อยมากที่จะพบว่าเชื้อดื้อยา ทั้งสองแม่ลูกรับรู้ข่าวร้ายในขณะที่ชีวิตกำลังมีความสุข อ่านแล้วเศร้าตรงที่น้องเค้าพูดกับแม่ว่า เค้าไม่อยากจากแม่เค้าไป เค้าอยากจะอยู่ดูแลแม่เค้า อ่านแล้วรู้สึกถึงความกตัญญูของเค้าที่มีมากมายต่อพ่อและแม่ของเค้า

    ครอบครัวนี้ใช้ชีวิตที่เหลือของน้องเค้าร่วมกัน ดูแลน้องเค้า ให้กำลังใจกันและกัน โดยใช้หลักของพุทธศาสนามาเป็นคำสอน มาเป็นเครื่องบรรเทาทุกข์ในทุกตอนที่แย่ๆของชีวิต ตอนที่ท้อแท้หมดกำลังใจ น้องโย่งใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างเข้มแข็งมาก และช่วงหนึ่งของชีวิตน้องก่อนจากไป เค้าได้ไปบวชในดินแดนของพระพุทธเจ้า

    สิ่งหนึ่งที่เห็นความรักของแม่คนนี้ยิ่งใหญ่มาก เข้มแข็งสุดๆ ไม่เคยแสดงให้ลูกเห็นเลยว่าตัวเองทุกข์ขนาดไหนที่กำลังจะเสียลูกไป ขณะที่ลูกได้รับความเจ็บปวดมากมายจากโรคร้ายที่เป็นอยู่ แม่ก็จะเฝ้าปลอบ เฝ้าดูแล ให้กำลังใจ สอนสั่งให้นึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ แนะนำทางเพื่อลูกนำมาปฏิบัติ เพื่อให้ผ่อนคลายความเจ็บปวด จากโรคร้ายที่เป็นอยู่

    จนกระทั่งวันสุดท้ายที่น้องจะจากไป แม่เค้าได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ที่สุด ให้สติลูกอยู่ตลอด เพื่อให้ลูกได้จากไปอย่างสงบ ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า อย่างที่ลูกต้องการ ในวันนั้น แม่บอกให้น้องชายคนเดียวของน้องโย่งมาบอกกล่าวอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ในช่วงสติสุดท้าย ซึ่งน้องเค้ายังสามารถรับรู้ได้ แม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ด้วยชุดนักศึกษาที่น้องเค้าชอบและเลือกไว้แล้ว และน้องเค้าก็ได้จากไปอย่างมีความสุข อยู่ในอ้อมกอดของแม่ อ่านถึงตอนนี้แล้ว น้ำตาหยดแหมะๆ จนต้องแอบทำเป็นเนียนขยี้ตามพร้อมกับปาดน้ำตาไปด้วย กลัวคนที่นั่งข้างๆเค้าจะตกกะใจ ว่ายายคนนี้เป็นอะไรไป ยอมรับในความเข้มแข็งของแม่ลูกคู่นี้ ความดำรงในสติที่สมบูรณ์ของแม่คนนี้ ในทุกตอนที่อ่าน ในทุกๆตอนของชีวิตน้องเค้าช่วงที่เหลืออยู่ เค้าจะใช้ธรรมะอยู่กับชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีสติ และเข้มแข็ง จนทำให้เรานึกเหมือนกันว่า ถ้าเป็นเราจะทนกับความเจ็บปวดกับโรคร้าย และใช้ชีวิตได้มีความสุขขนาดนี้ไม๊ ในชีวิตเห็นคนเป็นมะเร็งมาก็มาก แต่ละคน ไม่มีใครเลยที่ไม่มีอาการเจ็บปวดกับโรคนี้

    -----------------------------------------------------



    ***ชื่อหนังสือที่คุณแม่น้องโย่งตั้ง เป็นอะไรที่บรรยายไม่ถูกเลยค่ะ ถ้าให้วาดออกมาเป็นรูปภาพ คงเป็นภาพที่งดงามที่สุดในโลก!

    ขอบคุณ คุณหนึ่ง Bloggang.com มากๆ ที่นำเรื่องราวชีวิตจริงของครอบครัวที่มีสติ ใช้พระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งสุดท้าย ถึงแม้จะเป็นเรื่องราวที่เศร้ามาก แต่นี่แหละคือ "ชีวิต" ***

    พรุ่งนี้จะรีบไปหาซื้อหนังสือเล่มนี้เก็บไว้เป็นที่ระลึกให้ได้เลยค่ะ

    โอกาสนี้พี่แก้วขอตั้งจิต อุทิศบุญกุศลทั้งหมดที่พี่เคยสร้างมาตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงชาติปัจจุบัน ให้แก่ดวงวิญญานของน้องโย่ง
    ขอบุญกุศลทั้งหมดนี้ ได้เป็นแสงสว่างนำทางดวงวิญญานของน้องไปเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างที่น้องหวังไว้ด้วยเทอญ...สาธุ


    <!-- End main-->




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2009
  2. ลูกแก้วแววตา

    ลูกแก้วแววตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    886
    ค่าพลัง:
    +952
    *นำช่วงสุดท้ายของชีวิตน้องโย่งมาให้อ่านกันค่ะ*


    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=F11T>เมื่อย้ายกลับมาบ้านแม่ก็อยากให้ลูกได้ทำบุญที่ประเทศอินเดีย จึงได้ฝากทำบุญกับวัดไทยที่กุสินารา ซึ่งบุญกุศลนี้เองที่ช่วยให้ลูกไม่ทรมานมากนัก

    ช่วงหลังๆลูกจะเหนื่อยง่ายจนแม่ต้องช่วยแม้กระทั่งอาบน้ำ วันนี้ก็เช่นกัน เมื่อเตรียมเสื้อผ้าและช่วยลูกอาบน้ำ ลูกก็พูดว่าหม่าม้าครับ ผมทำให้หม่าม้าลำบาก ขอโทษครับ

    แม่ไม่กล้าที่จะร้องไห้ จึงแสร้างทำเป็นเรื่องตลก เพื่อให้ลูกคลายกังวล แต่ในความตลกนั้นมีความจริงบางอย่างซ่อนอยู่

    ลำบากอะไรกันลูก ดูซิหม่าม้าทำได้ หม่าม้ามีความสุข สัจธรรมที่เค้าพูดกันว่า แม่คนเดียวเลี้ยงลูกหลายคนได้ แต่ลูกคนเดียวเลี้ยงแม่คนเดียวไม่ได้ ตอนอาม่าป่วย หม่าม้าจ้างคนมาดูแล ให้คนงานอาบน้ำ ป้อนข้าว ให้คนงานทำทุกอย่างแทนที่จะทำเอง บางครั้งก็ปล่อยให้อาม่าอยู๋กับคนงาน

    แต่พอถึงคราวลูกป่วยบ้าง คนงานขอทำหม่าม้าไม่ยอมให้ทำ หม่าม้ามีความสุขที่จะทำให้หนูเอง เหมือนลูกเมื่อตอนเล็กๆ ความรักเหมือนกันแต่ต่างกันมากเลย

    หลังกินข้าวเสร็จ จึงเริ่มคุยกับลูกว่า ยาอะไรเอ่ยรักษาได้ทุกโรค

    ธรรมะโอสถ

    ไม่ใช่ นั่นเป็นเพียงยารักษาใจ ที่รักษาได้หายขาดทุกโรคเลยไม่เจ็บปวดอีกแล้ว

    อ๋อ ........ความตาย

    ยามที่พูดแม้จะเหมือนพูดเล่นแต่หัวใจของแม่ แสนเจ็บปวดและกลัวมากว่า ลูกจะรับได้มากน้อยแค่ไหน

    ลูกเชื่อไหม คนเราเกิดตายไม่รู้กี่ชาติ ร่างกายผุพัง แต่มีอย่างเดียวที่ไม่แก่ไม่ตาย จนกว่าจะหมดกิเลส

    จิตวิญญาณใช่ไหม

    ใช่ลูก จิตวิญญาณไม่มีวันตาย ร่างกายเราเปรียบเสมือนบ้านหลังหนึ่ง วันหนึ่งมันก็ต้องพุพัง เราก็ต้องหาบ้านอยู่ใหม่ กลัวไหมลูก

    ที่ถามลูกบ่อยๆเพราะต้องการให้ทำใจให้คุ้นชินกับความตาย เป็นเป็นเรื่องปกติ วางใจ เมื่อเวลานั้นมาถึง

    ไม่กลัวเพราะยังมาไม่ถึง

    ดีมากลูก อย่าว่าหม่าม้าผลักไสเรานะ ในเมื่อสิ่งที่เราเป็นอยู่รักษาไม่ได้ ป่าป๊า หม่าม้า เจ็บปวดมากที่มีเงินแต่ไม่สามารถรักษาลูกได้ อย่าโกรธพ่อกับแม่นะลูก

    มันเป็นกรรมของเราทั้งสองคนหม่าม้า

    ใช่เป็นกรรมหม่าม้าด้วย อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เราคุยกันให้หมดอย่าให้มีอะไรค้างคาใจ สักวันหนึ่ง ถ้าเราต้องจากกัน จะได้ไม่เสียใจว่า นั้นยังไม่ได้พูด นี่ยังไม่ได้ทำ นะลูก ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งใดที่หม่าม้าทำให้ลูกไม่พอใจ เสียใจ หม่าม้าขอโทษ สิ่งใดที่ลูกทำให้หม่าม้าโกรธ เสียใจ หม่าม้ายกโทษให้ลูกทั้งหมด

    แม่พูดจบก็ดึงลูกเข้ามากอดแน่น เหมือนเค้ากำลังจะจางหายไป
    ในใจคิดถึงแต่สิ่งที่ตนเองทำกับลูกมาในอดีต เสียใจแต่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เวลาไม่ย้อนกลับมาแล้ว คำขอโทษที่ลูกเคยพูดยามที่แม่งอน โกรธนาน แม่เสียอีกที่ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ การกอดและจูบลูก ก่อนที่จะพูดว่า นี่เป็นการอโหสิกรรมกันนะลูก ไม่ต้องดอกไม้ ธูปเทียนหรอกลูก แค่คิดก็เพียงพอแล้ว

    ลูกก้มลงกราบเท้าแนบหน้าอยู่ที่เท้าแม่พร้อมทั้งพูดว่าอะไรที่ทำให้แม่ไม่สบายใจ ไม่พอใจมาตลอด ผมขอโทษ ขออโหสิครับ

    หลังจากนั้นอาการของลูกก็เริ่มหนักขึ้น มีอาการเจ็บปวด เอามอร์ฟีนให้ทานทุก ๖ ชั่วโมง ถามลูกว่านานแค่ไหนกว่าจะหายปวด ได้คำตอบว่าหลังทานไปแล้ว ๑ ชั่วโมง จึงพาลูกไปหาหมอ ปรากฏว่าก้อนเนื้อมันใหญ่ขึ้นอีก แม้จะทำใจมานานแล้วแต่ ๒๐ ปีที่ผ่านมา
    ไปไหนไปด้วยกัน รอยยิ้มของลูกคือแสงสว่างที่ฉันมี ฉันจะทำไงดี

    เมื่อออกจากห้องหมอ คำถามว่า " ใหญ่ขึ้นอีกใช่ไหม"

    ใช่ถ้าวันที่มอร์ฟีนเม็ดเอาไม่อยู่ต้องมาโรงพยาบาลนะ

    มาทำไม ถึงมาก็ไม่หาย อยู่บ้านดีกว่า

    คนป่วยหลายคนอยากกลับบ้านอยากมีชีวิตกับคนที่ตนเองรัก และรู้สึกอบอุ่นเมื่ออยู่บ้านต้น แต่มีสักกี่คนที่ได้กลับมาตายบ้าน เพราะญาติกลัวตลอดว่าถ้าเอากลับบ้านจะมีคนว่าได้ว่า ไม่ดูแล แคร์แต่ผู้อื่นแต่กลับไม่แคร์ ความรู้สึกของคนป่วยเลย

    หม่าม้าต้องขอบใจลูกมาก เพราะความเข้มแข็งของลูก ทำให้แม่สามารถอยู่เคียงข้างลูกได้อย่างมีสติ

    หลังจากเวลาผ่านไปจากยาหนึ่งเม็ดก็กลายเป็น ๒ แต่น่าแปลกอาการไอกลับหายไปเลย ช่วงนี้เป็นช่วงที่แม่เฝ้าดูและมีบางครั้งที่คิดว่า ถ้าลูกหลับไปแล้ว ไปเลยก็คงจะดีเพราะไม่อยากเห็นเค้าทรมานแล้ว

    คำถามที่ว่ากลัวไหมลูกได้กลับมาอีกครั้ง และคราวนี้ลูกตอบกลับมาทำให้หัวใจแม่ ร้าวราน

    เริ่มกลัวแล้วหม่าม้า กลัวตกนรก

    ทุกครั้งจะตอบว่าไม่กลัวเพราะยังมาไม่ถึงแต่คราวนี้กลับตอบว่ากลัวตกนรก แม่จึงปลอบว่า

    บุคคลแม้เหาะได้ ก็ไม่พ้นความตาย จะไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหนก็หนีไม่พ้น เพราะไม่มีแผ่นดินสักส่วนเดียวเลยที่บุคคลยืนอยู่แล้วหนีพ้นความตาย แม่พยายามพูดด้วยเสียงที่ดูเป็นปกติ ทั้งๆที่รู้ว่าคำพูด
    เหล่านี้อาจจะทำให้ลูกเจ็บปวด เพราะเค้าเป็นเพียงวัยรุ่นที่กำลังรักสนุกและสดใสกับชีวิต ยังอยากใช้ชีวิตในโลกใบนี้อย่างบุคคลทั่วไป ใครเล่าจะอยากให้บุคคลอันเป็นที่รักจากไปก่อนวัยอันควร

    ลูกหมดกรรมก่อน ลูกก็ไปก่อนนะ ใครก็ไม่อยากพลัดพรากจากคนที่เรารัก ดูอย่างอาม่า อายุ๙๐ ยังไม่อยากตายเลย นับประสาอะไรกับลูกอายุแค่นี้ แต่เราต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้สังขารเรามันไม่ไหว
    ข้างในมันทรุดโทรมหมดแล้ว อย่าไปกลัวความตาย คนเราไม่ได้ตายจริง ตายแต่เพียงร่าง จิตไม่ได้ดับไปด้วย เมื่อสิ้นลมกิเลสก็จะนำพาไปหาร่างใหม่ ตอนมีชีวิตอยู่หากร่างหมดสภาพก็นำมาซึ่งความทุกข์ ไม่สามารถใช้ร่างนี้ให้เกิดประโยชน์ การตายกลับเป็นโอกาสที่จะหาร่างใหม่เพื่อให้เราทำอะไรได้มากขึ้น

    อายุสั้นหรืออายุยืนไม่สำคัญ ที่เราเกิดมาเพื่อมีโอกาสสร้างความดี สั่งสมบุญบารมี นำชีวิตให้มีคุณค่า ไม่ใช่อยู่เพื่อเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น บางคนนอนป่วยเป็นปีทำให้เกิดทุกข์แก่ตนเองแลผู้อื่น แต่ลูกไม่ต้องกังวลเพราะลูกไม่เคยทำบาป จุดสำคัญที่สุดคือ ตอนที่เราจะละร่างนี้ไป อย่าให้จิตของตนเศร้าหมอง แต่ต้องทำให้จิตผ่องใส่ จิตที่สงบ คิดถึงบุญกุศลที่ได้ทำมา ไม่ห่วงอาลัยต่อสิ่งต่างๆ เข้าใจในความไม่เที่ยงของสังขาร ความไม่สามารถคงทนอยู่ในสภาพเดิม ความไม่สามารถบังคับได้ดังปรารถนา เพราะไม่มีอะไรเป็นของตน

    ด้วยความเข้าใจนี้ จะทำให้จิตของเราปล่อยวางจากสังขาร ทำให้จิตสงบ ตอนที่จิตออกจากร่างก็ไปสู่สุคติภูมิได้ จำไว้นะลูก

    ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๑ วันนี้ท่านเจ้าคุณพระราชรัตนรังษี เมตตา นำเทียนหนักหนึ่งคู่มาให้อธิษฐาน ขอให้เทียนคู่นี้เป็นแสงนำทางลูกไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อลูกรับเทียนจากพระคุณเจ้า ก็ร้องไห้ โฮทันที แล้วพูดว่า "ความตายคงใกล้เข้ามาแล้ว" หัวใจของผู้เป็นแม่แทบแหลกสลาย หลายวันมานี้ลูกดำเนินชีวิตเหมือนคนปกติ หมอยังบอกว่าโชคดีที่ระบบขับถ่ายของลูกไม่มีปัญหา

    ก่อนพระคุณเจ้าจะกลับขึ้นรถ ท่านพูดว่า "เข้าพรรษา ลูกจะขออยู่กับแม่อีกสามวันนะ ในวันที่ ๑๘ เป็นวันเข้าพรรษาพอดีจงเอาเทียนคู่นี้จุดให้ลูกนะ"

    เมื่อท่านกลับไปผู้เป็นแม่กลับมานั่งคิดว่า เป็นไปได้ยังไง ลูกยังแข็งแรงดีอยู่เลย แม่จึงพูดกับพ่อว่า "เวลาของลูกคงใกล้มาถึงแล้ว เมื่อเวลานั้นมาถึงห้ามร้องไห้ให้ลูกเห็นเด็ดขาดนะ เพราะจะทำให้ลูกกังวล เป็นห่วงเรา และที่สำคัญ จะทำให้ฉันจิตตกด้วย"

    วันที่ ๑๘ มาถึง ลูกปวดมากขึ้นๆ เป็นระยะ เพิ่มยาขึ้นให้เวลาที่สั้นลงในปริมาณที่มากขึ้น ลูกไม่ยอมไปโรงพยาบาล ขออยู่บ้าน

    แล้วลูกก็พูดว่า "หม่าม้ายาไม่ได้ผล ปวดมากเลยครับ"

    ลูกน่ารักมากเวลาปวดมากๆ ลูกได้แต่กำมือชกหมอนเบาๆ เพราะไม่อยากให้แม่กังวล แต่แม่ก็หมดหนทางจริงๆ สงสารลูกมาก เมื่อยาไม่ได้ผล ผู้เป็นแม่จึงคิดถึงจ้ากรรมนายเวร แล้วเอามือลูบบริเวณที่ปวดแล้วพูดว่า

    เจ้ากรรมนายเวรเจ้าขา ไม่ว่าท่านจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราจากภพใดชาติใดก็ตม บัดนี้เราสองแม่ลูกได้รับทราบถึงกรรม ที่เราสองได้กระทำกับท่านแล้ว ว่าท่านได้ทุกข์ทรมานจากการกระทำของเราเช่นไร เพราะความเจ็บปวดนั้นเรากำลังได้รับอยู่

    ได้โปรดอโหสิกรรมให้เราสองแม่ลูกด้วยเถิด บุญกุศลที่เราได้สร้างมาทั้งที่สร้างพระถวายวัด สร้างหอไตรที่อินเดีย ฯลฯ เราขออุทิศให้ท่านทั้งหมด เมื่อท่านรับแล้วได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่เรา อย่าจองเวรกันอีกเลย

    ขอให้นายวีรภัทร์ อัครดำรงเวช ผู้นี้อย่าได้ทุกข์ทรมานเลย ถ้าเขาต้องไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ก็ขอให้เขาไปอย่างสงบเถิด

    ผู้เป็นแม่พูดวนไปมาอย่างนี้อยู่ครึ่งชั่วโมง ปาฏิหารย์ก็เกิดความทรมานของลูกดีขึ้น สามารถนอนหลับได้แม้บางครั้งจะนั่งเพื่อให้หลับก็ตามที หลังจากนั้นเมื่อลูกปวด แม่ก็จะใช้วิธีเดิมเพื่อช่วยให้ลูกดีขึ้น แม้จะห็นหน้าเค้าทรมาน แต่อย่างน้อยเค้าก็ดีขึ้น

    เมื่อวันสุดท้ายมาถึง เค้าเริ่มใช้ออกซิเจน ซึ่งในวันนี้เมื่อเค้าตื่นขึ้นมาเค้าดูหน้าตาสดชื่น เค้าบอกว่า "หม่าม้าวันนี้แปลกมาก ทั้งๆที่นอนตื่นเช้ากว่าทุกวัน แต่รู้สึกเหมือนนอน น้านนาน"

    ตกบ่ายแม่รู้สึกเพลียจึงขอนอน ล้มตัวลงนอนข้างๆลูก หลับไปได้สักครู่ ลืมตาขึ้นมามองดูลูก เหมือนเค้าเสียการทรงตัว เอียงมาหาแม่ทำให้แม่ต้องรีบกอดไว้

    เป็นอะไรไปลูก

    ไม่ตอบเหมือนหมดแรง

    ลูกจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วหรือลูก

    ใช่ ตอบอย่างมีสติหนักแน่น

    พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ นะลูก ลูกเงียบและหมดสติในอ้อมกอดของแม่ ประมาณ ๕ นาทีก็ลุกขึ้นนั่ง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    เมื่อกี้วูบไป นึกว่าตายแล้วเสียอีก ลูกพูดพร้อมยิ้ม ทำให้แม่ต้องหัวเราะ หิวไหม ตามป่าป๊ากลับมานะลูก เค้านั่งเงียบเหมือนหมดแรง

    ยังไม่ตายหรอกตามกลับมาทำไม

    สามโมงแล้วปิดร้านก่อนได้ให้ป่าป๊ากลับมานะ ผู้เป็นแม่ลุกออกไปห้องพระจุดธูปอธิษฐานว่า พระพุทธเจ้าเจ้าขา ถ้าถึงเวลาที่ลูกชายของลูกจะได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์แล้ว ขอพระพุทธองค์ได้โปรดเมตตามานำพาเขาไปอย่างสงบด้วยเถิด

    หลังจากนั้นถึงจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่ ถ้าลูกหนูต้องไปเฝ้าพระพุทธองค์แล้ว ขอท่านเจ้าที่ได้โปรดเมตตาพาลูกหนูไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ด้วยเถิด

    เมื่อป่าป๊ามาถึง ก็ถามลูกว่าจะโทรฯ ลาใครไหมลูก เค้าโบกมือช้าๆ
    แล้วแม่จึงเปิดบทสวดมนต์ที่เคยให้ แล้วบอกลูกว่า หม่าม้าเช็ดตัวให้นะลูก เช็ดให้สะอาดที่สุด ทาแป้งและบอกว่า หม่าม้าเปลี่ยนชุดนักศึกษาให้นะ ลูกรักมหาลัยมาก ใส่ชุดนักศึกษานะลูก ลูกมองแม่แล้วน้ำตาไหล

    ลูกกำลังจะจากบุคคลผู้เป็นที่รักไปแล้ว จากทุกคนที่ร่วมภพชาติของเค้า ย่อมมีความอาลัยเป็นธรรมดา เพียงแต่ลูกเก่ง เข้มแข็ง เพราะเตรียมใจมานาน จึงเป็นเพียงชั่วขณะที่แม่เอาผ้าซับน้ำตาให้แล้วพูดว่า อย่าร้องไห้ลูก ลูกกำลังจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ไม่ต้องห่วงหม่าม้า ป่าป๊า น้อง ทุกคนดูแลตัวเองได้ ลูกคิดถึงบุญกุศลที่เราร่วมกันทำมานะลูก

    แม่แต่งตัวให้ลูกไป ปากก็พูดย้อนถึงบุญที่เคยทำมาร่วมกัน ยึดเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งสุดท้าย ภาวนาไปเรื่อยๆนะลูก หม่าม้ากับป่าป๊าช่วยกันแต่งตัวให้ลูก เมื่อสะอาดเรียบร้อย ก็กอดลูกไว้แนบอก จนกระทั่งลูกหลับไปกับอกของแม่ หลับอย่างสงบ ไม่มีอาการทรมาน ทุรนทุราย แม้แต่น้อย

    หลับนะลูก หลับให้สบาย ลมหายใจที่แม่ส่งให้ยามลูกเกิดได้ยุติลงแล้ว เป็นการส่งลมหายใจสุดท้ายให้ลูกกลับคืนสู่สุคติภายในอ้อมกอดด้วยสองมือแม่โดยแท้

    รู้แล้ว ซึ้งแล้ว กับคำว่า น้ำตาตก มันเจ็บที่กระดูกตรงหัวใจ เจ็บทุกครั้งที่คิดถึง แต่หาได้มีน้ำตาไหลออกมา แม่มองร่างกายที่นอนทอดยาว หลับตาพริ้ม มีรอยยิ้มน้อยๆของลูก ลูกไม่ได้นอนสบายอย่างนี้นานแล้ว เพราะเจ้าก้อนเนื้อมันทับอยู่ ทำให้หายใจไม่ค่อยสะดวก สุดท้ายแม้แต่นั่งหลับ

    แต่ตอนนี้ลูกหลับสนิทและสบายแล้วจริงๆ ชีวิตมีการมาและมีการจาก เช่นนี้เอง อยู่ที่ว่าใครจะเป็นผู้ไปก่อน.

    *** ขอบคุณ อ.ศิโรตม์ ที่กรุณาลงเรื่องราวให้ได้อ่านนะค่ะ***

    เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ คนไหนอยากอ่านตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนสุดท้าย เข้าไปอ่านได้ในลิงค์นี้นะค่ะ


    http://ratchaburi2.ob.tc/-board.php



    </TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2009
  3. dew in the wind

    dew in the wind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +194
    เป็นกำลังใจครับ...........
     
  4. พัชรกันย์

    พัชรกันย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2008
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +622
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของเรื่อง ที่นำเรื่องมาตีพิมพ์ให้เป็นสติเตือนใจในการดำรงชีวิต และขอขอบคุณผู้นำบทความนี้มาเผยแผ่
     
  5. ผู้ตามหา

    ผู้ตามหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2009
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +818
    อนุโมทนา.....สาธุ ด้วยบารมีพระพุทธเจ้า พระะรรม และพระสงฆ์ ขอให้ได้นำบุญกุศลทั้งหมดของข้าพเจ้า อุทิศให้น้องคนนั้นด้วยเถิด
     
  6. กิ่งขวัญ

    กิ่งขวัญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    222
    ค่าพลัง:
    +701
    ขออนุโมทนาสาธุกับคุณแม่ผู้เข้มแข็งและอ่อนโยนเป็นกัลยาณมิตรให้กับลูกนำลูกไปสู่สุขคติภูมิเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับแม่หลาย ๆ คนที่คิดว่าตัวเองนั้นทุกข์ที่สุดแล้ว ต้องเข้มแข็งให้ได้เหมือนกับแม่คนนี้ค่ะ
     
  7. รักศีลธรรม

    รักศีลธรรม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +14
    <TABLE id=post2635604 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_2635604 class=alt1>อนุโมทนา.....สาธุ ด้วยบารมีพระพุทธเจ้า พระะรรม และพระสงฆ์ ขอให้ได้นำบุญกุศลทั้งหมดของข้าพเจ้า อุทิศให้น้องคนนั้นด้วยเถิด<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2>[​IMG] [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("2635604")</SCRIPT> [​IMG] </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt1 align=right>[​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE id=post2635604 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_2635604 class=alt1>อนุโมทนา.....สาธุ ด้วยบารมีพระพุทธเจ้า พระะรรม และพระสงฆ์ ขอให้ได้นำบุญกุศลทั้งหมดของข้าพเจ้า อุทิศให้น้องคนนั้นด้วยเถิด<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2>[​IMG] [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("2635604")</SCRIPT> [​IMG] </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt1 align=right>[​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. watchai

    watchai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +56
    ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆครับ
     
  9. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,828
    ค่าพลัง:
    +43,529
    อนุโมทนาจ่ะ ขอให้สุขคติเถิด...

    ลมหายใจที่แม่ส่งให้ยามลูกเกิดได้ยุติลงแล้ว เป็นการส่งลมหายใจสุดท้ายให้ลูกกลับคืนสู่สุคติภายในอ้อมกอดด้วยสองมือแม่โดยแท้

    เป็นคำที่กินใจมากๆ เห็นใจคุณแม่ท่านนี้ที่มีความเข้มแข็งมากๆ และเป็นความจริงที่ ความทุกข์เกิดจากความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก และยากยิ่งที่จะตัดขาดจากความอาวรณ์แม้จะทราบและเตรียมตัวไว้แล้ว.......
     
  10. teera-chang

    teera-chang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ผมรู้จักน้องคนนี้พึ่งจะทราบว่าคุณแม่เขาเขียนหนังสือให้เขา ขอบคุณผู้ที่ได้นำเรื่องราวมาเล่ามากๆครับ คิดถึงน้องเขาๆเป็นคนดีร่าเริง
    โรคที่เขาเป็นจริงๆเนื้อก้อนนี้มันติดตัวเขามาแต่กำเนิดแต่ว่าพึ่งจะมากลายเป็นเนื้อร้ายได้ไม่นาน เท่าที่เขาเล่าให้ฟังเขาบอกว่าเป็นเนื้อที่เหมือนกับว่ามันเป็นส่วนเกินของร่างกายแต่ว่าเขาไม่ทราบจนเริ่มมีอาการหายใจไม่ออก จึ่งไปหาหมอแล้วถึงทราบว่ามันกลายเป็นเนื้อร้ายไปแล้ว อีกอย่างเขาเป็นคนที่สูงกว่าปกติสูง 189 ได้ถ้าจำไม่ผิด
    อ่านแล้วก็ใจหายแต่เขายังโชคดีที่ได้บวชก่อนที่เขาจะเสียไปไม่นาน
     
  11. ลูกแก้วแววตา

    ลูกแก้วแววตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    886
    ค่าพลัง:
    +952

    สวัสดีค่ะคุณ teera-chang โลกกลมจริงๆ ได้มาเจอคนที่รู้จักน้องโย่งด้วย
    แล้วก็ดีใจที่ได้ยินคุณteera บอกว่าน้องเค้าเป็นคนดี เหมือนที่เราได้ทราบจากเรื่องราวที่แม่ของน้องเขียนไว้....ป่านนี้ดวงวิญญานน้องโย่งคงอยู่ในภพภูมิที่ดีและเป็นสุขในที่ใหม่ของเค้าแล้วนะค่ะ ;aa51
     
  12. คนดีเมืองหาดใหญ

    คนดีเมืองหาดใหญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +243
    เป็นการส่งครั้งสุดท้ายที่ดีมากๆเลยค่ะ เป็นครอบครัวที่อบอุ่นและมีบุญจริงๆที่ทำได้ขนาดนี้ อ่านแล้วซึ้งใจ น้ำตาไหลเป็นเผาเต่าเลย ขอบคุณและโมทนาบุญกับคนที่เอามาลงให้อ่านด้วยค่ะ ขอให้น้องไปสู่สุคติค่ะ
     
  13. jantra2008

    jantra2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +185
    สาธู สาธุ สาธุ อ่านจบน้ำตารินไหลอาบแก้มเลยค่ะอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้เลย
     
  14. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,940
    ขออนุโมทนาท่านเจ้าของกระทู้ ขออุทิศกุศลมีทานศีลภาวนาที่ข้าพเจ้าทำไว้ดีแล้วแด่คุณวีรภัทร์ อัครดำรงเวช เจ้าของเรื่องด้วยครับ
     
  15. Ricardo DeCalgary

    Ricardo DeCalgary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +11,341
    โมทนาบุญด้วยคนครับ

    ขอบคุณมากครับสำหรับบทความดี มีข้อเตือนใจ เตือนตนให้ยังความไม่ประมาทต่อชีวิตเยอะมาก

    ขอบพระคุณมากครับ

    ขอพรพระให้น้อง วีรภัทร์ อัครดำรงเวช ได้เข้าเฝ้า และกราบพระบาทพระพุทธองค์ได้ตามที่ตั้งใจครับ ขอให้ครอบครัวของน้อง วีรภัทร์ อัครดำรงเวช มีความสุข ปราศจากทุกข์ครับ โดยเฉพาะคุณแม่และคุณพ่อที่เข้มแข็ง

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  16. Northearn

    Northearn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +330
    อนุโมทนา สาธุ
    ขอให้คุณวีรภัทร์ อัครดำรงเวช ไปสู่สุคติ พบพระพุทธเจ้า ถึงพระนิพพานด้วยเทอญ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...