ทางเอก : ความต่างระหว่างสัมมาสติ กับมิจฉาสติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย wisarn, 21 เมษายน 2009.

  1. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    เฮ้อ! ยิ่งคิดยิ่งเหมือนผมเมื่อก่อนไม่มีผิด ก็นี่แหละกิเลสมันอ้างล่ะ อ้างไปสารพัดจะอ้าง จับไม่มั่นคั้นไม่ตาย มันมียอมที่ไหนล่ะ กิเลสมันร้ายจะตาย

    เมตตา อภัยทาน อโหสิกรรมไปไหนหมด พระอริยเจ้า เวลาสอนใครแล้วเขาเห็นต่างหน่อยเดียวนี่ เรากลับมองว่าเขาโกรธ มีปฏิกิริยา แตะต้องไม่ได้ ทิฏฐิแรงกล้า ไม่ฟังเราเลยนี่ แช่งด่าไล่ให้เขาไปลงนรกหมดเลยหรือ คิดให้ดีนะ อกุศลจิตพวกนี้ทำไมยังมีอยู่แรงมาก ปกติผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ จิตทรงความปกติทรงความว่างเป็นปัจจุบันธรรมนี่ เขามองโลกในแง่ดีเป็นพื้น ๆ เลย เป็น Default เลยนะ เรามองโลกในแง่ดีแล้วหรือยัง น่าคิดนะ

    การดับการวาง มีหรือยัง ดับไม่เป็น วางไม่เป็น ก็คิดว่าวางไม่ได้ ไม่ใช่จุดที่จะปล่อยจะวาง ก็นั่นแหละมันยังไม่เข้าใจ ยังติดรูปแบบอยู่ ดูออกมั้ย

    อีกอย่างหนึ่ง คุณเอารูปหลวงตามาทำแบบนี้ ผมว่าคุณต้องพิจารณาให้ดีแล้ว มันเป็นการเอาหลวงตามาแอบอ้างได้ เป็นบาปนะคุณต้องรู้จัก ปกติพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านเคารพครูบาอาจารย์สุดเศียรสุดเกล้า ท่านไม่กล้าเอามาทำแบบนี้หรอก คุณไปดูปฏิปทาของพระอาจารย์สายหลวงปู่มั่นก็ได้ ต่อให้เคารพขนาดไหนท่านก็ไม่เอามาใช้แบบนี้นะ...


    ตกลงพอจะมองเห็นกิเลสตัวเอง อ่านตัวเองออกหรือยังครับ

    ผมไม่เตือนท่านอีกแล้วนะ แล้วแต่ท่านจะคิด

    อันไหนไม่มีประโยชน์ ผมก็ต้องวางเหมือนกันครับ


    ขอให้โชคดี...
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    อ้อ ไม่เป็นไรหรอกคุณ tboon คุณปล่อยวางไปนั่นแหละดีแล้ว

    การวางกิเลสของคุณ ด้วยแค่ความคิด นั้นมันยังห่างไกล

    ข้อสรุปอะไรที่มาจากความคิดนั้นมันก็ โลเล เดี๋ยวกลับไปกลับมาเสมอ

    ก็วางไปเถอะ ถ้าเถียงธรรมไม่ได้ จ่อลงไปที่ธรรมไม่ได้ มันก็ออกรูปเดิมคือ ผมเคยผ่านมาแล้ว แต่ีชี้ไม่ได้ว่า ถูกหรือผิดอย่างไร เป็นเรื่องปกติ
     
  3. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    พราหมณ์ผู้ถือตน

    [​IMG]
    พระ พุทธองค์ทรงโปรดพราหมณ์ผู้ถือตัวถือตน ได้ถือดอกไม้สองกำมาข้างละกำมือ เมื่อมาถึงพระองค์ก็ทรงบอกว่า วางสิ…พราหมณ์ พราหมณ์ได้วางดอกไม้ในมือข้างหนึ่งลง ยังเหลืออีกข้างหนึ่ง พระองค์ตรัสต่อไปว่า…วางสิพราหมณ์ พราหมณ์ก็ได้วางลงอีกข้างหนึ่ง พระองค์ก็ยังตรัสต่อไปอีกว่า วางสิ..พราหมณ์ ปรากฏว่าพราหมณ์ชักโมโห จะวางอะไรอีกล่ะ วางจนหมดแล้วนี่น่า จะให้วางอะไรอีกล่ะ พระองค์ก็ตรัสว่า วางการยึดมั่นถือมั่นถือตัวถือตนสิพราหมณ์ จะได้เบากว่านี้ ทำให้พราหมณ์ได้เกิดแวบขึ้นมาในหัวใจ และทำให้เกิดลดทิฏฐิมานะความยึดมั่นถือมั่นลงไปได้มากทีเดียว


    ทรงเคารพพระธรรม

    [​IMG]
    พระพุทธองค์ทรงเคารพพระธรรมมาก วันหนึ่งพระองค์จะเข้าไปในวิหาร ซึ่งพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังแสดงธรรมกับภิกษุจำนานมาก พระองค์ก็ไม่ยอมเดินเข้าไป รอจนกระทั่งพระรูปนั้นเทศน์จบ เมื่อพระภิกษุรูปนั้นออกมาแล้วก็ถามว่า พระองค์มานานแล้วเหรอพระองค์บอกว่า มานานแล้ว ถามว่าทำไมพระองค์ไม่เดินเข้าไป พระองค์บอกว่า เรานั้นเป็นผู้เคารพธรรม ถ้าใครกำลังแสดงธรรม มีผู้รับธรรมอยู่ เราจะไม่เข้าไปกวนให้เขาเสียสมาธิ เดี๋ยวนี้พุทธบริษัท บางทีกำลังแสดงธรรมอยู่ก็เดินป้วนเปี้ยน ไม่ได้เคารพธรรม พุทธประวัติตอนนี้เป็นพุทธานุสสติให้เราระลึกนึกถึง พระพุทธเจ้ายังเคารพพระธรรม พวกเราไฉนเล่าจะไม่เคารพธรรมตามพระพุทธองค์


     
  4. อัสติสะ

    อัสติสะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +392
    สวัสดีครับ
    ผมคงตอบคำถามไม่ได้ถูกใจ หรือ ถูกต้อง มากนะครับ
    เพราะตัวเองก็ยังโง่อยู่ แต่เรามาเพื่อสนทนากัน
    มีผิดบ้าง ถูกบ้าง ใครที่ผ่านมาแล้ว ก็แก้ไขให้กันบ้าง
    เอาอย่างนี้นะครับ

    การเห็นความอยากก็เท่ากับเป็นการเห็นกิเลส(ตัวใหญ่) และความปรุงแต่งของมัน
    ผลคือ เวทนา และเกิด ความชอบ ก็ดี ความไม่ชอบก็ดี หรือ เฉย ๆ ก็ดี
    ถ้าว่ากันตามสายของปฏิจสมุปบาท ก็ยังมีสิ่งที่สืบเนื่องไปอีก
    คือ อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา ฯ

    ก็ลองพิจารณาดูครับว่าจะสามารถจับเอาสายแห่งการเกิด ดับ ของปฏิจสมุปบาท ได้ทันไหม คือ ใช้สติ เป็นตัวจับ

    เหมือนกับการเล่นต่อตัวโดมิโน่ครับ มันล้มสืบเนื่องกันอย่างนั้น
    แต่เราไม่ได้มีจุดประสงค์คือ บังคับไม่ให้มันเกิด เพราะสาเหตุก็ทราบกันดี
    ว่าเป็นสิ่งที่บังคับไม่ได้ เราทำได้เพียงมีสติ ตามรู้ไปก่อนครับ

    ปัญหาที่เกิดอีกคือ เราไม่รู้ใช่มั้ยว่าจะปฏิบัติไปถึงเมื่อไหร่
    แล้วเมื่อไหร่ ปัญญา อันเกิดจากการรู้แจ้งนี้จะเกิดเสียที

    นั่นก็เพราะการจะเกิดปัญญานั้นต้องการอาศัย ธรรมอีกหลายหมวดเกื้อหนุน
    กัน เราเพิ่งพาแค่สติ อย่างเดียวมันไม่ไหว

    แต่ตอนที่ยังไม่รู้อะไร เราก็แต่งตั้งสติให้มันเป็นหัวหน้าไปพราง ๆ ก่อน
    และต้องมีลูกน้อง คือ ศรัทธา คือ ความเชื่อมั่นตามคำสอน
    วิริยะ ความมานะพากเพียร สม่ำเสมอ เป็นต้น เป็นประธานก่อน
    องค์ธรรมอื่นก็พิจารณาตาม(เช่น สมาธิ) หรือ เท่าทีจะระลึก หรือ อบรมกันมา ตามวิสัยหรือ จริต ของแต่ละคน

    ผมไม่เก่งบาลี หรือ ศัพท์ทางธรรม แต่ก็ขอเขียนมากันแบบบ้าน ๆ นี่แหละครับ

    เมื่อทุกอย่างพร้อมถึงรอบมัน ก็เหมือนกับเครื่องยนต์ที่สตาร์ติดแล้ว
    เพราะก่อนสตาร์ทก็ต้องหา น้ำมัน หาแบตเตอรี่ กุญแจ รถ และตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์
    เพราะเครื่องยนต์นี้มาจอดนิ่งมานาน การจะทำให้มันขับได้จึงไม่ง่ายครับ

    เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้ว ก็พร้อมสำหรับการเดินทาง
    ส่วนคำถามที่ว่าทุกข์ ทำไมทุกข์ ทุกข์ทำไม ก็หมดไป ตอนที่รถมันสตาร์ทติดนั่นแหละ ครับ

    ขอตอบเพียงเท่านี้ครับ
     
  5. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เป็นคำตอบที่ถูกใจมากเลยครับ จะพิจารณาเวทนา ให้มากขึ้น ^-^
     
  6. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    เหอๆๆ ถ้าเป็นใจผมนะ เห็นอยากแล้วทำอะไรมันไม่ได้ น่าจะจิตไม่มีกำลังพอ ทั้งนี้เพราะไม่เคยหัดฝืนความเคยชิน ไม่ค่อยได้หัดเอาชนะใจตัวเอง วิ่งตามความอยากหมด อย่างนี้ต้องลองอดอยาก คือไม่ทำตามความอยากฝืนให้มากก่อน เอากำลังจิตตรงนี้ให้มาก มวยป้อแป้ ๆ ไม่ฟิตซ้อม ขึ้นไปชกกับคู่ต่อสู้ก็มีหวังโดนน็อคตลอดนั่นเอง

    เห็นแล้วไม่ทำตามบ่อย ๆ ถ้ากลัวว่าจะเป็นการสุดโต่งข้างทรมานตนก็อย่าไปคิดว่าเป็นการฝืนเพื่อให้ได้อะไรมาก็ได้ เอาเป็นว่า แค่รู้ก็พอ แต่อย่าไปหลงทำตามมัน ทำให้ได้บ่อย ๆ ต่อไปมันก็จะค่อย ๆ แข็งแรงขึ้นเอง พอกำลังจิตมันเข้มแข็งขึ้น อะไร ๆ มันก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง แต่กิเลสแวดล้อมมันเยอะนะ ดูให้ดี หลุดตัวนี้ไปเจอตัวนั้น หลุดตัวนั้นวิ่งไปยึดตัวโน้น มันต้องขยันอ่านตัวเองให้ออกจริง ๆ ไม่งั้นก็หลงได้ทุกกระบวนท่านั้นเองครับ

    ขอให้โชคดีนะ
     
  7. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ ^-^
     
  8. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ทำไมผมถึงกล่าวอย่างนี้ เพราะปกติคนเราชอบหลงทำอะไรไปตามความเคยชินทันที เช่น เห็นอะไรอร่อยอยากกินก็ไปกินเลย อยากจะไปไหนทำอะไรก็ไปเลย ไม่เคยได้มามีสติหัดสังเกตว่า เราไปได้อย่างไร ก่อนที่ขาจะก้าวออกไป ใจเราเป็นอย่างไร ความคิดตัวไหนมันวิ่งเข้ามากระแทกจิตให้เปลี่ยนไปเป็นจิตที่มีความอยากเกิดขึ้นและทำตามความอยากนั้น ไม่เคยได้สังเกตกันจริง ๆ สักที เพียงแค่เราสังเกตให้ทันกระบวนการก่อเกิดความอยากพวกนี้ให้ทันเท่านั้นเอง เราก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า อ๋อ! เราหลงไปตามความคิดได้อย่างไร เราก็จะเริ่มมองเห็นช่องทางในการศึกษาเรื่องจิตเรื่องใจได้อย่างถูกตรง

    แต่พอบอกให้สังเกตให้ทัน คนส่วนมากก็ใจร้อน แทนที่จะฝึกสร้างความรู้สึกตัวให้เกิดสติขึ้นมารู้เห็นความจริงตรงนี้ ก็กลับไปใช้วิธีการคิดการนึกเอา บางคนใช้ฐานคิดจนเคยชิน อยู่บนฐานคิดก็ยังไม่รู้ว่าตนเองอยู่บนฐานคิด ก็ยังคิดว่าตนเองอยู่บนฐานของสติ การเรียนทางธรรมนั้นไม่เหมือนทางโลก ทางโลกยิ่งคิดยิ่งวิเคราะห์เก่งยิ่งเป็นอัจฉริยะ แต่ทางธรรมนั้น พระท่านว่า มีความรู้ร้อยก็ต้องวางทั้งร้อยก่อน แล้วมาฝึกให้เกิดสติ หาปัญญาเอาจากการเห็นในปัจจุบันขณะนี้จริง ๆ เอา เราต้องแยกให้ออกระหว่างการเห็นคิดกับการคิดเห็นนะ

    ทั้ง ๆ ที่ดูเป็นเรื่องที่ง่าย ๆ อย่างนี้นะ แต่มันก็ไม่ง่ายเลย ที่ไม่ง่ายเพราะ เราไม่ค่อยมีความเพียร ไม่มีศรัทธา ไม่มีความกล้าพอที่จะฝืนความเคยชิน มักถูกกิเลสหลอกไปในทางที่ชอบที่พอใจเสมอ อีกอย่างหนึ่งนั้น บางทีมันก็ต้องอาศัยกาลเวลาช่วยด้วย สั่งสมความดีทั้งภายในและภายนอกไปพร้อม ๆ กัน เก็บเล็กผสมน้อยไป ไม่ใช่จะเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ โดยไม่มองโลกมองคนรอบข้างเอาเสียเลย แบบนั้นขาดเมตตาธรรมนะ ความเสียสละ ความเอื้อเฟื้อเราก็ต้องมี เสียสละไปตั้งแต่ภายนอกนั้นเอง ถ้าเสียสละภายนอกไม่เป็น ภายในจะรู้จักการเสียสละได้อย่างไร เราก็ค่อย ๆ สั่งสมไป วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาบารมีเต็ม พระท่านว่า ถึงไม่อยากรู้ก็จะได้รู้ ถึงไม่อยากเห็นก็จะได้เห็นเอง..


    สาธุ ขอให้โชคดีนะครับ
     
  9. Mcafee.x

    Mcafee.x เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +118
    อนุโมทนาทุกท่านครับ
    ธรรมทั้งหมดเป็นปัจจัตตังนะครับ เอาตัวให้รอดกันก่อนดีกว่าครับ คนอื่นอย่าพึ่งไปแนะเลยครับ
    "ธรรมของจริงของแท้ที่ทำให้บุคคลเป็นอริยะได้
    มิใช่เพียงศึกษาตามตำราและนึกคิดคาดคะเนเอาเท่านั้นแต่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้นจริงๆของจริงจึงจะเป็นของจริงขึ้นมาได้ "
    "สอนคนอย่างไร ทำตนให้ตั้งอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อนแล้ว จึงสอนคนอื่นทีหลัง
    จึงจักไม่เป็นบัณฑิตสกปรก สอนคนด้วยการทำให้ดู ทำเหมือนพูด พูดเหมือนทำ"
    คำสอนโดยหลวงพ่อชา
    http://palungjit.org/threads/คำสอน-โดย-หลวงพ่อชา-เน้นปัญญา-ฉับพลัน.168071/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2009
  10. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    เรื่องสตินี่สำคัญนะ

    สอนกันผิด ๆ นี่
    ปิดมรรค ปิดผลเลยนะ

    เอ้าบาปกรรมนี้ใครทำคนนั้นรับไปเลยนะ
    ตัวใครตัวมัน
     
  11. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    นั่นซิเนอะ จิตใครดี ตาใครดี ก็เห็นได้ จิตใครไม่ดี ตาใครบอด ก็มองไม่เห็น
     
  12. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +1,936
    สติ สมาธิ ปัญญา เป็นอนัตตา คือไมใช่ของเรา บังคับบัญชาให้เกิดก็ทำไมได้ อยากให้มันเกิด มันก็ไม่เกิด
    แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเอง เมื่อมีเหตุเหมาะสม


    สติ จะเกิดขึ้นเมื่อจิตจำสภาวะได้ หรือรู้จักสภาวะ
    สมาธิ เกิดขึ้นเพราะจิตตั้งมั่นเป็นกลาง ไม่ไหลเข้าสมมติบัญญัติ
    ปัญญา จะเกิดขึ้นเพราะจิตตั้งมั่น จนเห็นไตรลักษณ์

    ส่วนคำว่า"เจริญให้มาก" หมายถึงให้เราทำเหตุคือการให้จิตจำสภาวะต่างๆ อะไรก็ได้ในสติปัฏฐานสี่
    เพื่อให้ผลคือ"สติ"เกิดบ่อยๆ แต่จะไปทำสติให้มันเกิดตรงๆ "ทำไม่ได้"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2009
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    คุณ บัวใต้น้ำ ผมถามหน่อยว่า ครูบาอาจารย์ ที่ผ่านมามีใครบอกบ้างว่า สติทำให้เกิดไม่ได้
    เพราะมันเป็นอนัตตา

    แล้ว ถิรสัญญา นี้ไม่ใช่อนัตตาหรือ แล้วทำไมทำได้ทำให้เกิดได้

    คำว่า เจริญให้มาก คือ การเจริญสติ ให้ละเอียดยิ่งๆขึ้น

    ผมว่า คำสอนนี้ มียาวนาน มาตั้งแต่พระอาจารย์มั่นและบูรพาจารย์ท่านกล่าวไว้แล้ว ไม่มีใครสับสน และ ไม่เห็น ท่านจะสับสนกันสักคน ใครๆ ก็ทราบดีว่า เจริญสติหมายถึงอะไร

    แต่มีคนอุตริ พยายามสร้างวิธีและศัพท์ ให้มันเป็นวิธีที่แหวกแนว เฉพาะตน พิลึก
     
  14. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    คุยไปคุยมา ก็อ้างครูบาอาจารย์ ดึงผู้บริสุทธิ์ลงมาต่ำ ของฉัน ครูฉันดีที่สุด ^-^
     
  15. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    จงอย่าหาพระธรรมนอกตัวเรา เพราะพระธรรมอยู่ที่ตัวเราคือกายและจิตเราทั้งสิ้น (84,000 พระธรรมขันธ์ ทรงสอนอยู่กายกับจิตเท่านั้น ทุกคนจึงมีตู้พระธรรมหรือตู้พระไตรปิฏกอยู่ ทุกคนจงพยายามใช้ปัญญาศึกษาแต่ธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์เถิด)


    ไม่มีคำว่าสายเกินแก้ในพระพุทธศาสนา
    เมื่อรู้ว่าผิด รู้ว่าไม่ดี รู้ได้ที่ใจเราก่อนทั้งสิ้น


    คำขอขมาพระรัตนตรัย
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ


    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต ฯ
    (ถ้าหลายคนว่า.....ขะมะตุ โน ภันเต, ฯลฯ....
    ขะมะตุ โน ภันเต , อุกาสะ ขะมามะ ภันเต ฯ
    )




    หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุก ๆ

    พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้

    ก็ดี ด้วยทางกายหรือวาจาก็ดี และด้วยเจตนาหรือไม่มีเจตนาก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย

    และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ ฯ
     
  16. ล้ำค่า

    ล้ำค่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +3
    ไม่ต้องทะเลาะกันหรอกครับ จริง ๆแล้วธรรมมะ ก็ธรรมดานี้แหละ ด่ากันไปด่ากันมา

    มีในพระสูตรหนึ่งที่พระสารีบุตรท่านพยากรณ์มรรคผลนิพพานในสำนักตนเอง มึ4 พวก
    พวกหนึ่ง - คือทำความสงบเข้ามาก่อน แล้วเจริญปัญญาภายหลัง อันนี้เหมาะกับคนทำฌานมาก เรียกว่า สมถยานิก พวกดูกาย ดูเวทนา
    พวกสอง - คือเจริญปัญญาจนรู้ เลยสงบเข้ามาได้ เหมาะกับ พวกทิษฐิจริต พวกโกรษ รัก หลง อะไรแรง ๆ
    พวกที่สาม - พวกเจริญสติอยู่ในฌาน คือ นั่งสมาธิแล้ว จะเห็นองค์ฌานเกิดดับ ๆ ทีละขณะ ต้องชำนาญจริง ๆน่ะ
    พวกที่สี่ - พวกใจหลง มีแสงสว่างเป็นตัวแรก ปิติ ญานหยั่งรู้ สมาบัติ
    ไม่ว่าทำกรรมฐานอะไร หนีวิปัสนูกิเลสไม่รอดหรอกครับ แต่ให้รู้ทางที่ผิดเดียวเจอทางที่ถูกเอง
    ความจริงแล้วชีวิตเรามันเป็นพวกผสม คือมีหมดทั้ง 4 และ แล้วแต่ใครจะมีอะไรมากกว่าเท่านั่นเอง ไม่อยากให้ทะเลาะกันเลย เถียงกันทำไม
    ต้องเจออาจารย์ผมหน่อย วันทั้งวันอยู่ได้สบาย ๆโดยไม่พูดไม่ปาก อะไร
    ธรรมมะที่ได้พูดออกมาจะเรียกว่าธรรมมะได้อย่างไรล่ะ ก็ธรรมมะมันธรรมดานี้เอง อ่านบทความแล้วโกรธก็ด่าเขา เห็นไหม รู้สึกไหมจิตนิ่ง ๆ เมื่อกี้คิดอุตรุษเลย หึ ๆ กรรมฐานทุกอย่าง ก็วนเวียนอยู่ในกิจอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคขออภัยถ้าไม่ถูกใจใครครับ
     
  17. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เอาข้อเดียว แล้วมีอะไรบ้างที่ไม่ใช่อนัตตา สติต้องกำหนดและสร้างขึ้นไม่ใช่ของที่เกิดขึ้นเองลอยๆ โดยไม่มีสาเหตุ และสาเหตุก็ไม่ใช่เพียงแค่ระลึกรู้เท่านั้นจึงจะเรียกว่า สัมมาสติ จริงๆ ก็คือ สติสัมปัชชัญญะ ดีๆนั่นเอง แต่เท่าไหร่จึงจะเป็นมหาสตินั้น มันไม่ใช่เรื่องของการรอคอย หรือเรื่องของการทำสติปัฏฐานไปทั้งๆที่ไม่เกิดสติหรือไม่มีสติ ตรงเหตุให้เกิดสตินั่นถูก แต่ทุกคนต้องควบคุมมันสั่งการได้เพราะสติยังเป็นของที่เราต้องยึดไว้อยู่ตราบเท่าจนเมื่อไม่จำเป็น จึงเรียกว่า สติอัตโนมัติ เรื่องนี้ควรพิจารณาเป็นอย่างมาก เพราะสติจะไม่มีวันเกิดเองเป็นอันขาดหากจิตยังไม่ได้ฝึกสติอย่างดีแล้ว
     
  18. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    แต่เจตนาของเขาของท่านพระอาจารย์น่าจะให้ เกิดสัญญาหรือพิจารณาสัญญาซ้ำๆด้วยสติ จนกลายเป็นเป็นสมาธิละมั้งครับ และสมาธิแบบนี้ก็ทำได้แต่ปัญหาคือ น่าจะเกิดทางแยกตรงนี้คือ ไม่สามารถหาคำตอบให้ได้ว่าเมื่อใดจิตจะเห็นเหตุของสัญญา กับ จิตเป็นสมาธิ ยอมรับว่าเป็นคำสอนที่งงดีถ้าปฏิบัติตาม แต่โดยธรรมชาติ หากทำแล้วกิเลสมานะทิฐิ ยังอยู่แสดงว่ามันไม่ใช่วิธีครับ ต้องมีจุดที่พลาดไป ก็ควรหาทางแก้ไขเอา อย่านั่งนอนใจอยู่ เช่น ฝึกแล้วพอโดนเขาว่าหรือด่านิดด่าหน่อยแย้งนิดแย้งหน่อย ก็มีโทสะ เป็นฟืนเป็นไฟ ครั้งสองครั้งไม่เป็นไร แต่เป็นทุกครั้งที่เจอที่เห็นสิ่งไม่ชอบใจเหล่านั้น ซ้ำๆ จนเป็นสัญญาแล้วยังดับไม่ได้เกิดขึ้นทุกทีไปแสดงว่า การฝึกแบบนั้นยังไม่ถูกต้องยังมีจุดบกพร่องอยู่ครับ ถ้าว่าด้วย กรรมฐาน สมาธิภาวนา สติปัฏฐาน ๔ นี่แหละเป็นสิ่งสำคัญครับ ในเรื่องนี้
     
  19. Thinkearth

    Thinkearth สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2010
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +13
    ไม่เชื่อ...มั่วตัวทวด
     
  20. ศุภกร เต็มคำขวัญ

    ศุภกร เต็มคำขวัญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,107
    พระท่าน"ไม่เคย"สอนให้ลูกศิษย์"ละความเพียร"
    ท่านพูดอยู่บ่อยมากเป็นอันดับต้นๆเลยล่ะ
    ไม่รู้คนไปเข้าใจกันอีท่าไหน
    กลายเป็นเข้าใจว่า...
    "สติเป็นอนัตตา จึงบังคับให้เกิดไม่ได้ ดูมันเฉยๆ ไม่ต้องทำความเพียร"
    มันออกมาในรูปแบบนี้ได้ยังไง ผมก็งงอยู่
    ความจริงพระท่านสอนว่า
    "สตินั้นเราสั่งให้มันเกิดเองไม่ได้ เราต้องทำเหตุของมัน เหตุใกล้ให้เกิดสติคือ ถิรสัญญา แต่ไม่ใช่กินๆนอนๆแล้วก็จะบรรลุธรรม ถ้าอย่างนั้นหมาแมวมันก็บรรลุกันหมดแล้ว
    "

    ขอยืนยันเสียงแข็งว่า
    พระท่านไม่เคยสอนให้ขี้เกียจเลย
    การ"ตามรู้กายใจ"นั่นแหละคือการปฏิบัติแล้ว
    คือการเจริญสติปัฏฐานนั่นเอง
    มันไม่ใช่การทำความเพียรตรงไหนหว่า....
    หรือบางคนจะคิดว่า
    ต้องทำอะไรสักอย่างที่มัน"เหนือธรรมดา"
    แล้วจะได้สิ่งที่"เหนือธรรมดา"
    ผมจะบอกอะไรให้...
    พระพุทธเจ้าท่าน"เข้าใจและยอมรับกฎแห่งธรรมดา"
    พระองค์จึงพ้นทุกข์ได้

    ขอยืนยันอีกทีว่า
    เข้าใจผิดต่อพระท่านอย่างร้ายแรงจริงๆ
    ขอย้ำอีกที...
    เข้าใจผิดอย่างร้ายแรงจริงๆ
    ขอย้ำอีกที...
    เข้าใจผิดอย่างร้ายแรงจริงๆ
    ขอย้ำอีกที...
    เข้าใจผิดอย่างร้ายแรงจริงๆ

    พูดกี่ทีคนบางพวกก็ยังยึดถือความเห็นเดิมๆของตนอยู่ดี
    ไม่เคยคิดที่จะพิจารณาให้รอบคอบกว่านี้
    ไม่เคยคิดที่จะไปศึกษาเพิ่มเติมให้รู้ความจริงมากกว่านี้
    เอาแต่ปรามาสอยู่ร่ำไป...
    วันหนึ่งจะต้องเสียใจ จนสำนึกผิดแทบไม่ทันเลยทีเดียว

    ผมติดตามอ่านมาก็นานละ...
    แต่ก็เห็นสภาพการณ์แบบเดิมๆคือ
    เต็มไปด้วย ทิฏฐิ ทิฏฐิ ทิฏฐิ ทิฏฐิ ทิฏฐิ ทิฏฐิ และทิฏฐิ...
    และมานะ มานะ มานะ มานะ มานะ มานะ มานะ มานะ...

    ชาล้นถ้วยจนท่วมโต๊ะหมดแล้ว...
     

แชร์หน้านี้

Loading...