ดูจิตให้เข้าถึงจิตตามพระโอวาทปาฏิโมกข์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 28 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. ศุภกร เต็มคำขวัญ

    ศุภกร เต็มคำขวัญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,107
    "อัตตา" หรือ ความเป็นเรา
    "อัตตนียา" หรือ ความเป็นของเรา
    สองสิ่งนี้ล้วนเกิดจากอวิชชาปรุงแต่งขึ้นมาทั้งสิ้น
    บางขณะ "ความคิดว่าอัตตา" ก็ไม่มี
    บางขณะ "ความคิดว่าอัตตาก็ผุดขึ้นมา"
    จนกว่าจะละสักกายทิฏฐิได้ (พระโสดาบัน)
    จึงจะไม่มีความเห็นผิดว่า รูปนามคือตัวเรา

    แต่อย่างไรก็ตาม
    พระพุทธเจ้าปฏิเสธความเป็นอัตตาในทุกกรณี
    ไม่ว่าจะเป็นรูป จิต เจตสิก หรือนิพพาน
    หากยังเห็นว่ามีส่วนใดส่วนหนึ่งเป็น"เรา"
    แสดงว่าเราเถียงพระพุทธเจ้าอยู่ (สัญญาวิปลาส)
    คำสอนเรื่องอัตตามีอยู่ในศาสนาอื่น
    ส่วนศาสนาพุทธไม่ยอมรับทุกกรณี

    แต่ท่านจะกล่าวคำว่า "อัตตา" โดยสมมติเท่านั้น เช่น
    อัตตาหิ อัตตโน นาโถ
    อัตตนา โจทยัตตานัง
    ฯลฯ
     
  2. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    อย่างที่บอกมาแล้วข้างต้น
    พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ล้วนสอนเรื่องการชำระจิตให้บริสุทธิ์ทั้งสิ้น

    เพราะจิตมีอวิชชาครอบงำ จิตไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง
    จิตหลงผิด หลงยึดขันธ์ ๕ เป็นอัตตาตัวตนของตน

    จึงทรงสอนให้ชำระจิตโดยการปฏิบัติอริยมรรค ๘ หรือสติปัฏฐาน ๔
    เพื่อให้จิตมีสติระลึกรู้อยู่ที่ฐานที่ตั้งสติอย่างต่อเนื่อง
    ไม่ซัดส่ายและปรุงแต่งไปตามอารมณ์ อันทำให้เกิดขันธ์ ๕ ขึ้นที่จิต

    เพื่อให้จิตหลุดพ้นจากการครอบงำของอวิชชา
    เกิดวิชชาขึ้นแทนที่ที่จิตที่มีดวงเดียวดวงเดิมนั่นแหละ
    จิตรู้จักอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง ดังนี้

    -จิตรู้ว่า การที่ตน(จิต)หลงยึดขันธ์ ๕ เป็นอัตตาตัวตน ทำให้เกิดทุกข์ขึ้นที่จิต (ทุกข์)

    -จิตรู้ว่า ตน(จิต)เมื่อหลงยึดขันธ์ ๕ เป็นอัตตาตัวตนแล้ว ที่จะไม่เกิดทุกข์ขึ้นเป็นไม่มี
    (สมุทัย)

    -จิตรู้ว่า เมื่อปฏิบัติตามเสด็จ ตน(จิต)ปล่อยวางการยึดขันธ์ ๕ เป็นอัตตาตัวตนแล้ว
    ตน(จิต)ไม่ทุกข์
    (นิโรธ)

    -จิตรู้ว่า การปฏิบัติอริยมรรค ๘ หรือสติปัฏฐาน ๔
    คือวิธีการที่ตน(จิต)จะสามารถปล่อยวางการยึดขันธ์ ๕ เป็นอัตตาตัวตนได้
    (มรรค)

    เพราะตน(จิต) รู้อยู่ เห็นอยู่ ว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตน ตนไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่อัตตาตัวตนของตน
    ขันธ์ ๕ ไม่อาจเป็นที่พึ่งพาอาศัยของตนได้

    ตนเท่านั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน

    ก็คือ จิตที่ฝึกฝนดีแล้ว ตั้งมั่นอยู่ด้วยลำพังตนเอง
    โดยไม่ต้องอิงอาศัยอารมณ์ใดๆ จึงจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริง


    สมตามพระพุทธภาษิตที่กล่าวว่า
    ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
    คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
    บุคคลมีตนที่ฝึกดีแล้ว
    ย่อมได้ที่พึ่งที่บุคคลอื่นได้โดยยาก


    จึงทรงสอนให้อบรมจิต ชำระจิตให้บริสุทธิ์
    อันเป็นหัวใจสำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา

    (smile)
     
  3. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    คำสมมุติบัญญัตินั้น เป็นการตั้งขึ้นเพื่อเรียกขาน เพื่อสื่อให้เข้าใจกันถึงสิ่งที่มีอยู่ในโลก

    สิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในโลก

    เมื่อจิตไปยึดถือ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็ก่อให้เกิดทุกข์ขึ้นที่จิต
    เมื่อจิตไม่ยึดถือ จิตปล่อยวางได้ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่ก่อให้เกิดทุกข์ขึ้นที่จิต

    คำสมมุติในพระพุทธศาสนา จึงไม่ใช่หมายความแบบที่คนในโลกเข้าใจกันว่าคือ ติต่าง
    การติต่างขึ้นมา อาจมีหรือไม่มีก็ได้


    แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ที่มีตั้งเป็นคำสมมุติบัญญัติแล้วนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ ทั้งสิ้น
    เพียงแต่ว่า เมื่อจิตไปยึดถือเอาสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นว่าเป็นตน เป็นของตน ทุกข์จึงเกิดขึ้นที่จิต

    จึงทรงสอนให้ปฏิบัติเพื่อให้จิตปล่อยวางการยึดถือสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นว่าเป็นตน ว่าเป็นของตน
    เมื่อจิตปล่อยวางการยึดถือสิ่งเหล่านั้นได้แล้ว จิตจึงจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

    แต่สิ่งเหล่านั้น ก็ยังคงมีอยู่ เป็นอยู่ ยังคงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามกฏไตรลักษณ์
    แต่จิตที่ปล่อยวางการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านั้นต่างหาก
    ที่ไม่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ หรือดับไปตามสิ่งเหล่านั้นแล้ว
    เพราะจิตรู้อยู่ เห็นอยู่ ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ตน ตนไม่ใช่สิ่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่อัตตาของตน


    (smile)
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    1 คำว่า อัตตา คือ หลงยึดว่าเป็๋นเรา เป็นของเรา มองไม่เห็นตามความจริง
    ไม่สามารถทำใจได้ ปล่อยวางได้ เมื่อสิ่งนั้นดับสูญ หรือ ไม่เท่าทันเมื่อสิ่งนั้นเกิดอาการวิปริตแปรปรวน หรือไม่เท่าทันเมื่อสิ่งนั้นเกิดอาการไม่เสถียร เรียกว่าไม่เข้าใจตามความจริง จึงหลงยึดถือ เรียกอาการแบบนั้น ว่า อัตตา คือ ยึดให้สรรพสิ่งเป็นของตนเป็นตัวเป็นตน

    2 จิตของตน นั้นต้องเข้าใจ สภาพจิตเดิมแท้ว่า ไม่ได้ไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งสมมติ จึงมีความเป็นตัวของตัวเองอย่างสมบูรณ์ ไม่มีดับไม่มีเกิด

    3 พระศาสดา ปฏิเสธความเป็นตัวตน ก็แต่ ขันธ์ 5 ท่านเรียกว่า อุปาทานขันธ์ 5 ไม่ใช่ ปฏิเสธ นิพพาน จิต เจตสิก รูป นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ก็ใครหละที่สุข

    ความลับนี้ คนที่เข้าถึงแล้วจึงจะทราบได้ ไม่ใช่เข้าใจด้วยตรรกะ ว่าอะไรๆ ก็ไม่มีสภาพของตน

    ก็ตนนี้แหละที่ หลงยึดในสมมติตลอด ดังบุรุษคนหนึ่ง เจอพายุพัดมา เกาะสิ่งหนึ่งไม่ไหว ก็เปลี่ยนไปเกาะอีกสิ่งหนึ่ง เรียกว่า ไม่ได้ยืนด้วยตนเองเลย

    คำว่า อัตตหิ อัตโนนาโถ คือ ยืนได้ด้วยตนเองแล้ว ไม่ได้ไปเกาะกับสมมติ
    ไม่ได้ไปพึ่งสิ่งอื่น มีความเป็นตัวเองอย่างสมบูรณ์

    แต่ทั้งนี้ คนละความหมายกับการยึดสรรพสิ่งว่าเป็นของตน
    และ คนละความหมายกับการไม่ปล่อยวาง

    การแสวงหาสิ่งที่สูงสุดนั้น ก็เพื่อทำให้ตนพ้นทุกข์ ทำให้ตนมีแนวทางเดินที่ถูกต้อง

    จิตพระโสดาบัน พ้นจากอบายภูมิ ก็เพราะว่า ท่านยืนด้วยตนเองได้ ไม่ใช่ตามไปกระแสกรรม แต่ไปตามกระแสนิพพาน

    สุดท้าย พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่ใจ ดังหลวงตามหาบัวกล่าวว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นหนึ่งเดียวกับใจได้อย่างไร

    เรื่องนี้ ความไม่ยึดในอัตตา ไม่ใช่จะไปตีความตามอักษรแต่ต้อง สัมผัสแล้ว เข้าใจแล้ว
    จึงจะสามารถพูดออกมาได้เหมือนกัน

    ทีนี้ สุดท้าย คือ นิพพาน นั้นก็มีจิตนี้แหละ ที่เข้าสู่ นิพพาน เป็นหนึ่งเดียวกันกับนิพพาน เที่ยง หรือที่เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ก็ไม่เช่นนั้นแล้ว อะไรหละคือธาตุนั้น
    อะไรหละที่เคลื่อนไปสู่ ธาตุนั้น

    หลวงตามหาบัว ท่านก็พูดอยู่เสมอว่า ถ้ายังไม่ถึงปลายทาง อย่าปล่อยหลัก ต้องมีหลักจับเดินไป

    ถ้่าเราไป คิดถึงปลายทางว่า ไม่มีอะไร มันก็ปล่อยหลัก เมื่อปล่อยหลัก มันก็ล้ม
    เพราะว่า พอไปจับไอ้นั่น ก็สมมติ ไอ้นี่ก็สมมติ จะเพียรก็สมมติ จะเคลื่อนก็สมมติ
    นี่เรื่องมันเป็นแบบนี้ คือ ไปสร้างทัสนะขึ้น แล้วหลง ไม่เข้าใจในทางที่จะต้องเดิน

    เอวัง ( ขอใช้คำหลวงพ่อสงบบ้าง )
     
  5. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    คำว่ายึดถือ ก็คือ ยึดถือ ทำไมจึงยึดถือก็เพราะเข้าใจว่านั่นตัวตนของเรา นั่นของๆเรา อย่างนี้แหละเรียกว่า ยึดถือ เพราะมันเป็นเพียงแค่การเห็นไม่ใช่การละหรือใช้ปัญญาพิจารณาว่า หากสิ่งนั้นมีอยู่สิ่งนี้ก็มีอยู่เช่นกัน เป็นธรรมดา ไม่มีใครถอนสมมุติได้แต่มีแน่ผู้ที่ถอนความยึดมั่นถือมั่นในสมมุติทั้งหลาย
    อนุโมทนาครับ
     
  6. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    รู้เพียงแต่ว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามยิ่งยึดมั่นถือมั่นเอาไว้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งจะทุกข์มาก เพราะพระนิพพานไม่ใช่เรื่องของความยึดมั่นถือมั่น เพราะทางไปสู่พระนิพพานก็ไม่ใช่เรื่องของความยึดมั่นถือมั่น จะเห็นอะไร พิจารณาเห็นอะไร อยู่ที่ไหน ในสมาธิหรือนอกสมาธิ หากมีสติก็จะรู้ว่าขณะนี้เกิดความยึดมั่นถือมั่นในอะไร หากบอกว่าอุปาทานขันธ์มีเพียงขันธ์ ๕ ไม่นับรวมจิต เจตสิก ที่เกิดขึ้น ก็เท่ากับว่านั่นไม่ใช่ขันธ์๕เลย เป็นเพียงขันธ์บัญญัติสมมุติ ไม่ใช่ความจริง ต้องเอาความจริง ความจริงที่ว่าคือ ขันธ์๕ คืออะไร และอะไรอยู่ในขันธ์ ๕ จึงพาให้เกิด พาให้ตาย พาให้ทุกข์ พาให้สุข สุดท้ายพาให้พ้นไปจากทุกข์ เพราะมันเป็นของคู่กันเมื่อละสิ่งหนึ่งได้สิ่งนั้นก็ละได้เช่นกัน มีเท่านั้น ขันธ์๕ ที่เป็นความจริงไม่ใช่สมมุติบัญญัติตามตัวอักษร
     
  7. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,077
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,669
    ว่าด้วยนิพพาน ของมันพ้นไปแล้ว จะไปย้อนมันกลับมาทำไม เรื่องไม่สูญ คนที่เคยสัมผัสมันก็รู้อยู่ด้วยตัวเอง แต่มันก็พ้นไปแล้ว เรื่องเที่ยง ไม่เที่ยง

    ว่าด้วยวิปัสสนาญาณ เวลาความรู้มันไล่เท่าทัน ปัญญามันมากขึ้นไป เวลาสัญญาเกิด เวทนาเกิด รูปเกิด วิญญาณเกิด มันจะมีสังขารอยู่ตัว ที่มันปรุงยึดจับขึ้นมาว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา เวทนามันก็ย้อนลงมาทีุ่ทุกข์อยู่ร่ำไป ตรงที่มันปรุงขึ้นมาว่าเอ่อ มันเป็นเรานี่ มันเพราะยังมีอวิชชาอยู่ นั่นตัวตนตรงนั้น ปัญญามันฉลาดขึ้น มันก็เห็นว่าที่ทุกข์ เพราะเราไปยึด ไปจับมันนี่ มันก็เป็นอัตตาได้ไหม

    ปลายทางมันมีอะไร ผมว่าไม่น่าห่วง ไม่เห็นจะเป็นปัญหา จะตาย จะสูญ ถ้ามั่วไปเกี่ยงกลัวตาย มันก็เท่านั้นแหล่ะ การปฎิบัติ มันอยู่ เห็นทุกข์จริงไหม ขยาดทุกข์แน่ไหม ตั้งมั่นเพียรที่ดับความทุกข์ที่มีหรือเปล่า

    ปัญหาใหญ่มันอยู่ที่ ไม่เห็นตามจริงตั้งหาก จะว่ายกวิปัสสนาไม่ได้ก็นั่น จะว่าไม่เห็นปรมัตถ์ ไม่เข้าใจสภาพของ รูป จิต เจตสิต ไม่มีสติในธรรม จิต เวทนา กาย ก็ใช่

    การนึก ตรึกตรอง ว่ามันจะเป็นอย่างนั้น พระอรหันต์ต้องเป็นอย่างนี้ พระสูตรบอกไว้ว่าจิตต้องหลุด จิตคือตน เราจะเป็นอะไรไม่ได้นอกจากจิต ครูอาจารย์สอนไว้ อ้างโน่น อ้างนี้ มันเป็นปรมัตถ์ที่ไหน มันเอามันยึดเป็นตัว มั่นว่าเกิดดำรงในปัจจุบันของตนได้อย่างไร

    คนหลงก็คือ คนประเภทที่แนะนำให้ดูทุกข์ ก็ย้อนจะดูทุกข์ไปทำไม อันนี้แหล่ะเรียกคนหลงแท้ ๆ
     
  8. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    มันจะง่ายกว่าไหมดูไม่โอเวอร์แอกติ้งด้วย ถ้าเอาเวปลิ้งค์มาวางเลย ธรรมะนะครับไม่ใช่เจมบอนด์ 007 จะได้มีใส่ข้อมูลนั่นข้อมูลนี่ ทำให้สลับซับซ้อน ยุ่งยาก ความคิดยุ่งยากขนาดนี้หมายถึงไม่จำเป็นต้องทำสองสามขั้นตอนหรือต้องมานั่งหาว่าอันไหนอีก ก็แค่เอาเวปลิ้งค์มาเลยครับ จะได้ดูเหมือนคนฉลาดหน่อยครับ
     
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    ใครย้อนกลับอะไร
    เรื่องสูญหรือไม่สูญ ก็ไม่ได้มีใครพูดอะไร

    เป็นคำถามที่ดีใช้ได้ ตอบว่า เป็นกิริยาของจิต แต่ไม่ใช่ การเกิดดับของจิตดังเช่นปุถุชนที่หลงไปจับตัวนั้นจับตัวนี้
    เพราะอะไร เพราะว่า พระอริยไม่ใช่หลงแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่ตามไป เพราะยังไม่อาจจะต้านทานอำนาจอวิชชาได้

    ก็ ถ้าไม่สนใจ ก็ไม่ต้องถก แต่ถ้าถกแสดงว่าสนใจ และ ถูกหรือผิดมันก็ต้องเอามาพูด

    นี่เอ็งเอาเหตุผล อะไรมาอ้างหรือ ว่า ย้อนดูทุกข์ทำไม อันนี้แหละคือคนหลง

    นี่เอ็งจะลบล้างธรรม ทุกข์อริยสัจหรือ เพ้อเจ้อ

    เถียงไม่มีเหตุไม่มีผล อยู่ดีๆ ยกเมฆขึ้นมา ว่าย้อนดูทุกข์ทำไม
     
  10. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เบื่อพระอริยะจัง ทำไมต้องอธิบายแบบมีพระอริยะด้วยล่ะ ทำไมไม่อธิบายแบบว่า อะไรประมาณว่า เพราะจิตเมื่อเข้าถึงความเป็นจริงว่าความเกิดดับที่เกิดขึ้น กลายเป็นความปรุงแต่งและความปรุงแต่งนั้นดับลงในที่สุดจนมีสภาพเหมือนมันเกิดดับอยู่ตลอดเวลา มันอาศัยสิ่งใดบ้างทำให้เกิดเป็นกริยาจิต ต้องพิจารณาดูเอาเอง แต่ถ้าเอาเข้าจริงๆจิตที่เห็นว่ามีสภาพนิ่งอาจไม่นิ่งก็ได้เพราะ เราไม่สามารถตามความเคลื่อนไหวของมันได้ตลอดเวลา จึงเป็นเหตุให้ละวางและคลายความยึดมั่นถือมั่นลงไป เพราะตามมันไปก็ไม่ได้อะไรมันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน (รู้ได้เพราะมีสติสัมปัชชัญญะ) ไม่รู้ครับเพราะผมไม่ได้เป็นพระอริยะแต่ปฏิบัติไปๆมาๆก็เห็นว่ามันอยู่ประมาณนี้ (สรรพนามมันมีได้เพราะ...หลง ยึด ว่าเราเป็น นั่น นั่นเป็นเรา ต่างหาก) เรื่องอื่นก็ คล้ายกับคนว่ายน้ำไปข้างหน้าถ้าข้างหน้าคือฝั่ง เรารู้ว่าทุกข์มันเกิดขึ้นทุกขณะที่เราว่ายไปข้างหน้า ทุกข์ที่ผ่านไปแล้วถ้าว่ายไปข้างหน้ามันก็ผ่านไป ทำได้แค่เหลียวมองดูแต่คงไม่มีใครว่ายย้อนไปดูหรอกจริงไหมครับ ส่วนเมื่อถึงที่สุดแล้วนั้นก็คงเช่นเดียวกันเมื่อยืนบนฝั่งแล้วก็คงทำได้แค่ดู สิ่งที่ผ่านมาแล้วเท่านั้น คงไม่มีใครนึกกระโดดว่ายกลับไปดูให้เห็นความจริงกันอีกว่าว่ายผ่านมาแล้วหรอกใช่ไหมครับ
    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2010
  11. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เห็นด้วยครับท่านพอเห็นแล้วก็เลยเกิดคำถามขึ้นว่า คุณปฐมฌานรู้ไหมว่าตัวหนังสือก็มีความรู้สึก เคยอ่านนิยายไหมครับ ทำไมไม่สงสัยกันละครับว่าแค่ตัวหนังสือแท้ๆทำไมมันพาให้คนเศร้าพาให้คนดีใจมีความสุขใจไปตามตัวหนังสือนั้นๆมากมายหลายคนทีเดียวอันนี้พอรู้ไหมครับ และไอ้ตัวความรู้สึกที่เรารับรู้นั้นจะตรงกับเจตนาของผู้เขียนหรือไม่นั้นต้องอาศัยอะไร สำหรับเรื่องละครมายา กิเลส ก็ว่ากันไปตามนั้นเพราะคำตอบมีแค่นั้น แต่สำหรับธรรม มันจะมีตัวบอกและตัววัดในตัวเอง ในตัวอักษร ในเจตนาของผู้แสดงเองเช่นเดียวกัน ทีนี้ก็อยู่ที่ผู้รับจะใช้กิเลสพิจารณาหรือใช้ธรรมะวิจัยเป็นตัวพิจารณา พอทราบแล้วก็จะพบว่า มันไม่ใช่เรื่องของความต่ำสูงหรือสรรพนามบัญญัติแต่อย่างใดเลยครับ เพราะถ้าเอาแค่ตามองตัวหนังสือแล้วตีความว่าเป็นข้องความของพระอริยะเจ้าแบบนั้นแบบนี้ต้องระวังใจตนเอาไว้ให้มาก มันจะเข้าข่าย ไม่ฟังความคิดเห็นของผู้อื่นครับ ฝากไว้เท่านี้เผื่อว่ากำลังปฏิบัติอยู่ก็ขอให้อย่าประมาทครับ คุณปฐมฌาน
     
  12. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849


    โกรธ ก็ให้รู้ว่าโกรธ อย่าโกรธแบบเพ่งจ้อง เพราะจะทำให้โกรธนานนนนนน ?<!-- google_ad_section_end -->


    (sing)
     
  13. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    หิวธรรมเหรอท่านเกิด หามาม่ากินรองท้องไปก่อนเด้อ ท่าน ....:'(
     
  14. ปฐมฌาณ

    ปฐมฌาณ เป็นและตาย..อยู่ใกล้กัน..เพียงลมหายใจ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    486
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,870
    ขอน้อมกราบเรียน

    ทั้งสิบนิ้วของเกล้ากระผม....ขอน้อมอัญชลีกร....ต่อท่านเหล่าบัณฑิตทั้งหลายที่นิ่งอยู่...แสดงว่าท่านได้อดโทษให้เกล้ากระผมแล้ว..ตลอดถึงท่าน. KengKenny....และ ท่าน00000 (อันมีความหมายล้ำค่ายิ่ง.เพราะมาจาก....สุญญตา...ซึ่งแปลว่า.ความว่างเปล่า)
    ซึ่งท่านทั้งสองท่านนี้...ได้ให้ความเมตตา...ต่อเกล้ากระผมเป็นพิเศษ.....

    ทำให้เกล้ากระผมได้ข้อคิด...สะกิดใจ....เป็นบทเรียน

    อนึ่ง.......ต้องขอกราบเรียนต่อท่าน...OOOOO ตามตรงว่า...ที่มีหนึ่งคลิ๊กว่าไม่เห็นด้วยนั้น......ตัวเกล้ากระผมคลิ๊กเอง...เพราะกลัวเป็นบาปและ..ไม่อยากให้ท่านทำตามที่เขียน..กับหนึ่งอนุโมทนากับท่าน Kengkenny นั้นเพราะไม่มีส่วนไหนที่จะทำให้เกล้ากระผมบาป......


    ขึ้นชื่อว่าบัณฑิต...ไม่เคยอิ่ม...ในคำสุภาษิต....ท่าน..เกิดเป็นคนนั้น...ท่านเป็นบัณฑิต.....ท่านจึงไม่อิ่มในธรรมวารีรส...ขึ้นชื่อว่าบัณฑิตจะมีความโกรธได้เช่นไร..ต้องขออนุโมทนา...สาธุการ....และโดยความเคารพครับ...มิบังอาจรับการกราบไว้จากท่านได้(อย่าให้เกล้ากระผมต้องบาปโดยไม่จำเป็น)

    เกล้ากระผมนั้นเป็นลูกคนยาก..หลานคนจน....มีเวลาอันจำกัด....แต่ยังระลึกถึงทุกท่าน......ทุกคน....อาจจะนานๆ...ได้ผ่านมา....สดับธรรมที่ทุกท่านแสดง

    ท้ายสุดนี้ต้องกราบขอขมาโทษ....ที่ครั้งแรก(ทำให้แตกตื่น)...ด้วยเพราะตัวหนังสือของเกล้ากระผม...ใหญ่..เพราะดวงจิต...ดวงใจ..ที่มีให้ด้วยศรัทธา


    ขอนอบน้อมต่อทุกท่านด้วยจิตคารวะ

    ปฐมฌาณ


    หมา ยอ เห ตุ (หมายเหตุ):ขอความสุขสวัสดี..มีชัย...จงเกิดแก่ทุก

    ท่าน...ที่ให้ความเมตตาแก่เกล้ากระผม...หาที่สุดหาที่ประมาณมิได้แล้ว....


    ขอให้ท่านทั้งหลายได้โปรดร่ายสาธก...ยกอรรถกถา...อันจะยังประโยชน์ให้แก่มหาชนตามปกติเถิด


    เกล้ากระผมขออนุโมทนา...สาธุ สาธุ สาธุ
     
  15. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ตามอ่านอยู่ตั้งหลายวันให้เป็นงง ทำลิงค์มาก็เข้าไม่ได้อีก
    ต้องไป search มา ก็เลยขออนุญาตทำลิงค์ให้ใหม่นะคะ


    ขอเชิญร่วมบริจาคหนังสือธรรมะ
    เพื่อใช้ในการจัดตั้งห้องสมุดธรรมะของหมู่บ้านที่จังหวัดหนองคาย
    ผู้สนใจทุกท่านสามารถจัดส่งหนังสือไปได้ตามที่อยู่ด้านล่างนี้

    ศักย์ศรณ์ สุวรรณ 58 หมู่ 3 ต.นาสวรรค์ อ.บึงกาฬ
    จ.หนองคาย 43140

    (smile)


     
  16. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    จะให้กล่าวยังไงละครับ ผมกล่าวถามเพราะว่าไม่เห็นเหตุใดต้องรู้สึกว่าใครดีใครชั่วก็เท่านั้น ใครเป็นธรรมไม่เป็นธรรมก็เท่านั้น ไม่ได้จะกล่าวตำหนิคุณปฐมฌานแต่อย่างใด ผมไม่อาจเอื้อมในสิ่งที่ไม่ใช่ แต่เมื่อเกิดมาร่วมกันพบกันคุยกันก็เป็นเพราะผลของบุญและกรรมก็เท่านั้น เพราะหากจะปฏิบัติเพื่อเอาผลแห่งความดีงามทั้งหลายแล้ว จะทำสิ่งใดให้ยุ่งยากล้วนแล้วแต่เป็นไปเพราะความปรุงแต่งทั้งสิ้น บัญญัติทั้งหลายอันเป็นปริยัติคุณก็รู้คุณก็เห็นอยู่ผมดูผมก็ทราบ เพียงแต่ผมชี้ว่าดีกว่าไหมถ้า ไม่ปรุงแต่งความคิดตนและสร้างสรรค์ขึ้นมาให้เกิดความสงสัย จะให้ทำสิ่งใดก็ว่ามาตรงๆ มันก็เท่านั้น จะเดินวนไปวนมาก็ไม่เห็นว่าได้อะไรเท่านั้นครับ สิ่งทั้งหลายอันเป็นกิเลสควรรู้ รู้แล้วละ แต่การที่คนเราจะละได้ก็ต้องรู้ว่าเพราะเหตุใด เช่นเดียวกับธรรมทั้งหลาย ซึ่งเรียกว่าสัจธรรม หรือ อริยะสัจ๔ ผมเห็นว่าหากใช้กิเลสพิจารณาธรรมใช้กิเลสศึกษาธรรมมันไม่ช่วยให้ส่งผลดีต่อผู้ปฏิบัติไม่ว่าจะใครทั้งสิ้น จึงต้องขัดเกลาจิต ขัดเกลากาย ขัดเกลาวาจา โดยใช้ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเครื่องมือ กล่าวโดยสรุปก็พิจารณาเอาครับ หากเรานำความปรุงแต่งมาเป็นที่ตั้งนั่นย่อมจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่ได้รับความปรุงแต่งจากสิ่งภายนอกจากบุคคลอื่นเช่นกัน หากผู้นั้นรู้ว่าอะไรเรียกว่า ความปรุงแต่งไป
    อนุโมทนาครับ คุณปฐมฌาน ผมไม่อาจเอื้อมจะเป็นอาจารย์สอนใครช่วยกันแนะนำพิจารณาช่วยกันแก้ไขไปก็เท่านั้น ชีวิตมนุษย์นี้สั้นนัก นี่ต่างหากเรื่องจริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2010
  17. ปฐมฌาณ

    ปฐมฌาณ เป็นและตาย..อยู่ใกล้กัน..เพียงลมหายใจ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    486
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,870
    :VO
    มีเพื่อนดี...มีหนึ่ง..ถึงจะน้อย..
    ดีกว่าร้อย..เพื่อนคิด..ริษยา
    เหมือนดังเกลือ..มีนิดหน่อย..ด้อยราคา
    ยังมีค่า..กว่าน้ำเค็ม..เต็มทะเล


    เกล้ากระผม...ต้องขอกราบขอบพระคุณทุกท่านนะขอรับ...ที่มีน้ำจิต...น้ำใจ...ไมตรี.มันปิติ...จนเขียนไม่ออกบอกไม่ได้....ที่ทุกท่าน..เมตตา....การุณ....เกล้ากระผมจะไม่กล่าวออกไป...แต่จะวงเล็บใว้ในใจทุกคน

    เกล้ากระผมขอกราบเรียน...ต่อทุกท่าน...ว่าเป็นบุญอักโข..ลาภใหญ่..ของเกล้ากระผมที่พลัดหลง(หลงมาจริงๆ..มือบอน)...ได้มารู้จักทุกท่าน.....ผู้มากงามค่าน้ำใจ...ท่าน..เกิดเป็นคน...ท่านสุญญตา...ท่าน kengkenny....ท่าน...เสขบุคคล(เห็นแว๊บๆ)..ท่านธรรมสวนัง..และท่าน.ที่ยืนคุมเชิง..เชียร์ห่างๆ......พรางอยู่ในความมืด
    เกล้ากระผมขอกราบเรียน..ต่อท่าน.ธรรมสวนัง....ผู้อารีย์ว่า...เกล้ากระผมปกติมีชีวิตอยู่หลังเขา....โรคเก่ามีมานาน...ข่าวสารไม่ติดตาม...โปรดอย่าได้แปลกใจ...ที่เกล้ากระผมแสดงอะไรออกไป...เป็นที่ประทับอก..ประทับใจ..ในความโกลาหล


    ท้ายสุดนี้.....ขอความสุข.....สวัสดิมงคล..จงเป็นของทุกท่าน..ทุกคน.ขอทุกท่านตลอดถึงผู้อ่านทางบ้าน..จงประสบแต่.สุขี..สุขี...สุกขัง..สุกขัง.สุกคารัง...และสุกคารู
    อ๊ะ!อย่าตกใจนะขอรับ....อย่า!ตกใจคือยังงี้ครับ...สุขี..สุขี..หมายความว่าให้มีแต่ความสุขมากๆ..ของมากๆและมากๆ....สุกขัง..ขนมครก..ครับ..ขนมครก.....สุกคารัง..ก็ขนมรังผึ้ง...ส่วนอันสุดท้ายสุกคารู...หากใครได้ลิ้มรส...จะบ่นถึงคนึงหา...ก็..ข้าวหลามขอรับ...ข้าวหลาม....รวมแล้วหมายความว่า..ขอให้ทุกท่านทุกคนจงประสบแต่ความสุข..ทุกที่ทุกสถานและอย่าได้ว่างเว้นจากของหวานนะขอรับ(กลัวหิว.เพราะความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง).black_pigท้ายสุดนี้เกล้ากระผม..ขอกราบเรียนต่อทุกท่านว่า...อยากอยู่ใกล้ๆทุกท่าน...ทุกคน.สนทนาธรรม.

    แต่ความจน..เป็นเหตุให้ต้องจร...

    อนึ่ง....หากทุกท่านไม่ได้ยินหมายเลขที่ท่านเรียก...แสดงว่าเกล้ากระผม...ไม่อยู่ในระยะรัศมีแห่งพุทธิพิสัย...ที่ทุกท่านจะติดตามได้นะขอรับ......สาธุ...สาธุ...สาธุ....

    ของบางอย่างซื้อไม่ได้......ด้วยเงินทอง
    เพราะเป็นของ....ไม่มี.....ราคาขาย
    คือความรักความปราณี........มีน้ำใจ
    ปลูกฝังให้.....คิดชอบ.....ประกอบกัน

    สิ่งเหล่านี้......มีค่าแก่ชีวิต
    แต่ว่าเงิน.....ไม่มีสิทธิ์....มาจัดสรร
    ได้แต่เพียง...เราจะให้.....กันและกัน
    และผู้ให้.....ได้รางวัล.....คืออิ่มใจ

    เชิญแวะเยี่ยม..บ้านปฐมฌาณ..แม้ท่านคลิ๊กเบาๆ..ก็สะเทือน

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2010
  18. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    โอ้วหนอแท่งเทียนนี้ ..........แสงสรรค์ มากเอย
    แลส่องสว่างแล้วครร .........สุกใส
    พร้อมเราร่วมจุดพลัน .........เพรียงใจ
    พาส่องผู้มืดให้ ...............สู่แดน นฤพาน
     
  19. ต้นปลาย

    ต้นปลาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    629
    ค่าพลัง:
    +69
    [​IMG]


    โอ้จิตหนอจิต ใยเจ้าได้ทำร้ายหัวจาย เหี่ยวๆๆ:'(
     
  20. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    พื้นพิภพ มืดมั่ง เป็นครั้งคราว
    ไม่ยืดยาว มืดจิต ฤทธิ์โมหันธ์
    อันมืดจิต มืดเป็น นิตย์นิรันดร์
    ไม่เป็นวัน เป็นคืน จะตื่นตา


    มืดระยำ ไม่รู้จัก ตัวเองซ้ำ
    เที่ยวงมคลำ หาสุข ได้ทุกขา
    น้อยนัก ผู้สว่าง กระจ่างจ้า
    เชิญท่านหา ปัญญา มาส่องเอยฯ


    อ่านต่อที่นี่ เปมงฺกโร ภิกฺขุ

    (smile)
     

แชร์หน้านี้

Loading...