"กายทิพย์สะเทือน" ขอถามหน่อยจ้า

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ง้วนดิน, 31 สิงหาคม 2006.

  1. ง้วนดิน

    ง้วนดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,362
    ค่าพลัง:
    +11,047
    ค ร า ย ก้ อ ด้ า ย ))))))))))))

    ช่วยตอบ "ง้วนดิน" ที (มาสงสัยอีกแระ)

    เรื่องของ "กายทิพย์สะเทือน"
    เปนไงอะ ช่วยเล่าให้ฟังที

    คือ "ง้วนดิน" อยากรู้ว่า
    ข้อ ๑ กายทิพย์สะเทือน เป็นไง มีอาการอย่างไร
    ข้อ ๒ เกิดจากอาไร มาจากการฝึกแบบไหน
    ข้อ ๓ แล้วมีผลเสียยังไงมั้ย หรือว่าดี
    ข้อ ๔ ถ้าเป็นผลเสีย มีวิธีแก้ยังไงอะจ๊ะ

    เอาเป็นว่า ช่วยกรุณาตอบหน่อยนะ....

    แล้วแต่จะเมตตาก๊าบบบบบบ...ผอม...

    [b-wai][b-wai][b-wai]
     
  2. XZODIA

    XZODIA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2006
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +124
    เป็นอาการเหมือนแผ่นดินไหว มั้ง สั่นๆเหมือนมีคนมาเขย่า แต่ตัวนอนอยู่นิ่งๆ สาเหตุเกิดจาก กายทิพย์หนีไปนั่งรถบ้ำ จนเกิดอาการติดใจ เนื่องด้วยการฝึกที่ภาวนาผิดประเภท เช่นใช้คำภาวนา บ้ำหนอ ชนหนอ กระแทกหนอ ผลเสียที่ได้รับคือ กายทิพย์ก้นจะด้าน งับเนื่องจากได้รับการกระทบกระเทือนเปนเวลานาน
    วิธีแก้ คือ พยายามฝึกกายทิพย์ ให้ไปนั่ง BENZ หรือ รถนี่ช่วงล่างดีๆงับ


    ดันส่งลิ้งให้คนไม่รู้มาตอบคำถามยากๆ กล้าส่งมาก็กล้าตอบเป็นไงล่ะ ได้เรื่องไหม
     
  3. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,810
    ค่าพลัง:
    +18,982
    ไม่ค่อยรู้เลยครับ

    อิอิ
     
  4. แคท

    แคท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +1,666
    <TABLE id=HB_Mail_Container height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 UNSELECTABLE="on"><TBODY><TR height="100%" UNSELECTABLE="on" width="100%"><TD id=HB_Focus_Element vAlign=top width="100%" background="" height=250 UNSELECTABLE="off">ขออนุโมทนาค่ะ
    </TD></TR><TR UNSELECTABLE="on" hb_tag="1"><TD style="FONT-SIZE: 1pt" height=1 UNSELECTABLE="on">
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. 90

    90 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +67
    นั่นน่ะซิ คุณง้วนดิน เป็นยังไง เกิดจากอะไร ดีไหม ไม่ดีจะทำยังไง ตกลงกายทิพย์นั่นของใครกันหล่ะ แล้วจะรู้ไหมว่าเป็นของใครและไปทำอะไรมา ใครรู้บอกที
     
  6. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,189
    ค่าพลัง:
    +20,861
    ให้ไปแถวบางลำภู ศูนย์หนังสือของมหามกุฎ ไปซื้อหนังสือ ทิพยอำนาจ ของท่าน ปุสโส (เส็ง) มาอ่าน แล้วจะเข้าใจเอง
     
  7. gidigi

    gidigi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +572
    คุณง้วนดินลองเข้าไปอ่านกระทู้ของคุณกระเจียวดูนะคะ คิดว่าน่าจะช่วยได้ค่ะ

    http://www.palungjit.org/board//showthread.php?t=116
     
  8. gidigi

    gidigi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +572
    ขอโทษทีนะคะเมื่อกี้โพสผิด นี่เป็นเรื่องราวการถอดจิตค่ะ เนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณง้วนดินโพสมา

    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=101
     
  9. BiMode

    BiMode เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +2,322
    คิดว่าน่าจะเป็นครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนเป็นไข้นะ (เท่าที่รู้ว่าไอ้เวรมันตีผมน่ะนะ).
     
  10. BiMode

    BiMode เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +2,322
    ลองหาคำนิยามในนี้ดูครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. ยอดยาหยี

    ยอดยาหยี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    576
    ค่าพลัง:
    +2,697
    กายทิพย์สะเทือนเกิดจากการสะดุ้งหวาดกลัว ประมาณว่าเรานั่งสมาธิกำลังนิ่ง แล้วอยู่ก็มีคนมาเรียก ทำให้ตกใจ หรือ นั่งสมาธิแล้วเห็นภาพนิมิตที่ไม่ดี น่าหวาดกลัว ตื่นเต้น เมื่อเราคุมสติไม่อยู่รีบถอนตัวออกจากสมาธิเร็วจะทำให้กายทิพย์สะเทือนได้

    วิธีแก้
    ควรจะนั่งต่อไปอย่างพึ่งขยับแล้วหายใจเข้าออกลึก ๆ ประมาณ 5 ครั้ง แล้วเริ่มตั้งจิตใจส่งไปกึ่งกลางระหว่างคิ้วใหม่ หายใจเข้าว่า พุท หายใจออกว่า โธ ปฏิบัติเช่นนี้อยู่ประมาณ 15 นาที หรือนานกว่านี้ จนหัวใจที่เต้นแรงผิดปกตินั้นคืนสู่ภาวะ ปกติ ความกลัวหายไป แล้ว จึงค่อย ๆ คลายออกจากการฝึกสมาธิได้

    อาการของคนที่ป่วยเพราะกายทิพย์สะเทือน

    1 คนที่ป่วยชนิดเบา ๆ คือ หลังตกใจแล้ว ไม่ได้สมานกายทิพย์ จะมีอาการเบื่อหน่ายชีวิต เมื่อย ๆ ชา ไม่ค่อยมีจิตใจทำงาน และ พอตกบ่ายก็จะมีอาการง่วงเหงาหาวนอน มึนศีรษะ ปวดหัวเล็กน้อยจนปวดหัวมาก

    วิธีรักษา

    พยายามหาเวลานั่งสมาธิให้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนบ่ายที่ง่วงนอนไม่ควรไปนอน แต่ไปนั่งฝึกสมาธิปฏิบัติเช่นนี้ 7 วัน ก็จะหายเป็นปกติ

    อ้างอิงจากหนังสือ แนวคำสอนสมเด็จโต สมาธิ ทางสงบ ถอดจิต
    รวบรวมจากประสบการณ์โดย แสง อรุณกุศล สนใจซื้ออ่านได้ ซีเอ็ด
     
  12. ง้วนดิน

    ง้วนดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,362
    ค่าพลัง:
    +11,047

    สาธุ....

    ขอบใจเจงเจงจ้าพ่อคุณ

    (b-oneeye)(b-oneeye)(b-oneeye)
     
  13. ง้วนดิน

    ง้วนดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,362
    ค่าพลัง:
    +11,047
    ข อ บ คุ ณ ก๊ า บ บ บ บ บ บ.......

    ขอบคุณ.....
    ทุกคนที่มาช่วยตอบก๊าบบบบบบบบบบบบ

    [b-wai][b-wai][b-wai]


     
  14. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,810
    ค่าพลัง:
    +18,982
    ข้อมูลจากหนังสือสมเด็จโตฯ ก็น่าจะพอแล้วนะป้า


    กายทิพย์สะเทือน...ก็มักจะเป็นเรื่องการไม่ชำนาญในการปรับฌานให้พอดี ขณะถอดจิต

    สติตามจิตไม่ทัน จิตก็กำลังอ่อน กายทิพย์ก็พลังน้อย โดนอะไรกระทบหน่อยก็สะเทือน .. ก็แบบนี้ไง

    ถ้าสติดีเสียอย่าง...ก็จะลดปัญหานี้ไป อิอิ

    พูดไปงั้นๆแหละ ผมยังไม่รู้เลย ผมรู้แค่บางมุมเท่านั้น
     
  15. พอรู้บ้าง

    พอรู้บ้าง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    ภาวะตกใจ หรือเรียกว่า กายทิพย์สะเทือน และ ภาวะปรับจิตให้หายตกใจ เพื่อรักษากายทิพย์สะเทือน เรียกว่า ปรับธาตุของกายทิพย์ที่สั่นสะเทือนนั้นให้ นิ่งและ คืนสู่สภาพปรกติ อาการหนึ่งของคนที่ป่วยเพราะกายทิพย์สะเทือน 1.คนที่ป่วยชนิดเบาๆ คือ หลังตกใจแล้ว ไม่ได้สมานทิพย์ จะมีอาการเบื่อหนาย เมื่อยๆชาๆ ไม่ค่อนมีจิตใจทำงาน ตกบ่ายมึนหัว เหนื่อย ง่วง หรือ ปวดหัวเล็กน้อยจนถึง มาก 2.คนที่ป่วยอาการหนัก อาการของคนที่ป่วยหนักคือ หลังตกใจ กายทิพย์ถูกสะเทือนจนแตกกระจาย เหมือนจะควบคุมสติไม่อยู่ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือ เหม่อลอย วิธีรักษาโดยสมาธิ โดยใช้การพอกกายทิพย์เพื่อรักษากายทิพย์ที่ถูกสะเทือน ถึง ขั้น แตกกระจาย เป็นวิธีรวมจิตที่แตก แยกกระจายให้ สมารคืนรูปเดิม ด้วยการเพ่ง พระพุทธรูปเป็นนิมิตรดังนี้ คือ หาห้องสะอาดปราศจากความรุงรัง ที่ฝาห้องติดผ้าขาวหรือกระดาษขาว และ ตั้งพระพทุธรูปองค์ไม่ใหญ่นัก ประมาณหน้าตัก 5 นิ้ว ก็พอ ตั้งสูงประมาณพอดีกับระดับสายตาจองผู้ที่ปฏิบัติฝึกสมาธิจิต แล้ว แนะนำ คนไข้นั่งในท่า สมาธิ ห่างจากองค์พระพทุธรูปพอสมควร แล้วให้ คนไข้เพ่งไปที่พระพุทธรูปนั้น จนจำภาพได้ และ ปิดหนังตาลงพยายามให้นึกเห็นภาพ พระพุทธ รูปนั้น อีกจนกว่า ภาพพระจะชัดเป็นรูปสมบูรณ์แต่พอภาพหายไปให้ลืมตาใหม่เพ่งแล้ว หลับตาอีก ปฏิบัติ หมุนเวียน เช่นนี้จนกว่าจะหลับตาเห็น พระพุทธรูป วิธีรักษาขั้นสูง การพอกกายทิพย์ให้สมบูรณื เมื่อรักษาขั้นต้นนั้นจะมีความรู้สึกว่า “หลับตาจำพระพุทธรูปได้” แต่พระพุทธรูปนั้นจะยังเลือยลางลอยอยู่เบื้องหน้า แล้วเราก็ค่อยๆส่งความรู้สึกนึกคิดเพ่งส่งเข้าไปที่พระพุทธรูปเหมือนเก็บรวบรวมเอาสรรพความคิด สรรพกำลังในร่างกายรวมตัว เป็นธนูพลัง ยิงออกจากคันธนูคือร่างกายเราไปที่เป้า คือ พระพุทธรูป ฝึกเช่นนี้ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ภาพพระพทุธรูปจะค่อยๆ ชัดขึ้นจนเห็น ทุกสัดส่วนชัดเหมือนเห็นด้วยการลืมตา เพ่งต่อไปอีก พระพุทธรูปจะค่อยๆเปล่าแสงสว่างจนเป็นวงกลมล้อมรอบพระพุทธรูปที่เราเรียกกันว่าดวงจิตหรือดวงแก้ว แรกๆตรงกลางดวงแก้วยังมีพระพุทธรูปอยู่ เมื่อฝึกขึ้นไปอีก ชั้น พระพุทธรูปจะหายไปคงเหลือแต่ดวงแก้วหรือดวงจิตอย่างเดียว และ เมื่อเพ่งไปอีก ดวงแก้วนั้นก็จะกลมและสว่างจนเรารู้สึกเกิดความปิติสุข นั้นละ “ท่านหายเป็นปรกติแล้ว” ระหว่างฝึกนั้นให้หลับตาตลอด แต่ถ้าภาพพระพทุธรูปจับไม่อยู่หายไป ก็ลืมตาขึ้นมาเพ่งจับภาพพระพุทธรูปใหม่อีกครั้งแล้วดำเนิน ตามวิธีข้างต้นอีก หมายเหตุ การฝึกนี้จะต้องไม่เกร็งบีบประสาท ถ้ามีอาการมีน หรือ ปวด ให้ หายใจเข้าออก กำหนด พุทธ โธ 5 นาที จนหาย วิธีการพอกกายทิพย์ให้สมบูรณืนี้ คือการดึงเก็ยรวบรวมเอา มวลสาร ของอะตอมในโมเลกุล ซึงเป็นส่วนละเอียดที่สุดของส่วนประกอบดวงจิตที่เหมือนดวงแก้ว ที่ แตกกระกายออกไปนั้น มารวมตัวสมานกันอีก ครั้ง พระพทุธรูปที่เราเพ่งนั้นเป็น นิมิตหรือศูนย์กลางของการเพ่ง เมื่อการเพ่งจับ นิมิตรคน จิตรวมเป็นหนึ่งก็จะเกิดอำนาจดึงดูด เหมือนแม่เหล๊ก ยิ่งส่งความนึกคิดเข้าไปในองค์พระพุทธรูปมากเท่าใดแล้ว เหมือน เสริมพลังให้กับแม่เหล็ก อำนาจแม่เหล็กที่ศูนย์กลางคือ พระพุทธรูปจะยิ่งเพิ่งพลังดึงดูดมากขึ้น จึงเกิดกำลังทวีคูณ ดึงดูด เก็บรวมชิ้นส่วนอันละเอียดของดวงจิต ที่แตกซ่านกระจายนั้น รวมตัวเข้าเป็นวงกลม ที่สมบูรณ์ ( ใหม่ๆ ดวงแก้วอาจจะไม่ค่อยสว่างและไม่ค่อยกลม ) สุดท้าย อำนาจดึงดูดสูงยิ่งขึ้นๆ เศษส่วนต่างๆของดวงแก้วก็จะติดแน่นสมานตรไม่มีรอยตำหนิ วิธีพอกกายทิพย์นี้ ไม่ใช่มีไว้สำหรับรักษาคนที่กายทิพย์แตก จากโรคประสาทเท่านั้น ยัง รักษาคนเสียสติได้ และ เกติอาจารย์ที่ถูกฝ่ายตรงข้ามทำงาย หรือ ปล่อยคุณไสยมาทำลาย ขอให้เขาระลึกถึงครูบาอาจารย์ทันที และ ขอน้ำ พระพุทธมนต์หน้าหิ้งพระนำมาอาบดื่มแล้ว รีบปฏิบัติตามวิธีพอกกายทิพย์นี้ เขาก็จะพ้นจากการเสียสติได้
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    เก่ามากบทความนี้
    แต่คิดว่ามีประโยชน์
    เพราะเรื่องนี้ถือว่าไม่มีประโยชน์อะไร
    และไม่ค่อยทำกัน ยกเว้นใน
    กลุ่มดวงจิตที่เป็นผู้โปรด
    หรือผู้สอนธรรมที่มีความสมารถสูง
    เพราะในระดับใช้งานทั่วไป
    มีวิธีอื่นที่ได้ผลคล้ายกัน


    กรณีกายทิพย์สะเทือนนั้น
    ทางกิริยาก็คือ
    การที่มีภพภูมิ หรือการที่
    ถูกแรงจากภายนอก
    ไม่ว่าจะมาจากแหล่ง
    ใดหรือนามธรรมใดก็ตาม
    ย้ำว่าไม่ใช่เพราะมีอะไร
    มากระทำกายทิพย์หรือ
    กายอุปโลกน์ที่เป็นนามธรรมนะครับ
    ทางกิริยามันไม่ใช่อย่างที่เข้าใจกัน

    คืออย่างกายนามธรรม หรือกายทิพย์
    ถ้ามีใครมาทำอะไร เราระลึกรู้ตัว
    หรือมีสติได้ มันก็จะกลับมาที่ร่างกายปกติ
    ภายในเวลาไม่ถึงวินาที
    ได้อยู่แล้วปกติครับ
    ตื่นมาแค่ตกใจหรือเหนื่อย
    มันเป็นอาการปกติถ้ากำลังสมาธิสะสมและ
    สติทางธรรมยังน้อยไป


    แต่กายทิพย์สะเทือนคือมีแรงภายนอก
    มาทำให้เส้นสายใยวิญญาณ
    หรือไอ้เส้นที่ส่งออกจากตัวจิตเรา
    แล้วมันอุปโลกน์สร้างเป็น
    กายนามธรรมขึ้นมา มันได้รับ
    การกระทบกระเทือน

    ในกรณีดวงจิตที่มีความชำนาญ
    ในการยกกายได้นั้นดวงจิตท่าน
    จะค่อยๆส่งตัววิญญาณที่เป็นกะแส
    ออกมาจากตัวจิตท่าน แล้วออกมาอุปโลกน์
    สร้างเป็นกายนามธรรมขึ้นมา จะสร้างเป็นกายอะไรก็ได้ตามแต่สภาวะจิต ณ เวลานั้น
    เปรียบเหมือนเราจะมองเห็นอีกกายหนึ่ง
    ที่ค่อยๆลุกขึ้นมาจากร่างกายที่นอนอยู่
    (ที่เราเห็นร่างกายอีกกายนั้น
    เพราะตัวกะแสวิญาน
    ที่ออกจากจิตมันกำลังอุปโลกน์สร้าง
    กายนามธรรมอยู่)

    พอสร้างเป็นกายนามธรรมแล้ว
    ไอ้ตัววิญญาณที่เป็นกระแสมันก็จะยังอยู่
    เพราะมันสร้างกายนามธรรมจากด้านหลัง
    ไปด้านหน้า.


    ช่วงของไอ้เส้นกระแสวิญญาณที่ออกจากจิต
    ถึงด้านหลังกายนามธรรมที่อุปโลกน์
    กายขึ้นมาตรงนี้นี่หละครับ
    ที่เราเรียกว่า “เส้นสายใยทิพย์”
    ที่เรียกเช่นนี้ เพราะว่า
    มันสามารถสร้างเป็น
    กายนามธรรมอะไรก็ได้
    ตามสภาวะจิต ณ เวลานั้นๆ

    เส้นตรงนี้ ถ้าสมมุติถูกตัดขาด
    ความหมายก็คือ กายอุปโลกน์นั้น
    จะไม่สามารถ. กลับเข้าร่างกายได้

    เหตุเพราะมันเป็นกะแสวิญญาน
    จากจิตที่เป็นลักษณะของสายใย

    เส้นสายใยปกติ คือ ก่อนที่จะมีกายปกตินั้น
    จิตจะสร้างสายใย ที่เป็นช่องทาง
    ให้ตัววิญญาณมันผ่านออกไปรับรู้ภายนอก
    เป็น ตา หู จมูก ลิ้น ตลอดจนส่วนประกอบต่างๆจนเป็นร่างกาย เพื่อใช้งานในชีวิต
    ปกติประจำวัน ซึ่งมันจะสร้างได้เพียง
    ทีละกายเท่านั้น (กรณีที่มีหลายกาย
    คือมันไปเริ่มสร้างจากกายนามธรรมภายนอก คนละแบบกัน).

    ที่นี้พอด้วยการลดระดับกำลังสมาธิได้ ทำให้มันตัดขาดจากกายปกติได้
    มันก็เลย สามารถไปอุปโลกน์สร้างกายนาม
    ธรรมที่ภายนอกได้ พอเส้นสายใยตรงนี้
    ถ้าถูกตัดขาด จึงเสมือนตัดเส้นทาง
    ให้ตัววิญญาณมีช่องทางส่งออก
    เหมือนที่สร้างเป็นกายปกติ
    มันเลยกลับเข้าร่างไม่ได้นั่นเอง


    หรือแม้แต่ถูกจับ ทำให้โยก
    มันก็จะส่งผลต่อ การถอยจากกาย
    อุปโลกน์กลับมาที่กาย
    เพราะการสั่นสะเทือนเส้นสายใย
    นั้น มันส่งผลต่อพวกธาตุต่างๆ
    ที่มันจะมารวมเป็นกายครับ
    คือมันทำองค์ประกอบของอนุภาคที่เป็น
    ธาตุมันมีการเปลี่ยนแปลงจากปกติครับ
    เช่น ธาตุดินคือการรวมอนุภาคที่เข้าพวกกัน
    ที่ไม่เข้าพวกคือธาตุน้ำเป็นต้น ฯลฯ มันทำให้
    ส่วนนี้ไม่เสถียรภาพ. ผลที่ได้คือ


    จะส่งผลต่อร่างกายโดยรวม
    ทำให้เจ็บป่วย ตลอดจนถึงขั้น
    วิปลาสได้ครับ


    ดังนั้นถ้าเราไม่ครูบาร์อาจารย์
    ไม่มีพันธมิตรทางภพภูมิที่ดี
    ปกติจะไม่มีใครทำกัน
    แม้ว่าจะสามารถทำได้


    แต่เพื่อให้หลายดวงจิต มีโอกาสได้เข้า
    ถึงจุดนี้ เพื่อพิสูจน์นามธรรมต่างๆ
    ได้รู้คุณรู้โทษ และกลับมาวิปัสสนาต่อนั้น

    จึงได้เกิดวิชาเฉพาะขึ้นมา
    ที่มีชื่อเสียง ก็ทาง จ.อุทัยฯเป็นต้นครับ
    แต่ก็จะต้องอาศัยบารมีพระฯ
    ก่อนทุกครั้งก็เพื่อ ป้องกัน
    การกระทบกระเทือน
    สายใยวิญญาณนั้นเองครับ

    ย้ำว่า กายทิพย์สะเทือนไม่ใช่
    มีอะไรมาทำกายทิพย์นะครับ
    มันเป็นเพียงภาษาพูด แต่ไม่ใช่
    กิริยาทางนามธรรมครับ

    ปล การส่งจิตออก หรือการออกไป
    โดยที่ไม่ทันระหว่างทาง
    หรือไม่เห็นตอนที่จิตจะออก
    หรือไม่เห็นกายกำลังลุก
    กิริยาพวกนี้ ไม่เพียงพอที่จะทำให้เราสังเกตุ
    เห็นเส้นสายใยวิญญาณครับ
    ต้องมาเจริญสติเพิ่มให้ต่อเนื่องจริงๆ
    ตลอดจนสร้างกำลังสมาธิสะสมให้เพียงพอ
    จนสามารถที่จะบังคับจิต
    ถ้ามันจะออก บังคับไม่ให้มันออกได้
    หรือถ้ามันออกก็ตามมันไปได้ทุกที
    เราจะทันแม้ในระหว่างทางที่จะถึง

    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
    และย้ำว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีประโยชน์
    อะไรเลยครับ ฝึกไปเสียเวลาครับ
    ถ้าเราไม่ได้มีอะไรในระบบภาคทิพย์
    ควรนำกำลังตรงนี้มาหนุนทาง
    ด้านวิปัสสนา ด้านปัญญา
    ถึงจะมีประโยชน์ต่อตัวจิตครับ

    เล่าได้แต่ไม่สนับสนุนเลยครับ
    เพราะมันทำให้คนหลงตัวเอง
    ติดภพ ติดชาติ ติดในระบบ
    ภาคทิพย์มานับไม่ถ้วนครับ
     
  17. รัศมีสุริยา

    รัศมีสุริยา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +53
    ก่อนอื่นต้องขอโมทนาบุญท่านนพฯ
    ในการตอบปัญหาธรรรม และขอขมาอภัยในการกล่าววิวาทะ ปรามาสซี่งไม่มีเจตนาไม่ดี แต่เพื่อลองภูมิ จึงขออโหสิกรรมจะได้ไม่เป็นกรรมต่อกันครับ

    คราวนี้ท่านนพฯ เล่นผมหนักเลยสามวันแรกกับวันนี้กำหนดจิตไว้ ให้คุยเจ็ดวัน ผมกระทบจิตถูกหรือไม่ มีเรื่องที่ทำให้ต้องตอบวันนี้ถึง สามเรื่องที่หนึ่งครูบาอาจารย์ท่านเขียนไว้เรื่องการเอาชนะตนเอง อีกสองเรื่องก้อคล้ายๆกัน เปิดฟังพระท่านเทศน์ว่าอย่าได้ปรามาสใครเราไม่รู้ว่าเขาขั้นไหน 555.

    แต่ต้องยอมรับว่าการปฏิบัติท่านนพฯ เหนือกว่าผมจริงไรจริง
    จึงขอเรียนถามว่าผมควรฝึกปฏิบัติแนวไหน ของครูบาอาจารย์ ท่านไหน ถึงจะต่อกับของเก่าได้ตอนนี้กำลังหาตัวเชื่อมของเก่า ซึ่งเกือบจะได้แล้วแต่มันขาดๆเกินๆ อีกข้อผมติดขัดต้องแก้อะไรตรงไหนรึป่าวข้อนี้ไม่ตอบก็ไมาเป็นไร รอฟังคำตอบและคำแนะนำอยู่นะ ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2018
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035

    ถามเชิงให้แง่คิด แต่ไม่ต้องตอบนะครับ
    ถามก่อนว่า คุณรู้ไหมว่า ของเก่าคุณมีอะไรบ้าง ??
    ปกติวิสัยพวกที่จะสามารถใช้งานทางจิตได้จริงในอนาคต
    มักจะรู้ลึกๆในใจตนเองเป็นอย่างดี.....


    อย่างส่วนตัวนี่รู้ ตั้งแต่ ๓ วันแรกที่มาเริ่มสนใจนั่งสมาธิ
    แต่ก็ยังถูกห้ามไม่ให้ฝึก และให้เจริญสติจนแยกรูปแยกนาม
    ให้ได้ก่อน และต้องมาเดินปัญญาต่ออีก ๘ เดือน
    ท่านถึงจะบอกว่า ให้ฝึกได้ พร้อมกับข้อแนะนำต่างๆนาๆ
    เชิงเตือน........นี่ยกตัวอย่างนะ คุณ เห็นอะไรจาก
    บทความนี้บ้างไหม ไบ้ว่า มันส่งผลต่อความเข้าใจ
    ทางด้านนามธรรม กำลังสติทางธรรมพื้นฐาน
    และกำลังสมาธิพื้นฐาน อย่าลืมว่า ระหว่างทาง
    ในการฝึก มันเป็นนามธรรมทั้งนั้น....พอจะเกทไหม

    ถามก่อนว่า คุณรู้ใช่ไหมว่า การพูดถึงเรื่องนามธรรม
    ในสิ่งที่ไม่ควรพูด และพูดในลักษณะที่ไม่มีประโยชน์ทางธรรม
    และไม่เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะชน หรือพูดให้คนอื่นๆ
    เข้าใจว่าตนเองมีอะไรที่วิเศษ ตนเองสามารถเข้าถึงอะไร
    ที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ยาก ทำให้คนหลงเข้าใจว่า
    ตนเองมีอะไรที่วิเศษกว่าใครแบบจริงๆจังนั้น
    มันจะทำให้การปฏิบัติของเรามันขาดๆเกิ๊นๆ
    คือ ไม่ว่าขาดคือทำไมทำไม่ได้อีกหรือเกิ๊นแบบหาประโยชน์อะไรไม่ได้
    ซึ่งทำให้ฝึกอะไรไม่สำเร็จและใช้งานได้ซักที ????


    รู้ใช่ไหมว่า นักปฏิบัติมีโอกาสได้พบเห็นครูบาร์อาจารย์
    ทางภพภูมิที่ตนเองเคยมีสัมพันธ์ได้อยู่แล้วปกติและไม่ควรยึด ??
    (คือ ถ้าไม่มี บางอย่างเราจะฝึกเป็นปี ถ้ามี แค่ครั้ง ๒ ครั้งก็จะผ่าน)
    และพอรู้ไหมว่า เราควรจะปฏิบัติตนอย่างไร
    เพื่อที่ครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิท่านจะเมตตา
    มาแนะเทคนิคคอลเทอมทางสมาธิให้เรา??

    คุณควรเป็นบุคคลที่คิดว่า จะฝึกสำเร็จเพื่อความเท่ห์ส่วนบุคคล
    อยากมีความสามารถพิเศษ หรือเอาไว้โชว์อวดใคร
    หรืออยากให้ใครมองว่า ตนเองมีความสามารถพิเศษเหนือใคร
    ไปไหนๆคนจะได้ยอมรับและยกย่องในความสามารถของตนเอง..


    หรือคุณควรจะเป็นบุคคลที่ ตั้งเป้าว่า ฝึกเพื่อใช้งานที่เป็นประโยชน์
    ทางธรรมและเป็นสาธารณะชน โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ......
    แค่แนวความคิดพื้นฐาน ก็พอบอกได้ว่า
    ตัวเราจะมีครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิเข้ามาหรือไม่
    และพอจะคาดคะเนได้ว่า เราจะสามารถฝึกสำเร็จ
    จนใช้งานได้จริงๆหรือไม่ หรือจะติดแค่ในสัมผัส
    ทางนามธรรมต่างๆ ที่มักทำให้เรานึกว่า ตนเองเหนือกว่าใคร
    เนื่องจากสิ่งที่ตนเองได้สัมผัส คิดให้เรา
    อยากเป็นอาจารย์ เป็นปรมจารย์คน แต่ใช้งานจริง
    ออกงานจริงๆไม่ได้ ได้แต่โม้สร้างภาพให้ตนเอง
    เป็นผู้วิเศษ ดูดี เป็นคนไม่ใช่ทำดาไปวันๆ
    พอเห็นอะไรไหมจากตรงนี้...
    แค่ความคิดเริ่มต้น.... ข้างบนฝากไว้ให้คิดเล่นๆ


    และ
    เอาว่าที่ผ่านมาถือว่าแล้วๆไปครับ..และ
    ส่วนตัวไม่เข้าใจคำว่า ''เล่นผมหนักเลย''


    ส่วนเรื่องลองภูมิ ถ้าคิดจะทำ(ปกติไม่ควรทำ)
    ถ้าคิดก็ควรมีเจตนาที่ดีเพื่อเตือนหรือแนะนำ...
    หรือเพื่อจะฟังความเห็น หรือเพื่อต้องการเห็นผลการปฏิบัติ
    หรือพูดเป็นแนวทางให้เป็นข้อสังเกตุ.....

    ไม่ใช่เอาตนเองเป็นที่ตั้ง โดยหมายเข้าใจว่าตนดีกว่า
    เพราะไม่ว่าจะคิดว่าตนดีกว่าก็ยึดว่าดีกว่า
    หรือแม้เข้าใจว่า ตนด้อยกว่า ก็ยึดว่าตนด้อยกว่า

    สรุปว่า หากได้เกิดการเปรียบเทียบไม่ว่าดีกว่า หรือด้อยกว่า
    มันก็คือ การยึดทั้งคู่ จะทำให้ใจขาดความเป็นกลาง
    ขาดการยอมรับนับถือบุคคล เราควรรู้จักวางตัวเป็นกลางและระมัดระวัง
    เรื่องนี้ให้ดี......เพราะมันจะทำให้เราแสดง คิด พูด กระทำ
    ในสิ่งที่เรายึดออกมาทั้งหมด.....


    ยกเว้นว่าเจตนาดีแล้ว และ พยายามพูดแล้ว แนะนำแล้ว
    แต่ผู้ตอบโต้ตอบกลับ แบบขาดตรรกะ(ไม่มีเหตุมีผล)ไม่รับฟัง
    แล้วยังดูถูก ดูแคลนถากถางคืน เป็นอีกเรื่องหนึ่ง...
    ตรงนี้แล้วแต่ว่า เราจะพิจารณาปฏิบัติตนอย่างไร
    กับบุคคลนั้นๆ.....

    ส่วนตัวบอกไว้ก่อนนะครับว่า ไม่เคยคิดทำร้ายใคร
    คือ ถ้าคุณได้เคยเห็น และได้เคยสัมผัสตัวตน
    และได้เห็นในสิ่งที่ส่วนตัวทำได้...
    คุณจะพบว่า หากสิ่งที่ทำได้เหล่านั้น
    ไปเกิดขึ้นกับคนไม่ดี เจ้าคิดเจ้าแค้น
    ภูมิต้านทานทางจิตน้อย...
    มันจะน่ากลัวมาก นี่เล่าให้ฟังเฉยๆนะครับ

    ยกเว้นว่า จะเป็น หมอผี หมอธรรม ร่างทรง
    หรือ พวกที่ถูกแทรกต่างๆ ที่เข้ามาท้าทาย
    มาทำร้าย ทำลายผู้คน มารังแกข่มเหงคนอื่นๆ
    โออวดประกาศศักดา ดูหมิ่น ดูแคลน ถากถาง....
    ส่วนตัวก็ไม่คิดทำร้ายเช่นเดิม
    แต่จะเปลี่ยนไปช่วยบุคคลที่ถูกรังแกแทน......
    .

    เอาว่า สิ่งที่คุณควรแก้ไข.....

    ๑.อย่ายึดในนามธรรม อย่ายึดในสัมผัสต่างๆที่ตนเองเคยได้สัมผัสรับรู้มา
    และถ้าไม่มีคนถาม ก็ไม่จำเป็นต้องไปพูดให้ใครฟัง และไม่จำเป็น
    ห้ามเอาครูบาร์อาจารย์มาอ้าง มาพูดถึง และเอามาฟาดฟันใคร
    (เพราะสิ่งที่คุณท้ายทอด มันจะบอกเองว่า ใครเป็นครูบาร์อาจารย์คุณ
    ผลการปฏิบัติเป็นเช่นไร...)
    เคยได้ยินไหม ''บางเรื่องเรารู้ของเราคนเดียวก็พอ ไม่ต้องให้คนอื่นๆ
    เค้ารู้ด้วยหรอก'' เคยได้อ่านที่ส่วนตัวเขียนไหม
    มายาจิต เป็นแค่กลจิตชนิดหนึ่ง แม้เห็นได้ด้วยตาเปล่า
    ก็ยึดไม่ได้ มันจะสื่อว่า ถ้าคุณเผลอยึด
    คุณจะไม่สามารถเข้าถึงระดับปัญญาญานได้
    ตรงนี้นี่หละ คือ ตัวหลักที่จะทำให้ของเก่า
    ของเรามันค่อยๆขึ้นมาได้เองตามลำดับ
    ใช้งานได้แบบอัตโนมัติ ไม่เหนื่อย ไม่มีเสื่อม ไม่มีถอย
    มีพัฒนาการได้เรื่อยๆนั่นหละ.......ไอ้พวกเทคนิคต่างๆ
    ของกรรมฐานต่างๆ มันเป็นเพียงแค่่ ผลของการใช้สมาธินำ
    ใช้ความชำนาญในการเข้านำ เพื่อให้มันใช้งานได้ในเบื้องต้นเฉยๆ
    หรือให้จิตมีพื้นฐานทำงานได้เบื้องต้นเฉยๆ มันไม่ใช่ของเก่าเราหรอก
    เพียงแต่ถ้า ของเก่าเราเคยมีเรื่องนั้น มันอาจจะทำให้เราเข้าถึงได้
    เร็วกว่าในระดับที่ใช้งานได้ในเบื้องต้นเท่านั้นเอง......
    เพราะแท้จริงแล้ว เมื่อจิตเริ่มทำงานได้
    มันจะมีลำดับในการพัฒนาขั้นต่อไปอีกเยอะแยะมากมายหลายขั้นตอน
    ตามที่ตำราเขียนบอกไว้ ว่า ฝึกโน้นนั่นนี่ แล้วจะทำโน้นนี่นั้นได้
    นั่นเพราะครูบาร์อาจารย์ท่านเขียนไว้แบบหยาบๆ พอให้บุคคลส่วนมาก
    พอเห็นภาพได้ว่ามันทำอะไรได้บ้าง....แต่การจะไปถึงจุดนั้นได้
    เทคนิคคอลเทอมต่างๆ เราต้องค้นคว้า ทดลองปฏิบัติด้วยตนเองก่อนทั้งสิ้น
    ไม่มีทางจะตรงแป๊ะตามตำรา ดังนั้น จึงทำได้แค่เพียงใช้เป็นแนวทางเท่านั้น
    และไม่สามารถยึดมั่นถือมันได้เลย.......


    ๒.แรกๆทุกคนก็อยากจะวัดโน้นวันนี่ ไปแสวงหาครูบาร์อาจารย์ท่านโน้นท่านนี้
    ก็ไม่ใช่ว่า ไม่ดี ถือว่า ไปทำบุญสร้างบารมีก็ว่ากันไป....
    แต่ทำไมเราฟังบางท่านแล้วเราไม่เข้าใจ ก็เพราะว่าบารมีเรามันยังไม่พอ
    ปัญญาเรายังไม่มากพอ(ตรงนี้ยอมรับได้ไหม)
    ....ถ้าคนที่ฉลาดก็จะรู้จักกลับมาปฏิบัติต่อ ปรับปรุงตัวเองต่อ พัฒนาตนเองต่อ
    รู้จักสร้างสะสม บุญบารมีต่อไป เพื่อเอาไว้เป็นต้นทุนไว้หนุนตัวเอง
    (ไม่ใช่ทำเอาไว้ เพื่ออวดคน เพื่อทับถมคน พวกนี้มันเป็นกิเลส)และ
    ไม่ใช่กลับมา คิดวิเคราะห์ แยกแยะ ตีความ ให้ความหมาย ให้ความเห็น
    ว่าวัดโน้นเป็นอย่างนี้ วัดนี้เป็นอย่างนั้น คนไปปฏิบัติวัดนี้เป็นอย่างโน้น
    ท่านโน้นนี่นั้น เป็นอย่างโน้นนั่นนี่ พวกนี้มันเป็นเรื่องภายนอกทั้งสิ้น..
    อย่าได้เผลอไปประพฤติปฎิบัติตนแบบนี้...

    และเมื่อบารมีเรามากพอ ปัญญาเรามากพอ ครั้งต่อไปเราก็จะเข้าใจได้เอง
    (พูดทั้งในแง่ที่เจอท่านแนะทางด้านสมาธิและปัญญา)

    ๓.และสิ่งสำคัญในผลสำเร็จของกรรมฐานต่างๆ (ไอ้การกลับมา
    ของเก่ามันจะมาทีหลังจากที่เริ่มใช้งานได้แล้ว ไม่ใช่สัมผัสได้แล้ว
    เห็นได้แล้ว เข้าถึงกิริยานี้ได้แล้ว จะไปเข้าใจว่าของเก่า )
    ..เพราะพวกนิมง นิมิต ความชอบ
    มันเป็นเพียงแค่ตัวบอกว่า จิตเคยเก็บสะสมเรื่องพวกนี้ไว้
    หรือมีเชื้อนั้นหละ ซึ่งจริงๆ
    มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่นั่นเองครับ
    ดังนั้นอย่าไปสนใจให้ค่าอะไรมันเลย มันจะมี จะมาก็เรื่องของมัน
    ไม่ว่ากิริยาใดๆทางนามธรรมก็ตาม....


    ๔.และบุคคลที่จะเข้าถึงระดับใช้งานได้นั้น.....ตัวเราเองต้องเอาตัว
    เองนี่หละครับ เป็นครูบาร์อาจารย์สอนเราเอง เหตุเกิดจากภายใน
    ก็แก้ปัญหาที่ภายใน เหตุเกิดจากภายนอกก็รู้จักใช้สติพากายไปแก้ปัญหา

    เพราะไม่ว่า เรื่องของความก้าวหน้า(ย้ำว่าความก้าวหน้า)ทางด้านกรรมฐาน
    เรื่องของ ระดับปัญญาทางธรรม ไม่มีใครสามารถมาทำให้เราก้าวหน้า
    และมากปัญญาทางธรรมได้ เพราะปัญญาเป็นสภาวะธรรมเป็นนามธรรม
    และผลสำเร็จของกรรมฐานก็ได้จากการก้าวข้ามกิริยาทางด้านนามธรรมต่างๆ
    ดังนั้น ตัวเองเป็นครูบาร์อาจารย์ตนเองจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในเบื้องต้น......
    ไม่ใช่เพราะเราอยู่ใกล้พระเกจิหรือใกล้ท่านที่เปี่ยมไปด้วยปัญญา
    เพราะแม้เราอยู่ใกล้พระเกจิเราก็ไม่ได้มีความสามารถเหมือนท่าน
    เช่นเดียวกับอยู่ใกล้ท่านที่มากด้วยปัญญาก็ไม่ใช่ว่า เราจะมีปัญญาเหมือนท่าน
    พอเข้าใจนะครับ.......


    ท้ายนี้ ลองกลับไปดูตนเองว่า ระบบหายใจตนเองเป็นสากลหรือยัง ?
    คือหายใจได้ลึกถึงท้องเป็นปกติในชีวิตประจำวันไหม.....
    ก่อนจะถามว่า ควรฝึกกับใคร ใครเหมาะสม จะต่อยอดของเก่าอย่างไร
    จะฝึกกรรมฐานอะไร..


    ความเข้าใจทางด้านนามธรรมเราดีพอหรือยัง..........
    พวกนี้มีฐานมาจากการเจริญสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่องจริงๆ
    จนจิตแยกรูปแยกนามได้ และเดินปัญญาทางธรรมได้แล้ว
    มาระยะเวลาหนึ่ง......
    เพราะถ้าพื้นฐานตรงนี้คุณไม่เพียงพอ และยังลูบๆคล้ำทางพุทธศาสนาอยู่
    ตัวจิตคุณมันจะโน้นน้าว ให้คุณต้องเข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับ
    พวกที่เค้าไม่ได้มีความสามารถมาจากตนเอง
    หรือพวกที่เป็นคล้ายๆร่างทรงต่างๆ มันจะทำให้คุณไปชอบแบบนั้น
    ได้อย่างที่ไม่รู้ตัวเอง หรือเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่อง
    ที่มันไม่ใช่ทางหลักของพุทธศาสนา เช่น ดูดวง ทำนายฝัน หรือเรื่อง
    นามธรรมพิเศษต่างๆแล้วเอามาพูดแบบเชิงโอ้อวด ฯลฯ
    ให้ระมัดระวังไว้ให้มากๆด้วย....

    ท้ายจริงๆ ขอพูดตรงๆเลยนะ....
    เพราะจิตคุณยังมีโอกาส ยังไม่แข็งแรงพอ
    อาจจะถูกแทรกแซงจากวิบากกรรมทางด้าน
    พลังงานในอดีตซึ่งตรงนี้มันเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการรู้เห็นสัมผัสต่างๆ
    ทางนามธรรมได้ เพราะตามันเคยเห็นนามธรรมมาได้บ้างแล้ว
    แต่มันจะไม่ใช่ ลักษณะการรู้เห็น ภายใต้
    ครูบาร์อาจารย์ข้างบนคอยกำกับดูแลเหมือนทั่วๆไป แต่จะเป็นการรู้เห็น
    สัมผัสได้จากวิบากเก่าตรงนี้และภายใต้ความคิดตนเองครับ.....

    ดังนั้นอย่ามองข้ามเรื่องการสร้างพื้นฐานเล็กๆน้อยๆ
    ในเรื่องระบบหายใจ เรื่องเจริญสติให้ต่อเนื่อง เรื่องเดินปัญญา
    เรื่องความเข้าใจทางด้านนามธรรมต่างๆว่าดีพอหรือยัง
    ตำรงตำราวางไว้ก่อน
    บุคคลอื่นๆ ท่านใดจะเป็นอย่างไร วางไว้ก่อน
    เพราะไม่งั้น จะเสียเวลาทิ้งไปเฉยๆ
    จะเข้าอีหลอบเดิม... สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรครับ



    ปล...แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง......
     
  19. รัศมีสุริยา

    รัศมีสุริยา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +53
    ขอบพระคุณสำหรับคำตอบ
    เป็นดังท่านนพฯ ว่าไว้จริงๆ ทั้งเรื่องการดีกว่าด้อยกว่า การยึด ส่วนตัวพยายามคลายจิตทุกวันแต่ส่วนใหญ่สองสามวันทีหนึ่ง
    ผมไปมาหลายวัดจริงเพื่อทดลองว่าจริตเหมาะกับแบบไหนปฏิบัติหลายแนวแต่เหมือนเป็ดเรียนรู้มาหลายอย่างแต่ไม่สุดซักอย่างสายโพธิสัตว์หลวงปู่ดู่หลวงตาม้านี่มีคืนหนึ่งไม่สวดมนต์ไม่นั่ง เขามายืนนิ่งแสดงตัวให้เห็นในฝัน ไปหลายวัดแม้แต่สายหลวงพ่อฤาษีฟังท่านเทศน์ทั่วไปนะ แต่ไม่เคยไปนั่งแนวท่านจริงๆจังๆ (กลัวหลง) เคยทดลองพบว่าตัวเองพอทำได้ แต่ก็ไม่ชัดนัก แต่ก็ไม่ได้เปรียบเทียบใคร แต่การยึดว่าตัวเองเก่งกว่าด้อยกว่าเขาน่าจะมีเป็นดังนั้น ตัวยึดนี่ถอดถอนแก้ยากจริงๆ

    รวมถึงกำลังจิตพื้นฐานผมไปมาวัดหนึ่งมาท่านเน้นดูจิตท่านบอกกำลังความสงบผมยังไม่พอ ซึ่งมันทำได้ยากในที่ทำงานหลายร้อยคนมีคนปฏิบัติไม่เกินสามคน นอกนั้นเน้นสังสรรค์กันแทบทุกเย็น เรานี่มันคนแปลกแยกไปเลย

    ส่วนอาจารย์ทางกรรมฐานนี่ผมรู้ว่ามีเมื่อสามวันที่ผ่านมาผมฝันถึงหลวงพ่อแดง เพชรบุรี ท่านมายืนในฝันบอกทำไมไม่เร่งปฏิบัติท่านจะมาสอน ไอ้ผมก็อยากนะ อยากไปใกลกว่านี้นะ แต่มันยังไม่ได้ซักที เจตนาอวดสาวๆผมไม่มีแล้วแค่อยากช่วยคนอื่นช่วยตัวเองให้รอดก้อดีแล้ว

    ส่วนเรื่องลองภูมินี่ต้องขอขมาอภัยเป็นคำรบสองผมไม่มีจิตเจตนามุ่งร้ายท่านเลยมีความห่วงใยมากกว่า แต่เลเวลผมอาจห่างไม่เข้าใจก้อเป็นได้ อีกข้อผมออกระแวงในการเจอของปลอมแล้วจะพาเราหลงทาง แต่ท่านนพฯ นี่ปฏิบัติจริง
    ผมไปวัดหนึ่งเน้นสมถะพื้นฐานท่านเล่าว่าเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนท่านนั่งจนเสียงระเบิดบนหัวแบบท่านนพฯว่า หลวงพ่อท่านนั่งจนศรีษะร้อนต้องเอาหัวไปแช่น้ำ ความรู้สึกตอนเอาหัวจุ่มน้ำน้ำเสียงเหมือนเอาเหล็กเผาไฟไปแช่น้ำ และศรีษะท่านนูนขึ้นอีกท่านยังพูดเล่นๆเลยว่าไม่แปลกใจที่ศีรษะของพระพุทธองค์นูนเป็นชั้นๆ

    สรุปต้องกลับไปที่พื้นฐานป่าว. รอฟังคำชี้แนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2018
  20. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,806
    ค่าพลัง:
    +7,940
    ขออนุญาติส่งคลื่นแทรก......

    เนื่องจาก เอ่ยถึงหลวงพ่อแดง....ก้เลยขอ
    ถือวิสาสะ....ทั้งนี้ ....แม่ไม่ได้เล่า...แต่ตัวข้าน้อย
    เสี่ยวหลงเปล่า สันนิฐานว่า ตนมีชื่อจาก พระท่าน
    ตั้งให้...และเหมือนว่าเปนผู้ทำพิธี ตามคำขอของ
    แม่ให้ลูกชายที่ตายไปกลับมาเกิด....

    อาสัยอำนาจสัณริฐานงูๆปลาๆ ตามประสาบุคคล
    สำคัญตนเปนโพธิสัตว์....และ ไปหาพระดูจิต
    มาแล้ว....โดยท่านปรารภการเข้าสมาธิหลังวาง
    ไมค์ให้ท่านดูหน่อย......ท่านก้ ปรารภว่า เปนบุคคลชำนาญในสมาธิ รวมทั้งดูจิตมาหลายชาติแล้ว
    สามารถ ภาวนาควบสมถะและวิปัสสนา แถมยัง
    เข้าออกเพื่อมาฟังหลวงพ่อเทศนาได้(บ้าง) คือ
    ไม่ติดแม้นใน ปฏิปทาทั้งสอง

    ดังนั้น

    ถ้าคุณรุ้งสุรียา.....เปน กรรมฐานเป็ด บวกเปน โพธิสวาหา

    อย่าพึงเข้าใจผิดว่า ไม่ชำนาญอะไรสักอย่าง

    ให้กำหนดรู้ "ปัญญาอันยิ่งที่ล้ำหน้า" มันเข้า
    ไปตัด ปฏิปทาทีสมาทาน เพื่ออาสัยเหน

    สัญญาระลึกได้ใน ทุกขสัจจ ที่มีอยู่ใน ทุกๆปฏิปทา

    หรือ จิตระลึกเหน "ทุกขาปฏิปทา" มีความเกิดดับ

    เมื่อเกิดสภาวะ ความพ้น มรรคส่วน
    สาสวะ(อาสัยขันธ์5) ก้ให้ โน้มจิต
    ระลึก บ่อน้ำอมตะที่เหนชัดแจ๋วตรง
    หน้า เพียงแต่ไม่ได้ตักขึ้นดื่ม จนผลิก
    ไปเปน สาวกเพราะเกิด มรรคจิตผลจิต

    พุทธภูมิ จึงเปนผู้ละ อาสวะได้หมด ไม่ไป
    ติดในเจโตวิมมุติ และไม่ติดในปัญญาวิมุตติ
    เกยตื้น....ใน อุปทานใดๆ

    อย่างไรก้ดี ควรมี การเหนจิตไม่ห่างจากฌาณ
    ได้ดั่งคู้แขน เหยียดขา เวลาเจอกิเลส เจอทุกข์
    หยุดกรรมใหม่ได้ด้วยอนุโลมมิกฯ

    ถ้าป้อแป้ๆ ตีอก ชกหัว แล้วไม่ทันสภาวะ
    ปราศจากการกำหนดรู้ ไม่ควรสำคัญตน
    เปนผู้ปิดทองหลังพระ ควรปฏิบัตบูชา
    พระสมณโคดมเปนศาสดาโดยพลัน

    ลองดูนะ....ถ้า ตั้งจิตตรงได้ สมควรแก่ธรรม
    บารมีจะเต็มไว กว่าไปติดสมถะ ติดปัญญา

    ใครสอนผิด ไม่มีอาการเจ็บใจ เพราะมันเปน
    ภาระของเราที่จะ อนุโลมได้ทุกอย่าง ทั้งนี้
    ทั้งนั้น ขันธ์5 มันเปนเขตแดนของ "เขา"

    ถ้ายังมี อาการเจ๊บใจในคนสอนผิด ชัด
    พึงทราบว่า ไม่ใช่อุปนิสัยพุทธภูมิ พหุสัจจะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...