ธรรมชาติบอกใบ้ ให้เราอยู่กับปัจจุบัน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย OddyWriter, 24 มีนาคม 2010.

  1. OddyWriter

    OddyWriter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +977
    ผมคิดอยู่หลายวันเหมือนกัน กับการโพสต์กระทู้นี้

    เพราะตัวเองไม่ใช่คนที่มีความสามารถอะไรพิเศษ

    ไม่มีญาณไม่มีฌานอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย

    เคยฝึกอานาปาณสติมาแต่เด็ก (ซึ่งแน่นอนก็ไม่เคยเห็นอะไรนอกจากความสงบ)

    เคยฝึกกรรมฐานที่วัดอัมพวัน แล้วก็มาทำต่อที่บ้าน ผ่านไปหลายปีก็ยังไม่ถึงไหน

    ดังนั้นการที่ผมจะโพสต์อะไรที่ได้จากการเจริญสติถึงต้องคิดเยอะหน่อย

    =====================================

    เริ่มเลยนะครับ

    เรื่องของผมเกิดจากการที่เมื่ออาทิตย์ก่อนมีน้องคนนึงในที่ทำงานเอาสูตรคำนวณหาจุดเหมาะสมในการผลิตมาให้ผมช่วยดูสูตรหน่อยว่า ทำไมสูตรมันแปลกๆ ดูไม่น่าเป็นไปได้

    ซึ่งสูตรนี้ผมก็เคยงมมาแล้วเมื่อปีก่อน จนผมย้ายงานมาทำงานอื่นก็ยังขบสูตรนั้นไม่ออก แน่นอน...คนที่คิดสูตรนั้นขึ้นมาก็ลาออกไปแล้วด้วย

    เลยไม่รู้ว่าสูตรคำนวณนั้นมีที่มาได้อย่างไร

    ผมก็รับปากน้องคนนั้นว่าจะช่วยดูให้ว่าสูตรมันคำนวณมาได้อย่างไร

    แต่จนแล้วจนรอดก็ขบไม่แตกเช่นเดิม

    คืนนั้นผมเลยนั่งสมาธิแบบอานาปาณสติ แทนที่จะเป็นกรรมฐานแบบทุกวัน แล้วพิจารณาสูตรนั้นในสมาธิ

    1 ชั่วโมงผ่านไป พร้อมกับความลับของสูตรนั้นก็ถูกขบจนแตกได้ด้วยสมาธิ พร้อม by product.

    ผมเริ่มเข้าใจว่าทำไมคนเราทั่วไปถึงจำอดีตชาติที่ผ่านมาไม่ได้

    นั่นเป็นเพราะธรรมชาติกำลังบอกใบ้เราว่า "เราควรอยู่กับปัจจุบัน"

    ยิ่งปัจจุบันเท่าไหร่ได้ยิ่งดี

    ไม่ต้องไปสนใจว่าอดีตเราทำอะไรมาบ้าง เพราะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

    ไม่ต้องไปสนใจว่าสิ่งที่เราทำในปัจจุบันจะออกดอกออกผล (คือกรรมส่งผล) เมื่อไหร่ เพราะเมื่อเวลาเหมาะสมกรรมจะทำงานเอง

    สิ่งที่เราควรสนใจคือ ปัจจุบันเราทำอะไรอยู่ เราทำกรรมขาว กรรมดำ หรือกรรมไม่ขาวไม่ดำ ซึ่งเหมือนกับการชาร์ตแบต 3 ก้อนเก็บไว้

    โดยกฏแห่งกรรมจะเป็นผู้สับสวิตซ์เองว่าจะใช้พลังงานจากแบตฯ ก้อนไหน

    ถ้าเราทำใจให้อยู่กับปัจจุบันได้จนถึงจุดหนึ่งที่เราไม่สนใจอดีต ไม่สนใจอนาคต ธรรมชาติก็จะเล่นตลกกับเรา คืออนุญาตให้เรารับรู้อดีตและอนาคตได้ด้วยตัวเราเอง

    นี่แหละคือสิ่งที่ผมได้จากการนั่งสมาธิวันนั้น

    ท่านใดมีอะไรแนะนำบอกได้นะครับ

    อ้อ! เพราะเรื่องนี้เอง ตอนนี้ผมเลยพยายามอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด แต่มันยากจัง
     
  2. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,801
    ค่าพลัง:
    +7,939
    อยู่กับปัจจุบัน ก็ต้องรู้ลงในกายในใจเรานะ

    หากรู้อะไรนอกกายนอกใจเรา ให้สังเกตุว่า กิเลสจะค่อยๆพอกพูล
    [ ถ้าใช้เป็น ก็มีประโยชน์ต่อโลก ต่องานการอาชีพ ]

    รู้กายรู้ใจลงเป็นปัจจุบันแล้ว ก็ยังไม่พอ กิเลสยังอยู่ แต่มันเริ่มเหนียม

    เราต้องรู้เห็นตามความเป็นจริงอีก คือ สรรพเพ ธรรมา อนัตตา(+อนิจจัง +ทุกขัง)

    เห็นตามความเป็นจริงแล้ว ยังไม่พอนะ กิเลสเหนียม แต่หัวหน้ากิเลสคืออนุสัยเริ่มเผยตัว

    จึงยังต้องเห็นด้วยใจตั้งมั่น เป็นกลาง คือ อนุสัย แลจน อาสวะ ลากเราไปไม่ได้

    จิตก็จะถึงถือว่า อยู่กับปัจจุบัน(อธิศีล) รู้ถ้วนโลก(ในกายในใจเรานี่แหละ) ตามความ
    เป็นจริงด้วยจิตตั้งมั่น(อธิจิต) เป็นกลาง(อธิปัญญา)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2010
  3. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,697
    ค่าพลัง:
    +1,559
    นั่งสมาธิแล้วรู้เห็นหรือระรึกอะไรแปลกๆได้นี่คงยังมีแปลกๆอีกแยะ ที่เรายังไม่รู้กัน

    ครั้งหนึ่งเคยนั่งสมาธิพอสงบไประยะหนึ่งแล้วก็เกิดนึกสงสัยถามขึ้นในใจเราเองว่า เราทำกรรมอะไรกับใครมาหนอ เราถึงป่วยด้วยโรคนี้ เกือบจะทันทีก็มีภาพแมวทองแดงเกิดขึ้นให้เห็น แล้วเราก็ อ่อ อ่อ อ่อ . . .

    เรื่องการอยู่กับปัจจุบันคนเราถ้าระรึกอยู่ไกล้ปัจจุบันได้มากเท่าไรเรื่องทุกข์ใจยิ่งน้อยเท่านั้น
    ส่วนไหญ่ที่เราทุกข์กันเราทุกข์ไปกับเรื่องในอดีตที่ผ่านไปแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่คนเราก็เก็บเอามาทุกข์ เอามาระรึกถึงแล้วทำร้ายใจตัวเองบ่อยๆ . . .

    บางคนก็คิดไหลไปถึงเรื่องในอนาคตข้างหน้าไกลจากปัจจุบันเป็นวันบ้าง เดือนบ้าง ปีบ้าง
    แต่ที่คิดไปไกลจากปัจจุบันที่สุดก็คือคนเป็นพ่อแม่ ที่มักชอบคิดถึงอนาคตของลูกๆไปล่วงหน้าเป็น10 สิบปี และหลายครั้งคิดไปไกลถึงขนาดว่าถ้าตนเองตายไปแล้วจะวางแผนชีวิตอะไรให้ลูกไว้ดี ผูกห่วงกันไปยันตาย . . .

    แนะนำเล่นๆให้ลองไปซื้อหนังสือ เรื่องไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น เป็นหนังสือแต่งโดย ทันตแพทย์สม สุจีรา มาอ่านเพิ่มศรัทธา แล้วก็ซื้อเรื่อง ทวาร 6 : ศาสตร์แห่งการรู้ทันตนเองของผู้เขียนคนเดียวกัน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบปัญญา
     
  4. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    การเห็นสิ่งต่างๆที่กระทบเป็นสิ่งธรรมดา ทั้งเห็นด้วยตาและเห็นด้วยใจ ทั้งมีสติและไม่มีสติ
    ต่างก้ยังคงเห็นรูปไม่ว่าจะเป็นรูปที่รู้ทางตาและทางใจ
    ท่าเห็นสิ่งที่กระทบทางตาและทางใจที่ไม่มีในรูป และรุปไม่มี นั้นน่าอัศจรรใจมากกว่า
     
  5. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    อยู่กับตัวเองให้ระวังความคิด
    แม้พิจารณาโดยแยบคายยังคาดเคลื่อนได้ นั่นเป็นไปตามปัจจัย
    ซุปเปอร์อีโก้ ไม่จำเป็นต้องไม่ดีเสมอไป หากเรารู้จักการจัดการกับมัน

    และเมื่อ ศีล สมาธิ หลอมเป็นเนื้อเดียว ไม่ต้องฝืน ไม่อึดอัด ไม่ขาดเกิน ไม่พิรุธ
    ทุกอย่างก็ไม่พ้นปัจจุบัน ตรงนั้นผู้รู้ว่าเป็นปัญญา
    จิตที่ไม่ส่งออกนอก ผลก็คือมรรค

    เรื่องคิดถึงอดีตอนาคตนั่นก็ธรรมชาติจิต เราห้ามไม่ได้ ถ้าเราไม่เข้าไปเข้าใจธรรมชาติจิตก่อน ถูกไหม!
     
  6. OddyWriter

    OddyWriter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +977

    ขอบคุณครับ สำหรับมุมมองกว้างขึ้น ลึกขึ้น
     
  7. OddyWriter

    OddyWriter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +977

    ขอบคุณครับ เล่มนี้อ่านจบแล้วครับ
     
  8. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ปัญญาที่ขบสูตรนั้นจนแตก เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการพิจารณาอย่างไม่ลดละ นั่นก็คือ มีอิทธิบาทนั่นเอง
    ผสมกับการพิจารณานั้น เกิดขึ้นในขณะที่จิตตั่งมั่น มีสมาธิ เป็นกำลังให้การพิจารณาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
    ผลที่ได้รับ คือ ความรู้ความเข้าใจ ที่เป็นฝ่ายของปัญญา

    ผมอ่านกระทู้นี้แล้วทำให้นึกถึงเรื่องราวของ ดร อาจอง ที่ท่านขึ้นเขา เข้าสมาธิ แล้วพิจารณาวิธีในการลงจอดยานบนดาวอังคารได้สำเร็จ
    ดูเหมือนจะเป็นเหตุการณ์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
    ลองนึกดูเล่นๆว่า หากเรื่องที่ยกมาพิจารณานั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ขันธ์ห้า ไตรลักษณ์ อุปาทาน
    อะไรจะเกิดขึ้น...?
    สติ+สมาธิ+พิจารณา=ปัญญา
     
  9. daruma

    daruma เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +533
    ธรรมะ คือ ธรรมชาติ คือธรรมดา ทุกสิ่งรอบตัวคือธรรมะ
    อนโมทนากับจขกท.ด้วย ที่ตีโจทย์แตก การอยู่กับสิ่งที่เป็นปัจจุบันนั้นถือเป็นเรื่องยากสำหรับปุถุชนอย่างเราๆในหลายๆคน จะต่างกันที่ว่าใครล่ะ จะพยายาม ปลง ลด ละ เลิก และทำตัวให้อยู่กับปัจจุบัน เรียนรู้จากปัจจุบัน ได้และมีความสุขอยู่กับปัจจุบันได้
     
  10. OddyWriter

    OddyWriter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +977

    เคยพยายามกับ อริยสัจ 4 ครับ

    แล้วก็พบว่า

    อริยสัจ 4 นั้น ลึกซึ้งมากๆๆๆๆๆๆ แทบจะอธิบายได้กับทุกเรื่องเลย

    แล้วก็พบอีกว่า ยังมีอีกมากมายในอริยสัจ 4 ที่ไม่เข้าใจ คงต้องใช้เวลาอีกหลายอสงไขกับหลายแสนมหากัป กว่าจะเข้าใจ

    เดี๋ยวผมจะเอา ขันธ์ 5 ไตรลักษณ์ กับอุปทานไปพิจารณาครับ ได้ผลอย่างไรจะมาบอกต่อ

    (คราวก่อนพิจารณาศีลข้อ 3 ไป เกือบเจ็บตัว โชคดีที่ไปเจอกระทู้ของพระคุณเจ้าเล็กเข้า เลยรอดตัวไป)
     
  11. OddyWriter

    OddyWriter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +977

    สู้ต่อไป วันนึงต้องทำได้
     
  12. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    อ่อ มีการพิจารณาธรรมะในลักษณะนี้อยู่แล้ว
    อนุโมทนาครับ...
     
  13. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,801
    ค่าพลัง:
    +7,939

    [music]http://charyen.com/jukebox/asx_file/MusicUpdate-15048.wma[/music]
     
  14. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,801
    ค่าพลัง:
    +7,939
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 7 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 4 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>เล่าปัง*, APEX, หลินจิ่นเฉิง </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. k_yutthasin

    k_yutthasin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +117
    กระทู้ดีๆ ได้ข้อคิดเพิ่มขึ้นมากๆครับ ผมเคยนั่งสมาธิจนจิตดิ่งลงไปแต่ไม่รู้ว่าขั้นไหนนะครับแต่นิ่งจนขนาดที่ไม่อยากจะถอนจิตขึ้นมา นั่งจนมีความรู้สึกสว่างไปหมดบริเวญที่นั่งและมองเห็นตัวเองแบบเรามองคนอื่น หน่ะครับ แต่ไม่ได้นำเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาพิจารณาครับ
    อนุโมทนา กับกระทู้ดีๆ ครับ
     
  16. daruma

    daruma เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +533
    อนุโมทนาและยินดีกับคุณด้วย มีผู้ทำได้อีกหนึ่งหน่อแห่งพุทธศาสนา
    อย่าหยุดที่จะปฏิบัติดี อย่าหยุดที่จะปฏิบัติชอบ
    พึงหยุดในสิ่งไม่ดี ยับยั้งในสิ่งที่มิชอบ
    สา....ธุ
     
  17. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,801
    ค่าพลัง:
    +7,939
    ของมันต้องซ้อมเอาไว้ก่อน ถ้าไม่ซ้อมไว้ก่อน มันจะหลุดไปเห็นแบบนั้น
    แล้วไม่ได้อะไรเลย

    สมาธิ จึงเป็นของง่าย ทุกศาสนาทำมาถึงจุดนี้ ละสักกายทิฏฐิแบบนี้ และ
    บางที่ก็น้อมไปท่องเที่ยว ไปไหนต่อไหน ไปดูอดีต ดูอนาคตได้

    แต่ถ้าเป็นศาสนาพุทธ สายพระป่านี่เขาจะซ้อมไว้เนืองๆ หลังจากทำความ
    สงบได้ ไม่ว่าจะสงบได้มากน้อยแค่ไหน จะต้องออกซ้อมการพิจารณากาย
    ขน เล็บ ฟัน หนัง ฯ แล้วพิจารณาให้มันลอกออก ถอดออก ฉีกออก ให้มันเน่า
    เปื่อยผุพังไป ซ้อมมากๆ ผลของการซ้อมก็จะได้ สมาธิมากขึ้น แต่นั่นไม่ใช่
    เป้าหมาย

    เป้าหมายคือ ตอนมันออกไป ตอนที่จิตออกไปจากกาย แบบขาดออกไป
    แบบที่คุณเป็น มันจะต้องย้อนมาพิจารณากายในแบบที่เราได้ซ้อมไว้ ถ้า
    ทำได้ จิตมันออกไปแล้วมันมาย้อนลอกกายลอกใจที่นั่งอยู่ได้ ก็จะเริ่มเรียก
    ว่า "เจริญสติ" เป็น

    จะแค่เรียก เจริญสติ เป็นเท่านั้น เพราะยังต้องพิจารณาให้เห็นเป็นไตรลักษณ์
    ในอาการของจิต "ที่มันออกไปแล้วย้อนมาพิจารณาได้" อีกคำรบหนึ่ง ก็จะ
    เริ่มเรียกว่า "ภาวนาเป็น" "เจริญสติเป็น" เพราะวางแม้กระทั่งสิ่งที่ออกไปรู้

    ถ้าภาวนาแล้ว แค่ออกไปรู้ อันนี้ศาสนาไหนก็ทำได้

    ถ้าภาวนาแล้ว ออกไปรู้แล้ว แล้วยังยึดสิ่งที่ออกไปรู้ อันนี้ภาวนา
    ไปก็ยังถือว่าไม่ได้อะไร ได้แต่จินตมัยปัญญา อันนี้ศาสนาไหนๆ ก็ยังทำได้อยู่
    [ เพราะตัวจิตที่ออกไปนั่งดูนั้น จิตนั้นก็มีกิเลสอยู่ในตัวมันด้วย ]

    ถ้าภาวนาแล้ว ออกไปรู้แล้ว แล้วไม่ติดอยู่กับอาการของจิตที่ออกไปรู้ อันนี้เรียกว่า
    สัมมาสมาธิ สัมมาสติ สติตัวจริงก็เรียก ปัญญานิ่งเป็นใบ้ก็เรียก(เพราะเป็นความรู้ใน
    การไม่ยึดความรู้ จึงอุปมาว่ามันใบ้) เรียกว่าเกิด ภาวนามัยยปัญญา ซึ่งจะทำได้
    ก็เพราะ ศาสนาพุทธมีการอบรมจิตให้พิจารณาไตรลักษณ์ในกายในจิตด้วย

    ยังมีหลายซับหลายซ้อน มีของดีแล้ว ต้องเอามาฝึกเพิ่ม

    พอเริ่มฝึกเพิ่มได้ ออกไปแล้วมันย้อนมาดูได้ จะหายสงสัยคำว่า "จิตอบรมได้"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...