คุณคือ "ผู้พเนจรจากฟากฟ้า" (Wanderer) หรือ "เมล็ดพันธุ์แห่งดวงดาว" (Star Seed) หรือไม่??

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 20 มีนาคม 2010.

แท็ก: แก้ไข
?
  1. คำตอบที่ "ใช่" รวมได้ < 12 คะแนน

    2 vote(s)
    66.7%
  2. คำตอบที่ "ใช่" รวมได้ 12 - 15 คะแนน

    1 vote(s)
    33.3%
  3. คำตอบที่ "ใช่" รวมได้ 1ุ6 - 19 คะแนน

    0 vote(s)
    0.0%
  4. คำตอบที่ "ใช่" รวมได้ 20 คะแนนขึ้นไป

    0 vote(s)
    0.0%
  1. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ยิ่งตอนนี้เหมือนถูกกระตุ้นอย่างแรงเชียว
    โห แบบว่าไม่ยอมให้เราเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเลยล่ะ
    ไม่ได้ทำงานอะไรหนักหรอกค่ะ แต่ก็รู้สึกเหมือนถูกเร่งอยู่ตลอดเวลา
    พักนี้รู้สึกเหนื่อยแต่ไม่เพลียเหมือนมีอะไรคอยผลักดันให้ลุยไปข้างหน้าเรื่อย ๆ
    ชนิดที่ไม่ต้องมองแล้วข้างทางน่ะ รีบ ๆ เข้าช้ากว่าเขาทุกทีสิน่ะ

    ฝันว่าเขาจำลองเหตุการณ์ให้เข้าไปอยู่ในป่าที่มีไฟไหม้ เหอ ๆ ก็ลนลานหนีตายน่ะสิ
    ฝันว่าเขาเรียกเข้าแถวก็ชักช้างุ่มง่ามโดนคนอื่นแย่งที่ยืนไปหมด
    โน่น ตัวเองไปอยู่ท้ายแถว (เป็นแถวของทหารหญิงสวมชุดสีส้มแดงเหมือนชุดนักดับเพลิงเลยอ่ะ)
    ฝันว่ามีฝรั่งแก่มาบอกให้โดดลงไปในน้ำเหมือนเป็นคลองชลประทานนะ
    เหอ ๆ เราว่ายน้ำไม่เป็นอ่ะก็เลยไม่ยอมโดด เขาก็เลยบ่นอะไรก็ไม่รู้
    แล้วก็มาเรียกเราว่ามาโคโลนี ยังอุตส่าห์แอบดีใจในฝันว่าโชคดีที่เขาไม่จับเราโยนลงไป
    ลองจับโยนสิจะสำลักน้ำให้ดู อิอิ
    และมีความฝันแปลก ๆ อีกมากมายประเดประดังเข้ามาจนเหนื่อยจำก็เลยลืมไปละ

    เกี่ยวกับการทำสมาธิ รู้สึกเหมือนถูกเร่งอัตราให้เร็วขึ้น
    พักนี้นั่งสมาธิจะเกิดอาการหมุนเหวี่ยงอยู่ข้างใน ส่งผลให้กายโยกหมุนไปด้วย
    เป็นมาเกือบอาทิตย์ละ ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวกับการเชื่อมจักระหรือเปล่า
    แต่ตัวเองรู้สึกอย่างนั้นนะ เมื่อคืนโดนเหวี่ยงอยู่สองชั่วโมงกว่า
    เหอ ๆ เป็นไปได้ไงเนี่ย
    เหนื่อยแต่ะไม่เพลีย แปลกมาก

    มาเล่าให้ทราบค่ะ นึกมาสักระยะแล้วว่าคุณชยุตจะต้องมีหน้าที่ปลุกผู้หลับใหลให้ตื่นแน่ ๆ
    ไม่งั้นคงไม่ขยันอย่างนี้หรอก เพราะดูข้อมูลแล้วรู้เลยว่าต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
    ขอบคุณคุณชยุตที่มาช่วยทั้งปลุกทั้งเขย่าจนเกือบจะตกเตียงอยู่แล้ว
    ขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณ
    ขอให้จิตวิญญาณของท่านจงเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป
    รักไม่มีตัวตนค่ะ แต่ก็รู้สึกดีที่นึกถึงคำนี้
    ขอมอบความรักบริสุทธิ์ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอให้ทุกท่านจงมีแต่ความสุขใจเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2010
  2. tamm16

    tamm16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +466
    ช่วงนี้ ผมไม่รู้เจออะไร หลังจากเจอกระทู้นี้ผมเห็นความตายเข้ามาติดติดกัน คือญาติผมที่อยู่สมุทรสงครามเสีย พอกลับมาบ้าน หมาที่อยู่ที่บ้านมานับ10ปีก็ได้จากไป จากนั้นก็เริ่มรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆอยู่ ยิ่งพอเห็นเหตุการณ์แนวนี้ก็ยิ่งเห็นสัจธรรมความจริง เกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกด้วย คนกับสัตว์ก็มิได้ต่างกันสักเท่าไหร่เลยเกิดแก่เจ็บตายด้วยโรคร้ายเช่นเดียวกัน

    และที่ผ่านมาก็รู้สึกว่าช้าไปมากเรื่องสมาธิเพราะควรจะไปเร็วกว่านี้ แต่ช่วงนี้สังเกตุว่าเริ่มจะมีอะไรแปลกๆเหมือนกัน

    เดี๋ยวจะต้องลองเปิด hara ดูครับ อันนี้คิดว่าเป็นประโยชน์ในการฝึกอีกมาก อาจทำให้ตื่นเลยก็ได้
     
  3. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    ผู้พเนจรได้ ๘/๑๒ ดาวลูกไก่ได้ ๑๐/๑๖ ค่ะ
    แม่ตั้งชื่อว่าลูกไก่ ไม่ใช่ชื่อไก่ (ว่าจะไม่บอกแล้วเชียว)
    ถ้ามาจริงก็มานานแล้ว
    ตอนนี้จะกลับบ้านท่าเดียว

    ก่อนอื่นขอบคุณคุณชยุต อย่างมากมาย
    ดีใจที่พบพลพรรคหลายท่าน
    แต่ตอนนี้เว้ปคุยหาย มีแต่เว้ปร้อนรนเรื่องคนไม่ดีทำลายสังคม
    ต่างดาวเขาอยากให้เรารักกันทั้งโลก ให้ปลดอาวุธ ยกระดับจิตใจ จะได้เข้าเป็นสมาชิกสมาพันธ์จักรวาล
    ของเราแค่แผ่นดินผืนเดียวกันยังมีความสั่นสะเทือนที่ต่างกันราวกับฟ้าดิน
    โอ้ อนิจจา...
     
  4. SUPERWATT

    SUPERWATT Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +96
    เวลากลับบ้าน รู้สึกว่าบ้านไม่ใช่บ้านของเราแล้ว
    ใครมีรู้สึกเช่นนี้เหมือนกันบ้างครับ

    คืนหนึ่งฝัน ว่าตัวเองลอยอยู่กลางอวกาศ รู้สึกชอบมาก ดวงดาวสวยมาก แต่ก็มีความรู้สึกกลัวขึ้นมา ว่าจะถูกดูดไปไกลสู้สักที่ครับ

    ยังไม่มั่นใจอยู่ดีว่าเราคือ Star Seed หรือเปล่า
     
  5. mib8gdviNz

    mib8gdviNz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +1,523
    ผู้ใหญ่ได้ 11/12 (ยกเว้นข้อ 11)
    ดาวลูกไก่ ได้ 12/16 (ที่ผิดน่ะก็ไม่เชิงผิดครับ แต่ก็ไม่ได้ถูกทั้งหมด)

    เหอะ ๆๆ

    แต่ตามความคิดส่วนตัว รู้สึกน่ะครับ ว่าไม่ใช่คนบนดาวนี้

    แต่มาจากที่อื่น ที่ ๆซึ่งดีกว่านี้ครับ...
     
  6. chinarinde

    chinarinde Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +42
    เด็ก 2 คนนี้คือใคร

    Green Children of Woolpit ( เด็กเขียว )
    [​IMG]
    เด็กเขียวแห่งหมู่บ้านบานโฮเซ(Woolpit) เป็นเหตุการณ์ประหลาดเกี่ยวกับมิติลึกลับ ที่เห็นกันอย่างจะๆ แต่ก็ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เห็นตรงหน้าได้ ว่ามันคืออะไรกันแน่??<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    บ่ายวันหนึ่งแห่งเดือนสิงหาคม ค.ศ.1887 เด็กสองคนจูงมือกันเดินออกมาจากถ้ำแห่งหนึ่งที่เชิงผาใกล้หมู่บ้านบานโฮเซ ในประเทศสเปน เข้าไปในนาซึ่งคนงานกำลังเก็บเกี่ยวกันอยู่ เด็กสองคนนั้นเดินออกมาจากปากถ้ำอย่างปราศจากอาการหวาดกลัว ทั้งสองคนพูดภาษาที่แปลก และกระท่อนกระแท่น ไม่ใช้ภาษาสเปน และภาษาใดในโลก กับทั้งเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มก็ประกอบด้วยวัสดุที่ไม่เคยเห็นมาก่อน<O:p></O:p>
    และที่ประหลาดที่สุดก็คือผิวกายของเด็กทั้งคู่ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป กล่าวคือเป็นสีเขียวขจี เมื่อพิจารณาดูลักษณะของตาเหมือนคนเอเชียมาก นัยน์ตากลมเหมือนผลมะนาว และลึก<O:p></O:p>
    พวกชาวนาที่เกี่ยวข้าวกำลังพักผ่อนรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่ เมื่อเด็กประหลาดคู่นั้นปรากฏตัวขึ้นที่ปากถ้ำบนเชิงเขา ทั้งสองมีอาการเงอะงะร้องไห้โฮออกมาอย่างเปิดเผย และที่ประหลาดมากก็คือทั้งสองคนมีผิวกายสีเขียวเข้ม<O:p></O:p>
    ด้วยความไม่เชื่อ คนทำงานพากันวิ่งกรูเข้าไปหาเด็กสองคนนั้น ฝ่ายเด็กก็ตื่นตกใจและออกวิ่ง ผู้คนเลยแตกตื่นวิ่งไล่ตาม ในที่สุดก็ตามทันและจับตัวไว้ได้นำไปที่หมู่บ้าน<O:p></O:p>
    ทั้งสองคนถูกนำตัวไปที่บ้านของริคาร์โด ดา คาลโน ผู้ซึ่งเป็นทั้งนคราภิบาล และเจ้าของที่ดินคนสำคัญของหมู่บ้าน<O:p></O:p>
    ดา คาลโนพยายามพูดจากับเด็กคู่นั้น ส่วนตนอื่นๆ โผล่หน้าต่างดู เขาจับมือขวาของเด็กผู้หญิงยกขึ้นดู ปรากฏว่าสีเขียวติดแน่น จึงต้องเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อของผิวกายอย่างไม่ต้องสงสัย<O:p></O:p>
    เด็กคนนั้นดึงมือกลับ แล้วร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เจ้าของบ้านจัดอาหารมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเด็กทั้งสอง แต่เด็กก็ไม่รับประทาน หยิบขนมปังขึ้นมาถือไว้แล้วหยิบผลไม้ แต่ก็เพียงมองดูด้วยความแปลกใจ ไม่ยอมเอามันเข้าไปใกล้ปาก<O:p></O:p>
    เด็กทั้งสองพักอยู่ในบ้านนั้น 5 วัน ไม่กินอะไรเลยจนสังเกตเห็นได้ว่าอ่อนเพลีย ไม่ทราบว่าอาหารอะไรจึงจะเป็นที่พึงใจเขาทั้งสอง จนในที่สุดเด็กชายก็เสียชีวิตจากไปเพราะร่างกายอ่อนแอ หลังจากมาที่ปรากฏตัวได้ที่นั่นหนึ่งเดือน ศพของเขาก็ได้ถูกฝังไว้ในสุสานของหมู่บ้าน<O:p></O:p>
    อย่างไรก็ตามส่วนเด็กหญิงกลับแข็งแรงดี และทำหน้าที่เป็นคนรับใช้อยู่ในบ้านของ ดา คาลโน ผิวกายที่เป็นสีเขียวค่อยๆจางลง และเป็นคนแปลกประหลาดของหมู่บ้านน้อยลง หลังจากนั้น 2-3 เดือนเธอก็พูดภาษาสเปนได้บ้าง จึงสามารถให้ถ้อยคำชี้แจงแก่ดา คาลโนได้ถึงเรื่องราวในการมาของเธอ แต่แม้กระนั้นก็ยังทำให้ความลึกลับที่มีอยู่แล้วกลับมีมากยิ่งขึ้น<O:p></O:p>
    เธอบอกว่าเธอมาจากดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีพระอาทิตย์ขึ้น และมีแสงสนธยาอยู่เสมอเป็นนิจ "มีดินแดนที่มีแสงสว่างแลเห็นอยู่ห่างไกลจากเรา แต่ถูกสกัดกั้นโดยธารน้ำที่กว้างมาก"เธอบอกและถูกหอบมาทิ้งไว้ที่ถ้ำนั้น ดินแดนที่ว่านั้น เป็นดินแดนของดาวอีกดวงใช่หรือไม่หรือพวกเธกถูกส่งตัวมายังโลกด้วยยานอวกาศหรือเปล่าหรือมาจากมิติที่ 4 ก็เป็นได้
    ต่อคำถามที่ว่าทั้งสองคนมาสู่พิภพของเราได้อย่างไร เธอตอบได้แต่เพียงว่า "มีเสียงหนึ่งดังมากขึ้น และเสียงนั้นเองที่ตรึงจิตใจของเรา เราจึงมาตามเสียงนั้นและได้พบตัวเองมาอยู่ในทุ่งนาที่กำลังมีการเก็บเกี่ยว"<O:p></O:p>
    นั่นคือเรื่องราวทั้งหมดที่เธอเล่าให้ฟัง เด็กผู้หญิงมีชีวิตอยู่อีกห้าปี แล้วเธอเองก็ตายตามไปอีกคนนึ่ง ศพของเธอถูกฝังไว้เคียงข้างกับศพพี่(หรือน้อง) ชายของเธอ
    <O:p>ทำไมมนุษย์ต่างดาวชอบไปที่เมือง รอสเวลล์
    ซึ่งที่นั้นถึงกับมีการจัดเทศกาลงานเทศกาล ยูเอฟโอจัดขึ้นช่วงเดือนกรกฎาคมของทุกปีในเมืองโรสเวลล์ มลรัฐเม็กซิโกของสหรัฐฯซึ่งมีแฟนยูเอฟโอจากทั่วโลกจะมาชุมนุมกัน มีการประกวดแต่งชุดเอเลี่ยน การจะดอกไม้ไฟรวมทั้งการเสวนาของแฟนพันธุ์แท้เรื่องยูเอฟโอเมืองโรสเวลล์กลายเป็นศูนย์กลางของคนที่เชื่อว่ามีมนุษย์นอกโลก หลังจากในปี 1947 พบซากยานลึกลับในเมืองนี้
    [​IMG]
    </O:p>

    http://video.mthai.com/player.php?id=15M1225187122M0

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2010
  7. tawan13

    tawan13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,263
    ค่าพลัง:
    +4,303
    ผมแวะเข้ามา เป็นคนหนึ่งที่ คาดว่าจะไม่ใช่ผู้พเนจรจากฟากฟ้า หรือเมล็ดพันธ์แห่งดวงดาว เนื่องจาก ไม่ค่อยตรงซักอย่าง แต่อ่านกระทู้ของคุณชยุต มาเรื่อยๆ แบบว่าชอบ เพียงแต่คงมีสัญญาเก่าๆติดมาบ้างอาทิ ตอนเด็กๆ(ซัก4-10 ขวบ)ผมเชื่อว่า ที่ที่ผมเคยอยู่จะมีแต่ธรรมชาติ ทุ่งหญ้าเขียวขจีเต็มเนินเขา มีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้น มีป่าเรียงราย มีอากาศเย็นสบายตลอดปี รุ้งพาดผ่าน จะรู้สึกเศร้าๆ ถ้าได้เห็นภาพพวกนี้รู้สึกว่าเป็นบ้าน หรืออยากกลับไป ยิ่งฝนตกอากาศเย็นๆ(ในสมัยเด็ก) น้ำตาลจะไหล มันเหงา และคิดถึงบ้าน แต่ว่า ที่นั่งอยู่นี่มันก็บ้านเรานี่หว่า

    ช่างเถอะครับ อ่านแบบเงียบๆ ก็แวะมาคุยแบบเงียบๆๆ
     
  8. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    นั่นมันข่าวเก่า และสถานการณ์เก่าๆแล้วหละครับ

    มาฟังของใหม่กันดีกว่านะครับ

    ..................................................

    เมื่อวันที่ 19/3/10 ที่ผ่านมา นายไมค์ ควินซี่ (Mike Quinsey)
    ได้รับการติดต่อจาก "สหพันธ์แห่งกาแล็กซี่" มีข้อความตอนหนึ่งว่า

    We welcome your attention and efforts to see our craft,
    as by intention we have progressively increased the number
    of sightings within your atmosphere.


    "พวกเรามีความยินดีที่จะสนองตอบความพยายามและความสนใจของพวกคุณ ต่อยานอวกาศของพวกเรา
    โดยที่พวกเราจะทำให้พวกคุณได้พบเห็นยานอวกาศของพวกเราบนท้องฟ้ามากขึ้น โดยความตั้งใจ"

    http://www.galacticchannelings.com/english/mike19-03-10.html

    ..........................

    และอีกคนหนึ่ง คือ Sheldan Nidle ที่ได้รับการติดต่อมาจากต่างดาว เมื่อวันที่ 23/3/10 ที่ผ่านมา ในเรื่องเดียวกันนี้..
    มีข้อความตอนหนึ่งว่า..


    We have increased the sightings of our ships...

    "พวกเราได้เพิ่มจำนวนครั้งของการพบเห็นยานอวกาศของพวกเราให้แก่พวกคุณแล้ว..."

    http://www.galacticchannelings.com/english/sheldan23-03-10.html


    เพราะฉะนั้น..ก็มารอดูกันนะครับว่า จำนวนครั้งของการพบเห็น UFO ของจริงทั่วโลก
    จะเพิ่มมากขึ้นจริงหรือไม่ ที่ไหน อย่างไร??

    """"""""""""""""""""""""""""""""""""""""
     
  9. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2010
  10. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    เห็นด้วยกับข้อความนี้นะครับ
    ถ้าคุณคิดว่าคุณมาจากดาวลูกไก่หรือดาวดวงอื่น แล้วพอคุณมาอยู่ดาวดวงนี้คุณคิดว่ามันไม่ใช่บ้านของคุณ ถ้างั้นผมขอถามหน่อยว่าก่อนที่คุณจะมาโลกนี้ตอนที่คุณอยู่ดาวลูกไก่หรือดาวก่อนที่คุณจะมาที่ดาวโลกนี้ ตอนก่อนที่คุณจะอยู่ดาวลูกไก่นั้นคุณอยู่ดาวดวงไหนมาก่อน แล้วก่อนหน้านั้นอีกคุณเคยอยู่ดาวดวงไหนมาแล้วบ้าง แล้วทำไมพอมาอยู่ดาวดวงนี้คุณถึงคิดว่ามันไม่ใช่บ้านของตัวเอง
    ที่ไหนคือบ้านของคุณ และที่ไหนไม่ใช่บ้านของคุณ
    อย่างไรเมื่อไหร่?
     
  11. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    มาขอแจมด้วยคนค่ะ
    ที่ไหนคือบ้าน...สถานที่สงบเย็น มีแต่ความรักและเมตตาซึ่งกันและกัน ให้โดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย
    ที่ไหนไม่ใช่บ้าน...สถานที่สับสนวุ่นวาย แต่ก็ต้องทนอยู่ เหมือนถูกขังอยู่ในกรงแคบ ๆ
    เมื่อไหร่น่ะเหรอ...พอเริ่มเข้า ป.1 เพื่อนมันซนอย่างกับลิง แต่ทำไมเรามันนิ่งเหลือเกิน นิ่งเสียจนครูยังต้องถามว่าเธอเป็นใบ้หรือเปล่า แต่ในความคิดตอนนั้นประมาณว่าเพื่อนกับเราพูดกันคนละเรื่อง ไม่เข้าใจ
     
  12. lomnow

    lomnow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +353
    รู้ตัวเอง ชัดเจนว่า เป็นมนุษย์ในชาตินี้
    เป็นมนษย์ ต้องมีคุณสมบัติของมนุษย์ ก็ต้องประกอบด้วยศีล5ข้อ
    ก็พยายามรักษา นี้ก็คือหน้าที่ ที่ต้องทำ
    แล้วก็เสียสละเพื่อส่วนรวม นี้คือหน้าที่ที่ต้องทำ
    จะเป็นอะไร ก็ต้องทำ หน้าที่เช่นนี้ เพราะเป็นมนุษย์

    แท้ที่จริง ก็คือฅน ไม่รู้โลกนี้โลกไหน มีแต่โลกปัจจุบัน พยายามอยู่แต่ปัจจุบัน
    แค่นี่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2010
  13. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อันนี้เป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเปิดจุดตันเถียนเหมือนกันหนะครับ

    เอามาจากเวปไซท์นี้ครับ

    God Of Rock Guitar - วิธีฝึกโคจรลมปราณแบบต่างๆ (๗ วิธี)


    .........................................................................

    <center> วิธี ฝึกโคจรลมปราณแบบต่างๆ (๗ วิธี)

    </center>
    วิธีฝึกโคจรลมปราณ


    การฝึกลมปราณไม่ใช่การจดจำท่าแล้วทำตามแต่ภายนอกเท่า นั้น แต่ที่สำคัญที่สุด จิตของผู้ฝึกต้องมีการฝึกด้วย จิตต้องเป็นส่วนที่ควบคุมลมปราณ แล้วให้ลมปราณนำทางร่างกายไป จิตเฝ้าระวังมีสติประคองตลอด ปรับสภาวะของตนตามธรรมชาติ รักษาสมดุลธรรมชาติในตน แล้วคู่ปะทะที่ขาดการดูแลสมดุลธรรมชาติ จะถึงแก่การพ่ายแพ้เอง การฝึกลมปราณที่ดี เมื่อได้ปลุกลมปราณแล้ว ทะลวงลมปราณแล้ว ขั้นต่อไปคือการฝึกโคจรลมปราณ ควรทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพราะการโคจรลมปราณ ช่วยชำระล้างภายในร่างกายของเราให้บริสุทธิ์ สุขภาพของผู้ฝึกจะดีขึ้นมาก การฝึกโคจรลมปราณ มักใช้ควบคู่กับท่าร่ายรำต่างๆ อย่างสอดคล้องต่อเนื่องกลมกลืนดุจการร่ายรำ มีวิธีฝึกดังนี้


    พื้นฐาน ก่อนเข้าสู่การฝึกโคจรลมปราณ


    กำลังภายใน
    เป็น พลังชีวิตอยู่ภายในร่างกายมนุษย์และสัตว์ ในทางวิทยาศาสตร์สามารถตรวจวัดได้ด้วยการวัดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในร่างกาย มนุษย์ และสามารถถ่ายและแปลงค่าความถี่ออกมาในรูปภาพได้ ที่เรียกว่า “ออร่า” (Aura) หรือพลังชีวิต หรือพลังคลื่นแม่เหล็กของสิ่งมีชีวิตก็ได้ พลังเหล่านี้ เป็นสิ่งธรรมดาของร่างกาย ที่ร่างกายมนุษย์จะเผาผลาญอาหารแล้วเกิดพลังงานขึ้น หรือมีกระแสประสาทสื่อสารภายในร่างกายขึ้น หรือมีระบบพลังงานในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งอยู่อย่างไม่ใช่แบบสุ่ม แต่มีระบบอย่างสมดุล มีรูปแบบที่สามารถอธิบายได้ในรูปแบบต่างๆ ทำให้สามารถคาดการณ์และพยากรณ์ได้ว่าร่างกายมีสภาวะอย่างไร โดยพิจารณาจากความสัมพันธ์ของออร่าและสิ่งที่เกิดขึ้นในแง่สถิติ พลังเหล่านี้ควบคุมสมดุลต่างๆ ในร่างกาย สัมพันธ์กับการทำงานของร่างกายทั้งในเชิง สารเคมีและในเชิงชีวภาพ ทำให้สามารถฝึกเพื่อควรคุมและปรับสภาวะร่างกายได้


    กำลังภายนอก
    เป็น พลังชีวิตอยู่ภายนอกร่างกายมนุษย์และสัตว์ อุปมาเหมือนน้ำในร่างกายของสิ่งมีชีวิตย่อมระเหยออกสู่ภายนอก และน้ำภายนอกนั้น ก็มีประโยชน์ต่อภายในของสิ่งมีชีวิต พลังชีวิตภายนอกสิ่งมีชีวิตนี้ สิ่งมีชีวิตสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายได้ โดยหาได้จากแหล่งต่างๆ และนำมาใช้ในลักษณะที่แตกต่างกัน เพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน พลังชีวิตภายนอกร่างกายก็ได้มาจากร่างกายของสิ่งมีชีวิต โดยเมื่อสิ่งมีชีวิตตายลง ก็จะเกิดการรั่วไหลของพลังชีวิต หรือแม้แต่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็มีการระบายถ่ายเทพลังงานชีวิตนี้ระหว่างร่างกายและสิ่งแวดล้อม อันเนื่องจากร่างกายเป็นระบบเปิด ไม่ได้ปิดแยกตัวเองออกจากสิ่งแวดล้อมได้แต่อย่างใด พลังภายนอกมีมากมาย เมื่อสัตว์เกิดขึ้นมาบนโลกเป็นเซลอ่อนๆ อยู่ ก็อาศัยพลังเหล่านี้ในการหล่อเลี้ยงตัวเอง และเมื่อเติบโตขึ้นมาก็อาศัยพลังงานเหล่านี้ในการเติบโตเช่นกัน ตราบจนกระทั่งตายลงก็จะคืนพลังเหล่านี้สู่สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ให้เป็นพลังงานสากลกำเนิดชีวิตต่างๆ ต่อไป พลังภายนอกมีทั้งที่เป็นผลดีต่อร่างกาย และทั้งที่เป็นผลลบ ไม่ใช่แปลว่าพลังทุกอย่างจะดีต่อสิ่งมีชีวิตไปหมดก็หาไม่ จำต้องทำการศึกษาให้เข้าใจและแยกแยะเลือกรับเอาเฉพาะพลังงานด้านดี ด้านบวก เป็นสำคัญ หากฝึกผิดทางจะเข้าทางมาร ที่เรียกว่า “วิชชามาร”


    ตัวอย่างแหล่งพลังชีวิตภายนอกร่างกายประเภทต่างๆ
    ๑) ลมปราณ ฟ้า-ดิน คือ ลมปราณภายนอกร่างกาย จากฟ้าและดิน
    ๒) ลมปราณ หยิน-หยาง คือ ลมปราณภายนอกร่างกาย จากหญิงและชาย
    ๓) ลมปราณ อิม-เอี๊ยง คือ ลมปราณภายนอกร่างกาย จากการตายและการเกิด
    ๔) ลมปราณ จักรวาล คือ ลมปราณภายนอกร่างกาย จากจักรวาลทุกชนิด
    ๕) ลมปราณ อาทิตย์-จันทร์ คือ ลมปราณจากดวงอาทิตย์ยามเช้า, จันทร์เต็มดวง
    ๖) ลมปราณ อื่นๆ เช่น ลมปราณจากต้นไม้, ลมปราณจากไฟ ฯลฯ


    ความสัมพันธ์ระหว่างลมปราณภายในและภายนอก
    การฝึกลมปราณจะเริ่มจากกำลังภายในก่อน จากนั้นจึงทะลวงลมปราณจากภายในออกภายนอก แล้วจึงประสานลมปราณภายนอกและในเป็นหนึ่งเดียวกัน หลอมรวมเราและสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นคือขั้นสูงสุดของการฝึกลมปราณ ซึ่งจะต้องเปิดจิตเปิดใจ เปิดทวารร่างกาย ในการเปิดรับและถ่ายออก หมุนเวียนลมปราณภายในและภายนอกเพื่อปรับให้ร่างกายให้สมดุล ซึ่งการฝึกมีหลายขั้น จำต้องศึกษาให้ถูกต้องเป็นขั้นๆ ไป



    (ยังมีต่อครับ)
    ......................................
     
  14. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    แหล่งกำลังภายในจากจักระทั้งเจ็ด (แหล่งสะสมพลังวัตร)


    จักระทั้งเจ็ด เป็นแหล่งพลังวัตรที่สำคัญในร่างกาย และแหล่งสะสมพลังวัตรต่างๆ ดังนี้


    ๑) จักระที่หนึ่ง (บริเวณก้นกบ) เป็นแหล่งพลังกุณฑาริณี จะตื่นเมื่อกรณีเกี่ยวกับชีวิต เช่น ตกใจสุดขีด, มีเพศสัมพันธ์ถึงสุดยอด, หนาวถึงที่สุด ฯลฯ เป็นพลังที่มีปริมาณมาก และเกิดขึ้นชั่วระยะเวลาสั้นๆ ไม่ใช่พลังต่อเนื่องระยะยาวนัก

    ๒) จักระที่สอง (บริเวณท้องน้อย) เป็นแหล่งพลังสำคัญ แบบเส้าหลินมักฝึกกัน ปลุกให้ตื่นได้ง่ายกว่า เก็บง่าย และใช้ได้บ่อย ต่อเนื่อง แต่พลังจะไม่พุ่งทะยานในระยะเวลาสั้นๆ ปริมาณมากๆ แบบกุณฑาริณี ใช้ในการต่อสู้ส่งพลังทางขามาก

    ๓) จักระที่สาม (บริเวณใต้ลิ้นปี่) เป็นแหล่งพลังสำคัญ ที่ไม่ค่อยนิยมใช้ในการต่อสู้ อยู่ศูนย์กลางกาย สำหรับผู้ฝึกธรรมกาย จะใช้ในการสะสมพลังวัตร ที่เรียกว่าลูกแก้วธรรมกาย จนพร้อมเต็มที่ก็จะได้เป็น “ธรรมกาย” อยู่ในจักระนี้

    ๔) จักระที่สี่ (บริเวณหัวใจ) เป็นแหล่งพลังสำคัญ ใช้ในการต่อสู้ ส่งพลังทางแขนมาก สอดคล้องกับชีพจรทั่วร่าง เนื่องจากเกี่ยวข้องกับอัตราการเต้นของหัวใจ
    ๕) จักระที่ห้า (บริเวณลูกกระเดือก) เป็นแหล่งพลังงานสำคัญที่มักไม่ได้ใช้ในการต่อสู้ ยกเว้นในกลุ่มที่ต่อสู้ด้วยเสียงจะใช้มาก นักร้องจะใช้พลังจากจักระนี้ด้วย ร่วมกับพลังจากจักระที่สอง (ท้องน้อย) เพื่อให้เสียงมีพลังกึกก้องกังวาน

    ๖) จักระที่หก (บริเวณตาที่สาม) เป็นแหล่งพลังงานสำคัญใช้ในการต่อสู้ เนื่องจากควบคุมการรับรู้และสติปัญญา เป็นทางเปิดตาทิพย์ เพื่อการรับรู้ที่เหนือปกติ

    ๗) จักระที่เจ็ด (บริเวณกระหม่อม) เป็นแหล่งรับพลังงานจากภายนอก เรียกว่าพลังจักรวาล หรือองค์เทพที่จะประทับทรง หรือมอบพลังให้ จะส่งผ่านมาทางจักระนี้

    ตานเถียน จักระที่รวมแห่งพลังวัตรที่นิยมใช้ในการต่อสู้ (ผู้ฝึกกำลังภายใน)


    ๑) ตานเถียนบน คือ จักระที่ ๖ หรือตรงตำแหน่งตาที่สาม เวลาเราหลับตาแล้วยังไม่หลับไป เราเพ่งภาพขณะหลับตาอยู่ จะเสมือนมีตาเดียวตรงกลางดูภาพนั้นอยู่ หรือให้จินตนาการว่ามีลูกตาทั้งสองเปิดอยู่ตามปกติ แล้วเพ่งมารวมตรงกลางเป็นตาเดียว นั่นคือ ตำแหน่งของตานเถียนบน เป็นศูนย์กลางบริเวณหัว


    ๒) ตานเถียนกลาง คือ จักระที่ ๔ หรือตรงตำแหน่งหัวใจ เวลาหลับตาไม่ได้ลืมตามองกระจก หรือไม่ได้เอามือคลำดู จะกะประมาณตำแหน่งไม่ถูก ให้ฟังเสียงหัวใจเต้น ตุ้บๆ เป็นตำแหน่งของหัวใจ เวลากำหนดจิต สามารถใช้อัตราการเต้นของหัวใจเป็นจังหวะในการเคลื่อนลมปราณได้ เป็นศูนย์รวมพลังวัตรร่างกายท่อนบน และแขนทั้งสองข้างเป็นสำคัญ จักระนี้ ฝึกเพ่งเสียงชีพจรได้ผลดี


    ๓) ตานเถียนล่าง คือ จักระที่ ๒ หรือตรงตำแหน่งท้องน้อย เวลาหลับตาไม่ได้ใช้มือคลำและดูกระจก กะระยะไม่ได้ ให้นั่งสมาธิหย่อนลำตัวท่อนบนลงมาหน่อย ท้องน้อยจะป่องขึ้นเล็กน้อย กะเอาบริเวณศูนย์กลางที่ท้องป่องเป็นตานเถียน (หากไม่มีทิพยจักษุ มองไม่เห็นอวัยวะในร่างกาย จึงต้องจับความรู้สึกแทน)

    (ยังมีต่อครับ)
    ............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2010
  15. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    การปลุกพลังวัตรในตานเถียนให้เป็นลมปราณไหลเวียน


    ๑) นั่งสมาธิเพชรจะดี (หากทำไม่ได้ ให้ขัดสมาธิธรรมดาก็ได้) หลับตา ผ่อนคลายร่างกาย จิตใจทั่วร่าง ให้รู้สึกเบาสบาย ไม่อึดอัด โล่งโปร่ง สงบระงับ ละเอียดนิ่ง
    ๒) หายใจเข้า รวมจิตสู่ศูนย์กลางตานเถียน บน, กลาง หรือล่าง จุดใดจุดหนึ่งที่ต้องการปลุกพลังวัตรให้เคลื่อนไหวเป็นลมปราณ จากนั้นค่อยๆ จับความรู้สึกถึงลมปราณที่เคลื่อนตัวจากตานเถียนนั้นๆ ไปยังจุดต่างๆ ตามการโคจรแบบต่างๆ
    ๓) หายใจออก ขับเคลื่อนลมปราณออกจากตานเถียนนั้นๆ ไปตามเส้นทางการโคจรลมปราณแบบต่างๆ ตรวจดูแต่ละจุดในร่างกายด้วยความรู้สึกว่าตรงไหนติดขัด หากมีจุดที่ติดขัด ก็ใช้ลมปราณทะลวงจนลมปราณไหลเวียนผ่านได้สะดวก
    ๔) โคจรลมปราณเป็นวงจร ให้ครบรอบ จากตานเถียนที่สะสมพลังวัตร กลับยังตานเถียนที่สะสมพลังวัตรเดิม ไม่ควรทำขาดวงจร หรือไม่ครบรอบ จนรู้สึกสบาย
    ๕) เส้นทางโคจรลมปราณของแต่ละ แบบแตกต่างกันไป ซึ่งจะแสดงรายละเอียดบางแบบต่อไป การโคจรลมปราณระยะแรก ควรสอดคล้องกับลมหายใจเข้าออกก่อน
    ๖) หากมีการปลุกลมปราณจากแหล่ง ไหนมา ควรเคลื่อนลมปราณให้ครบวงจรแล้วเก็บเข้าที่ ที่แหล่งนั้นๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาลมปราณตกค้างในอวัยวะต่างๆ


    ในบางกรณีจะมีเคล็ดการหายใจเพื่อเคลื่อนลมปราณ แตกต่างจากนี้เล็กน้อยเช่น หายใจเข้าโคจรลมปราณครึ่งรอบ ไปไว้ตานเถียนบน จากนั้นหายใจออกขับจากตานเถียนบนมาล่าง แบบนี้ก็ได้เช่นกัน เมื่อชำนาญแต่ละแบบแล้วจะสามารถเลือกใช้ได้ตามเหมาะสม

    (ยังมีต่อครับ)
    ................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2010
  16. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    การโคจรลมปราณแบบต่างๆ


    ๑) โคจรลมปราณพลังกุณฑาริณี (จักระหนึ่ง – จักระเจ็ด)
    ให้กำหนดจิตรวมศูนย์ที่จักระที่หนึ่ง นั่งสมาธิแล้วปลุกลมปราณด้วยวิธีลับเฉพาะแบบกุณฑาริณี (ยังไม่ขอเผยแพร่ทางนี้) แล้วเคลื่อนลมปราณผ่านทุกจักระไล่ขึ้นไปสู่จักระที่เจ็ด ทะลวงทุกจักระที่มีลมปราณติดค้างหรือติดขัดให้โปร่งโล่งสบายทั่วร่าง


    จากนั้น จึงเริ่มวงจรใหม่ ปกติมักทำได้ไม่มากครั้ง พลังก็จะลดลงจนสัมผัสไม่ได้ การเดินลมปราณนี้ ให้ผลดีทั้งในแง่สุขภาพ และเป็นพื้นฐานในการทะลวงชีพจรของกังฟู ข้อควรระวัง กุณฑาริณีที่ตื่นแล้วแต่ทะลวงออกจักระเจ็ดไม่ได้ จะดันศีรษะเหมือนงูไชหัว ทำให้ปวดหัวอย่างหนักคล้ายจะเป็นบ้า เหมือนคนกำลังจะประสาทเสียได้ ให้พึงระวังด้วย


    ๒) โคจรลมปราณพลังจักรวาล (จักระเจ็ด - จักระหก – จักระหนึ่ง)
    ให้กำหนดจิตรวมศูนย์ที่จักระที่หนึ่ง นั่งสมาธิแล้วปลุกลมปราณจากจักระที่หนึ่งออกไปสู่จักระที่เจ็ด แล้วดึงจากจักระที่เจ็ดลงไปอาบทั่วร่าง จากจักระเจ็ดลงไปหนึ่ง หมุนเวียนให้ครบวงจร การโคจรพลังจักรวาล จำต้องผ่านการเดินลมปราณกุณฑาริณีให้ได้ก่อน เมื่อได้กุณฑาริณีแล้ว จึงอาศัยจังหวะที่ระบายกุณฑาริณีออก เพื่อเปิดรับพลังจักรวาลเข้ามาแทน แล้วควบคุมปราณจากจักรวาลให้อาบลงทั่วร่าง เรียกว่า “อาบน้ำทิพย์” บางท่านจะใช้หลักพลังพีรามิดมาช่วยในการฝึกลมปราณจักรวาล ด้วยการใช้พีรามิดวางไว้รอบตัวตามจุดต่างๆ กัน เพื่อเหนี่ยวนำพลังปราณจักรวาลเข้ามาขณะทำสมาธิ แล้วให้ปราณจักรวาลเข้าทางจักระเจ็ด ถ่ายลงอาบไปทั่วร่าง (แบบนี้ขอไม่แสดงรายละเอียด)


    จากนั้น จึงเริ่มวงจรใหม่ ทำหลายๆ ครั้ง จนรู้สึกเบาสบายกายใจ กระชุ่มกระชวยดี การเดินลมปราณนี้ ให้ผลดีทั้งในแง่สุขภาพ และเป็นพื้นฐานการรับถ่ายพลังภายนอก ข้อควรระวังในการเปิดรับพลังจักรวาล คือ ต้องเลือกรับพลังเฉพาะที่ดีต่อร่างกาย เป็นพลังด้านบวกไม่ใช่พลังด้านลบ จิตผู้ฝึกพึงระวังให้มีแต่กุศลแต่ส่วนเดียว เพื่อป้องกันพลังด้านลบ


    ๓) โคจรลมปราณธรรมจักร (ได้ทุกจักระ โดยเฉพาะเจ็ด)
    ให้ กำหนดจิตรวมศูนย์ที่จักระใดจักระหนึ่งก็ได้ โดยปกติแล้วให้เริ่มฝึกจากจักระเจ็ด แล้วค่อยๆ หมุนลงไปยังจักระอื่นๆ ต่อไป หรือบางท่านจะเริ่มจากจักระหก ไปเจ็ด แล้วลงหนึ่ง เวลาฝึกให้ระลึกว่ามีอะไรบางอย่างหมุนวนรอบศูนย์กลางจักระนั้นๆ ให้ระลึกเป็นภาพเหมือนจักรจริงๆ ก็ได้ โดยหมุนเวียนขวาเท่านั้น (ซ้ายไปหน้า ขวาไปหลัง) ในการหมุนจักรสามารถใช้ท่า “กวนสมุทร” โดยเอาจุดศูนย์กลางคือท้องน้อยเป็นหลักได้


    การนับวงจรเมื่อครบหนึ่งรอบนับ ๑ วงจร ทำจนรู้สึกสบายในแต่ละจักระ การเดินลมปราณนี้ ให้ผลดีในแง่สุขภาพร่างกาย ในจักระที่โคจรลมปราณ ซึ่งแต่ละจักระจะทำหน้าที่ดูแลร่างกายแตกต่างกันไป ข้อควรระวัง อย่าเดินลมปราณทวนทิศ ห้ามหมุนซ้าย


    ๔) โคจรลมปราณจักรวาลน้อยแบบเต๋า (ตานเถียนล่าง - ตานเถียนบน)
    ให้กำหนดจิตรวมศูนย์ที่ตานเถียนล่าง เดินลมปราณไปสู่จักระหนึ่งทางด้านหน้า แล้ววนไปด้านหลัง จากจักระหนึ่ง ไปสอง ไปสาม ไปสี่ ไปห้า ไปหก ไปเจ็ด แล้ววนกลับมาด้านหน้าจากจักระเจ็ด ไปหก ไปห้า ไปสี่ ไปสาม ไปสอง ครบหนึ่งรอบ


    จากนั้น จึงเริ่มวงจรใหม่ จากตานเถียนล่าง (จักระสอง) ในวงจรเดิม การเดินลมปราณนี้ ให้ผลดีในแง่สุขภาพร่างกาย ทั่วทุกระบบโดยรวม ข้อควรระวัง อย่าเดินลมปราณทวนทิศ เพราะจะเกิดผลร้ายต่อชีวิตร่างกายได้อย่างคาดไม่ถึง มีอาการที่ตรวจแล้วไม่รู้โรคได้


    ๕) โคจรลมปราณพลังสิงโตคำราม (ตานเถียนล่าง – จักระห้า - จักระ เจ็ด)
    ให้ กำหนดจิตรวมศูนย์ที่ตานเถียนล่าง หายใจเข้าสั้นๆ แล้วผ่อนหายใจยาวๆ ไปสู่จักระห้า (กล่องเสียง) แล้วออกเป็นเสียง “โอม” ยาวๆ ให้คำว่า “โอม” เหมือนออกจากจักระที่เจ็ด แผ่ออกไร้ประมาณ เกิดคลื่นเสียงทั่วกระหม่อม สร้างพลังความสั่นสะเทือนให้มากที่สุด จนกระทั่งทุกสิ่งด้านหน้าสั่นตามคลื่นเสียงของเรา นับเป็นหนึ่งรอบโคจร


    จากนั้น จึงเริ่มวงจรใหม่ ลองเปลี่ยนเป็นว่า “อา” หรือ ไล่เสียงตามตัวโน๊ตก็ได้ การเดินลมปราณนี้ ให้ผลดีในแง่พลังเสียง เหมาะสำหรับผู้ต้องใช้เสียงต่างๆ ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้พลังมากเกินไป เพราะจะทำลายกล่องเสียงได้ ควรฝึกในระดับที่พอดีในแต่ละครั้ง


    ๖) โคจรลมปราณฟ้าดิน – หยินหยาง (ฝ่ามือสองข้าง - จักระสี่)
    ให้กำหนดจิตรวมศูนย์ที่จักระที่สี่ (หัวใจ) ยกฝ่ามือขึ้นขนานพื้น ฝ่ามือหงายขึ้นไว้ระดับหน้าอก หายใจเข้ารวมปราณที่ฝ่ามือและหัวใจ หายใจออกแผ่ปราณออกทางฝ่ามือสองข้าง พร้อมดันฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นบน ข้างหนึ่งลงล่าง สลับกันไปมา เมื่อยืดฝ่ามือไปสุดแล้ว ปลายนิ้วทั้งสิบจะพุ่งชี้ฟ้ากับชี้ลงดิน จังหวะหายใจเข้าให้ดึงลมปราณฟ้าและดิน (บนและล่าง) เข้ามารวมที่หัวใจ แล้วหมุนสลับดันลมปราณออก พร้อมสลับมือซ้ายขวา ดังนั้น จะมีวงจรพลังฟ้าดินสองวงจร คือ วงจรฝ่ามือซ้ายและขวา คือ เมื่อขวาขึ้นบนดึงด้านบน ขวาลงล่างปล่อยลงล่าง ซ้ายลงล่างดึงด้านล่าง ซ้ายขึ้นบนปล่อยขึ้นบน เวลาดึงลมปราณฟ้าดิน ดึงเข้ามาพร้อมกันทั้งสองฝ่ามือ มารวมตรงกลาง แล้วเวลาปล่อยก็ปล่อยพร้อมกันสองฝ่ามือ ออกจากกลางกายไปไกลสุดแสนไกลไร้ประมาณ


    จากนั้น จึงเริ่มวงจรใหม่ ปกติมักทำได้ไม่ครั้ง ก็จะรู้สึกลมระบาย (ผายลม) ได้ทันที การเดินลมปราณนี้ ให้ผลดีทั้งในแง่สุขภาพ และในด้านการถ่ายปราณเข้าออกของกังฟู


    ๗) โคจรลมปราณเก้าอิม – เก้าเอี๊ยง (กงเล็บกระดูกขาว)
    ให้กำหนดจิตรวมศูนย์ที่จักระที่สี่ (หัวใจ) ยกฝ่ามือขึ้นกางออกขนานพื้น กางกงเล็บออก ท่านี้ผู้หญิงสามารถฝึกเก้าอิมได้ แต่ผู้ชายให้ฝึกเก้าเอี๊ยง ในที่นี้จะเผยแพร่เฉพาะเก้าเอี๊ยง โดยก่อนโคจรพลังเก้าอี๊ยงให้โคจรพลังฟ้า-ดินก่อน เพื่อปรับสภาพและกระตุ้น หยินหยาง เราจะใช้พลังเก้าอิม สร้างเก้าเอี๊ยง โดยดูดพลังอิมเข้าทางกงเล็บ จนรู้สึกแขนเยือกเย็นแข็งทื่อ (จะรู้สึกปวดท่อนแขนนิดหน่อย เหมือนมีอะไรมาอัดแน่น) จากนั้น โคจรพลังเก้าอิมไม่นาน ผู้ชายจะเกิดพลังเก้าเอี๊ยงขึ้นเองโดยธรรมชาติ จะรู้สึกอุ่นๆ ที่กลางลำตัว เช่น ท้องน้อย แล้วจะกระชุ่มกระชวย ร่างกายจะเริ่มอบอุ่นหายหนาว ไม่หนาวไม่ร้อน เมื่อโคจรพลังด้วยการคว้าจับดึงดูดพลังเก้าอิมจากพื้นดินรอบตัวได้มาก เก้าเอี๊ยงก็ถูกกระตุ้นออกมามาก เมื่อพอสมควรแล้ว ให้ถ่ายเก้าอิมออกจากแขนสองข้างให้หมด จึงจะรู้สึกเบาแขน และหายปวดแขน เวลาถ่ายออกให้รำฝ่ามือแทน เพราะกงเล็บจะมีพลังดึงดูด ไม่ใช่พลังผลักดันออก โดยเพ่งกระแสปราณออกทางนิ้วทั้งสิบ


    ให้ทดลองใช้กงเล็บกระดูกขาว ดูดพลังเอี๊ยงจากฟ้าในช่วงท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนฝนจะตก หากฝึกช่วงฟ้าแลบฟ้าร้องด้วยจะดี ด้วยการฝึกคล้ายเดิม แต่เปลี่ยนเป็นการดูดปราณจากฟ้า แทนที่จะดูดปราณจากดิน โดยเพ่งระลึกไปที่ประจุไฟฟ้าบนฟ้าแทน ข้อควรระวังในการฝึกเก้าอิม คือ ช่วงแรกกระดูกฝ่ามือจะมีอาการแปลกๆ และอาจกระทบต่อธาตุทั้งสี่ในร่างกายได้ ดังนั้น ผู้ชายจึงไม่ควรฝึกเก้าอิม ให้ฝึกเฉพาะเก้าเอี๊ยงเท่านั้น


    (ยังมีต่อครับ)
    ..............................
     
  17. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    การฝึกร่ายรำไทเก๊กแบบต่างๆ


    ๑) รำผ้าไหมไทเก๊ก
    ผู้ ฝึกจะใช้ผ้าที่มีความพลิ้วไหวและมีน้ำหนักพอเหมาะ ในการร่ายรำโดยใช้ “ผ้า” เพื่อเป็นเครื่องแสดงสภาวธรรม ความเปลี่ยนแปลงในผ้า เพื่อปรับท่าร่ายรำให้สอดคล้องกลมกลืนกับผ้านั้น จนราวกับผ้ามีชีวิต ชีวิตเราเป็นผ้า ผ้าและเราเป็นหนึ่งเดียวกัน


    ๒) รำปะคำสองมือประสาน
    ผู้ ฝึกจะใช้ปะคำคล้องสองมือไว้ด้วยกัน ในการร่ายรำโดยใช้ “ปะคำ” นี้เพื่อเป็นเครื่องแสดงสภาวธรรม ความเปลี่ยนแปลงในปะคำ โดยใช้สองมือประสานกันไป หากสองมือขาดการประสานที่ดี แยกไปคนละทาง จะดึงรั้งจนปะคำขาดกลางได้


    ๓) รำปะคำธรรมจักร (สองมือขัดแย้ง)
    ผู้ฝึกจะใช้ปะคำหมุนอยู่ ตลอดเวลาในแขนข้างใดข้างหนึ่ง มืออีกข้างจะร่ายรำไปคนละแบบ แบบนี้เป็นการฝึกสองมือขัดแย้ง โดยที่ต้องประคองให้ปะคำอีกข้าง ยังคงหมุนได้อย่างต่อเนื่อง (ฝึกปราณธรรมจักร) ปะคำจะเป็นเครื่องแสดงสภาวธรรม หากผู้รำขาดสติ จะถูกปะคำฟาดตัว หากขาดสมาธิปะคำจะหยุดหมุน จึงต้องมีสมาธิในการหมุนปะคำอยู่ตลอด และมีสติในการระวังปะคำที่หมุนนั้น ผู้ฝึกต้องฝึกจนคล่องให้ปะคำและตนประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ปะคำมีชีวิตหมุนไม่หยุดนิ่ง และคนไม่ขัดแย้งกับปะคำ


    ๔) รำไทเก๊กในพงหญ้าและ เถาวัลย์
    ผู้ฝึกจะเลือกสถานที่ฝึกใน ป่า แล้วหาพื้นที่ป่าที่มีไม้เถาวัลย์ขึ้นระโยงรยางค์บางส่วน ไม้เถาวัลย์มีความยืดหยุ่นและแข็งแรงในตัว ให้ผู้ฝึกหลับตาร่ายรำไทเก๊ก พร้อมกับเอาเถาวัลย์เป็นคู่ต่อสู้ ปรับสภาวะของตนตามเถาวัลย์ อาศัยความยืดหยุ่นของเถาวัลย์เป็นเครื่องสะท้อนแรงตนเอง เมื่อฝึกได้ดีแล้วให้ฝึกกับพงหญ้าต่อ อาศัยหญ้าที่ไม่มีอันตราย ใช้ไม้เป็นเครื่องสัมผัสกับหญ้า แล้วปรับสภาวะไม้กับหญ้าเป็นคู่ต่อสู้ประสานไปมา


    ๕) รำไทเก๊กคู่ปะทะ
    ผู้ ฝึกจะเลือกใช้ผู้ฝึกไทเก๊กด้วยกันเป็นคู่ซ้อม โดยให้ทั้งคู่เดินลมปราณแล้วหลับตาร่ายรำท่าไทเก๊ก ห้ามให้อีกฝ่ายตั้งท่ารอ เพื่อตนจะได้เลือกท่ารับ ให้ใช้จิตสัมผัสทั้งหมด ร่ายรำแบบมองไม่เห็นกัน แล้วปรับประสานสภาวะของตน พึงระวังไม่ให้ตนเองล้มลง


    ๖) รำไทเก๊กเสาหลักหยั่งดิน
    ผู้ ฝึกจะเลือกใช้ขาข้างใดข้างหนึ่งเสมือนถูกตอกลึกลงในพื้นดิน แล้วใช้ขาข้างที่เหลือ ในการเคลื่อนและหมุนไปรอบๆ ขณะที่มีการโคจรลมปราณและร่ายรำ สิ่งสำคัญคือห้ามเขยื้อนเท้าข้างที่เป็นเสมือนเสาหลักออกจากตำแหน่งเดิม ผู้ร่ายรำจะหมุนไปรอบๆ ด้วยท่าทางต่างๆ ตามกระบวนการโคจรลมปราณได้ตามปกติ (ขณะฝึกควรหลับตา)


    ๗) รำไทเก๊กสองเท้าสับสน (หมัดเมา)
    ผู้ฝึกจะเลือกใช้ขาทั้งสองข้างในการร่ายรำเป็นหลัก กระบวนท่าทั้งหมด จะพัฒนาจาก “หมัดเมา” ให้สองมือเสมือนถือจอกเหล้า โคจรลมปราณไปสู่แขนสองข้างราวกับงูเลื้อยไปมา แล้วปรับร่างกายให้เคลื่อนไปตามพลังปราณที่เคลื่อนไปสู่แขนข้างใดข้างหนึ่ง ดังนั้น จึงถือเอาแขนนำ แล้วขาตาม โดยไม่สนใจว่าขาทั้งสองข้างจะก้าวอย่างไร ทั้งนี้ให้โคจรลมปราณธรรมจักร หมุนรอบขาสองข้าง เพื่อให้ขาทั้งสองมีสมดุลในตัว


    ๘) รำไทเก๊กเท้าพันชั่ง
    ผู้ฝึกจะเลือกใช้ขาทั้งสองข้างในการร่ายรำเป็นสำคัญ สองมือจะใช้การร่ายรำฝ่ามือ โคจรลมปราณธรรมจักรลงเท้าทั้งสองข้าง ราวกับขาทั้งสองข้างคือสว่านที่เจาะลงดิน ในการก้าวแต่ละครั้ง จะเสมือนก้าวลงตอไม้ หากเก้าผิดก็ร่วงลงจากตอไม้ การก้าวแต่ละครั้งจะลงน้ำหนักแรง คือ กระทืบเท้าค่อนข้างแรง แต่จะก้าวเท้าค่อนข้างช้า ในการก้าวเท้าแต่ละครั้ง จะดึงเท้าขึ้นใกล้เอว จากนั้น จึงส่งแรงจากท้องน้อยลงปลายเท้าด้วย


    ๙) รำไทเก๊กฟันดาบ
    ผู้ ฝึกจะเลือกใช้ขาทั้งสองข้างในการสืบเท้าไปข้างหน้าและถอยหลัง มือทั้งสองข้างจะถือดาบญี่ปุ่น หรือสมมุติว่าถือดาบญี่ปุ่นอยู่ มีการก้าวสืบเท้าแล้วแทงสลับกับการฟัน ในการฝึกนี้จะช่วยให้ผู้ฝึกไทเก๊กเข้าใจวิธีการต่อสู้ในแบบของดาบญี่ปุ่นได้ เข้าใจจังหวะการเข้าและถอย ซึ่งในผู้ใช้ดาบนั้น เป็นตายเกิดขึ้นได้ในพริบตา ในดาบเดียวเท่านั้น


    ๑๐) รำไทเก๊กกระบี่ดรุณี
    ผู้ฝึกจะเลือกใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางพุ่งออกเสมือน กระบี่ ในการร่ายรำ เท้าทั้งสองข้างค่อนข้างจะทื่อตรง แขนทั้งสองข้างหมุนเป็นวงกลมต่อเนื่อง ประกอบด้วยท่าแทงและปัดเป็นสำคัญ สำหรับผู้ใช้กระบี่แล้ว จะแทงเป็นหลัก จะปัดเพื่อปกป้อง เป็นจุดแตกต่างจากผู้ใช้ดาบ กระบี่ดรุณีจะร่ายรำอ่อนช้อยเหมือนนางงามร่ายรำ สองมือเสมือถือกระบี่คู่ ประสานกระบี่คู่อย่างสอดคล้องกัน กระบี่แรกนำ กระบี่สองต้องตามติด เป็นหนึ่งเดียว


    ๑๑) รำไทเก๊กกงเล็บมังกร
    ผู้ฝึกจะเลือกใช้ท่ากงเล็บแบบเส้าหลินในการร่ายรำ แต่โคจรพลังธรรมจักร จึงมีความอ่อนพลิ้วไหวจากภายใน ท่ากงเล็บมังกรจะใช้พลังค่อนข้างมาก ผู้ฝึกจะรู้สึกเหนื่อยกว่าท่าอื่นๆ กงเล็บจะงองุ้มสามนิ้วสำคัญ คือ นิ้วโป้ง, ชี้, กลาง อีกสองนิ้วที่เหลือจะไม่ใช้นัก จุดนี้จะแตกต่างจากกงเล็บกระดูกขาว และเป้าหมายจู่โจมจะไม่พุ่งไปที่ศีรษะ แต่มุ่งไปที่จุดอ่อนต่างๆ ของร่างกายแทน เช่น ลูกตา, ลูกกระเดือก, ข้อมือ (กรณีรับและปัดป้อง)


    รูปแบบการร่ายรำไทเก๊กแบบต่างๆ ได้รับการพัฒนามาจากพื้นฐานของมวยสายอื่นๆ มาก่อน ปรมาจารย์ “จางซานฟง” ในอดีตได้เคยฝึกมวยเส้าหลิน ทั้งยังได้ปะลองฝีมือกับคู่แข่งมากมายในยุคนั้น จึงพัฒนาและปรับปรุงมวยสายอื่นๆ ให้เป็นแบบไทเก๊กเพื่อลดจุดอ่อน พัฒนาเป็นจุดแข็ง และกลายเป็นมวยไทเก๊กในแบบเฉพาะของตนเอง สิ่งที่สำคัญของไทเก๊กจึงไม่ใช่กระบวนท่าภายนอก แต่เป็นความหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติจากภายใน ไม่ว่าจะอาศัยกระบวนท่าจากมวยสำนักไหน ก็สามารถปรับเป็นไทเก๊กได้ทั้งหมด และยังทำให้มวยสายนั้นๆ พัฒนาจุดแข็งมากขึ้น ลดจุดอ่อนลงได้อีกด้วย ในบทความฉบับนี้ขอแนะนำเพียงย่อ ที่เหลือแล้วแต่พรสวรรค์ของผู้อ่านจะพึงฝึกเองเถิด


    (ยังมีต่อครับ)
    ..................................
     
  18. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เคล็ดลับการฝึกกำลังภายในให้ได้ผล


    ๑) การใช้คลื่นเสียงกระตุ้น กำลังภายใน
    ในการฝึกแรกๆ ลมปราณยังตื่นไม่มาก ทำให้ยากต่อการจับการเคลื่อนไหวของลมปราณในร่างกาย ผู้ฝึกหากได้เครื่องช่วยกระตุ้นลมปราณ จะทำให้สามารถจับความเคลื่อนไหวของลมปราณได้ชัดเจนขึ้น เช่น ใช้ความเย็น, ใช้คลื่นเสียงกระตุ้น ในที่นี้ขอแนะนำให้ใช้เสียงเพลงสวดมนต์ พร้อมเคาะระฆังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ


    ๒) การหลอมรวมเป็นหนึ่งกับ ธรรมชาติ
    การฝึกลมปราณในขั้นสุดท้าย จะต้องปลดปล่อยลมปราณภายในออกมาสู่ธรรมชาติ และดึงลมปราณบริสุทธิ์จากธรรมชาติเข้าไปภายใน หลอมรวมกายจิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ไม่แยกจากกัน ทะลายเกราะร่างกายที่ปิดกั้นออกทั้งหมด จึงจะเปิดทะลวงชีพจรออกสู่ภายนอกได้ทั่วร่าง และรับพลังจากธรรมชาติได้สูงสุด


    ๓) การผ่อนคลายร่างกายจิตใจ เป็นอิสระ
    การฝึกลมปราณจะไม่ได้ผลเลย หรือได้ผลช้ามาก หากมีความอยากได้, จดจ่อให้เกิด, จงใจให้เกิด, บังคับ, เร่งเกินไป, เคร่งครัดเกินไป, เกร็ง ฯลฯ อาการเหล่านี้ล้วนบั่นทอนการฝึกให้ลดลงอย่างยิ่ง ผู้ฝึกจำต้องผ่อนคลายร่างกายจิตใจ ปลดปล่อยความรู้สึกให้ไปสุดประมาณ เพื่อปลดปล่อยลมปราณให้ไหลเวียนสะดวกที่สุด


    ๔) การรู้ความพอดีของกำลังภาย ในร่างกาย
    ตลอดเวลาที่มีการเคลื่อนลมปราณในร่างกาย จิตของผู้ฝึกต้องมีสติในการจับความเปลี่ยนแปลงของลมปราณแบบต่างๆ ในร่างกายตลอดเวลา พึงระวังว่าลมปราณที่มากเกินไปก็เป็นผลร้าย, คั่งค้างก็เป็นผลร้าย, ติดขัดก็เป็นผลร้าย ดังนั้น จำต้องรู้จักความพอดีของร่างกาย และลมปราณทั้งภายในและภายนอกที่หมุนเวียนเข้าออก


    ๕) การรู้ความเข้ากันได้ของ กำลังภายนอก
    ในการดึงลมปราณภายนอกเข้ามา ภายใน และถ่ายลมปราณภายในออกภายนอกนั้น จะเป็นการชำระล้างลมปราณเสียๆ ภายในร่างกาย แต่การรับเข้าก็อาจส่งผลเสียได้เช่นกัน หากสิ่งที่รับเข้ามานั้นไม่ดีต่อร่างกาย, เป็นของเสีย, หรือเกินขนาด ดังนั้น จำต้องให้จิตรับรู้จดจำได้ว่าลมปราณแบบใดที่ควรดึงเข้าและแบบใดควรนำออก


    ๖) ความว่างจากสิ่งเจือปนใดๆ ในจิตขณะฝึก
    ในการฝึกลมปราณ ต้องไม่คิดเรื่องใดๆ ในหัวสมองต้องว่างโล่งโปร่งไปหมด ทิ้งหรือลืมเรื่องต่างๆ ไปชั่วคราว แล้วจดจ่ออยู่กับลมปราณขณะร่างกายเคลื่อนไหวเท่านั้น


    ๗) สมาธิจดจ่อความเคลื่อนไหวลม ปราณในร่างกาย
    ระหว่างการฝึกลมปราณ จิตต้องเพ่งอยู่กับลมปราณ ไม่ควรละสมาธิออกไปสู่เรื่องอื่น การปันสมาธิมีผลให้การฝึกไม่ได้อะไรเลยและการถูกรบกวนสมาธิทำให้ฝึกไม่ได้ผล


    ๘) สติเท่าทันการเปลี่ยนแปลง ของร่างกายทุกขณะ
    การฝึกลมปราณจำต้องมีสติมาก ละเอียด และสูงกว่าการฝึกอย่างอื่น สติของคนเราจะสูงที่สุดเมื่อถูกจู่โจมหรือความตายมาเยือน ดังนั้น ระหว่างการฝึกจะขาดสติไม่ได้


    ๙) ปัญญาปรับสภาวะกาย-จิต-วิญญาณให้สมดุล กับธรรมชาติ
    สิ่งนี้คือจุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดของการฝึกลมปราณ หากฝึกลมปราณขัดแย้งกับธรรมชาติแล้ว เราจะถูกทำลายเอง พึงระลึกว่า “ธรรมะ ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม”


    ................................จบ............................


    ขอขอบคุณเวปไซท์เจ้าของข้อมูลเป้นอย่างสูงนะครับ


    God Of Rock Guitar - วิธีฝึกโคจรลมปราณแบบต่างๆ (๗ วิธี)
     
  19. LadyOfLight

    LadyOfLight เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    755
    ค่าพลัง:
    +2,472
    อถามกลับว่า คำจำกัดความของคำว่า "บ้าน" ในขอบข่ายของเรื่อง Starseed ของคุณ คืออะไร
    และ Star Seed ในความคิดของคุณ คุณรู้สึกยังไง และมันคืออะไร
    และคนอื่นๆจำเป็นต้องรู้สึกเช่นเดียวกับคุณหรือไม่

    สำหรับคนที่ "รู้สึกสัมผัส" ว่าตนเป็น Starseed จะขอขยายความเพิ่มว่า กลุ่มดาวไหนๆที่ อ้างอิงมา เป็นลักษณะทางพลังงานที่มีส่วนผสมเข้ามา เช่น ส่วนหนึ่งมาจากดาวลูกไก่ ส่วนหนึ่งมาจากดาวซิริอุส อีกส่วนหนึ่งมาจากดาวเวก้า รวมกันอยู่ในจิตวิญญาณที่คุณมีในปัจจุบันขณะที่คุณเป็นมนุษย์อยู่นี่ (อันนี้ สามารถนำเรื่อง ธรรมชาติของชาติภพ ของท่านโนวา มาขยายความได้ชัดเจน ถ้าคุณอนุมานได้ถูกทางนะ)

    คำถามที่คุณถามมา แสดงให้เห็นว่า ด้วนหนทางของคุณ คุณยังไม่เข้าใจในเรื่องนี้มากนัก แม้กระทั่งที่ดิชั้นขยายความให้เล็กๆน้อยๆนี่ (เพราะทำได้เท่านี้ เพราะความเข้าใจจริงๆ มันอยู่ภายใน บอกออกมาก็ไม่ตรงเสียทีเดียว) คุณก็อาจเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ หรือไม่สมเหตุสมผล ไม่เข้าท่า

    ปล.คำถามว่า "อย่างไร เมื่อไหร่" ของคุณ ก็แสดงชัดละว่า คุณขาดความเข้าใจใน เรื่องรูปแบบและกาลเวลาในแนว New Age เป็นอย่างมาก
     
  20. สงบระงับ

    สงบระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    660
    ค่าพลัง:
    +2,919
    ขอบคุณ คุณชยุตที่มุมานะเฝ้าแปลข้อความที่เป็นประโยชน์มาเผยแผ่ สำหรับคนที่สนใจเรื่องเหล่านี้

    ความจริงคุณชยุตก็บอกอยู่เสมอว่า ไม่ต้องการให้ใครมาคัดค้านหรือถกเถียง ถ้าสนใจก็อ่านไปเรื่อยๆ เพราะถ้าถกเถียงกันไปก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย

    ทุกวันนี้อ่านแต่เรื่องสะดุดใจหรือสนใจจริงๆเท่านั้น หลายเรื่องมีประโยชน์มากมาย(กับตัวเองนะ) ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีหลายอย่างที่เป็นคำตอบของตัวเองที่มีโจทย์คำถามมานาน

    หลายครั้งที่เราได้คำตอบ โดยที่เราไม่เคยเอ๋ยปากถามแม้แต่คำเดียว (ดีจัง) <O:p</O:p
     

แชร์หน้านี้

Loading...