ว่าด้วยการใช้กำลังของฌาน4 ถอดจิตไครชำนาญช่วยตอบด้วยครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย หินศิลา, 22 มกราคม 2005.

  1. หินศิลา

    หินศิลา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +11
    ว่าด้วยเรื่องของกำลังฌาน4 พอได้กำลังฌาน4ปั๊บ เวลาถอดจิตใช้จิตยังไงในการออก อ.ของผมสอนให้ตั้งจิตไว้เด๋วออกไปเอง ประมาณว่าอัตโนมัติ แต่ไหงไม่เห็นได้ ไครมีประสพการน์ช่วยบอกด้วยค้าบบบบ[b-hi]
     
  2. wanted

    wanted Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +50
    ผมตอบให้ครับ

    ตัวผมเองเคยปฎิบัติมาประมาณ10ปีประสบการณ์เล็กๆน้อยคงจะพอช่วยคุณได้นะครับ
    ว่าถึงดว้ยการถอดจิตต้องทำความเข้าใจกันก่อนนะครับว่าถอดจิตคืดลักษณะการถอดกายละเอียดออกจากกายหยาบการทำความเข้าใจกันจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายระหว่างที่เราจะถอดวิญญาณออกจากร่างกายนั้นเราต้องเตรียมสถานที่และเตรียมตัวให้พร้อม
    ปกติพอเราถึงฌาณ4แล้วเราจะจะเริ่มกำหนดให้จิตเข้าสู่ภาวะทรงฌาญคือเราเริ่มวางอุเบกขาแล้วหลังจากนั้นกำหนดให้ดวงจิตของเราเริ่มเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆไปสู่ทวารที่ 1 ที่ตรงกระหม่อม(โปรดเข้าใจตรงนี้นิดนึงว่าเวลาถอดจิตแล้วเราจะเหมือนคนตาย)แล้วเลื่อนลงสู่จมูกแล้วเลื่อนออกทางด้านหลัง หลังจากนั้นเราจะเข้าสู่ภาวะจิตเริ่มถอดออกจากร่างกาย(ขอเตือนระหว่างที่จิตเคลื่อนออกจากร่างกายพยายามอย่าฟังหรือเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เรากำลังที่กำลังถอดจิตจนเสียการควบคุมฌาณและเป็นอันตรายต่อเราได้)กำหนดจิตให้นำเราสู่ห้วงของการออกทวารและเราต้แงจำด้วยว่าเราถอดจิตทางใหนแต่อย่าล่องออกทางสองทางคือ 1.ทางที่มีคนนำไป 2.ทางที่มองเห็นว่าเป็นทางที่เราเคยไปไ ม่เช่นนั้นเราอาจกลับเข้ากายหยาบไม่ได้นะครับ เรากำหนดก่อนดีกว่าว่าเราจะไปไหนแล้วให้มันเป็นไปตามทางมันดีกว่า
    (555) (good)ถ้าอยากให้ละเอียดกว่านี้ส่งเมล์มาให้ก็ได้นะครับที่ w_p_sawa@hotmail.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มกราคม 2005
  3. หินศิลา

    หินศิลา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +11
    ขอบคุณคุณทางสายไหมครับ คือผมจะเมลไปถามก้อกระไรอยู่ ไงคุณสายไหมก้ออยู่ที่บอร์ดก้อช่วยตอบด้วยนะครับ คุณสายไหมครับไอ้การเคลื่อนนี่ให้เราใช้จิตนึกใช่ไหมครับนึกว่าจิตเราค่อยๆๆเคลื่อนออกใช่ไหมครับ ผมเข้าใจถูกไหม?นี่ แล้วจะลองดูนะครับ
     
  4. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,286
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    การได้อภินิหารย์อะไรมาเเก่ตัวเรา ให้ถือซะว่าเป็นผลพลอยได้ของเรา เเต่อย่าไปยึดติดครับ ไม่งั้นจะเป็นกิเลสได้ ตั้งใจปฏิบัติเพื่อละ เเละนิพพานให้ได้ดีที่สุดครับ อนุโมทนาครับท่าน
     
  5. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,862
    ค่าพลัง:
    +1,818
    ข้าพเจ้าแปลกใจอยู่อย่างหนึ่งว่า
    ทีมงาน บางคนที่คอยดูการแสดงความคิดเห็น หรือการตั้งกระทู้ ทำไมจึงเลือกที่รัก มักที่ชัง (วิเคราะห์จากกระทู้นี้)
    ทั้งๆที่ก็รู้อยู่ว่า กระทู้ด้านบน เป็นการสร้างความเชื่อ และบิดเบือน หลักธรรมคำสอน ยังปล่อยให้มีการตั้งกระทู้ และปล่อยให้มีการตอบหรือแสดงความคิดเห็น แบบไม่รู้ แล้วยังบิดเบือน
    ทุกท่าน ไม่รู้เลยหรือว่า "ฌาน"นั้นเขาจัดให้เป็นการปฏิบัติ ในหมวด "สมถะกัมมัฏฐาน"
    แสดงว่า ไม่ได้รู้ ไม่ได้เข้าใจกันเลยว่า "สมถะกัมมัฏฐาน" คืออะไร เขาฝึกกันอย่างไร
    แต่ดันบิดเบือน ว่า ถ้าได้ฌาน แล้วจะถอดจิตได้ โธ่เอ๋ย...คุณทั้งหลาย
    ถอดจิต ไม่มีใครถอดได้ดอกขอรับ
    ถ้าจะกล่าวว่า แยกร่าง หรือแยกกายละเอียด เป็นหลายคน ก็ยังพอฟังได้
    และการแยกร่าง หรือ แยกกายละเอียด ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิขอรับ
    เพราะการนั่งสมาธิ เป็นการฝึก ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติ (ในที่นี้หมายถึงการฝึกปฏิบัติธรรม แต่ไม่ใช่การปฏิบัติเพื่อถอดจิต)
    ขอให้พิจารณากันเถิด
     
  6. ดับกิเลสทั้ง5

    ดับกิเลสทั้ง5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +238
    ถ้าได้ฌาณ4คือสิ้นกิเลสตัณหาและจิตเข้านิพพานแล้วครับ ลองถามจิตตัวเองเถิดว่าหมดกิเลสตัณหาหรือยัง ถ้ายังก็ไม่มีทางครับ เริ่มแรกมันจะเป็นอาการทางจิตแล้วแตจริตแต่ละบุคคลครับมันยังไม่ถึงขั้นหรอกครับ ถ้าถึงขั้นคุณจะรู้เองไม่ต้องถามใคร มันจะเป็นเองตลอด24ชั่วโมง โดยไม่ต้องนั่งสมาธิประมาณว่าพอจิตรวมทุกอย่างจะเกิดเองครับถ้ายังมีกิเลสก็ยังไม่ได้ครับ ฉะนั้นทางไปทางเดียวครับคือต้องตัดกิเลสก่อน กิเลสคือมารครอบงำจิต จิตไม่บริสุทธิ์จะเกิดอานุภาพได้อย่างไร มีแต่จะเสียสติกันเปล่าๆ ฉะนั้นจงมีสติพิจารณาดูให้ดีครับ ทำกรรมฐานเรื่อยๆแล้วแต่จริตชอบกองไหนใช้กองนั้นทางไปมีทางเดียว อย่างอื่นมีแต่พากันเสียสติ ได้อะไรไม่ได้อะไรถามจิตตัวเองดูเถิด อย่าอวดดี มีมารที่อวดดี
     
  7. พระพงศ์เทพ

    พระพงศ์เทพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +51
    ถ้าได้ฌาณ4ก้อเหาะไปทั้งตัวเลยสิคุณจะถอดจิตกัรทำมัยล่ะไหนว่าอันตรายมิใช่
     
  8. ธาตุ4

    ธาตุ4 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +91
    ผมเข้าใจว่าเป็น กายทิพย์ นะครับ ซึ่งจริงๆก็ถอดได้ครับหากจะฝึกอรูปฌาณ4 หลังได้ฌาณ 4 แล้ว เพื่อเข้าสู่สมาบัติ8 อันเป็นทางสู่พระนิพพานในอนาคต ผมไม่เห็นด้วยกับการฝึกเพื่อไปไหนมาไหน เพราะอาจจะนำไปสู่เส้นทางอันตรายได้ จิตมีพลังจำกัดหากมีการสั่งสมบารมีฌาณ ไม่เพียงพอครับ

    จริงอยู่ว่าฌาณ4 นั้นมีพลังมากจริงหากยังเข้าได้ไม่เป็นวสี ก็อย่าพึ่งเลยครับ เพราะหากสังเกตดีๆ จะพบว่าหลังออกฌาณ4 ตัวจะชา จิตจะอุเบกขา หัวใจและชีพจรเต้นอ่อนมาก หากสติไม่เพียงพอย่อมคิดว่าตัวเองไม่มีชีวิต ถึงขั้นบ้าได้

    ขอ อนุโมทนา วิธีการของคุณสายไหมในกรณีจะถอดกายทิพย์ครับ เป็นวิธีที่ปลอดภัยดีครับ ผมเข้าใจว่าผู้ตั้งกระทู้อยากทดลอง ไม่ใช่อวดอุตริครับว่าได้ฌาณ4

    ขออนุโมทนา คุณ tummaism ครับที่ท่านชี้แนะเป็นสิ่งที่ถูกต้องและสำคัญสำหรับนักปฏิบัติครับ เพราะนี่คือทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ครับ

    ขออนุโมทนาและขออภัยคุณ telwada นะครับ

    จริงอยู่ว่าฌาณ นั้นเขาจัดให้เป็นการปฏิบัติ ในหมวด "สมถะกัมมัฏฐาน"
    แสดงว่า ไม่ได้รู้ ไม่ได้เข้าใจกันเลยว่า "สมถะกัมมัฏฐาน" คืออะไร เขาฝึกกันอย่างไร
    แต่ดันบิดเบือน ว่า ถ้าได้ฌาน แล้วจะถอดจิตได้ โธ่เอ๋ย...คุณทั้งหลาย
    ถอดจิต ไม่มีใครถอดได้ดอกขอรับ
    ถ้าจะกล่าวว่า แยกร่าง หรือแยกกายละเอียด เป็นหลายคน ก็ยังพอฟังได้
    และการแยกร่าง หรือ แยกกายละเอียด ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิขอรับ
    เพราะการนั่งสมาธิ เป็นการฝึก ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติ (ในที่นี้หมายถึงการฝึกปฏิบัติธรรม แต่ไม่ใช่การปฏิบัติเพื่อถอดจิต)
    ขอให้พิจารณากันเถิด

    ผมเข้าใจว่าผู้ตั้งกระทู้คงยังไม่ได้พิจาณาสายพระปริยัติ เท่าที่ควร จึงอาจจะเข้าใจความหมายของจิต ที่จะถอดผิดนะครับ เพราะจริงๆแล้วน่าจะเป็นกายทิพย์มากกว่า ครับเพราะผู้เข้าฌาณ4 โดยการเข้าอานาปาณสตินั้น หากจะฝึกอรูปฌาณ4 นั้นบางท่านอาจจะถอดกายทิพย์เพื่อให้ได้ สมาบัติ8 และเกิดอภิญญา6 ได้เลย โดยไม่ต้องไปผ่าน วิชชา3 ซึ่งบางท่านอาจจะพิจารณาอรูปฌาณได้ในวิปัสสนากรรมฐานคือเจริญปัญญาพิจารณาในทุกขัง อนิจจัง อนัตตาครับ ไม่จำเป็นต้องถอดกายทิพย์ แต่จำเป็นต้องเข้าฌาณ และการได้ญาณ8 นั้นจะเกิดช้ากว่ามากหรือไม่เกิดเลยครับ เนื่องจากไม่มีการถอดกายทิพย์ นั่นเอง

    ดังนั้นผมคิดว่าท่านควรจะมองหลักธรรมของนักปฏิบัติ ครับ นั่นคือ อย่าติเตือนกรรมฐานของผู้อื่นหากอยุ่ในสติสัมปัฏฐาน4 ย่อมไม่ผิดครับ เพราะจริตคนไม่เหมือนกัน บางคงมีความกล้าจะเข้าสายฤทธิ์เดชคือมุ่งโลกียะก่อนแล้วจึงมุ่งสู่โลกุตระหรือวิปัสสนากรรมฐานเพื่อเจริญปัญญาก็ยังได้อยู่ครับ หรือที่เรียกว่า ฉฬอภิญญา ดังนั้นหากผู้ตั้งกระทุ้มีจริตเช่นนี้ก็ย่อมประพฤติปฏิบัติเช่นนี้ครับ

    ขออนุโมทนา คุณ ดับกิเลสทั้ง5 ครับ การได้ฌาณ4 ไม่ใช่ผู้ดับกิเลสแล้วนะครับ เพราะผู้ได้ฌาณ4 คือผู้ข่มกิเลสไว้ ด้วยจิตแห่งพรหม คือ มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ถือศีลเป็นปกติ จิดเกิดพรหมวิหาร4 มีหิริโอตตัปปะ และ อิทธิบาท4 ครับ สิ่งเหล่านี้เกิดอัตโนมัติ ครับ ผู้ได้ฌาณ มักจะใช้สมาธิเป็นอาหาร และใช้ฌาณเป็นอารมณ์ ดังนั้นกิเลสจึงถูกข่มไว้ หากจะทำลายกิเลสต้องเข้าสู่วิปัสสนากรรมฐานเพื่อเจริญปัญญา พิจารณาสิ่งที่ได้มาและดับทิ้งเพื่อไม่ให้เกิดกิเลส จากนั้นจึงพิจารณาขั้นสูงไปเรื่อยๆครับ

    สำหรับความเห็นสุดท้ายผมขออนุโมทนา ขอรับแต่ไม่พิจารณา และไม่ขอกล่าวอันใดครับ

    สุดท้าย
    ผมขอชี้แนะท่านผู้ตั้งกระทุนิดหน่อยนะครับ หากท่านได้ฌาณ4 พึงจดจำว่าวิธีที่ท่านฝึกตอนนี้เป็นโลกียะฌาณ แม้ท่านจะมีฤทธิ์เดชแต่หากหยุดอยุ่เพียงเท่านี้ท่านก็ไปสูอบายภูมิ ได้ดังเช่นพระเทวทัตที่ได้อภิญญา5 หากจะเข้าโลกุตระฌาณ จงพึงหมั่นพิจารณาสิ่งที่ท่านได้มาแล้วมองดูว่ากิเลสได้ลดลงหรือไม่ หากจะเข้าสู่ วิชชา3 หรือขั้นสูงกว่า พึงพิจารณาว่า ท่านมี หิริ โอตตัปปะ หรือไม่ เพราะหากท่านไม่มีแล้วท่านจะเกิดมารแทรกโดยไม่รุ้ตัว หมั่นพิจารณาว่าสิ่งที่ได้มามันย่อมดับไปเป็นของธรรมดา อย่าหลงติดในรูปฌาณและอรูปฌาณ เสียก่อน ที่สำคัญผู้ที่ได้ฌาณ4 ตัวเป็นคนแต่จิตนั้นเป็นพรหม ดังนั้นท่านไม่ควรสาปแช่งหรือด่าใคร พึงรักษาศีลอย่าให้พร่อง เพราะกุศลท่านได้มากกว่าคนอื่นเท่าไหร่ กรรมท่านย่อมหนักกว่าคนอื่นฉันนั้น วางอารมณ์ให้เป็นดั่งพรหมเถิด

    ขออโหสิกรรมด้วยนะครับ การพิจารณาแล้ววางเฉย นำมาซึ่งบุญของผู้สนทนาธรรม หากเกิดอกุศลจักนำไปสู่อบายภูมิทั้งผู้เล่าและผู้ฟังครับ
    เจริญในธรรมครับ
     
  9. ธาตุ4

    ธาตุ4 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +91
    ผมเข้าใจว่าเป็น กายทิพย์ นะครับ ซึ่งจริงๆก็ถอดได้ครับหากจะฝึกอรูปฌาณ4 หลังได้ฌาณ 4 แล้ว เพื่อเข้าสู่สมาบัติ8 อันเป็นทางสู่พระนิพพานในอนาคต ผมไม่เห็นด้วยกับการฝึกเพื่อไปไหนมาไหน เพราะอาจจะนำไปสู่เส้นทางอันตรายได้ จิตมีพลังจำกัดหากมีการสั่งสมบารมีฌาณ ไม่เพียงพอครับ

    จริงอยู่ว่าฌาณ4 นั้นมีพลังมากจริงหากยังเข้าได้ไม่เป็นวสี ก็อย่าพึ่งเลยครับ เพราะหากสังเกตดีๆ จะพบว่าหลังออกฌาณ4 ตัวจะชา จิตจะอุเบกขา หัวใจและชีพจรเต้นอ่อนมาก หากสติไม่เพียงพอย่อมคิดว่าตัวเองไม่มีชีวิต ถึงขั้นบ้าได้

    ขอ อนุโมทนา วิธีการของคุณสายไหมในกรณีจะถอดกายทิพย์ครับ เป็นวิธีที่ปลอดภัยดีครับ ผมเข้าใจว่าผู้ตั้งกระทู้อยากทดลอง ไม่ใช่อวดอุตริครับว่าได้ฌาณ4

    ขออนุโมทนา คุณ tummaism ครับที่ท่านชี้แนะเป็นสิ่งที่ถูกต้องและสำคัญสำหรับนักปฏิบัติครับ เพราะนี่คือทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ครับ

    ขออนุโมทนาและขออภัยคุณ telwada นะครับ

    จริงอยู่ว่าฌาณ นั้นเขาจัดให้เป็นการปฏิบัติ ในหมวด "สมถะกัมมัฏฐาน"
    แสดงว่า ไม่ได้รู้ ไม่ได้เข้าใจกันเลยว่า "สมถะกัมมัฏฐาน" คืออะไร เขาฝึกกันอย่างไร
    แต่ดันบิดเบือน ว่า ถ้าได้ฌาน แล้วจะถอดจิตได้ โธ่เอ๋ย...คุณทั้งหลาย
    ถอดจิต ไม่มีใครถอดได้ดอกขอรับ
    ถ้าจะกล่าวว่า แยกร่าง หรือแยกกายละเอียด เป็นหลายคน ก็ยังพอฟังได้
    และการแยกร่าง หรือ แยกกายละเอียด ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิขอรับ
    เพราะการนั่งสมาธิ เป็นการฝึก ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติ (ในที่นี้หมายถึงการฝึกปฏิบัติธรรม แต่ไม่ใช่การปฏิบัติเพื่อถอดจิต)
    ขอให้พิจารณากันเถิด

    ผมเข้าใจว่าผู้ตั้งกระทู้คงยังไม่ได้พิจาณาสายพระปริยัติ เท่าที่ควร จึงอาจจะเข้าใจความหมายของจิต ที่จะถอดผิดนะครับ เพราะจริงๆแล้วน่าจะเป็นกายทิพย์มากกว่า ครับเพราะผู้เข้าฌาณ4 โดยการเข้าอานาปาณสตินั้น หากจะฝึกอรูปฌาณ4 นั้นบางท่านอาจจะถอดกายทิพย์เพื่อให้ได้ สมาบัติ8 และเกิดอภิญญา6 ได้เลย โดยไม่ต้องไปผ่าน วิชชา3 ซึ่งบางท่านอาจจะพิจารณาอรูปฌาณได้ในวิปัสสนากรรมฐานคือเจริญปัญญาพิจารณาในทุกขัง อนิจจัง อนัตตาครับ ไม่จำเป็นต้องถอดกายทิพย์ แต่จำเป็นต้องเข้าฌาณ และการได้ญาณ8 นั้นจะเกิดช้ากว่ามากหรือไม่เกิดเลยครับ เนื่องจากไม่มีการถอดกายทิพย์ นั่นเอง

    ดังนั้นผมคิดว่าท่านควรจะมองหลักธรรมของนักปฏิบัติ ครับ นั่นคือ อย่าติเตือนกรรมฐานของผู้อื่นหากอยุ่ในสติสัมปัฏฐาน4 ย่อมไม่ผิดครับ เพราะจริตคนไม่เหมือนกัน บางคงมีความกล้าจะเข้าสายฤทธิ์เดชคือมุ่งโลกียะก่อนแล้วจึงมุ่งสู่โลกุตระหรือวิปัสสนากรรมฐานเพื่อเจริญปัญญาก็ยังได้อยู่ครับ หรือที่เรียกว่า ฉฬอภิญญา ดังนั้นหากผู้ตั้งกระทุ้มีจริตเช่นนี้ก็ย่อมประพฤติปฏิบัติเช่นนี้ครับ

    ขออนุโมทนา คุณ ดับกิเลสทั้ง5 ครับ การได้ฌาณ4 ไม่ใช่ผู้ดับกิเลสแล้วนะครับ เพราะผู้ได้ฌาณ4 คือผู้ข่มกิเลสไว้ ด้วยจิตแห่งพรหม คือ มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ถือศีลเป็นปกติ จิดเกิดพรหมวิหาร4 มีหิริโอตตัปปะ และ อิทธิบาท4 ครับ สิ่งเหล่านี้เกิดอัตโนมัติ ครับ ผู้ได้ฌาณ มักจะใช้สมาธิเป็นอาหาร และใช้ฌาณเป็นอารมณ์ ดังนั้นกิเลสจึงถูกข่มไว้ หากจะทำลายกิเลสต้องเข้าสู่วิปัสสนากรรมฐานเพื่อเจริญปัญญา พิจารณาสิ่งที่ได้มาและดับทิ้งเพื่อไม่ให้เกิดกิเลส จากนั้นจึงพิจารณาขั้นสูงไปเรื่อยๆครับ

    สำหรับความเห็นสุดท้ายผมขออนุโมทนา ขอรับแต่ไม่พิจารณา และไม่ขอกล่าวอันใดครับ

    สุดท้าย
    ผมขอชี้แนะท่านผู้ตั้งกระทุนิดหน่อยนะครับ หากท่านได้ฌาณ4 พึงจดจำว่าวิธีที่ท่านฝึกตอนนี้เป็นโลกียะฌาณ แม้ท่านจะมีฤทธิ์เดชแต่หากหยุดอยุ่เพียงเท่านี้ท่านก็ไปสูอบายภูมิ ได้ดังเช่นพระเทวทัตที่ได้อภิญญา5 หากจะเข้าโลกุตระฌาณ จงพึงหมั่นพิจารณาสิ่งที่ท่านได้มาแล้วมองดูว่ากิเลสได้ลดลงหรือไม่ หากจะเข้าสู่ วิชชา3 หรือขั้นสูงกว่า พึงพิจารณาว่า ท่านมี หิริ โอตตัปปะ หรือไม่ เพราะหากท่านไม่มีแล้วท่านจะเกิดมารแทรกโดยไม่รุ้ตัว หมั่นพิจารณาว่าสิ่งที่ได้มามันย่อมดับไปเป็นของธรรมดา อย่าหลงติดในรูปฌาณและอรูปฌาณ เสียก่อน ที่สำคัญผู้ที่ได้ฌาณ4 ตัวเป็นคนแต่จิตนั้นเป็นพรหม ดังนั้นท่านไม่ควรสาปแช่งหรือด่าใคร พึงรักษาศีลอย่าให้พร่อง เพราะกุศลท่านได้มากกว่าคนอื่นเท่าไหร่ กรรมท่านย่อมหนักกว่าคนอื่นฉันนั้น วางอารมณ์ให้เป็นดั่งพรหมเถิด

    ขออโหสิกรรมด้วยนะครับ การพิจารณาแล้ววางเฉย นำมาซึ่งบุญของผู้สนทนาธรรม หากเกิดอกุศลจักนำไปสู่อบายภูมิทั้งผู้เล่าและผู้ฟังครับ
    เจริญในธรรมครับ
     
  10. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,862
    ค่าพลัง:
    +1,818
    การนั่งสมาธิ เป็นการฝึก ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติ
    หมายความว่า ฌาน ที่พวกคุณกล่าวถึงนั้น คือการ ปฏิบัติ สมถะ ไม่เกี่ยวกับอภิญญาใดใด กล่าวคือ เป็นเพียงการฝึกขั้นพื้นฐานเท่านั้น

    ใครจะได้ ฌาน อะไร ก็ไม่มีทางมีอภิญญา อย่างเด็ดขาด และแน่นอน ยกเว้น พวกเขาเหล่านั้น คิดเอาเอง คิดกันเอง หลอกตัวเอง และหลอกผู้อื่นอีกด้วย
    ข้าพเจ้าจึงบอกว่า มันเป็นการบิดเบือนหลักธรรมคำสอน คือเขาสอนอย่างหนึ่ง
    แต่ดันยกเมฆเอา เพื่อหวังผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง
    ไม่ใครถอดกายทิพย์ได้ เว้นแต่ เขาผู้นั้น จะฝึกปฏิบัติ จนบรรลุชั้น สกทาคามี เป็นต้นไป คือต้องผ่าน ชั้นโสดาบัน ปฏิมรรค ปฏิผล คือสำเร็จ มรรคผล คือ รู้และเข้าใจว่า อะไรคือ มรรค อะไรคือ ผล
    นอกเหนือจากที่ข้าพเจ้ากล่าว ล้วนเป็นกลุ่มคน ที่มีจิตผิดปกติ

    อนึ่ง ที่สำคัญ
    ขณะ นั่ง สมาธิ จะไม่มีทาง ถอดจิต หรือถอดกายทิพย์ คือถอดไม่ได้อย่างเด็ดขาด
    เพราะ การนั่งสมาธิ เป็นการฝึก ไม่ใช่เป็นการแสดงฤทธิ์ และ ฌาน ก็เป็นเพียงธรรมชาติ อย่างหนึ่งของมนุษย์เท่านั้นๆ ไม่ได้แสดงว่ามีฤทธิ์ หรือเกิดฤทธิ์ หรืออภิญญาใดใดเลย
     
  11. sakcorimo

    sakcorimo สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +1
    คนเราบุญบารมีน้อยแล้วยังจะขวางบุญ หรืออยู่ในภาวะฉลาดอวดโง่ พระพุทธเจ้ามิได้สอนให้เชื่อแต่ให้ปฏิบัติก่อนแล้วค่อยเชื่อ ไม่รู้จริงแต่ก็อาจเป็นบาปไปหลายชัวกับชั้วกัลป์ ตกนรกหลายขุมเพราะขวางบุญและศรัทธาให้คนอื่นเข้าใจผิดดังพยามารรอวันลงห้วงนรกอเวจี
    คนที่เข้าฌาน 4 แล้วได้ปฎิหารนั้นก็เป็นผลพลอยได้เพื่อเป็นพื้นฐานเข้าสู่อภิญญา6 ลองปฎิบิติให้ได้แล้วถอดจิตเห็นนรกสวรรค์ เห็นสัจจะธรรม เห็นอดีดก่อนได้แล้วค่อยเชื่อ คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->telwada<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1778299", true); </SCRIPT> อาจจะมาลองใจธรรมก็ได้ ขอบคุณยิ่งในการชี้แนะ
     
  12. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +3,637
    สุดโต้งไปไหมคับท่านพี่ น้องว่าพี่ไม่น้ำยาคือทำไม่ได้ ทำไม่ถึง ก็เลยเหมารวมเลยว่าไม่จริง ผิดปกติ จิตไม่ปกติ ของจริงมีอยู่ ผู้ที่ทำได้ก็มีอยู่ แต่จะไช่ผู้ที่อยุ่ในกระทู้หรือแปล่าผมไม่แน่ใจ การปฏิบัติ กับการฝึกมันก็ตัวเดียวกันและท่านพี่ ก็คืการลงมือกระทำสิ่งใดใด ว่างๆไปเปิดพจนานุกรม ฉบับราชบัญฑิตดูบ้าง หูตาจะได้สว่างขึ้น คำปริญัตินั่นแหละ
    จึงจะต่างความหมาย เพราะคำว่าปริญัติก็คือไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย ได้แค่เพียงอ่านจากตำรา เรียนจากตำรา จำคำเขามาอีกที ประมาณนี้นะ ปริญัติก็คือไม่ได้กระทำ ไม่ได้ลงไม้ลงมือ แต่ปฏิบัติก็คือลงมือกระทำ และการฝึกก็คือมีการกระทำ จะกระทำทางด้านจิตใจ หรือกำหนดท่านั่งสมาธิ ก็ถือว่ามีการกระทำ เข้าใจยัง :cool: ภาษาไทยแค่นี้ ยังไม่เข้าใจเลย แล้วจะไปทำมาหากินอะไร เรื่องสมาธิ เรื่องอนุภาพของจิต เรื่องของจิตใจกับกายคนละส่วนกัน กายส่วนกาย จิตใจจริงๆก็คือตัวเราจริงๆ กายตายแล้ว ก็ไม่มีค่า มีราคา ใครจะถ่มน้ำลายลด จะทำอย่างไรกายก็เฉย เพราะปราศจากจิตควบคลุม จิตก็ไปตามกำลังบุญกรรมนำแต่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2009
  13. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ควรเจริญวิปัสสนากรรมฐานก่อนนะครับ (เกี่ยวกับความตาย) มรณานุสสติ และ ทรงเวลาสมาธิให้เป็นวสี กำหนดเวลาไว้ภายในกี่ชั่วโมง ก็สามารถเข้า-ออกจากสมาธิได้ ตรงตามเวลาที่กำหนด ไว้นะครับ หากมีของเก่าก็อย่า มัวไปหลงทางนะครับ เพราะการถอดจิตนั้นเป็นแค่ของแถม เป้าหมายคือการกำจัดกิเลสให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ นะครับ ฌานเป็นเพียงแค่่ข่มกิเลสไว้ได้ แต่วิปัสสนาเป็นสิ่งที่เข้าไปถอนรากกิเลสครับ เจริญธรรมครับ
     
  14. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    สวัสดีครับ พี่บดินทร์ รบกวนพี่เปิดกระทู้ด้วยครับ ผมมีประสบการณ์ในสมาธิ มาเล่าสู่ฟังครับ ผลจากคำแนะนำของพี่
     
  15. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    การถอดจิต ใช้กำลังแค่สมาธิขั้นกลางก็ มองเห็นตนเอง นอนกรนคร่อกๆแล้วครับ แต่ไปไหนไม่ได้ไกลแต่ถ้าออกด้วยกำลังฌาน นี่ แหม มันกระชุ่มกระชวยครับ ไปไหนก็ไม่กลัวเลย มันมีแบบฝึกครับ ทุกคนทำได้ถ้าตั้งใจจริง
     
  16. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    อนุโมทนาด้วยครับ ขั้นตอนต่อไปก็ไปดูอุปทานที่ส่งผลต่อกายทิพย์ ลักษณะต่างๆดูนะครับ แล้วจะเข้าใจสังขารการปรุงแต่งมากขึ้นครับ แล้วค่อยๆจับสาวไปหาเหตุทีละขั้นๆ อุปมาดังต้นเถาวัลย์ จะจับช่วงปลายไปหาลำต้น หรือ ช่วงกลาง หรือ ใกล้ลำต้น เมื่อพบแล้วก็ถอนรากทิ้งเสีย สำหรับผมก็มีความรู้มากมายจากการถอดกายทิพย์ แต่เสียอย่างเดียวตอนนี้ไม่สามารถสอนใครได้มากนัก ต้องขออภัยด้วยครับ ยืมเครื่องคอมเขาใช้เลยเกรงใจเจ้าของเครื่อง ไว้ผมพร้อมเมื่อไรผมจะเข้ามาเล่นเว็บบ่อยๆครับ ขอให้เจริญธรรมครับ (ศึกษาสังขารอยู่เหมือนกัน อิอิ ไปล่ะ รักพระนิพพานด้วยใจ รักษาศีลด้วยใจ เป็นเองอัตโนมัติ ไม่ได้บังคับใจ )
     
  17. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    ขอบคุณครับพี่ สำหรับคำแนะนำ ทุกอย่างที่พี่เคยเล่าในกระทู้ของพี่ก่อนหน้านั้นเป็นประโยชน์ กับผมตอนช่วงเร่งฝึกสมถะ อย่างมาก จนผมสามารถถอดกายทิพย์ได้เหมือนกัน แต่มันยังไม่ชำนาญครับ
    ขอบคุณอีกครั้งครับ...ขอบคุณมากๆ
     
  18. twn

    twn สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +0
    ฟังนะท่านทั้งหลาย คุณ เทวดา ผมรู้แน่ชัดว่า คุณขาดความชำนาญ

    การถอดจิต นั้น ได้แน่นอน ร้อยเปอร์เซ็นต์ จิตจะเข้าออกทางไหน ขอให้ฝึกให้ชำนาญ
    ออกได้ คุณ สายไหมพูดก็ถูก เป็นวิธีของเขา
    ผมไม่บอกในที่นี้ ว่าถอดยังไง เห็นมีผู้รูเยอะแล้ว
    ธรรมพระพุทธเจ้า พิสุจน์ได้ ทุกขั้น

    ผมขอนุญาติ อย่างมีสติ กับคุณ เทวดา

    ธรรมที่คุณ คิดว่าคุณมีนั้น นั้นแหละ คือมานะ ที่มีในตัวคุณ ความโกรธ ที่แสดงออกมา
    บอกได้ถึงความละเอียด ของขั้นธรรม ดังนั้น ถ้าคุณมี เพียงแค่นี้
    อย่าตอบคนอื่นเขา
    ไปฝึกตนดีแล้ว ค่อยฝึกคน อื่น ขอบคุณ คับ ไม่มีเจตนา ให้มีอารมโกรธ
     
  19. twn

    twn สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +0
    ผมTWN ขออ้างถึง ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ telwada [​IMG]
    "การนั่งสมาธิ เป็นการฝึก ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติ "
    หมายความว่า ฌาน ที่พวกคุณกล่าวถึงนั้น คือการ ปฏิบัติ สมถะ ไม่เกี่ยวกับอภิญญาใดใด กล่าวคือ เป็นเพียงการฝึกขั้นพื้นฐานเท่านั้น

    -----------------------------------------------------------
    จากข้อความข้างบน นั้น
    เป็นของ คุณ telwada
    อย่าไปบอกใครเขา แบบนี้นะครับ อาย !!!

    ทาง สู่มรรค คือ ศิล สมาธิ และ ปัญญา เมื่อดำเนินตาม นั้นแหละ เป็นสัมมาทิษฐิ
    คือเห็นชอบ เมื่อเห็นชอบ ปฏิบัติชอบ
    ปฏิบัติชอบ คือ สำรวมกาย วาจา ชื่อว่า ศิล จิตตั้งมั่น ชื่อว่า สมธิ เมื่อสมธิดี ก็ เกิดปัญญา
    ทางธรรม ปัญญาทางธรรม นั้นมีมากมาย และเมื่อ เกิดปัญญา อภิญญา เกิดโดยสมบูรณ์
    ไม่สงสัย

    รบกวน เถิดท่าน การนั่งสมาธิเป็นการฝึก ไม่ใช่การปฏิบัติ อย่าพูดไป อายเขาท่าน !!!!
    รู้ไม่จริง เก็บ ตำราไปก่อน บิดเบือนเปล่า ๆ ไปวิจัยที่ไหนมา ! ศาสนาพุทธไม่ต้องวิจัย
    ท่านเห็นสาวกองไหน ทำวิจัยหรือ ?
     
  20. tOR_automotive

    tOR_automotive เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    582
    ค่าพลัง:
    +184
    คุณพร้อมจะเห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นหรือเปล่าล่ะ?
     

แชร์หน้านี้

Loading...