ขอคำชี้แนะครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย toomdoi, 28 เมษายน 2010.

  1. toomdoi

    toomdoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +839
    ราว 6 ปี ที่ผ่านมาผมมีความรู้สึกว่าตนเองจะเกิดมาชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย จะไม่เกิดอีกแล้ว ก็เลยเริ่มเจริญวิปัสสนามากยิ่งขึ้น(ผมเริ่มเจริญวิปัสสนามาเมื่อคราวบวชเรียนใหม่ๆ) ปัจจุบันความรู้สึกนั้นหายไป และปัจจุบันก็ไม่ค่อยได้เจริญวิปัสสนาแล้ว(นานๆครั้ง)

    อยากทราบว่าเป็นเพราะอะไร ถึงมีความรู้สึกเช่นนั้น
    และทำไมความรู้สึกนั้นถึงหายไป

    ขออาจารย์ชี้แนะด้วยครับ
     
  2. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,515
    ค่าพลัง:
    +9,765
    มารครับมาในหลากหลายรูปแบบ
    ความเพลินหรือนันทิเป็นตัวหนึ่งคอยที่ร้อยรัดไว้
    อย่าเพิ่งเลย ยังเช้าอยู่ ยังร้อนอยู่ ฝนตกแล้ว เย็นแล้ว
    ค่ำแล้ว
    ยังหนุ่มอยู่ ยังไม่ถึงเวลา

    เหตุปัจจัยยังไม่สุกงอม ยังไม่มีอะไรมากระตุ้น

    อีกอย่างน่าจะคงยังไม่เห็นทุกขสัจ หรือความน่าเกลียด(อาทีนว)ของการดำรงอยู่ของขันธ์จริงๆ กระมัง
     
  3. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,166

    เพราะศรัทธาการปฏิบัติอ่อนแรงลง ความเพียรจึงถดถอย ปัญญาจะอ่อนด้อย

    จึงมีลักษณะคลายใจเป็นอุเบกขาแต่...ขาดพลัง คือลักษณะโมหะครองใจ


    เจริญพร
     
  4. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    เจริญวิปัสสนานี่มันทำอย่างไร....
     
  5. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    เป็นการทดสอบของนิวรณ์มาร หรืออาจจะยังไม่ถึงวาระคือยังต้องมีกรรมเก่าที่ต้องสะสางทำให้จบและอาจเป็นช้วงเวลาการสร้างและทดสอบบาระมีธรรม ว่ามีความมั่นคงในรัตนไตรเพียงใด ลองหาประวัติแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ มาลองอ่านดูครับมีลักษณะคล้ายๆกับท่าน ถึงขนาดที่หลวงปู่มั้นบอกให้เลิกการภาวนาไปก่อนเลยครับ และด้วยความที่ท่านมีใจยึดมั้นในพระรัตนไตรและทางที่ถูกต้องก็ทำให้มีวันที่พ้นทุกข์ได้อย่างที่หวังครับ

    ปล.ลองตอบจากที่ได้อ่านมานะครับ ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมายอะไรครับ

    ขออนุโมทนาในบุญกุศลของท่านครับ
     
  6. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    สิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนได้
    แต่ปัจจุบันนั้นสามารถเลือกที่จะกระทำได้
    ท่าวันนี้เลือกที่จะไม่เกิดแล้วเชื่อว่าอนาคตย่อมเป็นดังหวังได้ครับ
     
  7. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,801
    ค่าพลัง:
    +7,939
    ความรู้สึก หรือ การรุกเร้าจิตเรา โดยการปรารภว่า "ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย" ทำไม
    จึงเกิดขึ้นได้ เกิดขึ้นแล้วทำไมหายไปได้

    ก่อนอื่น ก่อนที่จะสดับ คุณต้องทำความเข้าใจให้มั่นว่า ตอนนี้ความรู้สึกดังกล่าว
    ได้หายไปแล้วจริงๆ หายไปเลย ไม่มีอีก

    คุณจะต้องทำการเห็น ความรู้สึกดังกล่าว "ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย" ว่ามันหายไป
    ให้ชัดๆ ต้องเห็นให้ชัด อย่าให้มีเขม่า หรือ เงา ของความคิดยังซุกซ่อนอยู่ทาง
    ซ้าย หรือ ทางขวา หรือจากข้างบน หรือ จากข้างล่าง

    หากคุณมั่นใจว่า ไม่เห็นความรู้สึกดังกล่าวแล้วจริงๆ ก็ลองฟังเหตุผลต่อไปนี้

    แต่ถ้าคุณยังมีความรู้สึก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแฝงเร้นหลบซ่อน เวลาฟังเหตุผล
    ที่ผมให้แล้ว อาจจะรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมา ก็ให้รู้ว่า มันมีความรู้สึกแฝงอยู่ ก็รับรู้
    ว่ามันยังอยู่ เห็นไปซื่อๆ เนาะ

    มาดูเหตผลกัน (มีหลายอันนะ พิจารณาเอาว่าเข้าข้อใด )

    1. กระแสการปรารภ "ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย" ตรงนี้มีพระหลายท่าน พร่ำพูดคุณ
    สมบัติของตน เราจะได้ยินมาไม่ต่ำกว่า 20 ปี จากวัดนู้นบ้าง จากวัดนี้บ้าง จนทำ
    ให้เกิดความชาชินในการมีความคิด ติดเขม่าความคิดจากคนที่พร่ำบอกสมบัติของ
    เขา จนเราคล้อยตาม เกิดเป็นสังขารธรรม อภิสังขารธรรม(ความปรุงแต่งฝ่ายดี)
    หากเป็นกรณีนี้ ก็นมสิการมาตามความเป็นจริงว่า เราไปเอาสมบัติคนอื่นมาเป็น
    ความคิดของตน แล้ว แลเห็นความคิดที่ผุดลั่นในสมองเรา ในจิตเรา ให้เป็นของ
    ที่ตั้งไว้เพื่อระลึกถึง ไม่ใช่เห็นว่าเป็นสมบัติของเรา เป็นเพียง ธรรมะที่อัดไว้ในดวง
    จิตให้เกิดศรัทธาพละที่จะพาเราก้าวเดิน โดยไม่หลงว่านั่นเป็นสมบัติตน หากเมื่อ
    ไหร่ไปเห็นว่า การปรารภชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เป็นสังขารธรรมของตน ก็จะพลาด
    การปฏิบัติ จะเฉื่อย แทนที่จะ รุกเร้า เพราะไม่รู้ธรรมะที่ได้รับการถ่ายทอดมานั้นเป็น
    เพียงเสียงของกังสดานที่ค่อยๆเงียบหายไป ไม่ได้มีอยู่จริง

    2. กระแสบุญที่เราได้กระทำปลุกเร้า อันนี้ก็หมายถึงว่า ตอนนั้นๆ เราอาจกำลัง
    ทำกุศลใหญ่ มีปิติมาก มีสุขมาก เช่น ได้ซื้อไอศครีมให้เด็กทาน แล้วเด็กเขามีความ
    สุขมาก หรือ เราได้ทำพาคนแก่ข้ามถนน คนแก่หันมาขอบคุณด้วยใจจริง หรือ เรา
    ได้ทำบุญทำกุศลต่างๆ หรือ เรากำลังบวชในบวรพระพุทธศาสนา การได้ทำบุญ
    เหล่านี้จะเป็นกระแสบุญที่ส่งให้เกิด ปิติ จำนวนมาก เมื่อเกิดปิติแล้ว รสของสุขมีมาก
    แล้วรสแห่งสุขนั้น ย้อมจิตติด ทำให้เกิดความมุ่งมั่นจะเปล่งวาจา ก็อาจจะดำริขึ้นมา
    เองว่า "ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย" ซึ่งเป็นการปรารภเพื่อให้กุศลเหล่านั้นเป็นฐานกระได
    ในการส่งตนให้สูงขึ้น แต่พอ กระแสบุญนั้นขาดวาระลง เช่น เด็กจากไปแล้ว คนแก่
    เดินลับตาไปแล้ว มคทายกจับมือล่ำลากันแล้ว หรือ เราลาสิกขา สึกออกมาจากเพศ
    บรรพชิตแล้ว กระแสการปลุกเร้าจึงหมดลง กระไดที่เคยไช้ปีนส่งตัวให้สูง จึงอันตรธาน
    หายไปด้วย ซึ่งไม่ต่างจากการเดินบน ทางปูลาดในอากาศ เพราะไม่รู้ว่าสิ่งปลุกเร้าเหล่า
    นั้นเป็นของชั่วคราว

    3. โอกาสจะได้แลเห็นธรรมตามความเป็นจริง การปฏิบัตินั้น ส่วนใหญ่คนจะค้นคิด
    ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้มันเที่ยง จริงๆแล้วเราไม่ได้ทำอะไร ปรุงอะไรขึ้นมา ให้มันเที่ยง เพราะ
    ของเที่ยงนั้นไม่มีในโลก "สรรพเพ ธรรมา อนัตตา" ,"อนิจจัง วัฏสังขารา" อันนี้เป็นโศลก
    ธรรมที่เราเข้ามารู้รสแล้วเห็นตามจริง แต่เพราะไม่รู้ จึงคิดว่า จะต้องทำอะไรให้มันเที่ยง

    จริงแล้ว เราปฏิบัติก็เพื่อเข้ามาเห็นว่า เดี๋ยวมันก็อยู่ เดี๋ยวมันก็ไป เจริญแล้วเสื่อม เสื่อม
    แล้วเดี๋ยวก็เจริญอีก เจริญอีกเดี๋ยวก็เสื่อมไปอีก

    และ ที่มันเจริญ แล้ว เสื่อม สลับกันไปตลอดได้ เพราะ เราไม่เลิกปฏิบัติ หากตอนที่
    เสื่อมลง แล้วเราละความเพียร เผลอยาวลืมการปฏิบัติไปเลย เราก็จะกลายเป็นคนที่
    หลงคำพูดตัวเองที่ปรารภว่าเจริญแล้ว

    หากตอนที่เจริญขึ้นมา แล้วสักพักเราก็นอนใจ ปฏิบัติจมแช่ไปสักพักก็เสื่อมลง นี่แปลว่า
    ตอนที่เจริญเราก็เผลอละความเพียรโดยไม่รู้ กลายเป็นคนที่หลงคำพูดตัวเองที่ปรารภ
    ว่าเจริญแล้ว

    จะเห็นว่า ไม่ว่าจะเจริญ หรือ เสื่อม เราจะละความเพียรก็ด้วย ทิฏฐิตัวเดียวกัน คือการ
    เผลอเล็งเห็นว่า ตนเจริญแล้วซึ่งปรากฏเป็นคำพูด หรือ ทิฏฐิ ที่เข้ามาย้อมจิต เป็นดั่ง
    เขม่าควันที่ปิดตา เป็นม่านหมอกที่ขวางเราไว้ไม่ให้ก้าวหน้า ไม่ให้แลเห็นว่ากำลังเสื่อม
    ลง ดังนั้น เราก็ยกการเห็น ทิฏฐิที่ผุดขึ้นนั้นเป็นดัง อัตตานุทิฏฐิ ที่ขวางกั้นความเจริญ
    เล็งเห็นลงไปในมุมที่ว่า เป็นสักกายทิฏฐิสังโยชน์ก็ได้ เป็นนิวรณ์ที่ขวางกั้นความเจริญ
    ก็ได้ เป็นอภิสังขารที่เป็นฝ่ายมาร5ก็ได้

    การเล็งเห็น แล้วยกขึ้นดูกิเลสอย่างละเอียดตามระดับความปราณีตที่เรียกว่า อาสวะ
    สังโยชน์ อนุสัย นิวรณ์ มาร5 หรือ กิเลส เหล่านี้คืองานการพิจารณา เราต้องพิจารณา
    เห็นสิ่งเหล่านี้ปรากฏ ภาวนาการพิจารณาสิ่งเหล่านี้ให้เป็น ไม่ใช่ไปทำอะไรให้เที่ยง

    และเมื่อพิจารณาไปตามความเป็นจริง ยอมรับว่า หนทางนั้น มันมี เจริญและเสื่อม
    สลับกันไปอย่างนี้ เราก็จะไม่ย้อท้อ ไม่หยุดทำความเพียร หากเราหยุดทำความ
    เพียรนั่นก็เพราะ ปารมีสองตัวเราทำไว้น้อย

    หนึ่งคือ สัจจบารมี(การตั้งทิฏฐิ แล้วรักษาให้เป็นดั่งปรารภ นับถือตัวเองได้)
    [ หากประกาศสัจจะไว้ผิดอารมณ์พุทธ จะกลายเป็นการประกาศแบบแขวน
    ป้ายเชิดชู แทนที่จะเป็นเรื่อง สัมมัปปทาน ซึ่งเป็นเรื่องปฏิบัติจริง นับถือตน
    ได้จริง ]

    และ

    ตัวที่สองคืออธิษฐานบารมี(การตั้งเป้า และดำเนินตามแผนไม่ลดละ)
    [ หากตั้งอธิษฐานผิดอารมณ์ธรรมของพุทธ จะกลายเป็นเรื่อง ดลบันดาล
    ขอพร แทน การมุมานะบากบั่นกระทำด้วยตนเอง ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2010
  8. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +4,062
    1.กำลังจิต ไม่ปฏิบัติต่อเนื่อง
    2.ศรัทธาหมด
     
  9. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,631
    ตามตำราบอกว่าเป็นวิปัสนูปกิเลส บันดาลให้เกิดอุปทานจิต นักปฎิบัติตามไม่ทันก็มักจะหลงว่าตนสิ้นภพสิ้นชาติเป็นอรหันต์ก็มี
     
  10. chatyamn

    chatyamn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +4,056
    ก็ไม่รู้เหตุผลที่แน่นอนนะ...อาจเป็นกิเลสเข้ามา...ความศรัทธา ความมุ่งมั่น ความพยายาม ความเด็ดเดียวลดน้อยลงก็ได้....

    หรืออีกแง่หนึ่งใจเดิมแท้ ๆ เราอาจจะเคยปรารถนาพุทธภูมิก็ได้....อาจกลับมาทำให้ความรู้สึกของเรากลับหน้ามือเป็นหลังมือเลยก็ได้...พยายามอย่างไรก็ไม่สำเร็จ....

    ต้องตรวจดูด้วยตัวเราเอง...ดูที่จิตใจเรา...ถามตอบในจิตใจเรา....แยกจิตใจเราถามตอบกันไปมา...ให้ได้คำตอบที่จริง ๆ...ที่จิตเรายอมรับจริง ๆ ....คำตอบนั้นหละที่เราต้องดำเนินปฏิบัติต่อไป.
     

แชร์หน้านี้

Loading...