ขอถามครับ เกี่ยวกับการปรามาส พระโพธิสัตว์

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย JeanRtech, 29 เมษายน 2010.

  1. JeanRtech

    JeanRtech Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2009
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +29
    บุคคลที่ ปรามาส องค์พระโพธิสัตว์

    เขาจะได้รับกรรม อย่างไร หรือครับ

    ช่วงนี้กระแส เรื่องสถาบัน ออกมาเยอะมาก :'(

    คนพวกนั้นจะเป็นอย่างไรครับ ..
     
  2. โปฐิละ

    โปฐิละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +365
    เท่ากับปรามาสพระอริยะต้นๆ
    แต่ถ้าเป็นนิตยะโพธิ ก้อเท่าๆกับพระอรหันต์ รือ พระสัมมาสัมพุทธครับ
     
  3. มรรค 8 ประการ

    มรรค 8 ประการ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    884
    ค่าพลัง:
    +2,641
    ไม่ว่าจะเป็นอนิยตโพธิสัตว์ หรือนิยตโพธิสัตว์ก็ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะไปปรามาสด้วยวิธีต่างๆ แต่ถ้าอยากรู้ว่าจะได้รับผลกรรมเป็นอย่างไร ดูพระเทวทัตเป็นตัวอย่างได้เลยครับ
     
  4. NCK2046

    NCK2046 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    628
    ค่าพลัง:
    +3,793
    ลองขับรถยนต์ด้วยความเร็วแบบมิดคันเร่งพุ่งเข้าชนภูเขาหินดูสิคะ

    สภาพจะเป็นยังไง? จินตนาการไม่ออกเลย
     
  5. pathiwat25

    pathiwat25 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +4,808
    กรรมอันใดที่ผู้กระทำเจตนาไม่ดี ไม่ว่ากายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ย่อมมีผลตามมาทั้งนั้น
    เพราะเขาไม่รู้ว่าผลที่จะตามมาเป็นอย่างไรและร้ายแรงแค่ไหน ก็เป็นกงกรรมกงเกวียนของผู้นั้น
     
  6. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    ก็ว่ากันไปนะ...กัมมุนาวัตติโลโก
     
  7. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414
    ขึ้นกับเหตุการณ์ จะเอาตามความคิดเราไม่ได้ ต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อน
    ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าของเรา เมื่อพุทธันดรที่แล้วพระบรโพธสัตว์ลงมาเกิดสร้างบารมีโดยเป็นพราหมณ์ชื่อ โชติปาละ แต่ตระกูลของท่านเป็นมิจฉาทิษฐิทำให้พระโพธิสัตว์กลายเป็นมิจฉาทิษฐิไปด้วยเลยไม่นับถือพระพุทธศาสนา ในกาลนั้นท่านมีกัลยาณมิตรชื่อฆฏิการะ ซึ่งเกิดในตระกูลช่างปั้นหม้อซึ่งถือว่าอยู่ในวรรณะต่ำกว่ามาก แต่ก็คบหากันเป้นมิตรสหาย ฆฏิการะเฝ้าเพียรชักชวนเพื่อนโชติปาละให้ไปเฝ้าพระกัสสปพุทธเจ้า แต่โชติปาละไม่ยอมไปสักที จนครั้งสุดท้ายฆฏิการะชวนเพื่อไปสนานกายที่แม่น้ำใกล้กับวัดที่พระพุทธเจ้าประทับ เมื่อขึ้นจากน้ำก็ชวนอีก แต่โชติปาละยังไม่ยอมไปทั้งที่อยู่ใกล้พระพุทธเจ้าแค่นิดเดียว แถมยังกล่าวลบหลู่คุณของพระพุทธเจ้าอีก ฆฏิการะก็เลยใช้วิธีดึงมวยผม โชติปาละเอะใจในพฤติกรรมเพื่อนว่าทำไมกล้าทำขนาดนี้ ก็เลยยอมตามไป สุดท้ายก็ออกบวชสร้างบารมี นี่ยิ่งกว่าการปรามาสซะอีก พูดแบบปัจจุบันก็คือจิกหัวพระบรมโพธิสัตว์แล้วลากไป
     
  8. nunoiyja

    nunoiyja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,733
    ขอเสริมให้นิดนะครับ
    บาลี ฆฏิการสูตร ม.ม. ๑๓/๓๗๕/๔๐๕.

    ตรัสแก่พระอานนท์ ที่รุกขมูลแห่งหนึ่งระหว่างการเดินทาง ในชนบทแห่งโกศล.
    ครั้งมีพระชาติเป็นโชติปาลมาณพ

    อานนท์! ความคิดอาจมีแก่เธอว่า 'ผู้อื่นต่างหาก ที่เป็นโชติปาลมาณพในสมัยโน้น'. อานนท์! เธอไม่ควรเห็นเช่นนั้น, เรานี่เองได้เป็นโชติปาลมาณพแล้วในสมัยนั้น......*

    อานนท์ ครั้งดึกดำบรรพ์ พื้นที่ตรงนี้เป็นนิคมชื่อเวภฬิคะ มั่งคั่งรุ่งเรือง มีคนมากเกลื่อนกล่น. อานนท์! พระผู้มีพระภาค นามว่า กัสสปะทรงอาศัยอยู่ ณ นิคมเวภฬิคะนี้, ได้ยินว่า อารามของพระองค์อยู่ตรงนี้เอง, ท่านประทับนั่งกล่าวสอนหมู่สาวก ตรงนี้.

    อานนท์! ในนิคมเวภฬิคะ มีช่างหม้อชื่อฆฏิการะ เป็นอุปัฏฐากอันเลิศของพระผู้มีพระภาคกัสสปะนั้น. ฆฏิการะมีสหายรักชื่อโชติปาละ. อานนท์! ครั้งนั้น ฆฏิการะเรียกโชติปาลมาณพผู้สหายมาแล้วกล่าวว่า "เพื่อนโชติปาละ! มา, เราไปด้วยกัน, เราจักไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสปะ. การเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บัณฑิตลงเห็นพร้อมกันว่า ดี".

    "อย่าเลย, เพื่อนฆฏิการะ! มีประโยชน์อะไรด้วยการเห็นสมณะหัวโล้น".

    "เพื่อนโชติปาละ! ไปด้วยกันเถอะ, ฯลฯ การเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บัณฑิตลงเห็นพร้อมกันว่า ดี".

    "อย่าเลย, เพื่อนฆฏิการะ! มีประโยชน์อะไรด้วยการเห็นสมณะหัวโล้น". (โต้กันดั่งนี้ถึงสามครั้ง).

    "ถ้าเช่นนั้น เราเอาเครื่องขัดถูร่างกายไปอาบน้ำที่แม้น้ำกันเถอะ, เพื่อน!"

    อานนท์! ครั้งนั้น ฆฏิการะและโชติปาลมาณพได้ถือเครื่องขัดสีตัวไปอาบน้ำที่แม่น้ำด้วยกันแล้ว, ฆฏิการะได้กล่าวกะโชติปาลมาณพอีกว่า "เพื่อนโชติปาละ! นี่เอง วิหารแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะอยู่ไม่ไกลเลย, ไปเถอะเพื่อ! เราจะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยกัน, การเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นบัณฑิตลงเห็นพร้อมกันว่า ดี".

    "อย่าเลยเพื่อน ฆฏิการะ! มีประโยชน์อะไรด้วยการเห็นสมณะหัวโล้นนั้น". (โต้กันดังนี้อีกถึง ๓ ครั้ง).

    อานนท์! ฆฏิการะ ได้เหนี่ยวโชติปาลมาณพที่ชายพก แล้วกล่าวว่า"เพื่อโชติปาละ! ตรงนี้เอง วิหารของพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ไกลเลย. ไปเถอะเพื่อน, เราจักไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยกัน, การเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บัณฑิตลงเห็นพร้อมกันว่า ดี".

    อานนท์! ครั้งนั้นโชติปาละ พยายามโดยวิธีที่ฆฏิการะต้องปล่อยชายพกนั้นได้แล้ว กล่าวว่า "อย่าเลยเพื่อน ฆฏิการะ! ประโยชน์อะไรด้วยการเห็นสมณะหัวโล้น." อานนท์! ลำดับนั้น ฆฏิการะเหนี่ยวโชติปาลมาณพผู้อาบน้ำสระเกล้าเรียบร้อยแล้ว เข้าที่มวยผมแล้ว กล่าวดั่งนั้นอีก.

    อานนท์ โชติปาลมาณพ เกิดความคิดขึ้นภายในใจว่า "น่าอัศจรรย์หนอท่าน, ไม่เคยมีเลยท่าน, คือข้อที่ฆฏิการะช่างหม้อมีชาติอันต่ำ มาอาจเอื้อมจับเรา ที่มวยผมของเรา, เรื่องนี้เห็นจักไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเสียแล้วหนอ." ดังนี้ จึงกล่าวกะฆฏิการะช่างหม้อ :-

    "เพื่อนฆฏิการะ! นี่จะเอาเป็นเอาตายกันเจียวหรือ?"

    "เอาเป็นเอาตายกันทีเดียว, เพื่อนโชติปาละ! เพราะการเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นการดีจริง ๆ."

    "เพื่อนฆฏิการะ! ถ้าเช่นนั้น ก็จงปล่อย เราจักไปด้วยกันละ".

    อานนท์! ลำดับนั้น ฆฏิการะและโชติปาลมาณพ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคกัสสปะถึงที่ประทับ. ฆฏิการะผู้เดียว ถวายอภิวาทแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควร; ส่วนโชติปาลมาณพ ได้ทำความคุ้นเคยชื่นชมกับพระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะ นั่งอยู่แล้ว. ฆฏิการะได้ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะว่า "พระองค์ผู้เจริญ! นี่คือโชติปาลมาณพสหายรักของข้าพระพุทธเจ้า, ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงทรงแสดงธรรมแก่เขาเถิด".

    อานนท์! พระผู้มีพระภาคกัสสปะ ได้ทำให้ฆฏิการะและโชติปาละเห็นจริง, ถือเอา, อาจหาญและร่าเริงเป็นอย่างดี ด้วยธรรมิกถาแล้ว. ทั้งสองคนเพลิดเพลินปราโมทย์ต่อภาษิตของพระองค์, บันเทิงจิต ลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาททำประทักษิณ แล้วจึ่งหลีกไป.

    อานนท์! ลำดับนั้น โชติปาลมาณพได้กล่าวถามกะฆฏิการะว่า "เพื่อนฆฏิการะ! เพื่อนก็ฟังธรรมนี้อยู่ ทำไมจึงยังไม่บวชออกจากเรือน เป็นผู้ไม่หวังประโยชน์ด้วยเรือน เล่า?"

    "เพื่อนไม่เห็นหรือ เพื่อนโชติปาละ! ฉันต้องเลี้ยงมารดาบิดาผู้แก่และตาบอดอยู่".

    "เพื่อนฆฏิการะ! ถ้าเช่นนั้น ฉันจักบวช ออกจากเรือนไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนละ".

    อานนท์! ครั้งนั้น เขาทั้งสองได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคกัสสปะอีก. ฆฏิการะกราบทูลว่า "พระองค์ผู้เจริญ! โชติปาละสหายรักของข้าพระพุทธเจ้านี่แลประสงค์จะบวช, ขอพระองค์จงให้เขาบวชเถิด".

    อานนท์! โชติปาลมาณพ ได้บรรพชาและอุปสมบทในสำนักแห่งพระผู้มีพระภาคกัสสปะแล้ว, ราวกึ่งเดือน พระผู้มีพระภาคกัสสปะ ก็เสด็จจาริกไปยังเมืองพาราณสี. ...ฯลฯ...

    อานนท์! ความคิดอาจมีแก่เธอว่า "คนอื่นต่างหากที่เป็นโชติปาลมาณพในสมัยโน้น". อานนท์! เธอไม่ควรคิดไปอย่างนั้น, เรานี่เอง, เป็นโชติปาลมาณพแล้ว ในสมัยโน้น.

     
  9. Konbarb

    Konbarb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +206
    ผู้ใดทำกรรมเช่นใดไว้กรรมนั้นย่อมส่งผล เรื่องกรรมทั้งหลายอย่าไปคิดให้ปวดหัวเลยครับ ผมว่าไม่มีใครบอกได้หรอกว่ากรรมนั้นจะส่งผลเช่นไร แต่เชื่อว่าได้รับผลแน่นอน เราเห็นแล้วอย่าไปทำแบบนั้นเลยครับ เตือนได้บอกได้ก็ทำไป เตือนไม่ได้บอกไม่ได้คงต้องปล่อยไปครับ เพราะไม่มีใครทำให้คนเป็นคนดีได้ทั้งหมด นอกจากเวลาที่จะเป็นตัวช่วยได้เอง
     
  10. acspclubs

    acspclubs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +579
    กรรมนั้นมากมายเหลือคณานับ ลงนรกอเวจี แน่นอนครับ

    การปรามาสนั้นเป็นสิ่งที่หลายๆท่านยังกระทำอยู่

    แต่ไม่รู้ตัว ^^

    เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ ว่า ใครคืออริยสงฆ์สาวก ใครคือพระปัจเจก ใครคือพระโพธิสัตว์

    นอกเสียจาก ปัญญาจักษุได้ถูกเปิด (ตาทิพย์)

    ดังนั้นไม่เชื่อได้ แต่ อย่าลบหลู่ครับ ดีที่สุด ^^

    อนุโมทนาครับ
     
  11. mozard002

    mozard002 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +433
    เมื่อปัญญาจักษุเปิดแล้ว แม้แต่ขอทานท่านก็จะไม่กล่าวลบหลู่ หรือปรามาส
    ไม่ใช่เพราะเห็นกายทิพย์ แต่เพราะเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายถูกจองจำ ทรมานด้วยผลกรรมที่ผ่านมา ทั้งที่ตั้งใจทำและไม่ได้ตั้งใจทำ เมื่อเห็นความเป็นไปด้วยปัญญาแล้ว ก็ยิ่งไม่ควรซ้ำเติม

    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2010
  12. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ปรามาสใครมันก็บาปทั้งนั้นแหละ และที่ว่าบาปนั้นมันเพราะว่าเพราะมีจิตเป็นอกุศลจึงได้ปรามาสไป ต่อให้เป็นขอทานยาจกหรือคนพิการ หรือใครๆก็ตามการไปปรามาสเขาคือการสร้างอกุศลจิตให้เกิดกับตน ผลที่ได้นั้นเหมือนกันแต่ความแรงหรือขนาดอาจต่างกันตามบุญบารมีของแต่ลละท่านที่สั่งสมไว้ เช่น ปรามาสพระอรหันต์เถระ ก็ส่งผลเดี้ยวนั้นเลย แต่ความจริงคือเรื่องอะไรเราถึงไปปรามาสเขา คำว่าปรามาสหมายถึงจิตที่เป็นอกุศลต่อเขา แต่เวลาเราสงสัยว่าอะไรเป็นอะไรเราถามและแย้งไปโดยเหตุผลต่างๆนั้น ยังไม่ถือเป็นการปรามาส เพราะการปรามาสเกิดจากการขาดเหตุขาดผลขาดสติ ส่วนคนที่คิดว่าผู้อื่นปรามาสตนเพียงเพราะถือตนว่าดีว่าสูงกว่าเขาแล้ว ก็ควรพิจารณาให้ดีว่าเขานำเหตุผลมากล่าวหรือว่าเขานำอารมณ์มากล่าวก่อนจะคิดว่าใครปรามาสตน แต่เรื่องอย่างนี้ไม่ควรคิดเพราะว่าจะไม่ให้ใครกระทบกระทั่งเลยนั้นต้องไปอยู่คนเดียว ไม่พูดคุยหรือเดินร่วมกับใครเลยจึงจะทำได้ แต่หากยังต้องอยู่ในสังคมหรือในคนหมู่มากอยู่ก็แสดงว่ายังต้องมีการกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา ดังนั้น การอภัยทาน จึงมีอานิสงค์สูงสุดในการจะเจริญบารมีธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...