เหตุใด พระสงฆ์ถึงต้องมีฉายา ลงท้ายด้วยสระโอ

ดังที่กล่าวมานี้ ท่านคงสังสัยไหมว่า ฉายาของ
พระสงฆ์ ทำไมฉายา คำลงท้ายจึงเป็นสระเดียวกัน
แต่ผมสงสัยจัง ทำสงฆ์ถึงต้องมีฉายาลงท้ายด้วย โอ

ดังเช่น ....ไม่ได้เรียง นะคับห้ามคิดมาก


หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล


หลวงปู่ดูลย์ อตุโล


ท่านพุทธทาส อินทปัญโญ


หลวงตาบัว ญาณสัมปัณโณ


หลวงปู่แหวน สุจิณโณ


หลวงปู่สิม พุทธาจาโร


หลวงปู่มหาพุธ ฐานิโย


พระอาจารย์ลี ธัมมธโร


หลวงปู่ศรีจันทร์ วณฺณาโภ


หลวงปู่ต้น สุทธิกาโม


หลวงปู่ขาว อนาลโย


หลวงปู่ชอบ ฐานสโม


หลวงปู่หลุย จันทสาโร


หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ


หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม


หลงพ่อมหาวีระ ถาวโร (ฤาษีลิงดำ)

แต่จะมีข้อสังเกตุคือ


หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

หรือ อาจมีอีกที่ไม่เข้าข่าย
แต่ส่วนใหญ่ จะต้องมีสระโอ
อยากถามท่านผู้รู้ว่า มีการตั้งฉายากันอย่างไร
และทำไม ถึงต้อง โอ

เรียนถามผู้รู้ครับ

 

ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ คงเพื่อความไพเราะด้วยกระมังคะ

ในส่วนของฉายาพระแต่ละรูปเคยสอบถามเจ้าอาวาสที่คุ้นเคย
ท่านบอกว่าจะมีฉายาสอดคล้องกับภูมิรู้ของแต่ละท่าน

เรียกกว่าเพียงทราบฉายาก็รู้ได้ทันทีว่าพระแต่ละรูปเก่งทางด้านไหน ด้านปัญญา
ด้านการพูด ด้านญาณ ด้านการพัฒนา เป็นต้น

 

เช่นกันผมก็เคารพทุกท่าน ที่กล่าว

แต่ผมเพียงแค่อยากรู้คำตอบนะ มันน่าสงสัย

แล้วฉายาท่าบอกภูมิ ก็น่าจะเป็นจริง

โมทนากับทุกท่าน

 

ก็จากความคิดตัวปลาเองและของพี่นาคาแล้วตกลงว่า มันเป็นเพราะภาษาบาลีมั้งค่ะ

 

นั่นสิ!!! งั้นขอเชิญผู้รู้ช่วยชี้แจงทีครับ

 

ฉายาคือชื่อใหม่ของพระที่บวชใหม่ ซี่งได้ชื่อว่าเกิดใหม่แล้วในเพศบรรพชิต

 

ช่างคิด ช่างสงสัย ช่างสังเกต

 

ครัง น้องปลา ถูกต้องคับ จากที่ได้รับฟังมา

เลยลองหาดู

บาลี

หน่วยเสียงสระ มีด้วยกัน 8 ตัว หรือ 8 หน่วยเสียง

ได้แก่ อะ อา อิ อี เอ อุ อู โอ

สันสกฤต

สระ 12 ตัวได้แก่ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ

แต่ทว่าชาวพุทธเรา ใช้ภาษาของมคธ น่าจะใช้บาลี แน่แท้

พอจะสรุปได้คือ

1.เป็นภาษาบาลี
2.ฉายา อาจเป็นภูมิรู้

แล้วทำไมต้อง โอ ละ

 

หากพี่ลองนำวลีสุดท้ายที่ลงท้ายด้วยสระ โอ มามาเปลี่ยนใส่ในสระพ้องเสียงเหล่านี้ อะ อา อิ อี เอ อุ อู แล้วจะไพเราะเท่าสระโอไหม? อาจเป็นเพราะเหตุผลที่ลงท้ายด้วยสระโออาจจะไพเราะน่าฟังกว่าก็ได้นะครับพี่ num...mo ?
น้อง to?...344
เอ...หรือว่าเปลี่ยนฉายาตัวเองมั่งดีกว่า

 

ชื่อนั้นสำคัญใฉน

​

เพราะชื่อในภาษาไทยนำมาสวดบาลีไม่สะดวกในการสวดยัตติ
ยกพ่อนาคขึ้นเป็นพระและประกาศให้คณะสงฆ์ทราบ
จึงต้องตั้งชื่อให้ผู้ที่บวชเป็นบาลีเพราะเป็นภาษาจารึกพระไตรปิฎก​

 

อนุโมทนาสาธุ ครับพระอาจารย์ และทุกๆท่าน

เห็นด้วยว่า ชื่อนั้นสำคัญใฉน

 

เหตุที่ลงท้านด้วยสระโอเพราะเป็นลูกศิยษ์ของพระโคตะโม ให้ง่ายต่อการเรียกฉายา

แต่ก็มีบางองค์ที่ลงท้ายด้วยสระอี เช่น

สมเด็จพุฒาจารย์(โต พรหฺมรํสี)

หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี เป็นต้น

 

เพราะพระเป็นผู้ชายครับ จึงต้องลงท้ายด้วยสระ โอ
แต่ที่ไม่ลงด้วยสระโอ ก็มีเยอะนะ อย่างเช่น กิตฺติเมธี วรมุนี
ถ้าเป็นผู้หญิงส่วนมากก็จะลงท้ายด้วยสระ อา เช่น อุบลวรรณา วัลลภา วิสาขา ทำนองนี้น่ะครับ

 

เพราะฉายาพระตั้งตามเพศของผู้จะบวช ซึ่งพระสงฆ์เป็นผู้ชาย ตามภาษาบาลีแล้วเรียกว่าเป็น ปุงลิงค์ (เพศชาย) ซึ่งมีการันต์ คือ มีสระที่สุดศัพท์ 5 สระคือ อะ อิ อี อุ อู
ถ้าเป็นผู้หญิง ภาษาบาลีเรียกว่า อิตถีลิงค์ (เพศหญิง) ซึ่งมีการันต์ 5 ตัว คือ อา อิ อี อุ อู
แล้วที่เป็น สระโอนั้น บ่งบอกถึงเพศชาย บางทีลงสระอี เพราะนำไปแจกตาม อี ในปุงลิงค์ (เพศชาย)

หากต้องการที่จะเข้าใจลองโหลดไปอ่านดูตามลิ้งค์นี้ครับ

02.zip by uploadfile.biz

รับรองกระจ่างชัวร์

อ่านให้จบนะครับ......อ่านวันละนิดก็ได้นะครับ...

 

ถ้าเป็นนาคหลวง ในหลวงบวชให้ ฉายาจะลงท้ายด้วย สระอี ครับ

 

ที่ลงท้ายด้วยสระ โอ เพราะ มาจากการลงวิภัตติในภาษาบาลี เช่น วชิรญาณ อ่านว่า วะ-ชิ-ระ-ญา-ณะ ลง สิ ปฐมาวิภัตติ เป็น วชิรญาณสิ แปลง สิ เป็น โอ ได้เป็น วชิรญาโณ แล้ว อ ที่ โอ หายไปไหน เพราะว่ารูปสระโอ คือ โ- เมื่อนำมาประสมกับ วชิรญาณ ก็เป็น วชิรญาโณ เป็นต้น