**** พระพุทธเจ้ามีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? ****

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย สมถะ, 8 ตุลาคม 2006.

  1. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ** พระพุทธเจ้ามีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? **

    พระพุทธเจ้ามีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? มีการสร้างบารมีต่างกันอย่างไร ?


    [​IMG]


    จงอธิบายพอเข้าใจ พระพุทธเจ้ามี ๒ ประเภท คือ

    (๑.) พระพุทธเจ้าภาคโปรด

    (๒.) พระพุทธเจ้าภาคปราบ



    เป็นการแบ่งตามลักษณะของความรู้ เพราะพระพุทธเจ้าทั้ง ๒ ภาคมีความรู้ต่างกัน คือ


    พระพุทธเจ้าภาคโปรดมีความรู้ทางมรรคผล เป็นความรู้สอนศาสนา

    พระพุทธเจ้าภาคปราบมีความรู้ในการรบ คือความรู้อาสวักขยญาณ เป็นความรู้พิชัยสงคราม เป็นความรู้ในการรบทัพจับศึก เป็นความรู้ที่ใช้รบกับมาร



    พระพุทธเจ้าภาคปราบหายาก แต่พระพุทธเจ้าภาคโปรดมีจำนวนมากมาย การสร้างบารมีเพื่อการไปสู่พระพุทธเจ้าดังกล่าวนี้ มีความต่างกัน พระพุทธเจ้าภาคปราบสร้างบารมียากมาก แต่พระพุทธเจ้าภาคโปรดสร้างบารมีง่ายกว่ากันมากทีเดียว พระพุทธเจ้าภาคปราบนั้น จะต้องเรียนวิชารบคือวิชาปราบมารไปทุกชาติ จนถึงขั้นบารมีเต็มส่วน จึงจะได้มาตรัสรู้เป็นสัพพัญญูพุทธเจ้าภาคปราบ



    กล่าวถึงการสร้างบารมี ต้องสร้างบารมี ๑๐ ประการเป็นพื้นฐานก่อนเสมอไป คือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี ต้องสร้างบารมี ๑๐ ประการนี้ให้เต็มส่วนก่อน



    เมื่อบารมีเต็มส่วนแล้ว ก็เข้าคิวมาตรัสรู้ในโลก กล่าวถึงพระพุทธเจ้าภาคโปรด เพียงเท่านี้ก็มาตรัสรู้เป็นสัพพัญญูพุทธเจ้าภาคโปรดได้แล้ว แต่การเวียนเกิดเวียนตายเพื่อสร้างบารมีให้เต็มส่วนนั้น จะกี่ร้อยชาติ ? จะกี่พันชาติ ? นับชาตินับภพไม่ถ้วน เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากเป็นการให้ลูกเป็นทาน ให้ภรรยาเป็นทาน ควักลูกนัยน์ตาให้เป็นทาน หากจะเอาสูตรนั้น ก็ต้องใช้เวลานับชาตินับภพไม่ถ้วน แต่ถ้ามาสอนให้ประชาชนเป็นธรรมกายอย่างที่ข้าพเจ้าทำอยู่ขณะนี้ ไม่ต้องใช้เวลาเวียนเกิดเวียนตายนาน เพราะอะไรหรือ ? ก็เพราะว่าพระพุทธองค์ตรัสว่า "สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ" การให้ธรรมเป็นทาน ประเสริฐกว่าอะไรทั้งปวง นั่นเอง



    เมื่อบารมี ๑๐ ประการเต็มส่วนแล้ว นั่นเป็นบารมีพื้นฐาน ต้องเรียนวิชาปราบมารไปทุกชาติทีเดียว ต่อเมื่อบารมีปราบมารเต็มส่วนเมื่อไร ? จึงจะได้จังหวะมาเกิดเพื่อมาตรัสรู้เป็นสัพพัญญูพุทธเจ้าภาคปราบ จะใช้เวลาสร้างบารมีมากกว่าพระพุทธเจ้าภาคโปรด ถามว่าจะกี่ชาติกี่ภพนั้น ? ยังบอกไม่ได้ บอกได้แต่ว่าใช้เวลานานมาก ใช้เวลานานกว่าพระพุทธเจ้าภาคโปรดมากมาย เพราะพระพุทธเจ้าภาคปราบสร้างบารมียาก จึงหาพระพุทธเจ้าภาคปราบยากเหลือเกิน หากท่านเป็นธรรมกาย เราฝึกเข้านิพพานให้นานปี เราก็พอทราบได้ ว่าพระพุทธเจ้าภาคปราบหายากเหลือเกิน ส่วนใหญ่เราพบแต่พระพุทธเจ้าภาคโปรดทั้งนั้น



    วิชาปราบมารคืออย่างไร ? มีหลักสูตรเรียนอย่างไร ? นี่คือคำถามที่ท่านอยากให้ข้าพเจ้าอธิบาย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตอบง่ายๆ ให้เป็นที่เข้าใจ จงดูหลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นตัวอย่าง หลวงพ่อ เรียนอย่างไร ? ทำวิชาอย่างไร ? ให้ท่านเรียนอย่างนั้น ทำวิชาอย่างนั้น ทำไปทุกชาติ จนกว่าจะได้โอกาสตรัสรู้เป็นสัพพัญญูพุทธเจ้า ใครเรียนวิชาอย่างที่หลวงพ่อเรียน ใครทำวิชาอย่างที่หลวงพ่อทำ ? ทำไปทุกชาติ จนกว่าจะได้ตรัสรู้เป็นสัพพัญญูพุทธเจ้า เรียกพระพุทธเจ้าที่มีความรู้อย่างนั้นว่าพระพุทธเจ้าภาคปราบ เป็นสัพพัญญูพุทธเจ้าภาคปราบ



    จะเห็นว่าการสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าภาคปราบนั้น ทำได้ยาก ! ต้องใช้เวลาสร้างบารมียาวนาน ใช้เวลานานกว่าพระพุทธเจ้าภาคโปรดเป็นอันมาก ต้องเวียนเกิดเวียนตายกันนาน กว่าจะได้พระพุทธเจ้าภาคปราบแต่ละองค์นั้น ไม่ใช่งานที่ทำได้ง่ายเลย หากเราไม่มีพระพุทธเจ้าภาคปราบ เราก็แพ้มารอยู่อย่างนี้ การที่เราแพ้มารเป็นเพราะอะไร ? นี่คือคำถามที่ท่านอยากให้ข้าพเจ้าตอบ คำถามนี้ไม่มีใครตอบได้ ? แต่ข้าพเจ้าทำวิชาปราบมารมานาน ข้าพเจ้าจึงได้รู้ รู้ว่าที่เราแพ้มารเป็นเพราะเรามีพระพุทธเจ้าภาคปราบน้อย นั่นเอง



    การที่เรามีพระพุทธเจ้าภาคปราบน้อยนี่เอง เราจึงไม่มีใครจะไปสู้รบกับมาร เราแพ้มารเป็นเพราะเราไม่มีความรู้ในการรบ ความรู้การรบที่มีอยู่เดิมนั้น ใช้การไม่ได้เสียแล้ว มารเขามีความรู้เหนือเราเสียแล้ว เขาแก้วิชาของเราได้หมด แต่เราแก้วิชาของเขาไม่ได้ เราจึงเป็นผู้แพ้ เราแก้วิชามารได้ไม่จริง เราจึงเป็นผู้แพ้ไปตามระเบียบ ผลแห่งการแพ้มารมีความเสียหายอย่างไร ? ข้าพเจ้าบรรยายมามากแล้ว ให้ท่าน กลับไปอ่านดูใหม่


    ///////////////////////////////////////////////////////////////////////


    ทั้งพระพุทธเจ้าภาคโปรดและภาคปราบ ยังจำแนกแจกแจงเป็นพระพุทธเจ้าต่างๆ อีกหลายอย่าง


    ๑. สัพพัญญูพุทธเจ้า ถือว่าสูงสุด ต้องตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเท่านั้น


    ๒. พหูสูตพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง เป็นผู้เล่าเรียนมามาก ได้สดับตรับฟังมามาก จำพระไตรปิฎกได้หมด จำคำสอนของสัพพัญญูพุทธเจ้าได้หมด ไม่ได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง


    ๓. ปัจเจกพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง เห็นธรรมจากสัพพัญญูพุทธเจ้าแล้ว ก็ปฏิบัติธรรมเฉพาะตนไม่สอนใคร


    ๔. อนุพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง เจริญรอยตามพระพุทธองค์จนเห็นกายธรรม ได้แก่พวกเราที่เป็นธรรมกายในทุกวันนี้



    ///////////////////////////////////////////////////////////////////////



    การเลื่อนชั้นจากพระพุทธเจ้าประเภทต่าง ๆ เข้าสู่การเป็นสัพพัญญูพุทธเจ้า จะทำอย่างไร ?



    ทั้งพหูสูตพุทธเจ้า ปัจเจกพุทธเจ้า และอนุพุทธเจ้า จะเลื่อนชั้นเข้าสู่การเป็นสัพพัญญูพุทธเจ้าได้ จะต้องสร้างบารมี ๑๐ ประการต่อไป จนดวงบารมีโตเต็มส่วนเข้ากฎเกณฑ์การเป็นสัพพัญญูพุทธเจ้า จากนั้น จึงจะมาเกิดในโลกเพื่อตรัสรู้เป็นสัพพัญญูพุทธเจ้าต่อไป



    แต่ถ้าไม่ประสงค์จะเป็นสัพพัญญูพุทธเจ้า เมื่อถึงจุดที่ได้มรรคผลนิพพาน ก็เข้านิพพานได้เช่นเดียวกัน กล่าวถึงปัจเจกพุทธเจ้า นิพพานของพระองค์ก็มีแต่พระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น นี่คือข้อเสีย ! วิธีแก้ก็คือต้องสอนประชาชน จึงจะได้มรรคผลนิพพานแบบสมบูรณ์ บรรยายมาถึงตรงนี้ ทำให้นึกถึงกองทัพวิทยากรของข้าพเจ้าอย่างทันใด ก็พบว่าวิทยากรทั้งหมดไม่ว่าใครทั้งนั้น สอนได้ทุกคนและต่อวิชา ๑๘ กายให้แก่ผู้ฝึกได้ เป็นความรู้บังคับซึ่งทุกคนต้องทำได้ นี่คือความอัศจรรย์ วิทยากรทุกคนสอนได้ทั้งหมด แต่การจะเลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้าสายทำหน้าที่บรรยาย จะต้องเก่งกว่าวิทยากรธรรมดา เรื่องนี้ข้าพเจ้าเป็นผู้พิจารณาเอง แปลว่าทุกคนสร้างบารมีเป็นสัพพัญญูพุทธเจ้าทุกคน โดยที่เขาไม่รู้ตัว เวลานี้จำนวนวิทยากรมากขึ้นทุกวัน ไปทำหน้าที่สอนตามโรงเรียน ตามแต่โรงเรียนใดจะเชิญ นักเรียนเป็นธรรมกายอย่างอัศจรรย์



    ***************************************
     
  2. vichian

    vichian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    8,164
    ค่าพลัง:
    +41,920
    เอ.........อ่านแล้วรู้สึกพิกลๆ

    เท่าที่ศึกษาพระธรรมมาหลายปี ไม่เคยพบเลยว่า พระพุทธเจ้าแบ่งเป็ภาคโปรดกับภาคปราบ และองค์ปัจจุบันก็มีทั้งโปรดและปราบ ซึ่งปรากฎในพระสูตรต่างๆมากมาย ที่เคยอ่านพบมาแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ และวิริยะธิกะ ซึ่งแต่ละประเภทจะใช้เวลาแตกต่างกันในการสั่งสมบารมีจนกว่าจะเต็ม

    -ปัญญาธิกะ ใช้เวลาสั่งสมบารมี 4 อสงไขย กับแสนกัป
    -ศรัทธาธิกะ ใช้เวลาสั่งสมบารมี 8 อสงไขย กับแสนกัป
    -วิริยะธิกะ ใช้เวลาสั่งสมบารมี 16 อสงไขย กับแสนกัป

     
  3. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    <TABLE width="100%"><TBODY><TR align=middle><TD bgColor=#ffffff colSpan=2>
    ตำราของหลวงพ่อวัดปากน้ำ

    </TD></TR><TR align=middle><TD vAlign=top align=left bgColor=#ffffff colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR align=middle><TD vAlign=top align=left width="59%" bgColor=#ffffff>
    ทางมรรคผล

    เป็นตำราที่เราเหล่าศิษย์หลวงพ่อเคยเห็นกันทุกคน ตำราวิชาธรรมกายหลักสูตรเบื้องต้นนี้ เป็นหนังสือแจกเป็นธรรมทานของวัดปากน้ำ
    </TD><TD width="41%">[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>
    คู่มือสมภาร

    เป็นตำราหลักสูตรระดับกลาง ความเป็นมาเกิดจากสมเด็จพระสังฆราช (สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์) วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงบัญชาให้แม่ชีนวรัตน์ หิรัญรักษ์ เขียนความรู้ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำสอน มาถวายแก่พระองค์ ด้วยพระองค์ทรงสนพระทัย แม่ชีนวรัตน์ก็นำความนี้ไปกราบหลวงพ่อ ศิษย์ของหลวงพ่อซึ่งประกอบด้วย แม่ชีนวรัตน์, แม่ชีสมทรง สุดสาคร, คุณฉลวย สมบัติสุข จึงได้ร่วมกันเรียบเรียงตำราคู่มือสมภาร ตามความรู้ที่หลวงพ่อได้สอนไว้ รวมเป็นเล่มหนังสือ จัดพิมพ์ขึ้นถวายแด่สมเด็จพระสังฆราช พิมพ์ในนามของ น.ส.ฉลวย สมบัติสุข เมื่อปี พ.ศ. 2492
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff colSpan=2>
    แต่ปรากฏว่าสมเด็จพระสังฆราชทรงประชวร แพทย์ห้ามใช้ความคิด จึงถวายหนังสือนี้แก่พระสาธุศีลสังวร (สนธ์ กิจฺจกาโร) ซึ่งท่านเจ้าคุณรูปนี้เป็นเลขานุการของสมเด็จฯ และท่านเจ้าคุณรูปนี้เป็นผู้เขียนคำนำไว้ในตำราคู่มือสมภารนั้นด้วย

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>
    วิชชามรรคผลพิสดารเล่ม ๑

    เป็นวิชาธรรมกายหลักสูตรระดับยาก เป็นหนังสือปกแข็ง ภาพปกเป็นภาพรูปวงกลมแสดงลักษณะของฐานที่ 7 เป็นรูปของธาตุ 6

    ความเป็นมาของตำราหลักสูตรนี้ พระมหาจัน (ป.ธ. 5) ได้บันทึกความรู้นี้ไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2481 แต่ยังมิได้พิมพ์ออกเผยแพร่ ทางวัดปากน้ำได้นำความรู้หลักสูตรนี้จัดพิมพ์เผยแพร่ในปี พ.ศ. 2517 หลวงพ่อมรณภาพเมื่อปี พ.ศ. 2502 แปลว่าหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว 15 ปี จึงนำความรู้หลักสูตรนี้มาตีพิมพ์ได้

    </TD><TD vAlign=top><TABLE width="100%" align=center><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff colSpan=2>
    ประวัติแห่งความพิสดารวิชาธรรมกายหลักสูตรนี้ หลักสูตรนี้นับว่าเป็นวิชาชั้นสูงยิ่ง ยากที่ใครจะเรียนรู้ได้ ผู้จดวิชาคือพระมหาจัน (ป.ธ. 5) ต้องยกย่องท่านว่าท่านเก่งมาก สามารถจดวิชายากๆอย่างนี้ได้

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>
    วิชชามรรคผลพิสดาร ๒

    เป็นวิชาธรรมกายหลักสูตรระดับยากมาก เป็นความรู้ที่ท่านเจ้าคุณภาวนาโกศลเถร (อาจารย์วีระ คณุตฺตโม) อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาเป็นผู้จดบันทึกความรู้ เพิ่งพิมพ์เผยแพร่ในปี พ.ศ. 2519 ซึ่งหลวงพ่อมรณภาพไปแล้วถึง 17 ปี ทางวัดปากน้ำจึงได้พิมพ์วิชาธรรมกายหลักสูตรนี้เผยแพร่

    </TD><TD vAlign=top><TABLE width="100%"><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff colSpan=2>
    หมายเหตุ : เพื่อความสมบูรณ์เท่าที่จะเป็นไปได้ของเนื้อหาวิชาที่ท่านจะได้จากห้องสมุดของชมรม ฯ จึงขออาราธนาตำราดั้งเดิมของหลวงพ่อวัดปากน้ำมาไว้ ณ ที่นี้ด้วย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อขอเป็นอีกแรงหนึ่งของการเผยแผ่ธรรมะ และเพื่อเป็นการอนุรักษ์ตำราวิชาธรรมกายอันมีค่าต่อมนุษย์ทุกคนนี้เอาไว้​
    </TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD vAlign=top bgColor=#ffffff colSpan=2></TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD vAlign=top bgColor=#ffffff colSpan=2></TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD vAlign=top bgColor=#ffffff colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD vAlign=top bgColor=#ffffff colSpan=2>
    ตำราของอาจารย์การุณย์

    </TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD vAlign=top bgColor=#ffffff colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD vAlign=top bgColor=#ffffff colSpan=2>
    โปรดทราบ หนังสือส่วนใหญ่ที่ปรากฏภายในหน้านี้ ท่านสามารถซื้อได้ที่สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียงครับ ทั้งนี้สมาชิกชมรมทุกคนมิได้มีผลประโยชน์จากการขายหนังสือแต่อย่างใด รายได้จากการขายเป็นของสำนักพิมพ์แต่เพียงผู้เดียว ทางชมรมให้บริการท่านได้อ่านทางเวปโดยสะดวกด้วยกุศลเจตนา หากท่านอ่านทางเวปไม่สะดวกก็โปรดสั่งซื้อ หากท่านเห็นว่าไม่คุ้มค่าก็โปรดอย่าได้มีอคติ มีข้อข้องใจประการใด อย่าได้ลังเลโปรดถามครับ ขอบคุณครับ​
    </TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD vAlign=top bgColor=#ffffff colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD vAlign=top bgColor=#ffffff colSpan=2>
    ปราบมารภาค ๑ - ๕

    คำว่า “ ปราบมาร ” เป็นคำที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านใช้ สมัยที่ หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ หลวงพ่อได้ทำงานสำคัญอย่างหนึ่ง งานนั้นคือ “ ปราบมาร ” หมายความว่า ต้องเป็นวิชาธรรมกายชั้นสูง จึงจะรู้จึงจะเห็น แล้วใช้ความรู้ชั้นสูงนั้นไปกำจัดอวิชชา ( มาร ) ที่มายึดอำนาจปกครองในธรรมภาคพระ
    งานปราบมารคือเนื้อหาสำคัญที่สุดในชีวิตของหลวงพ่อ การที่อวิชชา ( มาร ) มายึดอำนาจปกครองเช่นนี้ มีผลกระทบต่อมรรคผลนิพพาน มีผลกระทบต่อธาตุธรรม มีผลกระทบต่อมนุษย์ เกิดความเดือดร้อน มีการข่มเหงรังแกกัน เกิดสงคราม เกิดกลียุค ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาลและทุกข์ร้อนด้วยประการต่างๆ ต้องเรียนวิชาธรรมกายถึงระดับแก่กล้า จึงจะรู้ จึงจะเห็น จึงจะทราบว่า “ มาร ” เขาทำวิชาปกครองไว้อย่างละเอียดลึกซึ้ง หากไม่เป็นวิชาธรรมกายแล้วรู้เห็นไม่ได้เลย แม้เป็นวิชาธรรมกายแล้ว แต่เป็นอย่างอ่อน ก็รู้เห็นไม่ได้เช่นเดียวกัน การที่หลวงพ่อทำวิชาเพื่อกำจัดอวิชชาที่ว่านี้ เรียกว่า “ ปราบมาร ”
    ปราบมารทั้งห้าเล่มที่จะปรากฏต่อท่านนี้เป็นประสบการณ์ตรงของอาจารย์การุณย์ ตลอดช่วงเวลาอันยากลำบาก ในการใช้วิชาธรรมกายชั้นสูงของหลวงพ่อวัดปากน้ำไปรู้เห็น แก้ไขและได้สร้างผลงานการปราบมารมากมาย พร้อมนำเสนอต่อท่าน

    ความรู้เช่นนี้ไม่ง่ายนักที่จะเกิดขึ้นและ ยากยิ่งนักที่จะนำมารวบรวมเพื่อนำเสนอต่อท่าน เชิญท่านศึกษาเพื่อเป็นความรู้ในฐานะผู้ใฝ่รู้วิชาธรรมกายคนหนึ่งเถิด
    </TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff colSpan=2><TABLE width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=99></TD><TD vAlign=top align=middle width="20%"></TD><TD vAlign=top align=right width="20%"></TD><TD vAlign=top align=middle width="20%"></TD><TD vAlign=top align=middle width="20%">
    [​IMG]
    ปราบมาร
    ภาค ๔

    </TD><TD vAlign=top align=middle width="20%">
    [​IMG]
    ปราบมาร
    ภาค ๕


    </TD><TD vAlign=top align=middle width=86>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD bgColor=#ffffff colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD vAlign=bottom bgColor=#ffffff colSpan=2>
    แนวเดินวิชาหลักสูตรวิชชามรรคผลพิสดารของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ๑ - ๒

    เป็นที่เข้าใจตรงกันว่า ตำราวิชาธรรมกายหลักสูตรมรรคผลพิสดาร ๑-๒ ของหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น เป็นความรู้ลึกซึ้ง ยากต่อการศึกษาค้นคว้า ผู้เขียนจึงได้ทำแนวเดินวิชาขึ้น เพื่อแก้ปัญหา ให้ความยากลดน้อยลงบ้าง และเพื่อให้เกิดประโยชน์ของวิชาอย่างแท้จริง และเพื่อเป็นการอนุรักษ์วิชาธรรมกายให้สืบไป
    จึงถือว่าเป็นหนึ่งในตำราวิชาธรรมกายที่ท่านควรมีไว้เป็นคู่มือ
    ท่านสามารถติดต่อซื้อหนังสือได้ที่สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียงครับ 02 872-9898
    <TABLE width="100%"><TBODY><TR><TD></TD><TD align=middle>[​IMG]
    </TD><TD></TD><TD align=middle>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD bgColor=#ffffff colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD bgColor=#ffffff height=193>
    ปุจฉาวิสัชนา - วิชาธรรมกาย

    หนังสือเล่มนี้ เกิดขึ้นจากการจดบันทึกความรู้อันประเมินค่ามิได้ในวิชาธรรมกายจากอาจารย์การุณย์ที่ได้ถ่ายทอดผ่านคณะวิทยากร เพื่อการอนุรักษ์สืบสาน และขยายผลความรู้วิชาธรรมกายของหลวงพ่อวัดปากน้ำในแง่มุมต่างๆ มิให้ดับสูญไป
    ดังคำกล่าวของหลวงพ่อวัดปากน้ำที่เคยกล่าวไว้แก่แม่ชีถนอม อาสไวย์ ว่า "รู้ไหม? ความรู้นี้ใช้เวลาค้นคว้ากันถึง 2,000 ปี เชียวหนา! "
    บางส่วนของหนังสือเล่มนี้ได้ปรากฏใน หน้า คำถาม-คำตอบวิชาธรรมกาย แล้วเชิญท่านศึกษาได้อย่างเต็มที่ หากท่านต้องการเป็นเจ้าของหนังสือเล่มนี้ กรุณาติดต่อคุณวันชัย 038 444-720 ราคาเล่มละ 350 บาท (ราคานี้ คือราคาต้นทุน หักด้วยเงินเรี่ยไรภายในชมรมครับ โปรดอย่าได้มีอคติ)
    </TD><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD bgColor=#ffffff colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD bgColor=#ffffff>
    แนวเดินวิชา หลักสูตรคู่มือสมภารของหลวงพ่อวัดปากน้ำ

    แนวเดินวิชาหลักสูตรคู่มือสมภารเล่มนี้ จัดเป็นวิชาธรรมกายชั้นสูง ท่านที่จะเรียนรู้หนังสือเล่มนี้ได้จะต้องฝึกวิชา ๑๘ กายได้แล้วและเข้านิพพานได้อย่างคล่องตัว
    เมื่อท่านสามารถเลื่อนชั้นมาเรียนหลักสูตรคู่มือสมภาร ขอให้ท่านตั้งใจฝึกไปทีละบท ว่าบทเรียนนี้มีความรู้อะไร มีขั้นตอนเดินวิชาอย่างไร มีวิธีฝึกอย่างไร แต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดอย่างไร ขอให้ทบทวนความแม่นยำในทุกๆ ด้าน แล้วจึงเริ่มหลับตาเดินวิชา
    ระหว่างเดินวิชา อย่าได้ลืมตามาเปิดตำราเป็นอันขาด ต้องอดทนเดินวิชาให้จบบทฝึก แต่ละบทเรียนให้ฝึกหลายครั้ง จนกว่าจะแจ้งใจแม้จะใช้เวลานานแค่ไหน ก็อดทนฝึกบทเรียนนั้นๆ จนกว่าจะแจ้ง ใครมีวิธีเรียนอย่างนี้ หลวงพ่ออนุโมทนาแน่นอน
    </TD><TD align=middle bgColor=#ffffff>
    [​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD bgColor=#ffffff colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD vAlign=top bgColor=#ffffff height=193>
    ทางรอดของมนุษย

    เขียนขึ้นเพื่อแสดงถึงเส้นทางแห่งมรรคผลนิพพานที่พระอริยเจ้าในอดีตประสบความสำเร็จมาแล้ว ความรู้ที่พาไปสู่ความสำเร็จ ก็คือวิชาธรรมกายหลักสูตรนี้ ฉะนั้น ทางรอดของมนุษย์มีทางเดียวคือ ต้องเรียนรู้วิชาธรรมกายหลักสูตรนี้
    ท่านที่ต้องการฝึกฝนตนเองเป็นวิทยากร ต้องผ่านหลักสูตรนี้ครับ
    </TD><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD bgColor=#ffffff colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>
    คู่มือวิปัสสนาจารย์

    อีกหนึ่งเล่มสำหรับผู้ใฝ่ธรรมและใฝ่ฝันการสร้างบารมีอย่างเอกอุ
    </TD><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD bgColor=#ffffff colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD bgColor=#ffffff>
    ผู้ใดเห็นดวงธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ตถาคตคือธรรมกาย

    หนังสือเล่มนี้ แสดงวิธีปฏิบัติทางใจ ตามคำสอนของพระบรมศาสดา ข้อที่ ๓ ที่ว่า สจิตฺต ปริโยทปนํ ซึ่งแปลว่า การทำใจให้สว่างใส ได้อธิบายวิธีปฏิบัติทางใจไว้อย่างชัดเจน ว่าทำใจอย่างไรจึงจะสว่างใส และเมื่อสว่างใสแล้ว เราจะเข้าถึงโมกขธรรมอะไรบ้าง และ เมื่อเข้าถึงธรรมเบื้องต้นแล้ว เราจะเข้าถึงธรรมชั้นสูงต่อไปไม่มีทีสิ้นสุด รวมเรียกว่าวิชาธรรมกาย ทั้งนี้ก็เพื่อให้แจ้งมรรคผลนิพพาน อันเป็นยอดปรารถนาของพระศาสนา
    หนังสือเล่มนี้ ได้แสดงความชัดเจนไว้แล้วอย่างครบถ้วน ทั้งความรู้ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ รอแต่ความพากเพียรของผู้ศึกษาค้นคว้า ว่าจะเรียนจริงหรือเรียนเล่น เท่านั้น ( หนังสือเล่มนี้พิมพ์แล้วหลายครั้ง พิมพ์เท่าไรก็ไม่พอแก่ความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะพระสงฆ์ทั่วประเทศ ให้ความสนใจแก่หนังสือเล่มนี้มาก )
    </TD><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD bgColor=#ffffff colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>
    อภินิหารหลวงพ่อวัดปากน้ำ

    หลวงพ่อเป็นผู้มีบารมีธรรมสูง สามารถบำเพ็ญกิจทางใจจนบรรลุวิชาธรรมกาย อันเป็นความรู้สูงสุดในพระศาสนา เป็นผู้ค้นพบความรู้กว่าคนทั้งหลาย หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงประวัติชีวิตของหลวงพ่อ ตั้งแต่เยาว์วัยจนกระทั่งมรภาพ ว่าหลวงพ่อมีบุญญาธิการ จนสามารถสร้างความสำเร็จนานาประการให้แก่พระศาสนาได้ สมควรที่เราท่านจะศึกษาจดจำและเคารพเทิดทูนบูชาในคุณธรรมของหลวงพ่อสืบไป
    </TD><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]
    </TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD bgColor=#ffffff colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#f3f3f3><TD bgColor=#ffffff>
    คติธรรม คตินิยม การดำเนินชีวิตของหลวงพ่อวัดปากน้ำ

    คติธรรม คตินิยมของหลวงพ่อวัดปากน้ำ เป็นที่ใฝ่รู้ของคนทั้งหลาย การตีความคติธรรมของหลวงพ่อ ทำได้ยาก เพราะการบำเพ็ญธรรมของหลวงพ่อนั้น ท่านไปเห็นวิชาชั้นสูง ครั้นได้รู้เห็นธรรมอะไร ก็จะกล่าวเป็นคติออกมา บางคติเป็นโวหารคารมคมคาย ทำให้คิดไปได้หลายแง่หลายมุม จะยุติเป็นอย่างไรนั้น สุดแต่บัณฑิตทั้งหลายจะพิจารณาตามที่เห็นสมควรเถิด เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว นำคติธรรมของหลวงพ่อมาใช้ จะสามารถเปลี่ยนจิตใจของเราให้มีคุณธรรม ชีวิตของเราจะมีสาระขึ้นกว่าเดิม มีเหตุผลขึ้นกว่าเดิม สภาพจิตใจจะโปร่งใสขึ้นกว่าเดิม เราจะไม่ปล่อยชีวิตของเราไปตามความผันแปรของสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป
    </TD><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. hitman

    hitman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +439
    ที่อ่านและศึกษามาพระพุทธเจ้าแบ่งเป็น3ประเภท
    คือ
    -ปัญญาธิกะ ใช้เวลาสั่งสมบารมี 4 อสงไขย กับแสนกัป ทำจริงๆคือ20อสงไขย
    -ศรัทธาธิกะ ใช้เวลาสั่งสมบารมี 8 อสงไขย กับแสนกัป
    ทำจริงๆคือ 40อสงไขย
    -วิริยะธิกะ ใช้เวลาสั่งสมบารมี 16 อสงไขย กับแสนกัป ทำจริงๆคือ80อสงไขย
    ไม่เชื่อก็ไปเปิดพระไตรปิกฎกดู


    <!-- / message -->
     
  5. hitman

    hitman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +439
    แล้วอีกอย่าง พระพุทธเจ้าตรัสรุ้ชอบได้โดยพระองค์เองอยู่แล้ว
    ไม่เคยสวดมนต์หรือไง อรหันต์สัมมาสัมพุทโธ ภควา พุทธังภวาตัง อภิวาเทมิ
    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รุ้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตรัสรุ้ชอบได้โดยพระองค์เอง ข้าพเจ้าของเคารพอภิวาท
     
  6. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ที่กล่าวว่า พระพุทธเจ้าแบ่งตามลักษณะการสร้างบารมี เป็น

    -ปัญญาธิกะ ใช้เวลาสั่งสมบารมี 4 อสงไขย กับแสนกัป ทำจริงๆคือ20อสงไขย
    -ศรัทธาธิกะ ใช้เวลาสั่งสมบารมี 8 อสงไขย กับแสนกัป
    ทำจริงๆคือ 40อสงไขย
    -วิริยะธิกะ ใช้เวลาสั่งสมบารมี 16 อสงไขย กับแสนกัป ทำจริงๆคือ80อสงไขย
    ไม่เชื่อก็ไปเปิดพระไตรปิกฎกดู


    ถูกต้องแล้วครับ นั่นเป็นการสร้างบารมีแบบพระพุทธเจ้าภาคโปรด ซึ่งพระพุทธเจ้าภาคปราบก็สร้างบารมีเช่นนี้เป็นพื้นฐานเหมือนกัน แต่ต้องสร้างบารมีปราบมารไปทุกชาติเพิ่มเติมอีกด้วยครับ
     
  7. hitman

    hitman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +439
    สรุปว่า พระพุทธเจ้าภาคปราบนี้ เป็นพวก อัครสาวกภูมิ สาวกภูมิ ใช่ไหม ส่วนพวกพุทธภูมิเป็นพระโพธิสัตว์ แบ่งเป็น วิริยะธิกะ ศรัทธาธิกะ ปัญญาธิกะ ผมเป็นพุทธภูมิ ศรัทธาธิกะบารมี
    เอาแบบง่ายๆๆสิหว่ะ
    ตูเบื่อโครตๆๆ ใช้ภาษาง่ายๆหน่อยเพราะคำว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่อรหันต์ ท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นบรมครุของ เทวดา พรหม และมนุษย์ เป็นบรมศาสดาเอกของโลก
    ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ท่านไม่ใช่เป็นครูเพราะท่านตรัสรู้ของท่านเอง ท่านรู้คนเดียวเอง ท่านไม่ได้ไปสอนใคร ให้ไปนิพพาน สอนประชาชนแค่ว่า ทานกับศิลเท่านั้น
    ส่วนอัครสาวก ก็คือพระอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวา สร้างบารมีเพื่อเป็นพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์
    ส่วนสาวกก็คือคนธรรมดาทั่วๆไปที่นับถือศาสนาพุทธและสามารถเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ก็คือพระสาวก ซึ่งเป็นพรอริยเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า
    บุคคลที่จะเป็นพระพุทธเจ้า จะต้องปรารถนาพุทธภูมิ เพื่อทรงความเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าต่อไปในอนาคตกาล
    จนโปรดทำความเข้าใจกันนิดกันหน่อยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2006
  8. nongyok

    nongyok Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +51
    ศึกษามาจากที่ไหนคะเนี่ยข้อมู,แน่นเปรี๊ยะเลย น่าปลื้มใจจัง
     
  9. nongyok

    nongyok Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +51
    ศึกษามาจากที่ไหนคะเนี่ยข้อมูลแน่นเปรี๊ยะเลย น่าปลื้มใจจัง
     
  10. noi

    noi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,120
    ค่าพลัง:
    +47,442
    สาธุ กราบ
    อนุโมทนาบุญครับ............
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
     
  11. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    เข้าไปศึกษาวิชชาธรรมกายได้ที่นี่ครับ
    http://kayadham.org

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2006

แชร์หน้านี้

Loading...