เด็กสาวผู้มีคริสตัล ออกมาจากตา

<object width="640" height="505"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/wqJzqrjma-o&amp;hl=en_US&amp;fs=1"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/wqJzqrjma-o&amp;hl=en_US&amp;fs=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="640" height="505"></embed></object>
​

 

เด็กหญิงชาวเลบานอน ผู้ร้องไห้ออกมาเป็นคริสตัล !

เด็กหญิงชาวเลบานอนได้สร้างความประหลาดใจให้กับแพทย์เป็นอันมากเมื่อเธอหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสะเก็ดคริสตัลเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคมของปีนี้ฮัสนา โมเฮ็มเหม็ด เมสเซลมานี (ขออภัยถ้าสะกดชื่อผิด) เด็กหญิงชาวเลบานอน วัย 12 ขวบได้สร้างคริสตัลเล็กๆ โดยเฉลี่ย 7 อันต่อ 1 วัน และถึงแม้คริสตัลจะคมราวความคมของกระจกแต่ฮัสนาบอกว่าเธอไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อยแพทย์ไม่สามารถอธิบายปรากฎการณ์นี้ได้เลยแม้แต่น้อยพ่อของเธอต้องการให้เธอได้พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในยุโรปหรือประเทศอเมริกาเพื่อหาคำอธิบาย ดร.นาซิบเอล รักกิส จักษุแพทย์ กล่าวว่าเขาจะส่งรายละเอียดกรณีนี้เข้าไปในการประชุมทางด้านจักษุศัลยกรรมที่ประเทศสเปน

ที่มาของแหล่งข่าว – รอยเตอร์



เด็กหญิงฮัสนา โมเฮ็มเหม็ด เมสเซลมานี วัย 12 ขวบชาวเลบานอน สร้างคริสตัลซึ่งคมราวมีดโกนออกจาดวงตาของแม่หนูน้อย เรื่องนี้ได้มีการเผยแพร่ไปทั่วโลกในปลายปี 1996 นายนัสบี มัสราจิ ผู้สื่อข่าวในเลบานอน ได้ติดต่อกับครอบครัวของเมสเซลมานี เพื่อค้นหาสาเหตุของปรากฎการณ์อันพิลึกพิลั่นนี้ ซึ่งได้เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงเดือนพฤศจิกายน 1996จาก การได้พูดคุยกับเมสเซลมานี ผู้สื่อข่าวรายนี้ได้รับคำยืนยันว่ามือที่มองไม่เห็นของพระเมสสิอาห์ (ศาสดาพยากรณ์ ศาสนาคริสต์ถือว่า พระเยซู เป็นพระเมสสิอาร์ ส่วนทางศาสนาอิสลาม ถือว่าพระนบี มูฮัมหมัด เป็นพระเมสสิอาห์) เป็นผู้สร้างปรากฎการณ์คริสตัลอันน่าอัศจรรย์นี้
และ รายงานเกี่ยวกับอัศวินชุดขาวอันลึกลับนี้ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับโลก อาหรับ เรื่องของเด็กหญิงผู้หนึ่งที่สร้างคริสตัลอันแข็งและคมพอที่จะตัดกระดาษออก จากดวงตาของเธอวันละเจ็ดครั้งโดยไม่มีอาการเจ็บปวดแม้แต่น้อย กำลังเป็นสิ่งที่เรียกว่าเรื่องมหัศจรรย์พันลึก เด็กหญิงอัสนา โมเฮ็มเหม็ด เมสเซลมานี วัย 12 ขวบได้กลายเป็นจุดดึงดูดความสนใจขึ้นมา ผู้เชี่ยวชาญทางศาสนาตลอดจนนักวิทยาศาสตร์พยายามไขปริศนานี้อย่างขมักเขม้น

จนในที่สุดปริศนานี้ก็มีคำตอบภายในเวลาอันไม่นานนัก มันเป็นเรื่องลวงโลก ! เด็ก หญิงยอมรับเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องที่กุขึ้น และได้เผยแพร่เป็นข่าวออกไป หลายคนรู้สึกเสียใจและผิดหวังมาก แนวโน้มความเชื่อเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ได้คลี่คลายในที่สุด ประเทศเลบานอนและประเทศอาหรับอื่นๆประกาศยุติการกระพือข่าวเรื่องนี้ เรื่องของเด็กหญิงฮัสนา โมเฮ็มเหม็ด เมสเซลมานีได้สิ้นสุดลงอย่างเงียบๆ และจนกระทั่งบัดนี้คำถามบางคำถามก็ยังไม่มีคำตอบ อาทิเช่น อัสนาทำอย่างไรที่ดวงตาของเธอหลั่งคริสตัลออกมาต่อหน้ากล้องถ่ายทอดทีวี แล้วถ้าสิ่งที่ปรากฏต่อหน้ากล้องทีวีเป็นความจริง แล้วอะไรละเป็นความเท็จ ดวงตาของเด็กหญิงถูกซูมอย่างใกล้ชิดจนทำให้เห็นว่าคริสตัลคอ่ยๆไหลออกมา จากดวงตาของแม่หนูน้อยราวกับว่ามันหลุดออกมาจากจอประสาทตายังไงยังงั้น


เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม ปี 1996 ขณะที่เธออยู่ที่โรงเรียน เธอก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาดอยู่ที่ดวงตาของเธอ มันเป็นคริสตัลชิ้นแรก และแน่นอนว่ามันได้สร้างปัญหาให้กับเธอ เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอได้บอกเรื่องนี้ให้กับทางบ้านทราบ ขณะที่เธอเล่าเรื่องอยู่นั้น คริสตัลชิ้นที่สองก็ออกมาจากดวงตาของเธอ พ่อของเธอพาไปหา ดร.อราจี ที่เมือง Chtaura ซึ่งเป็นจักษุแพทย์ หนูน้อยอยู่ที่คลินิกราวๆ 2 สัปดาห์ และคริสตัลก็ยังไหลออกจากดวงตาของเธออย่างต่อเนื่อง ดร.อรา จียืนยันว่าคริสตัลเหล่านี้เป็นของจริงและเขาไม่สามารถให้คำอธิบายทางวิทยา ศาสตร์สำหรับเรื่องนี้ได้เลย เขาคิดว่านี่น่าจะเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า หลายวันต่อมา ฮัสนาก็ได้บอกเล่าเรื่องราวอันแปลกประหลาดเพิ่มเติมแก่ ดร.อราจี “มี อยู่คืนหนึ่ง หนูตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงเคาะกระจกของใครบางคน หนูตื่นขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่าง หนูเห็นผู้ชายคนหนึ่งสวมชุดสีขาว นั่งอยู่บนหลังม้าขาว เขายิ้มให้หนูแล้วเรียกชื่อหนู เขาถามหนูว่าพอจะออกมาคุยกับเค้าที่ข้างนอกได้มั้ย” ฮัสนาเดินออกไปที่ประตูหน้าบ้าน “อัศวินชุดขาว” ยืนรอเธออยู่ เขาใส่ชุดคลุมสีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ชุดคลุมนี้ปกปิดศรีษะและใบหน้าของเขาเสียมิด

อัศวินชุดขาวพูดขึ้นว่า แม่หนูน้อย อย่ากลัวข้าเลย เขาแนะนำตัวเองว่าเค้าคือ “ผู้นำสาสน์ของพระผู้เป็นเจ้า” ฮัสนาไม่ได้ให้รายละเอียดทั้งหมดในสิ่งที่เธอคุยกับอัศวินชุดขาว นอกจากข้อความจริงที่ว่าอัศวินชุดขาวเป็นผู้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ดวงตาสร้าง คริสตัลนี้ขึ้น และนั่นเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์นี้ เขาเป็นน้องชายคนเล็กของฮัสนาซึ่งตามเธอออกไปนอกบ้าน ได้ยินเสียงพูดคุยของพี่สาวแต่ไม่รู้ว่าคุยกับใคร “อัศวินชุดขาว” มายืนเธอครั้งสองครั้งในเวลาต่อมา เขาได้ให้คำแนะนำตลอดจนคำเตือนอันค่อนข้างคลุมเครือ เมื่อฮัสาถามว่าเมื่อไหร่คริสตัลจะหยุดไหลออกจากดวงตาของเธอ คำตอบที่ได้รับก็คือ “เมื่อพระผู้เป็นเจ้ามีพระประสงค์” ฮัสนาจำคำบางคำที่เธอได้ยินจาก “อัศวินชุดขาว” ในความฝัน เขาจุมพิตเธอที่หน้าผากพลางพูดขึ้นว่า “ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า ถึงแม้เจ้าจะไม่เห็นข้าก็ตาม”

นอก จากนี้ยังมีเหตุการณ์ที่น่าประทับใจอีกคือ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่อัศวินชุดขาวแนะนำเธอว่า ให้ครอบครัวของเธอย้ายไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว เพราะบางสิ่งที่ไม่น่าพิสมัยกำลังจะเกิดขึ้น ครอบครัวของเธอตกลงทำตามคำแนะนำนั้น ยกเว้นผู้เป็นลูกชายคนหนึ่งของครอบครัวนี้ ในวันต่อมาเขาก็ประสบกับอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่ถึงแม้ว่ารถของเขาจะแหลกยับเยิน แต่พี่ชายของอัสนาไม่มีรอยแม้แต่แมวขีดข่วน ในเย็นวันนั้นเอง ฮัสนาก็ได้พบกับอัศวินชุดขาวอีกครั้ง เค้าถามว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วใช่มั้ยว่า ครอบครัวของเจ้าทุกคนต้องย้ายออกไปจากบ้านหลังนี้ ?”

เมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป สถานีโทรทัศน์ นิตยสาร ตลอดจนหนังสือพิมพ์แห่กันมาทำข่าวเรื่องนี้ที่บ้านของครอบครัวเมสเซลมานี

พระเมสสิอาร์เกี่ยวข้องกับการปรากฏตัวของ “อัศวินชุดขาว” ผู้ขี่ม้าขาว ในทางศาสนาฮินดู มีการรอคอยการเสด็จมาของพระวิษณุ เรียว่า การอวตารของกาลกี ซึ่งใส่ชุดขาวและขี่ม้าขาวเช่นกัน ในพระคัมภีร์ไบเบิลก็มีการกล่าวถึงอัศวินม้าขาวเหมือนกัน เรียกว่า “Faithful and Ture” (ตรง นี้เป็นศัพท์ทางศาสนาคริสต์ ไม่ทราบความหมาย ขอทับศัพท์แล้วกัน) ้แพร่สะพัดออกไป สถานีโทรทัศน์ นิตยสาร ตลอดจนหนังสือพิมพ์แห่กันมาทำข่าวเรื่องนี้ที่บ้านของครอบครัว

ในความเชื่อทางเปอร์เซีย ก็มีเรื่องราวทำนองนี้เหมือนกันเรียกว่า “โซซิออส” ซึ่งเป็นคำที่ เฮเลนนา พรีโตฟนา บัลวัสกี้ เขียนลงในพจนานุกรมทางคตินิยมว่า “โซซิออส” ผู้กอบกู้ ซึ่งประดุจดังพระวิษณุ พระศรีอาริยเมตไตร และอื่นๆ เป็นผู้ซึ่งปรากฎกายบนหลังม้าขาว เป็นผู้กอบกู้มวลมนุษย์ให้พ้นจากหายนะของโลก

แต่พระเมสสิอาร์ ผู้ซึ่งใส่ชุดขาวนี้ไม่มีความสลักสำคัญในทางศาสนาอิสลาม ซึ่งมีข้อห้ามแสดงตัวและใบหน้าเป็นผู้วิเศษหรือทูตสวรรค์

เเปลโดย khomeraya จากเว็บพลังจิตค่ะ

 

ถ้าเป็นเรื่องจริง ก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ยุคนี้เริ่มมีอะไรแปลกๆ มาให้เห็นเรื่อยๆ นะครับ(deejai)

 

ถ้ามีการเลื่อนระดับชั้น เด็กคนนี้ได้ไปแน่นอน 55

 

อ่านที่แปลแล้วงงมาก สงสัยใช้กูเกิลแปล

 

แปลก และมหัศจรรย์มากเลย...

 

อึ้งมากเลยครับ

อึ้งต่อมาก็คือ การแปลเนี่ยแหระครับ อากุ๋ ทำได้ สุดยอดมาก

 

strange but interesting story....Anumothana ka

 

เคยเห็นข่าวแบบนี้มาก่อนเหมือนกันครับ เมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้วแต่รู้สึกจะเป็นเด็กที่ศรีลังกา(ไม่แน่ใจเรื่องประเทศ) มีอาการแบบนี้เหมือนกัน

 

เออ แปลกจริง ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก จขกท.ครับผม

 

ถ้าเคยอ่านกระทู้ของคุณชยุต มีหลายกระทู้ที่บอกว่า
ร่างกายมนุษย์กำลังปรับเปลี่ยนจากคาร์บอนเบส ไปสู่
คริสตัลเบส แต่เรื่องนี้ยังไม่อยากฟันธง
ติดตามข่าวไปเรื่อยๆ ก่อน

 

อ่านสำหรับเรื่องแปลกให้ขอบคุณ
อนุโมธนา ^^

 

ช่วยเกลาประโยคให้นิดนิึง

เด็กหญิงชาวเลบานอน มีน้ำตาไหลออกมาเป็นคริสตัล เด็กหญิงชาวเลบานอนได้สร้างความงงงันแก่แพทย์ โดยผลิตผลึกเล็กๆ จากดวงตา เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคมของปีนี้ เมื่อเด็กหญิง Hasnah มีอายุครบ 12 ปี ได้ผลิตผลึกขนาดเล็กในอัตราเฉลี่ยเจ็ดเม็ดต่อวัน

แม้ว่า ผลึกจะเป็นคมดั่งกระจกตัด Hasnah บอกว่าเธอไม่รู้สึกเจ็บปวดและแพทย์ไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ พ่อของเธอเธออยากเห็นผู้เชี่ยวชาญในยุโรปหรืออเมริกาเพื่อหาคำอธิบาย ศัลยแพทย์ดวงตา Dr Nasib El - Lakkis กล่าวว่าเขาจะส่งรายละเอียดของกรณีนี้ต่อที่ประชุมศัลยแพทย์ในสเปน

เออ...น่าจะเอาไปขายได้เนอะ

 

ขอขอบคุณเจ้าของกระทู้ สำหรับเรื่องราวดี ๆ

 

ค้นเรื่อง Lord Maitreya มาให้เพิ่มเติม น่าสนใจดีนะ..

He has been expected for generations by all of the major religions.

Christians know Him as the Christ, and expect His imminent return. Jews await Him as the Messiah; Hindus look for the coming of Krishna; Buddhists expect Him as MaitreyaBuddha; and Muslims anticipate the Imam Mahdi or Messiah.

The names may be different, but many believe they all refer to the same individual: the World Teacher, whose name is Maitreya (My-’tray-ah). Preferring to be known simply as the Teacher, Maitreya has not come as a religious leader, or to found a new religion, but as a teacher and guide for people of every religion and those of no religion.

At this time of great political, economic and social crisis Maitreya will inspire humanity to see itself as one family, and create a civilization based on sharing, economic and social justice, and global cooperation. He will launch a call to action to save the millions of people who starve to death every year in a world of plenty. Among Maitreya’s recommendations will be a shift in social priorities so that adequate food, housing, clothing, education, and medical care become universal rights.

Under Maitreya’s inspiration, humanity itself will make the required changes and create a saner and more just world for all.

(k)(k)(k)(k)(k)

Lord Maitreya คือผู้ที่ทุกศาสนากำลังรอคอยพระองค์

คริสเตียนรู้จักพระองค์ในนามของไครสต์ และกำลังเฝ้าคอยการกลับมาของพระองค์ในเวลาอันใกล้นี้ ขณะที่ชาวยิวเฝ้าคอยพระองค์ในนามของ Messiah เช่นกัน..ชาวฮินดูก็รอคอยการกลับมาของพระกฤษณะและชาวพุทธก็กำลังรอการเสด็จมาตรัสรู้ของพระศรีอาริยเมตไตรย ส่วนมุสลิมก็กำลังเฝ้าคอย Imam Mahdi or Messiah

แม้พระนามจะแตกต่าง แต่หลายคนเชื่อว่า ทั้งหมดที่กล่าวนั้นคือพระองค์เดียวกัน..ครูของโลกผู้ทรงพระนามว่า Maitreya พระองค์นั้นทรงปรารถนาที่จะให้ใครๆ รู้จักในนามครูของโลกเท่านั้น มิได้ตั้งพระทัยที่จะเป็นพระศาสดาหรือตั้งศาสนาใหม่ เพียงทรงปรารถนาที่จะนำทางสั่งสอนผู้คนในทุกศาสนา รวมทั้งผู้ไม่มีศาสนาเท่านั้น

ในยุคที่เกิดวิกฤติทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรง Maitreya จะทรงบันดาลใจให้มนุษยชาติทั้งปวงมีความรู้สึกเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน รวมทั้งสร้างสรรค์อารยธรรมที่ก่อเกิดจากการแบ่งปัน มีความยุติธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม พร้อมทั้งความร่วมมือกันตลอดทั่วทั้งโลก พระองค์ท่านจะทรงบันดาลให้เกิดการดำเนินการเพื่อช่วยชีวิตคนนับล้านที่กำลังจะอดตาย และทรงนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านสิ่งจำเป็นสูงสุดทางสังคม เพื่อให้การมีอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม การศึกษาและการได้รับการรักษายามป่วยไข้อย่างพอเพียง เป็นสิทธิสากลทั่วโลก

 

เป็นอะไรที่น่าแปลกประหลาด เป็นอย่างยิ่ง

 

OMG O,O โอ้แม่เจ้า!!!เธอร้องไห้เป็นคริสตอล

 

แปลกมา.. ขอขอบคุณเรื่องราวดีๆ..ที่นำเสนอค้าบ..

 

เพราะเหตุอันใดจึงทำให้เป็นแบบนี้หนอ