การดูจิตในสัมมาสมาธิ(อธิจิตสิกขา)นั้น ต้องเพียรเพ่งพิจารณาจิตอย่างต่อเนื่อง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 11 สิงหาคม 2010.

  1. จีโอ14

    จีโอ14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +262
    พระอรหันต์..ต้องฮุปปาก..นิ่ง ๆ ใว้หรืองั้ย..พ่อคุณเอ้ย..

    ..ไม่มีอรหันต์องค์ใด จะร้อยคำสอนขึ้นได้ ไม่มี..

    เข้าใจ..หากไม่มีอาจารย์..ลูกศิกษ์ก็ไม่รู้..ไม่มีบรมครู..ก็ไม่มีผู้รู้ตาม

    ก็เมื่อรู้ตามแล้ว..จะสอนลูกสอนหลานบ้างไม่ได้หรือ??..มองแคบจั้ง

    ฟังพระอรหันต์เทศน์..กับ..ฟังนกแก้วนกขุนทองเทศน์..คุณจะเลือกฟังใครละคร้าบบ??:boo::boo::boo:
     
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    ประเด็นที่ว่า "นกแก้วนกขุนทอง" นี้มีที่มาอย่างไร

    ก่อนไหนแต่ไรมา ด้วยอนุสัยบางอย่าง ที่ตกทอดสืบต่อกัน จนเป็นรูปแบบ
    หนึ่งของ กรรมภพที่ชื่อ คนไทย กรรมที่เป็นเผ่าพันธุ์ที่ชื่อคนไทยนี้ จะ
    มีทัศนะต่อสิ่งที่ตนพร่อง ไม่รู้ และหากต้องการที่จะเป็นผู้แสดงความรู้ในสิ่ง
    ที่พร่อง สิ่งที่ไม่รู้นั้น วิธีการหนึ่งที่ใช้จนเป็นกรรมของมนุษยสมมติที่ชื่อไทย
    คือ การเทคอาการ "นกแก้วนกขุนทอง"

    คำว่า "นกแก้วนกขุนทอง" นี้ เมื่อดำริใช้กันอย่างแพร่หลายแล้ว มันก็เลย
    วกกลับมาเป็น นายเรา โดยที่ไม่มีทางจะแหวกออกไปจาก อนุสัยสันดานมนุษย์
    ที่ชื่อคนไทยได้เลย ยากมาก

    เด็ก ที่ไม่รู้หนังสือ ก ข ก็ต้อง ท่องนกแก้วนกขุนทอง หากพูดไทยได้แล้ว
    มีความสามารถเจื้อแจ้วแล้ว ภาพก็ยังมีอยู่ว่าเป็นนกแก้วนกขุนทอง แต่ที่จริงแล้ว
    สภาวะนกแก้วนกขุนทองนั้นหายไปแล้ว

    โตขึ้นมาเป็นวัยรุ่น ต้องหัดเรียนเขียนอ่านวิชาการใดๆ แรกๆก็ต้อง นกแก้วนกขุน
    ทอง แต่คนที่เก่งแล้วทำได้แล้ว เกีรยตินิยมก็แล้ว ภาพที่ว่าคนๆนั้นเป็นนกแก้วนก
    ขุนทองก็ยังเป็นอยู่ สำหรับมุมมองคนที่เขลา ไม่ฉลาดเท่า ส่วนคนที่ฉลาดมีเกีรยติ
    นิยมประดับเขาย่อมรู้ตัวประการหนึ่งว่า ไม่ใช่นกแก้วนกขุนทองอีกแล้ว

    โตขึ้นมาอีกนิด ชีวิตเริ่มมีทุกข์ เริ่มแสวงหาสุขแท้ ก็เข้าหาธรรมะ ก็เริ่มด้วยการ
    เป็น "นกแก้วนกขุนทอง" กันทุกคน ฉลาดหน่อยครูบาอาจารย์ก็ให้หนังสือทั้งตู้
    ทั้งเล่มไปอ่าน ไปท่อง ส่วนโง่สุดๆก็เอาไปคำสองคำ ไปท่องเป็นพอ ซึ่งคนที่ท่อง
    แล้วแรกๆก็นกแก้วนกขุนทอง แต่พอชำนาญแล้ว ไม่ว่าจะคนฉลาดที่ท่องได้ทั้งตู้
    พูดได้ทั้งเล่ม หรือ แม้แต่คนโง่สุดๆที่เอาคำเพียงสองคำไปท่อง ก็ย่อมรู้แก่ใจว่า
    ยังเป็นเรื่อง นกแก้วนกขุนทองอีกหรือไม่

    แต่ทว่า แม้ว่าคนๆนั้น จะเก่งขั้นไหนก็ตาม เกีรยตินิยมก็ตาม นักวิชาการก็ตาม
    นักชำนาญการก็ตาม หรือ เสขะก็ตาม หรือ อรหันต์ก็ตาม ย่อมสลัดกรรมภพ
    อนุสัยที่ติดสันดานเรื่อง นกแก้วนกขุนทอง ออกไปจากใจไม่ได้ มันติดเป็นนิสัย
    ในลักษณะของ กรรมภพ ความเป็นเมล็ดพันธ์ ความเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ชื่อคนไทย

    เหตุนี้เอง เวลา ที่ตัวเอง ไม่คล่องแคล้วในสิ่งใด ไม่ได้ใช้สิ่งใดเป็นดั่งชีวิต ย่อม
    มองสิ่งที่แปลกปลอม ต้องออกแรงทำความรู้ ต้องออกแรงทำความเข้าใจสำหรับตน
    เล็งเห็นสิ่งเหล่านั้นว่า เป็นเรื่อง นกแก้วนกขุนทอง หากยิ่งเป็นคนอื่นกระทำสิ่งที่
    ตนเองไม่รู้ ไม่คล่อง ยิ่งมองได้ง่าย ยิ่งตะหวาดออกไปเสียงดังได้ง่ายว่า คนๆนั้น
    ทำอาการนกแก้วนกขุนทอง

    ................

    แต่เคยสังเกตไหมว่า คนไทยที่พูดภาษาอังกฤษได้เป็นภาษาที่สอง ใช้เป็นดั่งภาษา
    หนึ่งของชีวิต เขาคนนั้น แสดงอาการ นกแก้วนกขุนทองหรือเปล่า

    เปล่าเลย เขาพูดภาษาอังกฤษโดยสัมพัสความหมายด้วยใจแล่นไปก่อนที่จะเปล่ง
    เสียงออกไปด้วยซ้ำ แต่คนที่โง่ แม้แต่อรหันต์ที่ไม่ทราบภาษาอังกฤษนั้นๆ จะ
    เห็นอย่างไรเล่า......

    แต่คนที่โง่ แม้แต่อรหันต์ที่ไม่ทราบภาษาอังกฤษนั้นๆ ย่อมรู้สึกว่า ตัวเองนั้นแหละ
    เป็น นกแก้วนกขุนทอง ในภาษานั้นๆ ไม่ใช่ใครอื่นเลย เห็นปานนั้นแล้วก็ทอดธุระ
    วินัยที่จะพูดภาษานั้นๆให้ได้ไปเสีย ไม่เว้นแต่พุทธวัจนะอันงาม เพียงเพราะหวาดกลัว
    การเป็น นกแก้วนกขุนทอง ที่ตนเคยพูดเป็นอาจิณจนมันแว้งกัดเป็นนายตนแม้แต่คนๆ
    นั้นเป็นอรหันต์สาวก


    เหตุนี้เองที่ ภาษาบาลี ภาษาที่ไม่มีคนไทยคนใด ไม่มีอริยะคนใดแม้สักคนเดียวที่
    จะพูดภาษาบาลีได้เป็นดั่งภาษาเกิดของตน แม้แต่จะขวนขวายสร้างความประพฤติ
    ปฏิบัติให้มีขึ้น ให้เกิดขึ้น ก็ละเลย...... อริยะเจ้าในเมืองไทย จึงปรารภได้เต็ม
    ปากว่า คนที่พูดภาษาบาลี ภาษาพุทธพจน์ เป็นเรื่องของ นกแก้วยนกขุนทอง

    แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นเล่า หากเราฟื้นฟูการพุด ภาษาบาลี ภาษาของพระพุทธ
    เจ้าให้เกิดขึนมาใหม่ ให้เป็นดั่งภาษาเกิด ให้มนุษย์เผ่าพันธ์ที่พูดภาษาบาลีเป็น
    ภาษาชาติกำเหนิด ให้กลับฟื้นขึ้นมาในเมืองไทย

    หลวงปู่มั่นกล่าวว่า พระพุทธเจ้าแท้จริงแล้วมีเชื้อสายเป็นคนไทย ก็แล้วคนไทย
    สักคนในเวลานี้ หรือแม้แต่อริยะเจ้าที่ค่อนขอดคนที่พูดภาษาบาลีว่าเป็นนกแก้ว
    นกขุนทองนั้นกำลังลืม และขัดขวาง กรรมพืชของท่านผู้ใด

    ช้าอยู่ใย มาร่วมกันรณรงค์ให้ วงษานุวงศ์ของพระพุทธองค์มีหนทางกลับมา

    ความขัดแย้งใดๆ จะไม่อาจต้านทานอยู่ได้ ทุกบริษัท ทุกสาย จะถูกหลอม
    รวมเป็นหนึ่งเดียว ทั่วทุกมุม ทุกชาติ ทุกพันธ์ ทุกโคตร ทุกเง้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2010
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    สำหรับบุคคลที่ มองไม่เห็นภาพก็ลองชมแบบ วิดีทัศน์สมมติ

    ขอให้ลองแทนที่คำว่า "ขวานไทยมีก่อนเราเกิด" เป็น

    "ภาษาบาลีมีมาก่อนเราเกิด"(เพื่อน้อมรับคำของหลวงปู่มั่นที่
    ระบุว่า พระพุทธองค์มีชาติเชื้อไทย--สมัยก่อนพูดภาษาบาลี
    --ก่อนถูกครอบงำด้วย ขอม ญวณ ฯลฯ)

    .....ให้โลกรับรู้ว่าเราคือใคร.....


    <EMBED height=385 type=application/x-shockwave-flash width=640 src=http://www.youtube.com/v/-UOxwBFqwQ8&color1=0xb1b1b1&color2=0xd0d0d0&hl=en_US&feature=player_embedded&fs=1&autoplay=1 allowScriptAccess="always" allowfullscreen="true">


    ขวานที่ไม่มีด้าม นำไปใช้ย่อมไร้พลัง ไม่เป็นหนึ่ง ฉันใด

    ภาษาธรรมที่ไม่มีบาลี เมื่อนำไปใช้ย่อมไร้พลัง แตกแยก ฉันนั้น
    </EMBED>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2010
  4. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +4,065
    นักไขว้เขว...เอกวีร์
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    มหาโคสิงคสาลสูตร ที่ ๒.....8
    พระพุทธโอวาท....(เราจักไม่ทำลายบัลลังก์นี้เพียงนั้น)
    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
    พระพุทธเจ้าข้า คำของใครหนอเป็นสุภาษิต?

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร คำของพวกเธอทั้งหมด เป็นสุภาษิตโดยปริยาย
    ก็แต่พวกเธอจงฟังคำของเรา คำถามว่า ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วยภิกษุเห็นปานไรนั้น
    เราตอบว่า ดูกรสารีบุตร ภิกษุในศาสนานี้ กลับจากบิณฑบาตในเวลาหลังภัตแล้ว
    นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้าว่า
    จิตของเรายังไม่หมดความถือมั่น ยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพียงใด
    เราจักไม่ทำลายบัลลังก์นี้เพียงนั้น ดังนี้ ดูกรสารีบุตร
    ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้แล้ว ท่านผู้มีอายุเหล่านั้น ชื่นชม ยินดี
    พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล.

    อ่านทั้งหมดได้ที่นี่

    ^
    ^
    ชัดๆนะครับ พระสูตรกล่าวไว้ชัดเจนแล้วนะครับว่า
    ตราบใดที่ "จิตของเรายังไม่หมดความถือมั่น ยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพียงใด"
    เราจักไม่ทิ้งการปฏิบัติสัมมาสมาธิอย่างเด็ดขาดเพียงนั้น

    ใครที่ชอบอ้างว่าทำสมาธิเพียงเล็กน้อยก็พอนั้น
    คงอ้างไม่ได้แล้วนะครับเพราะมีพระพุทธพจน์รับรองไว้ครับ

    ;aa24
     

แชร์หน้านี้

Loading...