วอนผู้รู้โปรดพิจารณา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ปริยัติ, 3 กันยายน 2010.

  1. ปริยัติ

    ปริยัติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +68
    ผมมีความสงสัยอยู่อย่างหนึ่งครับ คุยกับใครก็ไม่ได้ ถามใครก็ไม่กล้า..กลัวเค้าหาว่าบ้าครับ..เข้าเรื่องนะครับ
    ...คือผมสงสัยว่าทำไมถึงมีผู้คนบางกลุ่มอยากไปเกิดในยุคของ พระศรีอาริยเมตไตรพุทธเจ้า..ทั้งที่ปัจจุบันขณะ คือชาตินี้ได้เกิดมาพบเจอพระพุทธศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้าแล้วแท้ๆ..ซึ่งกึ่งพุทธกาลพระธรรมคำสอนยังเต็มเปี่ยม..อีกทั้งยังมีพระอรหันต์อยู่บนโลกให้ได้ทราบอยู่..ทั้งที่ธรรมที่พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ในกาลข้างหน้าก็เป็นธรรมอย่างเดียวกัน..ทำไมเราไม่ตั้งจิตมุ่งไปให้ได้ในชาตินี้ หรืออย่างน้อยก็พระโสดาบันเพื่อให้หลุดพ้นอบายภูมิ..เหลือเวลาอีกประมาณ 2500ปีพระธรรมนี้จึงจะหายไปจากโลก..แล้วทำไมเราต้องไปคาดหวังเอากับพระพุทธศาสนายุคหน้าด้วยครับ..หรือว่าเรากลัวที่จะเผชิญความจริงของปัจจุบันขณะ..หรือว่าอธิฐานจิตกันมา..วอนผู้รู้โปรดพิจารณา
     
  2. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +1,919
    เพราะว่ายังหลง ครับ
    แต่บางคนก็ถ้าเขายังไม่นิพพานชาตินี้เขาก็อาจจะเผื่อไว้อีกทีในยุคพระศรีครับ

    คัดลอกบางส่วนมาจาก คิริมานนทสูตร

    ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า
    ดูกรอานนท์ บุคคลผู้ใดมิได้ ทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล เป็นต้น ไว้สำหรับตัวเสียก่อน แต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ผู้นั้นก็เป็นคนหลง บุคคลผู้ใดอยากได้ความสุข แต่ไม่ได้กระทำตน ให้ได้รับความสุขไว้ก่อนแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เข้าใจเสียว่าตายไปแล้วภายหน้าจึงจะได้ รับความสุข เช่นนี้ ผู้นั้นก็เป็นคนหลง บุคคลผู้ใดอยากให้ตนพ้นจากทุกข์ แต่ไม่ได้กระทำตนให้พ้นทุกข์เสียแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เข้าใจเสียว่าตายไปแล้วจึงจะพ้นทุกข์ดังนี้ ผู้นั้นก็เป็นคนหลง บุคคลผู้ใดที่ทำความเข้าใจว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่นี้เป็นอย่างหนึ่ง ตายไปแล้วเป็นอีกอย่างหนึ่ง บุคคลผู้นั้นก็เป็นคนหลง บุคคลผู้ใดเข้าใจเสียว่า เมื่อยังเป็นคนมีชีวิตอยู่นี้ ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ ไม่เป็น ก็ช่างเถิดไม่เป็นไร ตายไปแล้วภายหน้าหากจักรู้ จักเห็น จักได้ จักเป็น ผู้นั้นก็เป็นคนหลง บุคคลผู้ใดเข้าใจเสียว่า เมื่อยังเป็นคนมีชีวิตอยู่นี้ สุขก็ช่างเถิด ตายไปแล้วหากจักได้สุข ผู้นั้นก็เป็นคนหลง บุคคลผู้ใดถือเสียว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่นี้ ทุกข์ก็ช่างเถิดไม่เป็นไร ตายไปแล้วหากจักได้สุข ผู้นั้นก็เป็นคนหลง บุคคลผู้ใดถือเสียว่า เมื่อยังเป็นคนมีชีวิตอยู่นี้ จะทุกข์ก็ดี จะสุขก็ดี จะชั่วก็ดี ก็ช่างเถิด ตายไปแล้วจักไปเป็นอะไรก็ช่างเถิด ใครจักตามไปรู้ไปเห็น ผู้นั้นก็เป็นคนหลง
    ดูกรอานนท์ บุคคลทั้งหลายปรารถนาอยากพ้นทุกข์ หรือ ปรารถนาอยากได้สุขประเภทใด ก็ควรให้ได้ให้ถึงเสียแต่ในชาตินี้ ถ้าถือเอาภายหน้าเป็นประมาณแล้ว ชื่อว่าเป็นคนหลงสิ้นทั้งนั้น แม้ความสุขอย่างสูงคือพระนิพพาน ผู้ปรารถนาก็พึงรีบขวน ขวายให้ได้ให้ถึงเสียแต่เมื่อยังเป็นคนมีชีวิตอยู่นี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2010
  3. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,065
    ค่าพลัง:
    +2,682
    ตามที่ท่านด้านบนได้กล่าวไว้ชอบแล้ว


    สาธุ อนุโมทนาครับ
     
  4. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    สาธุกับคุณ black angel ครับ ช่วยหาคำตอบมาให้

    ชัดแจ้งที่สุดแล้วครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2010
  5. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    เพราะตัณหา ซึ่งไม่ชอบขณะปัจจุบัน ตัณหาจะหวังไปเรื่อยๆ
     
  6. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    ตามที่ผมทราบมาคือ หากได้ทำบุญกับผู้มีธรรมอันบริสุทธิ์จะบังเกิดผล
    หลายพันหลายหมื่นเท่า จึงมีคนจำนวนมาก รอการตรัสรู้เพื่อทำบุญกับ
    พระศรีอาริยเมตไตรพุทธเจ้า คิดง่ายๆว่าทำนิดเดียวแต่ได้ผลมหาศาลครับ
    ความจริงแล้วแต่ละคนก็มีเหตุผลส่วนตัวแตกต่างกันไป ขอตอบเฉพาะเหตุผล
    ข้อนี้เท่านั้นครับ
     
  7. krit59

    krit59 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    219
    ค่าพลัง:
    +346
    เพราะกลัวครับ ถ้าบอกว่าให้นิพพานตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ไม่มีใครกล้าครับ
    เพราะกลัวไม่ได้เสพกาม เพราะยังหลงติดกับกามอยู่ ปรารถนาสุขอันเกิดจากกามอยู่
    ไม่ใช่นั้นคงทิ้งทรัพย์สิน แล้วบำเพ็ญกัน เว้นแต่ผู้มีจิตใจกล้าหาญพร้อมจะจะเอานิพพานเท่านั้นครับ สรุปคือ โง่ พวกเราโง่กันอยู่ ยังเป้นทาสของกามอยู่
     
  8. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +3,592
    เพิ่มเติม
    ยุคพระศรีอาริย์เป็นยุคที่มีแต่คนที่มีบุญถึงจะได้เกิดทัน
    จึงจําเป็นต้องสะสมบารมีอย่างมากถึงมากที่สุดเพราะยุคนั้น มนุษย์จะมีอายุยืนมากๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของสังขารน้อย เสวยสุขมาก ทุกข์น้อยถ้าบารมีไม่เต็มถึงขั้นจริงๆก็สําเร็จธรรมขั้นสูงได้ยากครับ

    ขอให้หลุดพ้นกันถ้วนหน้าในยุคพระพุทธเจ้าโคดมกันทุกคนครับ
     
  9. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    953
    ค่าพลัง:
    +3,165
    ผู้มีปัญญาถึงพร้อมแล้ว รู้เท่าทันในปัจจุบัน ย่อมเห็นประโยชน์ในปัจจุบัน ย่อมถึงประโยชน์ในปัจจุบัน
    ตามบารมีที่สะสมกันมา
     
  10. ปริยัติ

    ปริยัติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +68
    ขอบคุณทุกคำตอบครับ..อีกประการหนึ่งที่ติดใจผมมากคือ..ขนาดหลวงปู่มั่นแท้ๆท่านยังลาพุทธภูมิไปก่อนแล้วครับ..ด้วยปารถนาพุทธภูมิมาก่อน..จึงมีกำลังสอนสัตว์โลกได้ตามสมควร..ที่ผมรู้สึกแปลกๆเพราะว่าอ่านบางกระทู้ในบอร์ดแล้วคิดเห็นว่ามันชักจะไปกันใหญ่..เลยอยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นครับ..คงไม่ว่ากัน...
     
  11. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    คำตอบนี้ดูตรงที่สุด ถึงแม้ว่าจะมีคนแย้งอยู่บ้างนั่นก็คงเป็นเพราะเขายังไม่เข้าใจส่วนลึกๆของหัวใจตนเอง ที่มันยังมีแต่คำว่าอยาก กลัว เลยคว้าเอายุคพระศรีอาริย์มาเป็นที่พึ่งเพื่อบรรเทาเความกลัวของตนเองไว้ก่อน จะได้เสพกามคุณในโลกใบนี้ได้ต่อไปอย่างมีสุข

    หรือย่างไร ก็สุดแท้แต่จะเป็นกันไปเน้อ หาหัวใจตนเองให้เจอ แล้วตรวจดูเถิดว่าเรากำลังเป็นโรคหัวใจกันหรือเปล่า สาธุ ขออนุโมทนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2010
  12. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    750
    ค่าพลัง:
    +3,637
    เรื่องนี้จริงๆแล้ว มันเป็นบุพกรรมนะครับ โดยหลักใหญ่

    ก็คือกรรมที่ปราถนาร่วมกัน ทำมาด้วยกัน ปราถนาที่จะไปไหน มาไหนด้วยกัน และอยู่ด้วยกัน

    ดูตัวอย่างนะครับ อนาจักรของมด ของปลวก ที่มี ทั้งมดงาน ปลวกงาน

    ปลวกทหาร มดทหาร มดงาน ปลวกงาน มีหัวหน้า มีนางพญา มีพระราชา

    อย่างที่เราได้เรียนมา ก็คือเหมือนเมือง เหมือนประเทศหนึ่งเลย มีทุกอย่าง
    แต่ว่าเป็นอนาจักรของสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น ภพภูมิของเขา พวกเค้าเรานั้น

    ถ้าตายไป หรือไปเกิดไหม่ โดยส่วนมาก ก็จะไปอยู่ในดินแดนเดียวกัน

    และถ้าวันไหน ความดีเขามากพอ พอที่จะเกิดเป็น ก็มากันทั้งคณะ

    เพราะโดยส่วนมากทำกรรมร่วมกัน ทำกรรมคล้ายๆกัน เสมอกัน

    อย่างพระศรีอารย์ พระองค์ทรงเกิดเป็นกระษัติย์ นับภพ นับชาติไม่ถ้วน บริวารมาก

    ผู้ที่ชอบใจ รักในจริยวัตรของพระองค์มรมากมายนับไม่ถ้วน ความปราถนาเป็นพวก

    เป็นพ้อง มีอยู่เป็นอันมาก กลุ่มก้อนคนเหล่านี้แหละ เป็นกลุ่มใหญ่ ที่จะตามพระศรีอริเมตไตร

    ไปสำเร็จใยยุคของพระองค์ท่าน แต่เผอิญว่า คนอีกจำนวนไม่น้อย ที่มาเกิดในยุคนี้

    ก็คือผู้ปราถนา หรือคนกลุ่มเดิม พวกพ้องเดิม ครอบครัวเดิม ญาติสนิท มิตรสหายเดิม

    ของพระศรีอริยเมตไตร มีกรรมบางอย่าง ที่ทำไห้พวกเค้ามาเกิดในยุคนี้ แต่ว่ามโนปนิธานเดิมมันไม่ได้แปรเปลี่ยน

    พวกเขาเหล่านั้น ปราถนา อธิษฐานกันมายาวนานเหลือเกินแล้วครับ

    คนปราถนาไหม่ก็มีบ้าง แต่อาจจะน้อย

    ยกตัวอย่างนะ อัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา ที่จะไปเกิดในยุคพระศรีอารย์

    ท่านที่บารมีเต็ม มีครบหมดแล้ว รอแค่เพียงเวลาเท่านั้นเอง อย่างใครที่คิดจะ

    ไปเป็น สร้างบารมีเพื่อไปเป็นอัครสาวก หมดสิทธิ์

    เขามีกันครบหมดแล้วนะครับ

    ผมว่า คนที่ชอบใจ พอใจ เทิดทูล รักใครในพระจริยวัตรของพระบาทสมเด็จ

    พระเจ้าอยู่หัวมีมากมายเหลือเกิน เขาลือกัน เขาว่ากันว่า

    พระองค์ก็ทรงเป็นหน่อเนื้อพุทธรากูลเช่นกัน

    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 กันยายน 2010
  13. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    มี 3 เหตุผลครับ

    1. บุคคลผู้นั้นปรารถนาพระโพธิญาณ ต้องเกิดเพื่อบำเพ็ญบารมี
    2. บุคคลผู้นั้นเป็นบริวารของพระศรีอาริย์ครับ เลยต้องเกิดไปเพื่อบรรลุในยุคท่าน
    3. บุคคลผู้นั้นเป็นบริวารของบริวารพระศรีอาริย์ เลยต้องเกิดตามเพื่อติดตามบริวารของท่าน

    โมทนา
     
  14. คิดดีจัง

    คิดดีจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,626
    ค่าพลัง:
    +5,353
    กระทู้ดีมากเลยครับ เป็นกระทู้ที่ถามได้ดีครับ

    คำตอบของแต่ละท่านก็กระจ่างแล้วทั้งหมดครับ

    นานาจิตตัง


    *ผู้ปฏิบัติพึงรู้ผลแห่งการปฏิบัติของตน*
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1_display.jpg
      1_display.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23.1 KB
      เปิดดู:
      324
  15. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    ตอนที่ผมนึกถึงว่าได้เวียนว่ายตายเกิดมานับแสนชาติแล้วยังต้องเวียนต่อไปอีกนับแสนชาติทีไรแล้วมันรู้สึกเคว้งคว้างนะครับ

    ผมบอกตัวเองเอาไว้ว่า การออกจากโลก ถือเป็น ความรับผิดชอบสำหรับผมครับ


    คนเราทุกคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ในอาชีพการงานได้ในปัจจุบันก็เพราะความรับผิดชอบ

    ผมเองนึกเอาว่า ความรับผิดชอบที่สำคัญที่สุดของผมก็คือ การออกจากโลก

    และผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีมาก ๆ ที่ได้เกิดมาในยุคสมัยที่คำสั่งสอนของผู้ที่ได้ออกจากโลกได้แล้วยังคงอยู่

    และเหมือนโชคซ้ำสองที่ผมระลึกได้ว่าการออกจากโลกให้ได้ถือเป็นหน้าที่อันดับหนึ่งและถือเป็นความรับผิดชอบที่พึงกระทำ และผมก็ได้กระทำตามทางเดินนั้น


    การได้เกิดมาในโลกและดำเนินไปตามโลก ล้วนถูกขับเคลื่อนด้วยผลบุญผลกรรม กิเลศตัญหาราคะพยาบาท

    และผู้ที่ยังไม่ได้อยู่ในทางแห่งการออกจากโลกก็ยังคงดำเนินกันไปตามแบบนั้น ตามวัฏฏะ

    จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมคนส่วนใหญ่จึงยังคงเวียนอยู่ในโลกสามตราบนานเท่านาน
     
  16. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +3,882
    ใครจะปรารถนาไปเกิดยุคพระศรีอาริยเมตตรัยเพราะมีอายุขัย8หมื่นปี ไม่มีโรคภัยใดๆเลยนอกจากหิวกับถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ไม่ต้องทำงานเพราะอยากได้อะไรให้ไปอธิษฐานเอา
    ยกมือขึ้นหน่อย
    ขออนุโมทนาด้วยนะครับ
    คนที่ยกมือขึ้นทั้งหลายก็คงอยากเช่นเดียวกับคนที่อยากไปอยู่พุทธเกษตรของพระอมิตาภพุทธเจ้าคือแดนสุขาวดีที่ไปเกิดเมื่อไหร่สุดท้ายก็นิพพานไปเอง
    มีข้อคิดนิดหนึ่งสำหรับคนที่ปรารถนาไปเกิดในพุทธกาลของพระศรีอาริยเมตตรัยว่าบารมีของท่านที่จะสั่งสมให้ได้ไปเกิดนั้นคงต้องมากกว่าคนที่เกิดในยุคนี้พอสมควร
    เพราะชีวิตในยุคนั้นช่างเปี่ยมไปด้วยความสุขเสียเหลือเกิน
    แต่น่ากลัวอยู่สำหรับคนที่มีแต่ความอยากแต่ก่อกรรมหนักเช่น
    ลบหลู่ดูหมิ่นพระพุทธศาสนาของสมเดีจพระศรีศาสกยมุนีโคดมว่าหักกลางบ้าง เสื่อมบ้าง (ทั้งๆที่ยังมีผู้ปฏิบัติศาสนาจนได้มรรคผลอยู่) และนำเสนอสัทธรรมปฏิรูปใดๆที่ลวงคนให้เกิดมิจฉาทิษฐิ เช่นนำเสนอพระพุทธเจ้าองค์ใหม่อ้างว่าโลกกุตตระส่งมา เป็นพระพุทธเจ้าของโลกุตตระ ทั้งๆที่พุทธกาลนี้ยังไม่สิ้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีพระพุทธเจ้าพร้อมกัน2พระองค์ เหมือนประเทศย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมีนายกรัฐมนตรี2คนพร้อมๆ แล้วจะบริหารประเทศอย่างไร
    เลิกเถอะครับพฤติกรรมแบบนี้ก่อนจะสาย
    เพราะทุกขคติ วินิบาต นรก รอท่านอยู่
    ถึงแม้ว่าท่านจะพูดสาธยายธรรมที่น่าเลื่อมใส
    แต่การบิดเบือนธรรม และการกดพระพุทธเจ้าให้ดูต่ำลงเพื่อยอยกพระพุทธเจ้าของความเชื่อของท่านเป็นบาปมหันต์จะพาลเป็นเครื่องกีดขวางมรรคผลนิพพานของท่านและผู้ที่เชื่อท่านไปเปล่าๆครับ
     
  17. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,353
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ท่านตอบได้ดีจังเลยฮะ ถึงผมจะอายุไม่มากนัก แต่ผมเข้าใจนะฮะ เพราะคนเราส่วนใหญ่มักไม่อยู่กับปัจจุบันครับ ฝักใฝ่อดีต คาดหวังอนาคต ประมาณว่าหลอกตัวเองไปวันๆว่ายังมีสิ่งที่ดีกว่ารอเราอยู่ ทั้งๆที่ปัจจุบันขณะสำคัญที่สุด ท่านว่ามั้ย?
     
  18. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +3,882
    ลอกมาให้อ่านกันเล่นๆ
    สุขาวดีพุทธเกษตร
    กล่าวกันว่าพุทธเกษตรเป็นสถานที่สวยงามวิจิตรงดงาม อลังการมาก ๆ เบื้องล่างใต้แท่นดอกบัวลงไปเป็นพื้นราบเกลื่อนด้วยทรายทอง ต้นไม้ยักษ์เป็นแถวเป็นทิว แต่ละต้นสูงหลายร้อยฟุต กิ่งทองใบหยก ใบเป็นรูป 3 เหลี่ยมบ้าง 5 เหลี่ยมบ้าง 7 เหลี่ยมก็มี ล้วนออกดอกเป็นแสงได้ทุกต้น วิหกนกไพรนานาชนิด ล้วนมีแสงในตัว นกบางตัวมี 2 หัว กระทั่งหลายหัว 2 ปีก กระทั่งหลายปีก พวกมันโผบินว่อนล้อลมอย่างอิสระเสรี ขับลำนำเป็นนามศักดิ์สิทธิ์ของอมิตพุทธเจ้า รอบ ๆ รั้วลูกกรงตกแต่งด้วยสีสันต่าง ๆ 7 สี ชาวพุทธฝ่ายมหายานเกือบทุกนิกายจะกล่าวถึงสุขาวดีพุทธเกษตรของพระอมิตภะพุทธเจ้า และตั้งใจที่จะได้ไปจุติยังพุทธเกษตรของพระองค์ เพราะว่าในหนึ่งวันของพุทธเกษตรเท่ากับ 1 กัปป์ในโลกมนุษย์ผู้ที่อุบัติในดินแดนสุขาวดีนั้นล้วนเป็นโอปปาติกะทั้งนั้นที่นั่นมีแต่ความสุข ปราศจากโรคภัย มีอายุยืนนานอันหาที่เปรียบมิได้ และที่สำคัญผุ้ที่อยุ่ในดินแดนนั้นจะบรรลุนิพพานแน่นอน หากผู้ที่ยังมีกิเลสหนาอยู่จะได้รับการขัดเกลาจากที่นั่น

    หลักการสำคัญที่มีการยอมรับนับถือในการปฏิบัติมากที่สุดคือ หลักของอาจารย์วสุพันธุ มีดังนี้
    1. สิ่ง แปลว่า ศรัทธา ต้องมีศรัทธาปะสาทะต่อองค์พระอมิตาพุทธอย่างแท้จริง และไม่สงสัยในองค์ท่าน
    2. จ๋วง แปลว่า ปณิธาน คือ ต้องมีปณิธานอันแน่วแน่ทีจะมุ่งไปสู่สุขาวดีพุทธเกษตร
    3. เหง แปลว่า ลงมือปฏิบัติ คือต้องลงมือปฏิบัติกุศลกรรมทังปวงที่เป็นปัจจัยส่งเสริมไปยังพุทธเกษตรอย่างสม่ำเสมอ

    ในหลักการทั้ง 3 นั้นจะต้องปฏิบัติตนดังนี้
    1. หมั่นบูชาพระอมิตาพุทธเจ้าเป็นนิจ (กายกรรม)
    2. สวดสรรเสริญสาธยายมนต์ของพระอมิตตาพุทธ เช่น นะโมอมิตาภายะ พุทธายะหรือ นำมอออมิทอฮุก (วจีกรรม)
    3. ตั้งปณิธานอันแน่วแน่และมั่นคงที่จะไปสุขาวดี (มโนกรรม)
    4. กำหนดจิตตรึกตรองถึงพุทธเกษตรของพระอมิตาพุทธ และพระอวโลกิเตศรวร และพระมหาสถานปราปต์ เป็นประจำ
    5. แผ่ส่วนกุศลให้เหล่าสรรพสัตว์ทั้งปวงโดยไม่แบ่งแยก

    แต่มีข้อยกเว้นของผู้ที่ไม่สามารถที่จะไปที่นั่นได้คือ
    ผู้กล่าวจาบจ้วงพระธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งปวงและ ผู้ทำอนัตริยกรรม 5 คือ ฆ่าพ่อ1 ฆ่าแม่1 ฆ่าพระอรหันต์1 โลหิตปาทา1 และสังฆเภท ทำให้สงฆ์แตกแยก1 ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นกรรมหนัก ไม่ได้ขึ้นแม้แต่สวรรค์ หรือนิพพาน หากแต่ตกอเวจีมหานรก อย่างเดียว

    ขอขอบคุณที่มา :: เว็บพุทธยานดอทคอม
     
  19. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +3,882
    ดูกรอานนท์ ปุถุชนคนหนาทั้งหลายที่ปรารถนาพระนิพพานได้ด้วยยากนั้น ก็เพราะเหตุที่ไม่รู้จักดับกิเลสตัณหา เข้าใจ
    เสียว่าทำบุญทำกุศลให้มากแล้ว บุญกุศลนั้นจักเลื่อนลอยมาจากอากาศเวหา นำตัวขึ้นไปสู่พระนิพพาน ส่วนว่าพระนิพพานนั้นจะ
    อยู่แห่งหนตำบลใด ก็หารู้ไม่ เป็นแต่คาดคะเนเอาอย่างนั้น จึงได้พระนิพพานด้วยยาก ​
    แท้ที่จริงพระนิพพานนั้นไม่มีอยู่ในที่อื่น
    ไกลเลย หากมีอยู่ที่จิตใจนั้นเอง ครั้นดับ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิได้ขาดแล้ว ก็ถึงพระนิพพานเท่านั้น ถ้าไม่รู้แลดับ
    กิเลสตัณหายังไม่ได้เป็นแต่ปรารถนาว่าขอให้ได้ พระนิพพานดังนี้ แม้สิ้นหมื่นชาติแสนชาติก็ไม่ได้พบประเลย เพราะ
    กิเลสตัณหาทั้งหลายย่อมมีอยู่ที่ตัวตนของเราทั้งสิ้น เมื่อตัวไม่รู้จักระงับ กิเลสตัณหาที่มีอยู่ให้หมดไป ก็ไม่ได้ไม่ถึง
    เท่านั้น จะคอยท่าให้บุญกุศลมาช่วยระงับดับกิเลสของตัว เช่นนี้ ไม่ใช่ฐานะที่จะพึงคิด บุญกุศลนั้นก็คือตัวเรานี้เอง เรานี่
    แหละจะเป็นผู้ระงับดับกิเลสให้สิ้นไป หมดไป จึงจะสำเร็จได้สมประสงค์

    ดูกรอานนท์ ​
    ปุถุชนคนเขลาทั้งหลายที่ได้ถึงพระนิพพานด้วยยากนั้น เพราะเขาปรารถนาเปล่าๆ จึงไม่ได้ไม่ถึง
    เขาไม่รู้ว่าพระนิพพานอยู่ที่ในใจเขา มีแต่คิดในใจว่าจะไปเอาในชาติหน้า หารู้ไม่ว่านรก แลสวรรค์ และพระนิพพานมีอยู่
    ในตน เหตุฉะนั้นจึงพากันตกทุกข์ได้ยากลำบากยิ่งนัก พากันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้ ถือเอากำเนิดในภพ
    น้อยภพใหญ่อยู่ไม่มีที่สิ้นสุด
    ข้าแต่พระมหากัสสปะ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ด้วยประการดังนี้


     
  20. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +3,882
    คฤหัสถ์ก็ดี นักบวชก็ดี ที่กล่าวว่าตัวรู้ ตัวเห็น และพูดจากับผีได้ เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกศาสนา ไม่ควรเชื่อถือเอา
    เป็นครู เป็นอาจารย์​
    ดูกรอานนท์ บุคคลจำพวกใดที่ให้ผีในป่าช้าหัวเราะเยาะเย้ยเล่นเช่นนี้ บุคคลจำพวกนั้นถ้ามีขึ้น ก็เป็นเหตุให้เกิดโรคภัยไข้
    เจ็บอันตรายต่างๆ หาความสุขความเจริญไม่ได้ ดูกรอานนท์ ​
    คฤหัสถ์ก็ดี นักบวชก็ดีมากล่าวว่าตัวรู้ ตัวเห็น แลได้พูดจากับ
    ด้วยผี ดังนี้ ก็พึงให้รู้ว่าคนจำพวกนั้นไม่ใช่ลูกศิษย์ของเราตถาคตเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกพระศาสนาไม่ควรเชื่อถือ
    เอาเป็นครูเป็นอาจารย์ เพราะเขาเป็นคนเจ้าอุบาย เจ้าเล่ห์เจ้ากลเท่านั้น ที่มีความรู้จริง เห็นจริง พูดจาสนทนากับผีได้ มี
    แต่พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์เท่านั้น นอกนั้นไม่มีใครรู้จริงเห็นจริง เป็นคนอุตริทั้งนั้น

    ดูกรอานนท์ ​
    เราจะทำนายไว้ให้เห็น ในอนาคตกาลข้างหน้า จักเกิดพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกพระศาสนา อวดอ้าง
    ว่าตัวรู้ ตัวเห็นผีได้ พูดจากับด้วยผี ครั้นบุคคลจำพวกนั้นเกิดขึ้นแล้ว ก็จักเบียดเบียนพระศาสนาของเราให้เสื่อมถอยลง
    ไป
    ด้วยวาทะถ้อยคำเสียดสีต่างๆ พระสงฆ์สามเณรก็จักเกิดระส่ำระสาย หาความสบายมิได้ เขาจักสอนทิฏฐิวัตรอย่างเคร่งครัด ถือ
    อรัญญิกธุดงค์อย่างพระเทวทัต ภายหลังก็จักเกิดพระบ้านพระป่ากันขึ้น แล้วก็จักแตกกันออกเป็นพวกๆ ไม่สามัคคีกัน ต่างพวกก็
    ถือแต่ตัวดี ศาสนาของเราก็จักเสื่อมถอยลงไป เพราะพวกมิจฉาทิฏฐิ เห็นแก่ลาภยศ หาความสุขมิได้ มรรคผลธรรมวิเศษก็จักไม่
    เกิดขึ้นแก่เขา เขาจักเรียนเอาแต่วิชาศีลธรรม อันพวกมิจฉาทิฏฐิสอนให้รู้อะไรกันขึ้นเล็กน้อย ก็อวดดีกันไป แท้ที่จริงความรู้
    เหล่านั้นล้วนแต่รู้ดีสำหรับไปสู่นรก เขาจักไม่พ้นจตุราบายได้เลย ดูกรอานนท์ ในอนาคตกาลภายหน้า จักมีอย่างนี้ไม่ต้องสงสัย ถ้า
    ผู้ใดรู้ลัทธิทิฏฐิอย่างนี้ไว้แล้ว เมื่อได้เห็นก็จงเพียรพยายามละเว้น ก็จักได้ประสบความสุข
    การที่จะระงับดับกิเลสก็ให้ระงับ
    บริโภค ๒ ประการให้เบาบางลง บริโภค ๒ นั้น คือ จีวรปัจจัยแลเสนาสนปัจจัย สองอย่างนี้ชื่อว่าบริโภคภายนอก นับเป็น
    อย่างหนึ่ง บิณฑบาตปัจจัยแลคิลานปัจจัย สองอย่างนี้ชื่อว่าบริโภคภายใน นับเป็นอย่างหนึ่ง
    บริโภคทั้ง ๒ นี้เป็นตัวกิเลส ตัวทุกข์ ตัวสุขสิ้นทั้งนั้น ถ้าบริโภค ๒ นี้มากขึ้นเท่าใด ทุกข์ก็มากขึ้นไปตามเท่านั้น
    ถ้าบริโภค ๒ อย่างนี้น้อยลง ทุกข์ก็น้อยลง ความสุขก็มากขึ้น คือว่าบาปน้อยลงเท่าใด บุญกุศลก็มากขึ้นเท่านั้น อันบุญ
    กุศลก็มีอยู่ที่ตัวบุคคลทั้งสิ้น ผู้ที่ละบริโภค ๒ นั้นได้แล้ว นรกก็พ้น สวรรค์ แลพระนิพพานสิ่งใดๆ ก็ได้ในที่นั้น
    พระปาติโมกข์แลธุดงควัตรที่ทรงบัญญัติไว้ ก็เพื่อเป็นเครื่องดับกิเลสตัณหา

    ดูกรอานนท์ ​
    บุคคลที่บวชเข้าแล้ว ไม่รู้จักระงับดับกิเลสคือบริโภค ๒ ให้เบาบาง เข้าใจว่าบวชรักษาศีล ถือคลอง
    วัตรเอาบุญ ไม่หาอุบายระงับดับกิเลสแลบริโภค ๒ จะได้บุญได้ความสุขมาแต่ที่ไหน ถ้าคิดอย่างนั้น แม้จะรักษาศีล
    ตลอดพระปาติโมกข์แลธุดงควัตร ก็เป็นอันรักษาเปล่า รักษาให้เหนื่อยยากลำบากกายเปล่า ไม่อาจเป็นบุญเป็นกุศลได้
    พระปาติโมกข์แลธุดงควัตรทั้งหลายที่ทรงบัญญัติแต่งตั้งไว้นั้น ก็เพื่อให้เป็นเครื่องระงับดับกิเลสตัณหา
    คือ บริโภคทั้ง ๒
    ถ้าระงับไม่ได้ก็ไม่เป็นบุญเป็นกุศล ผู้ที่ทำความเข้าใจว่าพระปาติโมกข์แลธุดงควัตรจะช่วยยกตัวให้ขึ้นไปสู่สวรรค์แลพระนิพพาน
    เช่นนี้ เป็นความเห็นของคน ที่โง่เขลาเบาปัญญา จักไม่พ้นทุกข์เลย
    บริโภคทั้ง ๒ นั้นได้ชื่อว่าปลิโพธ ๒ ที่แปลว่าความกังวล
    การรักษาพระปาติโมกข์แลธุดงควัตร ก็เพื่อจะตัดปลิโพธ ความกังวลให้เบาบางลง ถ้าเบาบางลงได้เท่าใด ก็เป็นบุญเป็น
    กุศล เป็นสวรรค์ แลพระนิพพานขึ้นไปเท่านั้น พระพุทธเจ้าย่นโอวาทคำสั่งสอนลงสู่ปลิโพธ ๒ ว่าเป็นที่สุดโดยสิ้นเชิง คือ
    ว่า นรกสวรรค์และพระนิพพานมีอยู่ที่ปลิโพธ ๒ ครบบริบูรณ์ ผู้ศึกษาเล่าเรียนจะรู้มากรู้น้อยเท่าไร ไม่นิยมรู้มากหรือรู้
    น้อย ถ้าระงับปลิโพธนั้นได้ก็เป็นดี จะอยู่วัดบ้านหรือวัดป่าประการใดก็ตาม ถ้าระงับปลิโพธ ๒ นั้นได้ ย่อมเป็นความดี
    ทั้งสิ้น
    พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาเป็นใจความอย่างนี้

    การดับกิเลสให้สิ้นเชิง ให้เลือกประพฤติตามความปรารถนา​
    อันดับนั้นจึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า ​
    อานนฺท ดูกรอานนท์ ธรรมนี้ชื่อว่า พระยาธรรมมิกราช เพราะเป็นใหญ่
    กว่าธรรมทั้งหลาย ข้อที่เราตถาคตได้ตรัสไว้แล้วในธรรมหมวดนี้คือ ได้ชี้นรก แลสวรรค์ แลพระนิพพาน
    กิเลสตัณหาโดยจะแจ้งสิ้นเชิง เมื่อผู้ใดได้ฟังแล้วปรารถนาสุขทุกข์ประการใด ก็จงเลือกประพฤติตาม

    ความปรารถนา
     

แชร์หน้านี้

Loading...