เรื่องเด่น ผู้ปฏิบัติธรรมกับประสบการณ์เจอมาร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 4 สิงหาคม 2010.

แท็ก: แก้ไข
  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    <TABLE border=0 width="100%" bgColor=#bbddff><TBODY><TR><TD colSpan=2>
    หลายวันก่อนผมได้ไปอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของท่านอาจารย์

    ไชย ณ พล (ศิยะ ณัญฐสวามี) ท่านเล่าเรื่องราวประสบการณ์
    ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับมาร ไว้ค่อนข้างละเอียดดี คิดว่าน่าจะมี
    ประโยชน์ต่อผู้อ่านผู้ปฏิบัติหลายๆท่าน ในลานธรรม (ในลาน
    ธรรมที่ผ่านมายังมีการคุยกันเรื่องมารน้อย) ก็เลยคัดลอกมา
    ให้อ่านกัน ถือว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ ลองมาฟังข้อคิดเห็น
    ประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติธรรมระดับอาจารย์ที่เป็นฆราวาสบ้าง
    :)
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2>จากคุณ : WhiteSpirit [ 24 มี.ค. 2543 / 18:48:43 น. ]


    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    พวกมาร คือ พวกมิจฉาทิฏฐิที่ซ่า และคะนองไปเรื่อย ทำหน้าที่
    ขัดขวางคนดีและขวางมนุษย์ไม่ให้พบสิ่งดีๆ บางทีก็มาแอบอยู่
    ในหมู่คนดี สร้างความดีพอประมาณแล้วก็ทำให้หมู่คณะปั่นป่วน
    แตกแยก เช่น พระเทวทัต เป็นต้น

    แต่เมื่อพูดถึงมารนั้น ไม่ได้มีเฉพาะมารในมิติต่างๆเท่านั้น มาร
    หรือผู้ขวางความสุขนี่มี ๕ จำพวกด้วยกัน ที่พระพุทธองค์ทรง
    จำแนกไว้คือ

    ๑. กิเลสมาร มารคือกิเลสของเราเอง ขวางความสุข ความสำเร็จ
    ของเราเอง

    ๒. ขันธมาร มารคือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณของเรา
    เองที่หลอกตัวเอง ให้หลงผิดเรื่อยมา

    ๓. อภิสังขารมาร คือระบบกรรมโดยรวมที่เราเคยทำไว้ ซึ่งนับ
    ไม่ถ้วนที่คอยปิดกั้นเราบ้าง ขวางให้เราสะดุดบ้าง เมื่อวิบาก
    กรรมชั่วมาทวงแล้วทำให้เราสูญเสียบ้าง

    ๔. เทวปุตตมาร คือพวกวิญญาณมิจฉาทิฏฐิทั้งหลายซึ่งกระจาย
    อยู่ในทุกมิติในทุกโลก คอยแกล้งผู้อื่น กวนผู้อื่นตามอำนาจกิเลส
    ในตน

    ๕. มัจจุมาร คือ ความตายที่ท่านพระยายมทั้งหลายนำมาหยิบยื่น
    ให้ตามจังหวะกรรมและสภาพขันธ์

    ดังนั้นมารที่อยู่กับเราเกือบตลอดและบางทีพวกเราก็เผลอเลี้ยง
    มันไว้ คือกิเลสมารในใจของเราเอง ซึ่งล่อหลอกให้เราวิ่งไปหา
    ความทุกข์หรือสุขระคนทุกข์ หรือสุขแล้วก็ทุกข์อยู่เนืองๆ

    อีกตัวหนึ่งคือขันธมาร ที่บังอาจข่มขี่ทำตัวเป็นนายเรามาตลอด
    ที่เราดิ้นรนกันอยู่ทุกวันนี้ก็หาสิ่งต่างๆ มาปรนเจ้านายขันธ์เหล่านี้
    ใช่ไหมไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย เราเป็นทาสของขันธมารมานานแสน
    นานและอาจต้องเป็นต่อไปตราบเท่าที่ยังไม่ประกาศอิสรภาพเสียที

    อภิสังขารมารนั้นเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง เราเป็นผู้สร้างมายา
    แห่งกรรมกันขึ้นมาเองแท้ๆ แต่สร้างแล้วมันกลับมากำกับเราเสีย
    จนดิ้นไม่หลุดบางทีก็ขัดขวางเรา บางทีก็ทำลายเรา ทุกกรรมที่ทำ
    แล้วก็จะเกิดผู้เกี่ยวข้อง ๔ กลุ่มทันทีคือ เจ้ากรรม ลูกกรรม ผู้รับ
    ผลต่อเนื่องและนายเวร ทั้ง ๔ กลุ่มบุคคลนี้ ก็จะเข้ามาในชีวิตของ
    เราเป็นระลอกๆ ถ้าเป็นผลกรรมดีก็ส่งเสริมเรา ถ้าเป็นผลกรรมชั่ว
    ก็บั่นทอนเรา ถ้าทั้งดีทั้งชั่วก็ได้ทุกขลาภ ทั้งหมดนี้รวมกันเป็นชุด
    ของชะตาชีวิตในแต่ละชาติ ดังนั้นต้องมีวิธีบริหารดวงชะตาชีวิต
    ที่มีประสิทธิภาพไปศึกษากันซะให้ดี

    พวกเทวปุตตมารนี่ คือมารที่อยู่ในมิติต่างๆ ของมหามิติมีทั้งที่เป็น
    พรหม เทพ อสุรกาย เปรต มนุษย์ และเดรัจฉาน เทวปุตตมารเอง
    ก็ยังแบ่งเป็น ๒ พวก คือมารขาว กับมารดำ

    มารขาว คือมารที่เป็นเทพพรหมที่ท่านดูแลเราอยู่ ต้องการให้เราฝึก
    วิชชาก็จัดชุดแบบฝึกหัดหรือแบบทดสอบต่างๆ มาให้เราทำโดยไม่มี
    เจตนาทำลายเรา เวลาส่งมาท่านก็ใช้มนุษย์หรือสัตว์ในคอนโทรลของ
    ท่านนั่นแหละทำหน้าที่ต่างๆตามที่ท่านต้องการ

    มารดำ คือพวกที่ต้องการแกล้งจริงๆ มารดำทั้งหมดที่เป็นมารเพราะ
    อำนาจกิเลสตันหาในตน กิเลสที่ทำให้คนหรือวิญญาณเป็นมารมากที่สุด
    คือ ความอิจฉาริษยา ความพยาบาท และความหลงผิด

    พอเป็นมารแล้วก็จะขวางความสำเร็จของผู้อื่นหรือบั่นทอนสิ่งที่เขา
    สำเร็จแล้ว เช่น ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเพียรก็เจอหลายชุด
    แม้ทรงสำเร็จแล้วก็ยังเจออีกหลายชุด กระทั่งสุดท้ายก็พวกมารนั่น
    เองที่มาขอให้พระองค์เข้าพระนิพพานเพื่อไม่ให้มนุษย์ได้รับธรรมะ
    มากไปกว่านี้ นี่มารเขาขวางทั้งความสำเร็จบุคคลและประโยชน์สังคม
    โดยรวม หลวงพ่อคงเองท่านสำเร็จช้าข้างบนมาต่ออายุให้เป็น ๑๐๐ ปี
    เพื่อขยายเวลาสอนธรรมะ มารก็มาขอ ๒๐ ปี เหลือ ๘๐ ปี ท่านเล่าให้
    ฟังแล้วท่านก็ไปตอน ๘๐ จริงๆ ดูซีพระอรหันต์ท่านกรุณาแม้กระทั่งมาร

    นั่นคือมารดำ เวลามารดำเข้ามาหวังบั่นทอนหรือทำลาย ท่านมารขาวก็
    อาจปล่อย เพื่อให้เราได้ใช้วิชาในสถานการณ์จริงก็ได้สำหรับบางคน

    มารชุดสุดท้ายคือมัจจุมาร ซึ่งก็คือความตาย ก็พวกเราไม่เห็นใครอยาก
    ตายเลย ทั้งที่ไม่อยากพอถึงเวลาพระยายมก็บังคับให้ตายใช่ไหม จึงเรียก
    ว่าเป็นมารขวางการดำรงชีวิตของเรา

    มารนี่เป็นสิ่งที่เราต้องเจอกันแน่ทุกคน เจอทุกประเภทด้วย หลีกเลี่ยง
    ไม่ได้เรามาดูกันหน่อยก็ดีว่า เวลาเจอเราควรจะทำอย่างไร

    เวลาเผชิญมารนั้น อย่าตื่นเต้นตกใจ จงพิจารณาเหมือนกับการเข้าสู่
    สนามกีฬา ถ้าเกมนั้นน่าเล่นก็เล่น ถ้าเป็นเกมที่ไม่น่าเล่นก็เดินหนีเสีย อย่า
    ไปเสียเวลาด้วย

    และในยามเผชิญมารนั้น ต้องพิจารณาให้ดีว่าเรากำลังเจริญธรรม ดังนั้น
    ควรยกระดับธรรมให้สูงส่งและมั่นคง อย่าให้หลงกลมารไปละเลงกรรมล่ะ
    เดี๋ยวก็ได้กรรมแทนธรรมเท่านั้นเอง

    การสู้เพื่อชัยชนะและการสู้เพื่อธรรมะนั้นแตกต่างกันเกือบสิ้นเชิง เรา
    ลองมาพิจารณาเทคนิควิธีการที่พระพุทธองค์ทรงใช้เวลาเผชิญมาร
    ดีกว่า เคยดูบทพาหุงกันไหม ยังจำได้ไหมว่าพระองค์ทรงเจออะไรมา
    บ้าง ลองสวดซิ

    ชุดที่ ๑ พาหุงสะหัส สะมะภินิมนิมิตะสาวุธันตัง ครีเมขลัง อุทิตะโฆระสะ
    เสนะมารัง ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา ภะวันตุ เตชะยะ
    มังคะลานิ กล่าวถึงตอนพญามารขี่ช้างมาด้วยอาวุธอันน่าสะพรึงกลัว
    พระองค์ทรงสงบ และไม่ได้โต้ตอบ แต่ด้วยทานบารมีที่พระองค์ทำไว้
    แล้ว โดยมาก ซึ่งพระแม่ธรณีเป็นพยานมาตลอด พระนางจึงออกมา
    บีบมวยผมเป็นน้ำไล่เหล่ามารไป

    ชุดที่ ๒ มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะ
    มะถัทธะยักขัง ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสาภะวันตุ เต
    ชะยะมังคะลานิ กล่าวถึงตอนพญามารได้ส่งลูกสาวทั้ง ๓ คือ นางราคะ
    นางตันหา และอรตี ที่จริงเราเคยเจอมาแล้วทั้ง ๓ มายั่วยวนให้กิเลส
    ของพระองค์กำเริบ พระองค์ทรงเอาชนะด้วยขันติบารมี ไม่ไหลไปตาม
    มารยาของนาง

    ชุดที่ ๓ นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ
    สุทารุณันตัง เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ
    เตชะยะมังคะลานิ กล่าวถึงตอนที่พระเทวทัต ปล่อยช้างนาฬาคีรีที่
    กำลังตกมันมาทำร้ายพระองค์ ทรงแผ่เมตตานุภาพให้ช้างนั้นสงบ
    สิโรราบได้

    ชุดที่ ๔ อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโยชะนะปะถัง
    คุลิมาละวันตัง อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ
    เตชะยะมังคะลานิ กล่าวถึงตอนที่องคุลีมาลต้องการปลงพระชนม์
    เพื่อเอาหัตถ์ของพระองค์ ทรงใช้ฤทธิ์ที่เหนือกว่า ยังศรัทธาให้เกิด
    แก่องคุลีมาลและโปรดให้บรรลุธรรม รายนี้ทำได้ เพราะได้ทรงตรวจ
    ดูด้วยพระญาณตั้งแต่เช้าตรู่แล้วทรงทราบว่าองคุลีมาลมาเกิดชาตินี้
    ด้วยอธิษฐานที่จะสำเร็จธรรมกับพระองค์จึงทรงมาโปรดด้วยความ
    ตั้งพระทัย

    ชุดที่ ๕ กัตวานะ กัฎฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฎฐะวะจะนัง
    ชะนะกายะมัชเฌ สันเตนะโสมะวิธินา ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสาภะวะตุ
    เตชะยะมังคะลานิ กล่าวถึงตอนนางมาณวิกากล่าวหาว่าพระองค์หลง
    รักนางและทำนางท้อง แล้วด่าหาว่าพระองค์ไม่รับผิดชอบ พระองค์
    ทรงใช้สันติไม่ทำร้ายตอบ สังคมจำนวนมากเข้าใจผิดไป ร้อนถึงพระ
    อินทร์ต้องทรงลงมาช่วยคลี่คลายความเข้าใจผิดของผู้คนในสังคม
    ไม่เช่นนั้นสังคมจะรับกรรมหนัก

    ชุดที่ ๖ สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปิตะมะนัง
    อะติอันธะภูตัง ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา
    ภะวะตุ เตชะยะมังคะลานิ กล่าวถึงตอนที่พวกนิครนธ์ตั้งขบวนโต้วาที
    กับพระพุทธเจ้าเรื่องสัจจะ พระองค์ทรงใช้ปัญญาที่มั่นคงโต้ตอบไป
    แต่ก็ไม่ได้โปรดให้บรรลุธรรม

    ชุดที่ ๗ นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิงปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ
    ทะมาปะยันโต อิทธูปะเทสะวิธินาชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ
    เตชะยะมังคะลานิ กล่าวถึงพระยานาคมิจฉาทิฏฐิในบาดาล ซึ่งพระองค์
    ทรงโปรดให้พระโมคคัลลานะไปปราบด้วยอิทธิฤทธิ์ให้หายหลงผิด

    ชุดที่ ๘ ทุคคาหะทิฎฐิภุชะเคนะสุทัฎฐะหัตถังพรหมังวิสุทธิชุติมิทธิพะกา
    ภิธานังญาณาคะเทนะวิธินา ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เตชะยะ
    มังคะลานิ กล่าวถึงตอนที่พระพุทธเจ้าและเหล่าอรหันตเถระหายตัวขึ้น
    ไปปราบพรหมผู้หลงผิดในพรหมโลกด้วยญาณที่ยิ่งกว่า

    นั่นคือเทคนิควิธีที่พระองค์ทรงใช้เผชิญมารซึ่งทรงใช้คุณธรรมทั้งสิ้น
    ถ้าเห็นว่าโปรดไม่ได้ก็ทรงปล่อยไป แม้เขาทำร้ายอยู่ก็ไม่ทรงทำร้ายตอบ
    คนอื่นต้องมาช่วย แต่ถ้าเห็นว่าพอที่จะโปรดได้ก็จะทรงใช้ฤทธิ์บ้าง
    ปัญญาบ้างโปรดไป

    ดังนั้นการเผชิญมารนี่ไม่ใช่ไปเอาชนะคะคานห้ำหั่นกันให้แหลกลาญ
    เพียงแค่ประคองตนไม่ให้ตกอยู่ใต้อำนาจของมารหรือไม่ไหลไปตาม
    การหลอกล่อของมารก็ OK แล้ว และถ้าเป็นพวกที่โปรดได้ก็โปรดไป
    โปรดไม่ได้ก็ปล่อยไป คุยไม่รู้เรื่องก็เฉยไว้ เจริญบารมีตระกูลอุเบกขา
    ขันติไปเลย

    ส่วนพวกที่เป็นมารทั้งหมด ซ่าแล้วก็ต้องรับกรรมไปตามระเบียบ
    อยู่อเวจีกันเป็นแถว พวกที่โปรดแล้วกลับใจได้ก็เข้าอริยะกันเป็นแถว
    เช่นกัน
    ถาม : ประสบการณ์การเจอมาร อาจารย์เจอบ้างไหม พอจะเล่าได้ไหมครับ

    ตอบ : มารที่เจอบ่อยที่สุด คือกิเลสของตัวเอง ก็ไม่มีอะไรมากกิเลสของ
    เรากำเริบเองนี่ พวกเราเข้าใจไหม จะได้ไม่ต้องเล่าเพราะทุกคนมีประสบ
    การณ์ มารข้างนอกก็เจอบ้างนิดๆหน่อยๆพอให้ชีวิตมีรสชาติ

    เวลามารข้างนอกมานี่ ไม่ว่าจะเป็นเทวปุตรมารจำพวกใดก็ตาม ส่วนใหญ่
    ก้จะมาลองของแบบซุกซน ที่มาแกล้งก็มีบ้างเหมือนกัน ถ้าบังเอิญเราไป
    ทำให้เขาโกรธหรือหมั่นไส้ ตอนที่เจอบ่อยที่สุดคือตอนที่อยู่ที่ถ้ำที่เมือง
    กาญจน์ ตอนนั้นอยู่ในถ้ำตามลำพังมีพระไตรปิฎกไปเล่มหนึ่ง วันหนึ่งจุด
    เทียนนั่งอ่านพระไตรปิฎกอยู่ อยู่ๆก็มีแสงวาบมาจากตอนบนของถ้ำลง
    มาข้างหน้า ก็เงยหน้าขึ้นดูเห็นเป็นยักษ์ตนหนึ่งหล่อมาก ตัวสูงใหญ่ ใครว่า
    ยักษ์น่ากลัว ตัวจริงเขาหล่อมาก เรายังสู้ไม่ได้เลย พอเงยหน้าขึ้นดู เขาส่ง
    รังสีอะไรไม่ทราบมาที่หน้าผากเรา เหมือนมันจะเจาะเข้าไปข้างในหัว แต่
    เจาะไม่เข้า เราก็เฉยเพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันคล้ายเป็นการยิง แต่ไม่ใช่
    ปืนนะ มันออกจากหัวเขามาสู่หัวเรา พอมันไม่เข้าเขาก็มีท่าทางละอายใจ
    ก็กลับไป ไม่พูดไม่จาเลย

    ถาม : อาจารย์คิดว่าเขามีวัตถุประสงค์อะไรครับ

    ตอบ : คงมาลองมั้ง ใครมานั่งหัวโด่แผ่รัศมีแถวนี้ ถิ่นของข้า ก็เลยลอง
    ดูซิว่าเอ็งแน่มาจากไหน บุกถิ่นข้าไม่บอกไม่กล่าว

    ถาม : อย่างนี้ก็มีเหรอครับ เราไปปฏิบัติธรรมเขาทำทำไม ไม่บาปหรือครับ

    ตอบ : บาปมันก็บาป แต่เขาคงคะนอง คนคะนองก็มักจะอย่างนี้แหละสร้าง
    บาปเนืองๆ เป็นนักปฏิบัติธรรมก็ใช่ว่าพวกนี้ไม่กล้ายุ่งนะ ขนาดพระอรหันต์
    ยังโดนเลย สมัยหนึ่งพระสารีบุตรนั่งสมาธิอยู่ อยู่ๆรู้สึกปวดหัวขึ้นมา ครู่
    หนึ่งก็หายไป จึงหันไปหาพระโมคคัลลานะ บอกว่าเมื่อกี้มีอาการแปลกๆ ท่าน
    อยู่ดีๆ ก็ปวดศีรษะขึ้นมา พระโมคคัลลานะมีตาทิพย์นี่ท่านเห็นท่านก็บอกว่า
    อาวุโสสารีบุตรมีอานุภาพมากหนอ เมื่อครู่นี้มียักษ์ อันธพาลมาทุบศีรษะท่าน
    ยังไม่เป็นไรแค่ปวดศีรษะเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งยักษ์ตนนี้มีกำลังมาก ถ้าเป็น
    คนธรรมดาจะต้องถึงแก่ชีวิตเป็นแน่ เห็นไหมพระอรหันต์ยังโดนเลย ดังนั้น
    อย่าประมาท จะฟังปรากฏการณ์อื่นๆ อีกไหม

    ถาม : ฟังครับ ฟัง สนุกดี

    ตอบ : ฟังเพื่อความเข้าใจในกลไกต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมเผื่อตัวเองต้อง
    เจอบ้างนะ อย่าเอาสนุก นั่นไม่ใช่สาระ ที่ถ้ำนั่นอีกเช่นกัน ถ้ำนี้เฮี้ยน อีกไม่กี่วัน
    ต่อมาเรานั่งสมาธิอยู่ อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมเต็มถ้ำไปหมด ก็ลืม
    ตาขึ้นดูเห็นคนเป็นหมื่นอัดกันอยู่รอบถ้ำ ข้างในตีตะโพนเหมือนจะออกรบ
    ยอมรับเลย เห็นครั้งแรกประหวั่นนิดๆ นี่มันอะไรกัน ก็ถ้ำโล่งๆเราอยู่คนเดียว
    ทำไมคนมาจากไหนเยอะแยะ มาทำอะไรกันตึงตัง ตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นมารแต่ก็
    พยายามทรงอุเบกขาอยู่ให้ใจหายหวั่น ยังไม่ทันไรก็มีแสงวาบมา ๒ ดวงจาก
    ปากถ้ำ ในดวงแสงนั้นเป็นของผู้สูงศักดิ์ในเมืองไทย พอแสงวาบนั้นปรากฏ
    คนนับหมื่นก็หายวับไปทันที เราจึงได้รู้ว่าคนจำนวนมากที่อึกกะทึกครึกโครม
    นั้นเป็นภาพลวงตา และแสงวาบนั้นเป็นบารมีของท่านผู้สูงศักดิ์ที่ดูแลอาณาเขต
    อยู่ ท่านมาห้ามพวกนั้นไม่ให้มารบกวนเรา ต้องขอบคุณท่านมาก วิชาภาพลวง
    ตานี้เป็นของพวกคนธรรพ์ นี่คือประสบการณ์เล็กๆน้อยๆ ถ้าเล่ามากเดี๋ยว
    ไม่ได้นอน ถ้าพวกเราเจอแบบนี้พอจะประคองจิตใจไหวไหม

    ถาม : ผมโกยก่อนละ อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

    ตอบ : โกยก็ไม่ได้อะไรซี นี่ยังดีนะเป็นการเผชิญมาอย่างง่ายๆ ถ้าเราเจอมาร
    ตามลำพังนี่จะง่าย เพราะไม่มีตัวแปรอื่น แค่เราคุมตัวเองให้อยู่แค่นั้นเอง
    แต่ถ้ามารมาทางอื่น เช่นเข้าสิงหรือเข้าแฝงคนมาสิ อันนั้นจัดการยากที่สุด

    ถาม : เป็นยังไงครับ

    ตอบ : จะฟังเหรอ เรื่องนี้ยาวหน่อยนะ ตัวแปรมันเยอะ มารหลายตัว และใช้
    มนุษย์หลายคน

    ถาม : ฟังครับยังไม่ง่วงเลย

    ตอบ : งั้นเอาย่อๆนะ จำไว้เลยนะ ถ้าเราบำเพ็ญกิจคนเดียว มารก็จะทำกับเรา
    ถ้าทำกับเราโดยตรงไม่ได้ ก็หลอกหลอนด้วยภาพลวงตา หรือด้วยธรรมะเพี้ยนๆ
    หรือแกล้งโน่นนี่บ้างตามประสา แต่ถ้าเราทำอะไรเพื่อสังคมมารก็จะมาเป็น
    กระบวนมารตามสายสังคมเช่นกัน จะสมดุลกับสิ่งที่เราทำ

    อย่าฟังเรื่องราวเลยนะ เดี๋ยวเป็นการกระทบตน กระทบคนอื่น และถึงฟังก็เป็น
    สิ่งที่เข้าใจยาก เพราะมันลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนเกินกว่าเราจะเข้าใจและค่อยๆ
    สะสางได้ ต้องใช้เวลากว่า ๒ ปี เรามาดูกันแค่ข้อที่น่าสังเกตุและบทเรียนต่างๆ
    ดีกว่านะ เป็นประโยชน์กว่า

    ข้อแรก ที่ควรสังเกตุเวลาใครจะบรรลุธรรมสำคัญหรือใครจะสร้างประโยชน์
    ยิ่งใหญ่ให้เพื่อนมนุษย์ มารจะมาขวางอย่างเช่นที่พระพุทธเจ้าทรงพบนั่นแหละ
    และดูซีนักเกื้อกูลที่ยิ่งใหญ่ไม่ว่ามหาตมะคานธี กาลิเลโอ พระเยชูคริสต์ เคเนดี้
    ล้วนถูกมารเล่น บั่นทอนและทำลายทั้งสิ้น มารนี่คือสิ่งที่ศาสนาคริสต์เรียกว่า
    ซาตาน อันเดียวกัน

    ข้อที่สอง เวลาเจอมารที่เป็นกระบวนนี่ เขาจะวางแผนจัดสถานการณ์ให้เราเจอ
    ปัญหา ชนิดไม่ว่าเลือกทางไหนก็ต้องเสีย ไม่มีได้

    ข้อที่สาม วิธีการที่เขาใช้จะสกปรกมาก อย่าไปถามหาความเป็นธรรมให้เสียเวลา
    ป่วยการ

    ข้อที่สี่ เวลามารครอบงำใครมาแกล้งเรานี่ คนนั้นมักจะมีอาการสุดเหวี่ยง เช่น
    หน้ามืดตามัวในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างรุนแรง และเวลาที่เขาครอบงำใคร มนุษย์
    คนนั้นก็จะมีเล่ห์เหลี่ยมที่สกปรกด้วย เช่น ยุแหย่ ส่อเสียดให้เกลียดกัน หรือ
    ดูหมิ่นคนที่เคารพนับถือกัน สร้างความคิดและถ้อยคำชั่วร้ายไว้ พอโทรมาหา
    เราก็บอกว่าคนนั้นพูด พอโทรไปหาคนนั้นก็บอกว่าเราพูด แม้เราเป็นคนไม่พูด
    เรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว ก็อาจเป็นเหตุให้คนหูเบาด้อยปัญญาข้องใจและบาด
    หมางไปได้

    ข้อที่ห้า เวลาลิ่วล้อของมารหรือมนุษย์ที่มารควบคุมใช้ทำงาน เขาเหล่านั้นจะ
    กลายเป็นคนชนิดที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่ในโลก สามารถพูดหน้ามือเป็นหลังมือ
    ดำเป็นขาว ขาวเป็นดำได้หน้าตาเฉย ไม่มีความละอายและจะเนรคุณกันได้สุดๆ
    พวกเราต้องระวัง คนที่มารคุมนี่ต้องหลีกให้ห่างไว้

    ข้อที่หก เทวปุตรมารจะมาตามกิเลสตัณหา ส่วนมัจจุมารจะมาตามกรรม ทั้ง
    สองกรณีจะมีอาการปรากฏที่ขันธ์

    ข้อที่เจ็ด เวลามารครอบงำใครทำงาน อย่าเข้าใจว่ามนุษย์คนนั้นเป็นคนทำ
    ทั้งหมดนะ มารที่แฝงเขาอยู่ควบคุมให้เขาทำโดยอาศัยนิสัยชั่วและอารมณ์
    ร้ายบวกกับความไม่เข้าใจกับความไม่พอใจกิเลสตันหาของคน เป็นฐานขับ
    เคลื่อน ถ้ามารจะครอบงำผู้ชายทำงานส่วนใหญ่จะใช้ความพยาบาท ถ้ามาร
    จะครอบงำผู้หญิงทำงานส่วนใหญ่จะใช้ความอิจฉาริษยาเป็นฐาน ถ้ามาร
    ครอบงำหญิงชายที่เป็นคนรักทำงานส่วนใหญ่จะใช้ฐานความหึงหวงในตัว
    เขา เวลามารจะคุมใครทำงานจะมากระตุ้นและอาศัยกิเลสตัณหาในตัวคนนั่น
    แหละ เลยดูเหมือนคนทำ ที่จริงคนเป็นเหมือนหุ่นที่ถูกชักใยอยู่ ถ้าคนมี
    อารมณ์ร่วม เจตนาร่วมด้วย ก็ร่วมกระบวนการมารเต็มๆกรรมจะหนัก
    ถ้าไม่มีอารมณ์ร่วมหรือเจตนาร่วมเป็นแค่หุ่นให้เขาชักเฉยๆกรรมก็น้อยลง

    ถาม : แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรครับ ว่าใครเป็นมาร หรือเวลามารมาหลอกล่อ
    เราให้ทำอะไรที่ไม่ดี มีอะไรเป็นที่สังเกตุไหมครับจะได้ระวังไว้ก่อน

    ตอบ : เป็นคำถามที่ดีมาก มีสองส่วนนะ ส่วนแรกถ้ามารพยายามมาครอบงำ
    เรา ใช้เราเพื่อวัตถุประสงค์ใดประสงค์หนึ่งของเขาเราจะรู้ได้อย่างไร

    ให้เราสังเกตุดูภาวะในตัวเราให้ละเอียดถ้ามีอะไรหนักบนหัว หรือหนักที่หลัง
    โดยไม่มีสาเหตุ หรือเดี๋ยวก็เบลอเดี๋ยวก็ตื่นตัวดี บางทีทำอะไรไปไม่รู้ตัว
    หรือบางทีรู้ตัวแต่ควบคุมไม่ได้ อารมณ์รุนแรงแปรปรวนมาก อธรรมอย่าง
    ใดอย่างหนึ่งพยายามดึงให้เราทำตาม เช่น ราคะ หรือความแค้น หรือความ
    อิจฉา หรือกิเลสตัวใดตัวหนึ่ง หรือเจ็บปวดอวัยวะบางส่วนโดยหาสาเหตุ
    ไม่ได้ หรือมีเหตุให้ชีวิตต้องพัวพันกับอบายมุขมากผิดปกติ เหล่านี้สันนิษฐาน
    ได้ว่ามารกำลังพยายามหลอกล่อหรือควบคุมเราอยู่ มารบางพวกเป็นวิญญาณ
    ชั้นต่ำจะมีกลิ่นเหม็นอบอวลหรือเหม็นอยู่ในตัว อย่างผู้หญิงคนหนึ่งเขาบอก
    ว่าบางวันจะมีกลิ่นเหม็นออกมาจากปากเขา เขาบอกว่ากลิ่นมันเหมือนซากศพ
    นั่นเป็นมารในภูมิต่ำ

    ถ้าเป็นคนอื่นถูกมารครอบงำ เราจะสังเกตุได้อย่างไรว่าเป็นตัวเขาเองหรือ
    เป็นมาร

    ไม่ว่าจะเป็นมารข้างในหรือข้างนอก ถ้าเยอะก็จะเป็นพวกจิตประสาทไม่สม่ำ
    เสมอ พฤติกรรมร้ายกาจ สามารถพูดดำให้เป็นขาว ขาวให้เป็นดำได้โดยไม่มี
    ความละอาย ชอบยุยงให้คนเกลียดชังกัน มีความพยาบาทจ้องทำลายกรุ่น
    อยู่ในใจ หรืออยากจะอวดดีมากผิดปกติ มีอาการประหลาดผิดปกติของ
    มนุษย์มาก ซึ่งเขารู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง เมื่อเกิดอาการผิดปกติเขามักควบคุม
    ตัวเองไม่ได้และแปรเปลี่ยนเร็วมาก บางทีจากคนที่ดูดี innocent ภายใน
    นาทีเดียวอาจกลายเป็นคนชั่วร้ายตาวาวในอีกหนึ่งนาที กลายเป็นคนราคะจัด
    เหมือนพวก hysteria ยังไงยังงั้น ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ หรือบางทีมารเอง
    ไม่พอใจเขา เดินๆอยู่ก็รู้สึกถูกทุบหัวล้มลงหมดสติไปเลยก็มี ซึ่งทั้งหมดนี้
    ไม่ใช่อาการปกติของคนประเสริฐทั่วๆไป อย่างเช่นยุให้คนเกลียดกัน ไม่มี
    คนดีที่ไหนเขาทำกัน เพราะมันเป็นกรรมใหญ๋จะทำให้ชีวิตคนนั้นหายนะเอง
    คนประเสริฐจะสนับสนุนให้คนเข้าอกเข้าใจกัน สมานสามัคคีกัน แต่ช่วงใด
    ที่มารครอบงำแล้วจะยุแหย่ ส่อเสียด ให้คนเกลียดกันโดยไม่มีความละอาย

    และทั้งมารครอบเราหรือมาครอบคนอื่น เวลามารมาแต่ละครั้งบรรยากาศ
    หรือ vibration จะเปลี่ยน ถ้าจิตเราละเอียดจะรับได้ทันที vibration จะ
    เปลี่ยนไปอย่างไรก็แล้วแต่ว่ามารนั้นมาจากมิติไหน ถ้าเป็นเปรตก็มีหลาย
    แบบ ร้อนแห้งๆ บ้างหนาวยะเยือก ทั้งที่อากาศกำลังร้อนบ้าง แต่จะไม่มีไข้
    นะ เหมือนมีเขม่าอยู่ทั่วไปทั้งๆที่อากาศโปร่งบ้าง เป็นต้น ถ้าเป็นพวกเทพนี่
    จะรู้สึกเคลิ้มสบาย กามเทพนี่ท่านก็เป็นเทวดาเวลามายุเราละก็พาใจเราหวือ
    หวาน่าดูล่ะ หรือพรหมบางท่านเป็นมิจฉาทิฏฐิมา เราจะสงบแต่ท่านดันสอน
    สัจจะเราผิดเสียนี่ ที่จริงท่านหวังดีแต่เพราะท่านเข้าใจผิด ท่านก็สอนตามที่
    ท่านเข้าใจ พอเราเชื่อก็เลยพลอยหลงผิดไปด้วยก็มี ท่านเลยได้ชื่อว่าเป็น
    มารโดยไม่ได้ตั้งใจ หรืออย่างเวลาเจ้ากรรมนายเวรของเรามา พวกนี้ถือว่า
    เป็นมารของทุกคนโดยตำแหน่ง ก็จะแล้วแต่กรรมที่มาทวงกัน แต่จะสังเกตุ
    ได้ว่าเวลาท่านจะบีบเราเข้าสู่ตาจนเพื่อไปรับกรรมนั้น แม้เราจะคิดอย่างแต่
    ดันตัดสินใจไปอีกอย่าง ท่านจะดึงเราหรือบีบเราไปตามกลไกของบ่วงกรรม
    สติสมาธิต้องดีมากจึงจะเห็นสิ่งเหล่านี้ จึงบอกว่าคนส่วนใหญ๋นั้นน่าสงสาร
    เจออะไรอยู่ก็ไม่รู้ว่าตนอยู่กับอะไรเลยกลายเป็นหุ่นรีโมตกันหมด

    ถาม : แล้วพวกนั้นเขาจะเป็นอย่างไรครับ

    ตอบ : พวกมนุษย์หุ่นรีโมตนั่นเหรอ

    ถาม : ไม่ใช่ครับ หรือใช่ก็ได้ คือพวกที่เกี่ยวข้องกับกระบวนมารทั้งหลาย

    ตอบ : ไม่ว่าพวกไหนก็ตาม ทุกพวกรวมทั้งพวกเราด้วยและทั้งมาร ทั้ง
    มนุษย์ที่ถูกมารครอง เขาก็จะเป็นไปตามกรรมที่กระทำ ซึ่งเป็นระบบที่เป็น
    ธรรมที่สุดในโลก

    ข้อที่แปด เวลากระบวนการมารมานี่ แม้เราจะทำดีแสนดีอย่างไร ก็จะถูก
    กล่าวหาไปในทางร้ายหมดเลย สารพัดจะกล่าวหาโดยเป็นเท็จทั้งหมด
    หรือเท็จมากกว่าจริง

    ข้อที่เก้า มารมักจะมีความอาฆาตฝังใจ พระเทวทัตเป็นมารของพระพุทธเจ้า
    ก็เพราะแรงอาฆาตนั่นเอง ดังนั้นมารทุกตัวนี่มีกิเลสหนาตัณหาเหนียวแน่นอน

    ถาม : อาจารย์ครับขอขัดจังหวะได้ไหมครับ คนดีๆแล้วมารอาศัยได้ไหมครับ

    ตอบ : แม้เป็นคนดีระดับหนึ่งแล้วก็อย่าประมาท พระโมคคัลลานะเล่าให้ฟัง
    ในพระไตรปิฎกว่า สมัยหนึ่งเมื่อท่านสำเร็จอรหันต์แล้ว ท่านรู้สึกปวดท้องขึ้น
    มาทันใด ก็ส่องจิตสำรวจดูพบว่ามีมารมาอยู่ในท้อง ท่านก็บอกว่า มารเอ๋ย
    เรารู้นะว่าเจ้าอยู่ในนั้นออกมาเสีย พอมารรู้ว่าพระโมคคัลลานะรู้และท่านมี
    สัมปชัญญะสมบูรณ์ก็ทำอะไรท่านไม่ได้ มารก็ออกมา

    เห็นไหมขนาดพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์เป็นเลิศยังโดนมารกวนเลย จะมาสิงท่าน
    ใช้งาน ดังนั้นเป็นคนดีใช่ว่าจะปลอดภัย พระพุทธเจ้าก็เจอทั้งก่อนสำเร็จ
    และหลังสำเร็จแล้วหลายต่อหลายชุด แต่ถ้าบริสุทธิ์หรือเข้มแข็งแล้ว มาร
    จะทำโดยตรงไม่ได้เลย กระนั้นพวกเขาก็ทำโดยอ้อม อย่างเช่นใช้นาง
    จิญจมาณวิกา หรือใช้ช้างนาฬาคีรีเป็นต้น ดังนั้นมีระบบระวังดีกว่า อย่า
    เสี่ยงเลย

    ถาม : อาจารย์พอจะยกตัวอย่างได้ไหมครับ

    ตอบ : ตัวอย่างอะไร

    ถาม : คือเวลามารมานี่เขามาทำอะไรหรือทำอย่างไร คือมีพฤติกรรมอย่างไร
    พวกเราจะได้รู้และระวังได้ถูก

    ตอบ : ตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริง เช่น บางครั้งมารปลอมเป็นเราไปลวนลามคน
    อื่นในฝัน ทำให้คนนั้นเข้าใจผิดคิดว่าเราถอดจิตไปลวนลามเขาทั้งๆที่เราไม่รู้
    เรื่องเลย

    บ้างก็ปลอมเป็นเราไปเข้าฝันคนอื่นว่าเราเข้าไปในห้องและปัดของบนหิ้งหัว
    นอนหล่นลงมา คนที่หลับอยู่เขารู้สึกเจ็บจึงตกใจตื่น เห็นของกองอยู่ข้างตัว
    เต็มไปหมดก็เข้าใจว่าเป็นฝีมือเรา เขาก็โทรศัพท์มาเพื่อจะถาม ปรากฏว่าสาย
    ติดแต่ไม่มีคนรับสาย ส่วนเรานอนหลับอยู่ไม่รู้เรื่องและไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์
    ด้วย นี่คือลักษณะการทำงานและความสามารถของมาร เขาจะใส่ไฟคนให้เข้าใจ
    ผิดกันและจะคุมหมดทุกทาง ไม่ให้เสียงโทรศัพท์ดังเพื่อให้คนอื่นเข้าใจผิด
    ทั้งๆที่เราหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องอะไรเลย

    บ้างก็จารนัยรายงานให้เราฟังว่าคนนั้นทำอย่างนี้ อย่างนั้นลับหลังเรา เพื่อให้
    ผิดใจกัน นั่นเป็นตัวอย่างพฤติกรรมเฉพาะมารจากมิติอื่น

    เวลามารมาครอบงำมนุษย์นี่ก็มีได้หลายพฤติกรรมมาก ตัวอย่างจริงที่เราพบ
    เห็นมาแล้ว เช่น บ้างก็ครอบงำ กระตุ้นหญิงซึ่งเป็นกุลสตรีมากให้พิศวาสเรา
    อยู่ดีๆ หญิงนั้นก็ตรงมาบอกว่า ไม่รู้เป็นอะไรค่ะ เวลาได้ยินเสียงอาจารย์ทีไร
    อารมณ์แบบนั้นมันเกิดขึ้นทุกทียับยั้งไม่ได้เลย ทั้งๆที่เราทั้งคู่ไม่ได้มีใจหรือ
    ความต้องการทำนองนั้นจากกันและกันเลย เป็นเพื่อนปฏิบัติธรรมกันดีๆ
    เราก็เลยต้องอยู่ห่างๆกันไว้ก่อน

    บ้างก็ครอบงำเพศตรงข้ามให้หลงรักพิศวาสเราโดยไม่เหมาะสม บางคนไม่
    เข้าใจก็หาว่าเราไปทำให้เขารัก กล่าวหาเราไปต่างๆนาๆ กรณีเช่นนี้มารจะ
    เลือกทำกับคนเก่าคนแก่ ที่มีเชื้อจากอดีตเท่านั้น คนไม่มีเชื้อแต่กาลก่อน
    มารก็ทำไม่ได้

    บ้างก็ใช้วิธียุแหย่ให้คนแตกแยกกัน เช่นอาจจะแฝงคนหนึ่งๆให้พูดจาใส่ไฟ
    ด้วยเรื่องที่เป็นเท็จหรือเป็นเค้าจริงในความหมายเท็จ และยุให้คนฟังเชื่อ
    และนำไปพูดต่อ และไปยุคนที่สาม สี่ ห้า คนที่มีนิสัยชอบฟังคนว่ากัน ชอบ
    เรื่องนินทาอยู่แล้วก็เลยกลายเป็นลิ่วล้อให้กับมารไปโดยไม่ได้ตั้งใจ นำไปสู่
    การทำให้หมู่คณะแตกแยก

    ฉะนั้น พวกที่ชอบเอาปากไว้ที่หูนั้นล้วนสร้างกรรมหนักกันทุกขณะ ช่วยทำ
    กิจมารให้สำเร็จเรียบร้อยเกิดผลเสียต่อสังคม ถูกมารหลอกไปติดบ่วงกรรม
    กันเป็นแถว

    นี่แหละพระพุทธเจ้าจึงทรงย้ำนักย้ำหนา อย่าเชื่อเพราะฟังตามๆกันมา อย่า
    ฟังคนนินทาว่าร้ายกัน อย่านินทาใคร อย่าส่อเสียดให้คนเกลียดกัน แต่จงทำ
    ให้ผู้คนเข้าใจกันสมานสามัคคีกัน คนที่ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าจึงพลาดได้ แต่คน
    ที่ทำตามที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำนี่มีไม่มากนะในยุคนี้

    นั่นเป็นตัวอย่างของมารที่มากับคนซึ่งมีลักษณะเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง
    ซึ่งจัดการควบคุมค่อนข้างยาก

    ในกรณีที่คนเป็นมารด้วยกิเลสของเขาเอง คืออำนาจกิเลสมารในใจเขากำเริบ
    และทำชั่วนั้นมีเยอะ ทุกคนคงเคยประสบกันมามาก ส่วนใหญ่ก็มาในรูปของ
    ความเนรคุณและพฤติกรรมทรามนานา ซึ่งอันนี้ซิน่าเป็นห่วงสังคม เพราะ
    พฤติกรรมมนุษย์ทรามเท่าไร สังคมจะเสื่อมมากเท่านั้น

    ตัวอย่างเช่นบางคนมาเบียดเบียนเรา ขอให้เราช่วยเหลือสารพัดทั้งรูปธรรม
    นามธรรม กลับหาว่าเราไปรบกวนเขาอย่างนี้ก็มีแปลก

    บางคนเอาชื่อเราไปใช้กลับหาว่าเราเอาชื่อเขาไปใช้ เป็นการพูดกลับหน้ามือ
    เป็นหลังมือ อย่างนี้ก็มี ตลก

    หรือบางพวกขอให้เราช่วยนั่นช่วยนี่ พอเราช่วยเสร็จเขาได้ประโยชน์โดยไม่
    ได้เสียอะไรเลย คงคิดอยากตอบแทนบอกจะให้โน่นให้นี่ เราก็เฉย พอถึง
    เวลากลัวว่าจะต้องเสียเลยกลับหาว่าเราหลอกลวงเอาเงินเอาทองเขา ทั้งๆ
    ที่เราไม่เคยเรียกร้องและไม่เคยรับอะไรจากเขาเลย เขาต่างหากที่ได้ประ
    โยชน์ไปแล้วจากการช่วยของเรา เนรคุณปานนี้ก็มีแล้วในยุคนี้น่าสงสารนะ

    บางคนอยากได้สิทธิประโยชน์บางอย่างของเราหรือของส่วนรวมโดยไม่
    ยอมเสียสละอะไรเลย เราเห็นไม่เหมาะสมก็ไม่ให้ไป พอเขาไม่ได้ก็ไม่พอใจ
    แล้วชักชวนคนอื่นไม่ให้ร่วมอะไรกับเรา ด้วยความคิดว่าเมื่อฉันไม่ได้ร่วม
    คนอื่นก็จงอย่าได้ร่วมเลย เมื่อจะชักชวนคนอื่นไม่ให้ร่วม ก็หลีกเลี่ยงไม่พ้น
    การกล่าวร้ายป้ายสีนานา คนอิจฉาและใช้วิธีการสกปรกปานนี้สร้างกรรมชั่ว
    พัวพันชะตาตนเองอย่างนี้ ก็มีแล้วในยุคนี้น่าสงสารนะ

    ถาม : น่าสงสารเหรอครับ ผมว่าน่ารังเกียจมากกว่า

    ตอบ : ที่น่าสงสารเพราะกรรมที่เขาทำมันจะบั่นทอนและทำลายชีวิตเขาเอง
    แต่เขามองไม่เห็น ช่างเขาเถิด นั่นเป็นเรื่องของเขา เรื่องของเราคือเราต้อง
    ใช้ประโยชน์จากทุกสถานการณ์ให้ได้

    ถาม : ความชั่วมีประโยชน์หรือครับ

    ตอบ : ความชั่วเป็นโทษต่อผู้กระทำ เราไม่ใช่ผู้กระทำก็ไม่จำเป็นต้องรอรับ
    ผลนั้น เมื่อไม่รับผลนั้นเราก็สามารถเลือกใช้ประโยชน์หรือโทษได้ตามสติ
    ปัญญาและอัธยาศัย อย่างเช่น สมมติว่าคนกำลังกล่าวร้ายป้ายสีเราอยู่นั้น
    เราสามารถใช้สถานการณ์ เช่นนี้ ประเมินคุณภาพคนต่างๆ ได้เลย ถ้าใคร
    หูเบาเขลาปัญญาเราก็ไม่ควรให้เขาร่วมอะไรกับเราจริงๆ เพราะพวกนี้ไม่มี
    ปัญญาในตนเองเป็นแค่ทาสข้อมูล ไม่เกิดปัญหาวันนี้ก็เกิดในวันข้างหน้า

    คนหูเบาเขลาปัญญาปากพล่อยจึงมักเป็นแค่เหยื่อของสถานการณ์ และมัก

    พลอยตกเป็นลิ่วล้อให้<!-- google_ad_section_end --> กับคนชั่ว ติดบ่วงบาปกรรมกันอยู่เนืองๆ

    พฤติกรรมมนุษย์ทุกวันนี้ ที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือการส่อเสียดให้คนเกลียดกัน
    ด้วยเหตุแห่งความไม่พอใจส่วนตัวเล็กน้อย มนุษย์ทุกวันนี้สามารถชักชวน
    คนให้เกลียดกันได้ เพื่อตนจะได้มีพวกย่ำยีอีกฝ่ายหนึ่งโดยไม่คำนึงถึงผล
    กระทบที่มีต่อสังคม ลองดูในวงการการเมืองซี บางทีระบบระบอบที่มนุษย์
    set ขึ้นมานั่นแหละหล่อหลอมความทรามให้ปรากฎ กลายเป็นวัฒนธรรมที่
    นำไปสู่ความล่มสลาย พฤติกรรมเช่นนี้เป็นพฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงความ ใกล้
    ล่มสลายทางสังคมเพราะเป็นเหตุให้สังคมแตกแยกและอ่อนแอ สังคมที่อ่อน
    แอก็เหมือนร่างกายที่อ่อนแอ จะเป็นโรคสารพัดและอาจถึงตายได้ นิสัย
    ส่อเสียดให้คนเกลียดกันนี้ พระพุทธองค์ทรงจัดเป็นอกุศลกรรมบท เป็น
    บาปใหญ่ ใครทำต้องตกนรก และเสื่อมจากสิ่งที่ตนมีอยู่ แต่นิสัยส่อเสียดนี้
    ก็ปรากฎมากขึ้นแล้วในยุคนี้ ลองดูละครน้ำเน่าเถิดว่ามันแทบจะเป็นชีวิต
    ปกติของคนทุกวันนี้ และมันทะลักออกมาแสดงกันนอกจอมากขึ้นแล้ว

    คิดดูเอาเถิด อนาคตของบุคคลเช่นนั้น และสังคมที่บุคคลเช่นนั้นอยู่จะมี
    สภาพเป็นอย่างไร และพฤติกรรมอย่างนี้ก็ปรากฏมากมายในยุคนี้ ใครมี
    เล่ห์เหลี่ยมเยอะจะหลงภูมิใจคิดว่าตนเป็นคนฉลาด หารู้ไม่ว่าเป็นความ
    ฉลาดที่ขาดปัญญาและกำลังพาเขาและหมู่คณะไปสู่ความหายนะในที่สุด

    พฤติกรรมทรามเหล่านี้ พวกเราคงเคยเจอกันทุกคน คงคล้ายๆกันนั่นแหละ
    นี่เล่นกันอย่างสกปรก เขาจึงเรียกเล่ห์เพทุบาย สกปรกกว่าวิชามาร
    นี่คือกิเลสมารในตัวมนุษย์ทำลายกันเอง พอเห็นอย่างนี้จึงไม่ต้องสงสัย
    เลยว่าทำไมสังคมจึงต้องเจอวิกฤติต่างๆด้วย ก็มนุษย์ทำกันขึ้นมาเอง

    แต่กระนั้น อย่าคิดว่าโลกนี้มีแต่ความชั่วร้ายนะ พอดีเราคุยกันเรื่องมาร
    ตัวอย่างจึงไม่งาม แต่โลกนี้ก็มีสิ่งดีๆไม่น้อยและมากกว่าสิ่งชั่วโขอยู่
    ถ้าเราหยิบปรากฏการณ์ทั้งโลกหรือทั้งชีวิตมาดูนี่ สิ่งที่ดีน่าจะเป็น ๕๕%
    สิ่งที่ชั่วร้ายน่าจะประมาณ ๑๕% สิ่งที่ไม่ดีไม่ชั่วประมาณ ๓๐% ดังนั้น
    จงเห็นทุกด้าน อย่ามองโลกด้านเดียว

    แต่กระนั้นพลังของสิ่งที่ชั่วและสิ่งที่ดีในโลกขณะนี้ก้ำกึ่งกันมาก เพราะ
    คนดีส่วนใหญ่จะมีนิสัย inactive โดยธรรมชาติ ส่วนคนเลวแม้น้อยกว่า
    แต่จะ proactive โดยธรรมชาติ ส่วนพวกไม่ดีไม่ชั่วนั้นพร้อมที่จะผัน
    เข้าข้างไหนก็ได้ เมื่อคนชั่ว proact โดยมาก ก็ได้พลังร่วมจากพวกไม่ดี
    ไม่ชั่วที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อีกมาก

    และเมื่อใดก็ตามที่พลังความชั่วมากกว่าพลังความดีสังคมจะวิบัติ เกิด
    วิกฤตินานา เมื่อใดก็ตามที่พลังความดีมากกว่าความชั่วสังคมก็จะเจริญ

    ดังนั้นเมื่อยามสังคมพบวิฤติใดๆ สมาชิกสังคมควรจะต้องทบทวน
    พฤติกรรมของตน และวัฒนธรรมของสังคมกันแล้ว วัฒนธรรมบาง
    อย่างต้องยกเลิก วัฒนธรรมบางอย่างต้องแก้ไข วัฒนธรรมบางอย่าง
    ต้องรักษา วัฒนธรรมบางอย่างต้องพัฒนา ไม่ใช่ชื่อว่าวัฒนธรรม
    แล้วต้องอนุรักษ์กันตะพืด เดี๋ยวก็เป็นการถนอมพิษร้ายไว้ในสังคม
    เท่านั้นเอง เพราะวัฒนธรรมบางอย่างเป็นเพียง reflect ของมาร
    ในตัวมนุษย์เอง

    ในบรรดามารทั้ง ๕ จำพวกนั้น มารที่ปราบง่ายที่สุดโดยลำดับ คือ
    ๑. กิเลสมาร ๒.ขันธมาร ๓.อภิสังขารมาร ๔.เทวปุตรมาร
    ๕.มัจจุมาร และเป็นสัจจะอยู่ว่า ใครที่ยังไม่สามารถควบคุมกิเลส
    ในตนได้ ไม่มีทางที่จะเอาชนะมารตัวอื่นได้เลย

    ถาม : แล้ววิญญาณที่เป็นมารมาจากไหนครับ มนุษย์ในโลกกับวิญญาณ
    ไม่เท่ากันหรือครับ ก็คนเกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด

    ตอบ : ถ้าอยากรู้ว่ามาจากไหน ให้ไปอ่านพระไตรปิฎกเล่มสีทองดู
    พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่าชีวิตเกิดใหม่ตลอดเวลาไม่มีสิ้นสุด เข้านิพพาน
    ไปแล้วก็นับไม่ถ้วน พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าเทียบจำนวนมนุษย์กับ
    วิญญาณต่างมิตินั้น ทรงบอกว่าถ้ามีกระบุงอยู่หนึ่งกระบุง เอาลูก
    มะขวิดใส่ไปเต็มกระบุง คือ จำนวนมนุษย์ในโลก ถ้าเอาเมล็ดงาใส่ไป
    เต็มกระบุงนั่นคือจำนวนวิญญาณต่างมิติ ลองเทียบดูสิมะขวิดหนึ่ง
    กระบุงและเม็ดงาหนึ่งกระบุงต่างกันแค่ไหน และพวกนี้ก็อยู่ซ้อนกับ
    มิติของโลกนั่นเอง เขาชอบเล่นกับมนุษย์ไม่น้อย มนุษย์ผู้ด้อยปัญญา
    หรือจิตใจอ่อนก็จะเป็นของเล่นของเขาซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่รู้ตัว
    เขาจะทำงานโดยการดลใจและบีบจิตให้คิดอย่างที่เขาต้องการเป็น
    หลัก หรือเวลาเราจะต้องเผชิญชะตากรรมอะไร มารจะมายุแหย่เราให้
    มีความคิดผิด มีอารมณ์ผิดๆ หรือส่งคนผิดๆเข้ามาในชีวิตเรา บางที
    เราตั้งใจจะช่วยด้วยความหวังดี ก็เลยซวยไปเลยก็มี

    ทุกคนในโลกจะเจอมาร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ไม่ผิดเพี้ยนว่ามารทั้ง ๕
    ย่อมขี่คอมนุษย์ ครอบงำมนุษย์ไว้ มารทั้ง ๕ นี่ คือทั้งในตัวเราและใน
    ตัวคนอื่น ถ็ถือว่าเป็นมารทั้งสิ้น ยิ่งนักปฏิบัติผู้มุ่งหลุดพ้นมารจะรุม
    เพราะจะออกนอกอำนาจเขานี่ เทวปุตตมารเขาต้องขวางไว้ก่อนจะได้
    ไม่สูญเสียเอเย่นต์ในโลก เจ้ากรรมก็จะเข้ามาทวงกันมาก ก็จะออกแล้ว
    เข้าจะไม่มีโอกาสได้ทวงอีกแล้วก็เลยรุมทวงกันใหญ่ กิเลสมารในตน
    ก็กำเริบ เพราะวิปัสสนานี่ต้องไปล้างกิเลสออก พอปัดกวาดมัน มันก็
    ฟุ้ง ทั้งหมดนั้นต้องเข้มแข็งและผ่านให้ได้ก็จะเห็นแสงธรรม

    คำว่าผ่านนี่ ไม่ได้หมายความว่าต้องไปสู้รบปรบมือ แต่ต้องปล่อยวาง
    ให้ได้ หลุดจากอิทธิพลของมารทั้งภายในภายนอกให้ได้ คำว่าหลุดนี่คือ
    ไม่หวั่นไหวไปกับผลการกระทำของมาร และถ้าปัญญาพอ ก็ผันสถาน
    การณ์ให้เป็นบุญบารมีที่ยิ่งใหญ่เลย

    ถาม : มารข้างนอกที่เขามากวนเรานี่เขามีสิทธิ์เปลี่ยนไหมครับ หรือว่า
    ใครเป็นมาร ก็ต้องเป็นมารตลอด

    ตอบ : มิได้ ไม่มีอะไรในธรรมชาตินี้ที่เที่ยง แม้แต่ความเป็นมารเอง
    ก็ไม่เที่ยง อย่างสมัยหนึ่งพระโมคคัลลานะในชาติหนึ่งนานมากก่อนที่
    จะมาสำเร็จอรหันต์ ท่านก็เคยเป็นมารมาก่อน ท่านเป็นเทพที่มาเข้าสิง
    เด็กคนหนึ่งให้เอาก้อนหินขว้างศีรษะพระอภิภู เพราะความอิจฉาที่ได้
    เป็นอรหันต์ผู้เป็นเลิศทางฤทธิ์ของพระกัสปะพุทธเจ้าองค์ก่อน ด้วย
    กรรมนั้นทำให้ท่านตกจากสวรรค์แล้วลงนรกทันที ต้องมาใช้กรรมใน
    ภพเดรัจฉานและมนุษย์อีกมากมาย

    นั่นคือตัวอย่างการทำงานของมาร มารจะทำงานโดยการดลใจหรือ
    บีบจิตหรืออาศัยเข้าสิง เข้าทรง หรือเข้าแฝงคนอ่อนแอให้ทำการชั่ว
    กับผู้ประเสริฐ หรือบั่นทอนความสามัคคีในสังคม

    แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเทพที่เข้าทรงทั้งหมดเป็นมารนะ เป็นเทพ
    ผู้ประเสริฐก็มี และก็ไม่ได้หมายความว่ามารตนหนึ่งๆ จะเป็นมารตลอด
    กาล อย่างพระโมคคัลลานะเอง พอท่านสำนึกผิดพัฒนาตนใหม่ในที่สุด
    ก็เป็นพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์มากได้

    ดังนั้นมารเองก็ไม่เที่ยง สิ่งที่เราควรกำจัดจริงๆ ไม่ใช่ตัวมารเอง แต่
    คือความหลงผิดในตัวเขาที่ทำให้เขาทำการชั่วอยู่ ซึ่งถ้าทำได้เราจะเปลี่ยน
    มารให้เป็นมิตรได้ แต่จงสังเกตุว่ามารส่วนใหญ่พระพุทธเจ้าก็ปล่อยไป
    ไม่โปรดเลย

    ถาม : เวลาคนเขาเจอมารหรือถูกมารครอบนี่ เราไม่มีสิทธิ์ไปช่วย
    เขาเลยหรือครับ

    ตอบ : ช่วยได้แค่ให้เขาพ้นอำนาจมาร แต่อย่าไปทำร้ายมาร
    เพราะมารก็มีจิตใจเหมือนกัน โกรธเกลียดได้เหมือนกัน ดังนั้น
    ต้องเห็นทั้งคนและมารเสมอกัน ก็มีจิตใจเหมือนกันทั้งคู่ ยังอยู่
    ในทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น

    ถาม : ทำไมพ่อแม่ลูกนี่ต้องมีเรื่องระหองระแหงกันเรื่อย ทั้งๆที่
    พยายามปฏิบัติตนให้ดีแล้วก็ยังไม่เป็นที่ถูกใจ ไม่ทราบว่าพ่อแม่
    นี่เราต้องตอบแทนบุญคุณไปแค่ไหนครับจึงจะหมด

    ตอบ : พวกเราตั้งใจฟังนะ เรื่องนี้เรื่องสำคัญ คนเกิดเป็นพ่อ
    แม่ลูกกันนี่ เป็นมารกันอยู่ โดยกลไกกรรม โบราณท่านจึงเรียกว่า
    กุมาร กุมารี คือก่อให้เกิดมารตัวผู้และมารตัวเมีย แต่มารพวกนี้
    ไม่ได้ร้ายกาจอะไร เป็นเจ้าหนี้กรรมของพ่อแม่นั่นเอง ด้วยเหตุ
    นี้พ่อแม่จึงอยากที่จะปรนเปรอลูกปริ่มๆ ว่าแม้ชีวิตก็มอบให้ได้
    โดยไม่หวังอะไรตอบแทน พอพ่อแม่ให้ทุกอย่างอย่างบริสุทธิ์ใจ
    แท้จริง บุญคุณนี้ใหญ่หลวงนักต่อลูก พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ผู้เป็นบุตรอุ้มพ่อแม่ขึ้นไว้บนบ่า ป้อนข้าว
    ป้อนน้ำท่าน ให้ท่านอุจจาระปัสสาวะบนร่างของตนก็ไม่อาจทด
    แทนบุญคุณพ่อแม่ได้หมด ทางที่จะทดแทนได้หมดคือทำให้พ่อ
    แม่ถึงธรรมเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นแสดงว่าเมื่อพ่อแม่เลี้ยงลูก
    ด้วยความรักระคนทุกข์ยาก ท่านเลยกลับมาเป็นเจ้าหนี้กรรม
    ลูกกลายเป็นลูกกรรมที่ต้องชดใช้ ท่านจึงเรียกว่ากงกรรม
    กงเกวียนไง แล้วบ่วงกรรมนั้นถ้ายังไม่สมดุลก็จะยังคงอยู่
    เหมือนโปรตอนยังคอยอิเลคตรอนมาเกาะอยู่ ถ้าสมดุลแล้ว
    อาจจะจบที่ตรงนั้นก็ได้ หรือจะพัฒนายกระดับขึ้นไปให้ดีกว่า
    เดิมก็ได้

    ดังนั้นบุญคุณในความเป็นพ่อแม่จะยังอยู่นะ ตราบใดที่เรายัง
    ไม่ได้พาพ่อแม่ให้ถึงธรรม บุญคุณในความเป็นพ่อแม่ชาติหนึ่งๆ
    จะยังอยู่ตลอดไป ดังนั้นหน้าที่ของลูกคือพาพ่อแม่เข้าวัดปฏิบัติ
    ธรรมเสมอ หาหนังสือธรรมะเทปธรรมะไปฝากท่านเป็นประจำ
    พาท่านฝึกจิต ทำให้ท่านบรรลุธรรมจึงจะพอทดแทนบุญคุณท่าน
    ได้บ้าง และทุกคนทั้งหญิงชายควรบวชให้ท่าน

    ถาม : อาจารย์พอจะบอกวิธีได้ไหม เรื่องโลกธรรมนี้เราได้ยิน
    พระท่านเทศน์กันมานานแล้ว แต่เอาจริงๆพวกเราก็วิ่งตามกัน
    ทั้งนั้น ผมว่าคนทั้งโลกเลยล่ะไม่รู้ว่าเป็นกิเลสมารหรือเปล่า
    แต่ถ้าไม่เอาอะไรเลย แล้วจะอยู่ในโลกอย่างไร มีหลักการหรือ
    วิธีพิจารณาอย่างไรบ้างไหมครับ

    ตอบ : เป็นคำถามที่ดีมาก ทุกคนตั้งใจฟังนะ รวมทั้งวิญญาณ
    ทั้งหลายที่อยากเกิดในโลกด้วยจะได้ไม่เสียชาติเกิด โดยเฉพาะ
    ท่านมารทั้งหลายฟังไว้หน่อยก็ดี

    โลกคือความฉิบหาย มีลักษณะแปรปรวน คือไม่เที่ยง สิ่งใดไม่
    เที่ยงสิ่งนั้นไม่จริงแท้ เราเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ามายา ดังนั้นเมื่อเรา
    อยู่ในมายา ทำอย่างไรจะไม่ให้มายาหลอก ก็หลอกใช้มายาเสียเลย
    เพื่อยกระดับวิวัฒนาการแห่งจิตใจให้สูงขึ้น

    โลกธรรมทั้งแปดประการนั้น ในขณะที่เป็นโทษในตัวมันเอง ขณะ
    เดียวกันมันให้ประโยชน์มากคือ
    ลาภ มีก็ดี จะได้เอามาใช้สร้างบุญต่อให้ยิ่งใหญ่
    เสื่อมลาภ มีก็ดี จะได้ปล่อยวางให้ยิ่งใหญ่ ไม่ต้องมาเฝ้านั่งหวง
    เหมือนหมา หมดภาระไปเข้าสันโดษเลย
    ยศ มีก็ดี จะได้เกื้อกูลอย่างกว้างขวาง
    เสื่อมยศ มีก็ดี จะได้ไม่ต้องแบกความรับผิดชอบให้หนักหรือ
    เครียดอีกต่อไป ให้คนอื่นมาเครียดแทนบ้าง
    นินทา มีก็ดี จะได้รู้ว่าใครมั่นคงแค่ไหน จริงแท้แค่ไหนจะได้ไม่ไป
    เสียเวลากับมิตรเทียมอีกต่อไป
    สรรเสริญ มีก็ดี แสดงว่าเขาพร้อมรับการช่วยเหลือก็เกื้อกูลกัน
    เพื่อส่งเสริมจิตวิญญาณให้สูงส่ง สร้างธรรมมิตรนิรันดรให้มั่นคง
    สุข มีก็ดี จะได้เจริญสมถะเข้าฌานสมาบัติให้ยิ่งใหญ่
    ทุกข์ มีก็ดี จะได้เจริญวิปัสสนาเกิดปัญญาปล่อยวางให้โล่งเรียบ
    ร้อย

    ดังนั้นถ้าเรารู้จักวิธีกลั่นประโยชน์จากโลกธรรม เราก็ได้ประโยชน์
    เสมอและได้กำไรในการเกิดมาและบริหารทุกอย่างในโลกอย่างเป็น
    อิสระ พร้อมสร้าง พร้อมเสพ พร้อมรักษา พร้อมสละเสมอในทุกสิ่ง
    สบายอย่างยิ่ง ชีวิตอย่างนี้จะไม่มีวันจมไปในโลก

    เรื่องทางโลกนั้น ถ้าเราไม่รู้จักกรองหาประโยชน์ก็เละเทะ เพราะ
    สิ่งที่เรามีหรือสิ่งที่เราเสียไปนั่นแหละ และก็ค่อยๆจมลงไปในโลก
    ถอนตัวไม่ขึ้น ลองนึกถึงคนจมน้ำดูอาการเป็นยังไง คนจมโลกยิ่ง
    กว่านั้นเจ็ดเท่า

    ถาม : เห็นอาจารย์บอกว่า บางทีมาร ก็มาในรูปของความรัก ความ
    ศรัทธาที่หวือหวา อย่างนี้ใครมารักเรา เราจะจำแนกได้อย่างไรว่ารัก
    ใดคือรักแท้ รักใดเป็นมาร

    ตอบ : ละเอียดอ่อนมากนะ ประการหนึ่งระลึกชาติร่วมกันให้ได้ ต้อง
    ร่วมกันนะ ถ้าระลึกฝ่ายเดียวอย่าไปบอก คนไม่สำรวมอาจจะหาว่าเรา
    หลอกได้

    ประการที่สอง ต้องดูว่าเขาเสียสละอะไรเพื่อความรักได้บ้าง คู่แท้ต้อง
    สละแม้ชีวิตให้แก่กันได้ ถ้าสละไม่ได้เป็นคู่แท้ไม่ได้ เมื่อสละชีวิตได้
    อย่างอื่นที่เล็กน้อยกว่าชีวิต ก็จะเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ที่สละให้แก่กัน
    ได้เสมอ

    ประการที่สาม ต้องมีความมั่นคง ถ้าอยู่ในโครงสร้างอันประเสริฐแล้ว
    ก็จะแน่วแน่นิรันดรไม่แปรเปลี่ยน ถ้าเปลี่ยนแปลงได้อย่าไปสนใจ
    แสดงว่าไม่นิรันดรจริง อะไรก็ตามที่เปลี่ยนแปลงได้พระพุทธเจ้าบอก
    ว่าคือความทุกข์ ไปรักษาทุกข์ไว้ก็โง่นะซี

    นั่นคือวิธีการประเมินหลักๆ ส่วนรักใดที่มีลักษณะตรงข้ามกับรักแท้
    จงรู้ว่านั่นคือมาร ความรักนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์ของกิเลสที่มาหลอก
    ล่อเรา ปัญหาความรักเป็นปัญหาอมตะคู่โลกอีกปัญหาหนึ่ง ไปที่ไหน
    ก็มีคนถามตลอดเกือบทุกที่เลย

    เมื่อเราจำแนกแยกแยะได้แล้ว ให้ทุกคนอยู่ในฐานะอันเหมาะสมตั้งแต่
    ต้น อย่าให้ใครหวังอะไรเกินความพอดี ความคาดหวังของคนอื่นนี่
    เป็นภาระหนักที่ผู้นำทุกคนจะต้องเจอ และต้องบริหารให้ได้ ร้อยแปด
    แสนเก้าล่ะ ทั้งกิเลสตัณหาส่วนตน อุดมการและปัญญาที่มายัดเยียด
    ให้เรารับผิดชอบ ใครเป็นผู้นำย่อมรู้ดี ถ้าบริหารไม่ดีจะเป็นตัวทำลาย
    ความสัมพันธ์ได้

    และเมื่อผิดหวังหรือมีปัญหากันแล้ว จำไว้เลยว่ามนุษย์ทุกคนสามารถ
    หาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง และทับทมคนอื่นได้เสมอ

    ถาม : อย่างนี้ถ้าลูกน้อยเยอะ แต่ละคนก็เรียกร้องกันไปต่างๆนานา
    เราเป็นผู้ใหญ่จะทำอย่างไร จะทำให้ทุกคนพอใจก็เป็นไปไม่ได้

    ตอบ : คุณสมบัติของคนที่จะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่นั้นต้องมั่นคง หวัง
    ประโยชน์เกื้อกูลแก่ทุกฝ่ายในทุกกาลเวลาเสมอ แต่ไม่จำเป็นต้อง
    ปรนเปรอกิเลสตัณหาใคร เพียงแค่ต้องเป็นหลักให้เขาได้ อย่าเป็น
    คนหูเบา การเป็นคนหูเบาจะทำให้เสียความเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นอย่าให้
    คนหูเบาเป็นประธานหรือผู้นำองค์กรใดๆเป็นอันขาด องค์กรจะพินาศ
    ในที่สุด หรืออย่างน้อยก็เจริญไม่ได้ เพราะความหูเบาจะนำมาซึ่งความ
    แตกแยก จำสมัยวัสการพราหมณ์ตีเมืองวัชชีได้ไหม แค่คนๆเดียวใช้
    กลยุทธ์ยุแหย่คนหูเบาให้บาดหมางแตกแยกกันนั่นเอง ดังนั้นใครมา
    ชวนเราว่าคนอื่น ในฐานะผู้ใหญ่อย่าร่วมกระบวนการด้วยเป็นอันขาด
    เป็นการแสดงถึงความด้อยปัญญา และเป็นการร่วมสร้างบาปกรรม
    ติดตัวไป

    ลักษณะของคนด้อยปัญญานั้น จะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๒ อย่าง
    นี้ คิอ
    ๑. รู้อยู่ว่าความจริงคืออะไร ครั้นมีคนมาพูดเป็นอื่นก็คล้อยตาม
    ๒. ไม่รู้อยู่ว่าความจริงคืออะไร ครั้นมีคนพูดอย่างใดอย่างหนึ่งก็คล้อยตาม
    นั่นคือคนที่ยังไม่มีปัญญาในตน อย่าให้เป็นใหญ่ อย่าให้ความสำคัญ
    และถ้าทำได้อย่าสัมพันธ์ด้วยเป็นอันขาด จะเดือดร้อน

    ใครมานินทาใครให้เราฟัง อย่าฟังเป็นอันขาด พระพุทธเจ้าบอกแล้วว่า
    คนดีย่อมพิจารณาตนเอง คนชั่วมัวนินทาว่าร้ายคนอื่น ด้วยเหตุนี้การฟัง
    คนอื่นนินทากันนั่นเป็นการหาเหาใส่หัวตัวเองแท้ๆ และการนินทากันนี่
    เป็นนิสัยอธรรม เมื่อเขานินทาคนอื่นจนเบื่อแล้ว อีกหน่อยเขาก็นินทาเรา
    และจงรู้ว่าคนที่มาว่าคนอื่นให้เราฟังนั่นแหละ คือคนที่จะชักชวนให้เรา
    เสียผู้เสียคนเสียความเป็นผู้ใหญ่

    ในถ้อยคำหรือข้อมูลที่ฟังต่อๆกันมานี่ เรารู้ได้หรือว่าความจริงแท้ๆ
    คืออะไร และในความจริงแท้หนึ่งๆที่ปรากฏนี่เรารู้ได้หรือว่าเจตนาแท้ๆ
    คืออะไร และในเจตนาแท้หนึ่งๆนั้นเรารู้ได้หรือว่ามาจากสายใยอะไร
    ตามกลไกกรรม หรือการชักนำของมารที่อยู่เบื้องหลัง และตามสายใย
    แท้หนึ่งๆนั้นเรารู้ได้หรือว่าผลที่สุดเพื่ออะไร ใครบริหารกลไกเหล่านั้นอยู่

    ดังนั้นใครมาชักจูงให้เราเชื่อไปอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่าเพิ่งเชื่อเป็นอันขาด
    ต้องรู้ด้วยปัญญาของตนเองจากความเป็นจริง great wisdom เป็น
    สิ่งที่ต้องฝึกและใช้ในชีวิตจริง

    แม้รู้อย่างใดอย่างหนึ่งว่าจริง ก็อย่าเพิ่งทำอะไรเป็นอันขาดจนกว่าจะ
    กรองโทษกลั่นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายในทุกกาลเวลาได้ก่อนและพิจารณา
    กลไกกรรมตลอดกาลได้ก่อน จึงค่อยพิจารณาว่าควรหรือไม่ควรแค่ไหน

    ถ้าปัญญาเข้มแข็งอย่างนี้จะปลอดภัยไม่เผลอกระโดดเข้าไปสร้างกรรม
    สกปรกร่วมกับคนอื่น ดังนั้นอย่าเอาปากไว้ที่หูหรือที่สมอง จงเอาไว้ที่ใจ
    เป็นอย่างน้อย หรือเอาไว้ที่ธรรมดีที่สุด

    ถาม : เป็นอย่างไรครับ

    ตอบ : พวกเอาปากไว้ที่หูนี่ คือพวกฉันได้ยินเขาพูดมาอย่างนั้นฉันก็พูดไป
    พวกนี้ด้อยปัญญาที่สุด และเสี่ยงต่อการสร้างกรรมชั่วพัวพันตนเองมาก
    ที่สุด

    พวกเอาปากไว้ที่สมองนี่ คือพวกที่ไม่ได้พูดตามที่ได้ยินมา แต่เอามา
    พิจารณาก่อนแล้ว ฉันคิดอย่างไรฉันก็พูดไปอย่างนั้น โดยไม่ได้ประเมิน
    ผลต่อเนื่องต่อสังคม พวกนี่มีปัญญามากขึ้นอีกหน่อย แต่ยังมีความ
    เสี่ยงต่อการหลอกตนเองและพาผู้อื่นเข้าใจผิดได้

    พวกเอาปากไว้ที่ใจนี่ จะเป็นพวกที่หวังดีปรารถณาดีต่อทุกคน จะห้ามคน
    นินทาว่าร้ายกัน แต่จะชักชวนให้คนเข้าอกเข้าใจกัน สมานสมัคคีกัน นี่
    ความเป็นผู้ใหญ่เริ่มจากจุดนี้ไป เป็นพวกมีเมตตากรุณามุฑิตาอุเบกขา
    กับทุกคน เข้าใจทุกคนเป็นอย่างดี

    พวกเอาปากไว้ที่ธรรม คือพวกกลั่นหาประโยชน์สุขทุกฝ่ายในทุกกาลเวลา
    และพัฒนาไปสู่ระดับที่ยิ่งๆขึ้นไป พวกนี้แม้รู้อยู่ว่าอะไรจริงแต่ไม่เป็น
    ประโยชน์ก็จะไม่เสียเวลาฟังหรือคิด หรือพูด เขาจะทำเฉพาะสิ่งที่เป็น
    ประโยชน์สูงสุดต่อทุกสรรพสิ่งเท่นัน นี่คือยอดผู้ใหญ่ รู้แล้วก็พัฒนากันนะ

    ถาม : เวลามารแกล้งเรานี่ เราสามารถเปลี่ยนความต้องการของเขาได้ไหม

    ตอบ : แล้วแต่ประเภทของมารนั้น แต่ที่แน่ๆ เราสามารถลดความเสียหาย
    จากกระบวนมารได้ เวลาผจญมารนี่ถ้ากำลังใจเพียงพอให้เก็บตัวให้มาก
    แต่การที่ปิดตัวมากขึ้นนั่นเอง ถ้าเป็นมารประเภทยุแหย่ให้เกลียดชังก็จะ
    ได้ที พวกลิ่วล้อมารก็อาจจะถือโอกาสเที่ยวพูดไปว่าเราเป็นคนไม่เอาใคร
    หรือคนนั้นคนนี้ไม่คบเราแล้ว อย่าไปถือสา นี่แสดงว่ามารเขาก็ฉลาดใช้
    ประโยชน์จากสถานการณ์เหมือนกัน

    แต่ก็อาจมีได้ที่บางคนน้อยใจ คิดว่าเราปฏิเสธเขาและน้อยใจไป ไม่เป็นไร
    เพื่อสวัสดิภาพของพวกเขากันเอง ระยะยาวเขาจะเข้าใจเอง

    อ้อและถ้าเป็นไปได้ ยามเผชิญมารหรือวิบากที่รุนแรง ควรอยู่ในหมู่
    ผู้ทรงธรรมแท้จริง ตอนที่เราเจอมาร หลวงพ่อสั่งให้บวชเลย พอ
    พระอุปัชฌาย์อนุญาตเราก็เลยบวชระยะหนึ่ง

    และในเวลาเผชิญมารนี่ ที่ปรึกษาที่ดีที่สุด คือ พระผู้ทรงญาณ ผู้มี
    ประสบการณ์การผ่านการผจญมารมาแล้ว ท่านจะเข้าใจได้ดี และจะ
    แนะทางออกให้เราได้ จำไว้ว่าคนที่เราควรฟังและเชื่อท่านเสมอ คือ
    คำเตือนคำบอกของพระอรหันต์ ทั้งที่มีชีวิตอยู่และมรณภาพไปแล้ว
    หรือนักปฏิบัติจิตที่รู้อดีต รู้อนาคต รู้ปัจจุบัน รู้จิตใจของเราอย่าง
    ล้ำลึก

    คำแนะนำคำขอร้องของมนุษย์ทั้งหลาย แม้จะหวังดีแค่ไหน หรือสวย
    หรูแค่ไหน ถ้าขัดแย้งกับของพระอรหันต์หรือท่านผู้ทรงญาณ อย่า
    ปฏิบัติตามเป็นอันขาด ตอนต้องการความช่วยเหลือจากเราก็พูดดี
    สารพัดดี พอเกิดปัญหาขึ้นมาเขาไม่รับผิดชอบหรอก ความเสียหาย
    ก็จะตกกับทุกฝ่ายทั้งเขาทั้งเรา ที่แน่ๆ ทุกฝ่ายเสียเวลาและเสียโอกาส

    ดังนั้นจำไว้เลยว่าใครมาชวนเราทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม อย่าทำเป็น
    อันขาด อยู่กับธรรมะอยู่กับความสงบประเสริฐกว่า การเชื่อฟัง
    master นั้น ควรเชื่อฟังโดยดุษณ๊ไม่มีเงื่อนไขไม่มีการต่อรอง
    แม้บางทีคำแนะนำของท่านจะขัดแย้งกับเหตุผลทางโลกบ้างก็ตาม
    เพราะถ้าต่อรอง ท่านจะตามใจเรา จำไว้ว่าท่านเห็นทะลุโลกทะลุมิติ
    เห็นกว้างไกลกว่าเราหลายเท่า ความคิดอ่านของเราเก่งกาจแค่ไหน
    ก็ไม่แม่นยำและเหมาะสมเท่าท่าน ถ้าดื้อท่านทีไรได้เรื่องทุกที แต่ถ้า
    เชื่อฟังทีไรได้ดีทุกที ตอนนี้เลยเชื่อโดยดุษณี Totally surrended
    ไม่มีข้อต่อรองใดๆ อีกแล้ว

    ถาม : ถ้าเราทำความดีมากๆ มารน่าจะเห็นใจเราน่าจะ ร่วมมือกับเรา

    ตอบ : เมื่อก่อนเราก็คิดแบบนี้เลย คิดเข้าข้างตัวเองลืมไปนิดเดียว
    ว่า พระพุทธเจ้าประเสริฐเลิศโลกแค่ไหน กลับโดนมารรังควาญมาก
    กว่าคนอื่น ยิ่งประเสริฐมาก บารมีมาก ทำภารกิจใหญ่ยิ่งเจอมารเยอะ
    จำไว้ ทั้งมารที่มาตามกลไกกรรมและมารที่อิจฉาริษยา

    และที่เจ็บปวดที่สุดคือเราทำเพื่อประโยชน์พวกเขา แต่เขาอาจจะไม่
    เข้าใจและกลับมาทำร้ายเราเอง กว่าจะสำนึกก็อาจจะสายหรือเกือบ
    สายกันแล้ว นี่คือลักษณะของมารเป็นเช่นนี้ เนรคุณ มนุษย์ที่มารครอง
    หรือมีลักษณะมารก็เป็นเช่นนี้

    ดังนั้นความดีเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าติดดีเป็นอันขาด เพราะการติดดี
    เป็นภวะตัณหา จะทำลายความสุขของเราเอง นักปฏิบัติส่วนใหญ่
    จะติดดี เป็นห่วงสังคมอยากช่วยคนนั้นคนนี้ แต่สังคมหนึ่งๆ ขณะ
    กำลังรับกรรมอยู่นั้น เจ้ากรรมมีสิทธิ์ทวงถามกรรมกับเขาอยู่
    จะช่วยอะไรต้องคุยกับเจ้ากรรมนายเวรของสังคมยุคนั้นก่อน อย่า
    ช่วยโดยไม่คุยกันก่อน หรืออย่าช่วยทั้งที่เจ้ากรรมไม่ยอม เพราะ
    เจ้ากรรมของหมู่มนุษย์จะเล่นเราด้วย เหมือนเขาทวงหนี้กันอยู่
    เราไปสอดเขาก็บอกว่างั้น you ก็จ่ายแทนมาซี จะช่วยโลกต้อง
    พร้อมรับแบ่งเบาหนี้กรรมของชาวโลกเหมือนที่พระเยซูบอก
    อย่างนั้นแหละ

    แม่คนหนึ่งเป็นแม่ที่ดีมาก ตนเองกินเจแต่ต้องฆ่าสัตว์เลี้ยงลูก
    สามคนทุกวัน เห็นไหมทำดีแต่ต้องเปื้อนบาป หรือที่พวกเราอ้าง
    กันบ่อยๆ หวังดีกับเขาจึงโกหกนั่นก็เช่นกัน ทำดีเปื้อนบาป คือกัน

    จำไว้เลยความดีนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่การติดดีนั้นเป็นภวะตัณหา และ
    พอผูกพันด้วยกรรมแล้วก็จะกลายเป็นอภิสังขารมารทันที และ
    อีกประการหนึ่งซึ่งสำคัญมากที่สุด คือความพอดีนั้นประเสริฐ
    กว่าความดีเอง ตอนหลังเราจึงต้องโละทุกอย่างที่เกินพอดีออก
    ไปหมด

    และการยึดถูกผลักผิดก็เช่นเดียวกัน เป็นเรื่องของวิภวตัณหา
    ถ้ามีมากๆ มารจะบีบเราได้ง่าย ลองดูเข้าไปในใจตัวเองดูสิ
    ความขุ่นข้องหมองใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ที่สะสมอยู่ในใจ ล้วน
    เป็นผลจากการยึดถูกผลักผิดทั้งสิ้น ใครมีเงื่อนไขอย่างนี้
    มารจะบีบได้ง่ายมาก

    เรื่องตลกที่สุดเรื่องหนึ่งในโลกก็คือ เวลามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
    ทุกคนที่เกี่ยวข้องตลอดกระบวนการล้วนคิดว่าตนถูกจึงทำไป
    มันไม่ต่างอะไรกับการที่คนฆ่ามหาตมคานธีเพราะคิดว่าตนทำถูก
    คนฆ่าพระเยซูก็เพราะคิดว่าตนทำถูก คนกระหน่ำคลินตันเขาก็ว่า
    เขาถูก เวลาทหารปฏิวัติก็เพราะคิดว่าเขาถูก เวลานักกิจกรรม
    พาประชาชนออกประท้วงตามท้องถนนก็เพราะคิดว่าตนถูก
    รัฐบาลปราบคนประท้วงก็เพราะคิดว่านั่นถูก แม่ตีลูกก็เพราะ
    คิดว่าทำถูก ลูกหนีจากบ้านมาอยู่ต่างประเทศก็เพราะคิดว่าตนถูก
    ใช่ไหม

    แต่ผลออกมาประชาชนเสียหาย สังคมเสียหาย พระพุทธเจ้าจึง
    ทรงบอกไว้ในพรหมชาลสูตรว่า อย่าติดถูกติดผิด แต่จงหา
    ประโยชน์สูงสุดสำหรับทุกฝ่ายเสมอ เพราะธรรมะคือระบบ
    ประโยชน์สูงสุดสัมพันธ์ไม่ใช่ระบบถูกระบบผิด ใครติดถูก
    ติดผิดนี่แสดงว่ายังไม่รู้จักธรรมะ หลวงพ่อชาท่าน ก็เน้นย้ำ
    อย่าบ้าถูกบ้าผิด ต้องวางผิดวางถูกให้ได้จึงจะหลุดจริง
    ที่โลกย่อยยับมาหลายรอบ ก็เพราะถูกกับผิดนี่แหละ เดี๋ยวก็จะ
    ตีกันอีกเพราะถูกและผิดที่ไม่ตรงกันโดยที่ต่างฝ่ายต่างก็อ้าง
    ว่าทำเพื่อโลกแต่โลกย่อยยับทุกที ทำเพื่อโลกหรือเพื่ออวิชชา
    กันแน่ มนุษย์ทั้งหลาย

    แค่ระดับปัญญาต่างกัน มาตรฐานถูกผิดในเรื่องเดียวกันก็ต่าง
    กันแล้ว ดังนั้นคิดดูมาตรฐานถูกผิดในโลกจะมีกี่มาตรฐาน
    สหประชาชาติจึงตัดปัญหา ถ้าเช่นนั้นต้องให้อิสรภาพแต่ละคน
    ที่จะคิดและเชื่อ แต่ละคนต้องเคารพสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
    ของกันและกัน พอเคารพในสิทธิ์ของกันและกัน การว่ากันก็ไม่มี
    การวิพากย์วิจารณ์นินทาก็ไม่มี สังคมก็มี maturity และมั่นคง
    สังคมที่มั่นคงจึงจะเจริญได้ ดังนั้นสังคมใดไม่เคารพในสิทธิ
    ของผู้อื่นเต็มไปด้วยการนินทา กล่าวร้ายกัน เป็นดัชนีบ่งบอก
    ความเสื่อมหรือศักยภาพต่ำในความเจริญได้เลย

    ในที่สุดความถูกต้องนั่นแหละที่ทำลายสังคมให้ย่อยยับ เป็นความ
    ถูกที่ไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใครเลย บางทีคนดีๆ มาอยู่ด้วยกัน
    ทะเลาะกันเพียงเพราะเรื่องถูกผิดแล้วแตกแยกกัน ทำให้พลัง
    ความดีในสังคมอ่อนแอ มารเลยหัวร่อชอบใจ มันตีกันเองฉัน
    ไม่ต้องออกแรงเลย

    พวกเราจำไว้นะอย่าไปทะเลาะกันเพราะถูกหรือผิด มันโง่และจะ
    พากันสู่หายนะ ถูกผิดของแต่ละระดับปัญญาและแต่ละวัตถุประสงค์
    มันต่างกัน แล้วคิดดูว่าระดับปัญญาของมนุษย์โลกมีกี่ระดับ
    วัตถุประสงค์ในภารกิจหนึ่งๆ มีกี่เจตนารมณ์ เอาแค่มาตรฐาน
    ความดีของคนในโลกนี้มีกี่มาตรฐาน พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน
    ให้เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง คือเอาประโยชน์สุขทุกฝ่ายในทุกกาลเวลา
    เป็นที่ตั้ง

    สำหรับพระองค์ทรงบอกว่า เราลอยบุญและบาปสิ้นแล้วจัก
    ปรินิพพาน ต้องละทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งถูกทั้งผิดจึงจะหลุดจริง

    ถาม : เห็นอาจารย์บอกว่า เวลามารมานี่มักจะสร้างสถานการณ์ที่มี
    แต่เสียกับเสีย เรียกว่าอะไรนะคะ แล้วเราจะทำยังไง

    ตอบ : ถ้าเข้าสู่ภาวะไดเล็มม่าและจำเป็นต้องเลือกให้เลือกธรรมะ
    เป็นหลัก เพื่อรักษาระบบธรรมและรักษาจิตใจนิรันดรไว้ ในขั้นนี้
    จะพบความละเอียดอ่อนที่ค่อนข้างยุ่งยากนิดหน่อย คือจะพบ
    เส้นทางขนานของความแตกต่างระหว่างโลกกับธรรม

    ทางโลกนั้นเขาจะเชื่อตามข้อมูล ดังนั้นเขาฟังคนพูดใครไม่พูด
    ถือว่ายอมรับตามนั้น ทางธรรมนั้นเขาเชื่อตามสภาวะ ถ้าใครสงบ
    นิ่งเป็นอุเบกขาได้ ในท่ามกลางปัญหา เป็นบารมีและเกิดบุญ
    ใครโวยวายหรือว่าร้ายนินทาก็เกิดบาป

    นี่เป็นสองเส้นทางที่ขนานกันอยู่ก่อให้เกิดปัญหาไดเล็มม่าในการ
    ตัดสินใจ เช่นที่เราเจอนี่ หลวงปู่บอกว่าถ้าไม่ยอมมาร หมู่คณะ
    บางส่วนอาจจะไม่เข้าใจ ดูซียอมก็เสียระบบธรรม ไม่ยอมก็เสีย
    อะไรก็ไม่รู้แต่ก็ต้องเสียบ้าง แล้วเราควรจะเลือกอะไร

    ถ้ากำลังใจเพียงพอก็ควรเลือกธรรมะเพราะจะได้ผลานิสงส์ยิ่งใหญ่
    และยั่งยืนกว่า เหมือนมหาบุรุษ เช่น พระเยซูคริสต์ และท่านกาลิเลโอ
    ทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย มีพระแม่กวนอิม พระเวสสันดร เป็นอาทิ
    ได้ทำตนให้เราดูเป็นตัวอย่างแล้ว

    จำไว้ว่า เหนือระบบโลกคือระบบกรรม เหนือกว่าระบบกรรมคือระบบ
    ธรรม ถ้าใช้วิถีทางโลก บารมีจะไม่สมบูรณ์ พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอน
    ว่า คำว่าโลกนั้น แปลว่าฉิบหาย ดังนั้นถ้าเดินตามวิถีทางของโลก ก็จะ
    เข้าไปสู่ความฉิบหายเท่านั้น แต่ถ้าเฉยได้ประเสริฐกว่า พระพุทธเจ้า
    จึงทรงสอนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้บุรุษสองคนเอาเลื่อยตัดร่างเธอ
    ออกเป็น ๒ ท่อน แม้นเธอมีความโกรธนิดเดียวชื่อว่าไม่ใช่บุตรตถาคต
    เลย

    ตายในธรรมะดีกว่าชนะในโลก จำไว้ เพราะตายในธรรมะจิตวิญญาณ
    เราสูงส่งแน่นอนและบุญบารมีที่ติดตัวไปทำให้จิตใจเรามีพลังและยั่ง
    ยืนนิรันดร แต่ชนะในโลกนั้นย่อมสร้างกรรมอาจก่อบาป เมื่อตายไป
    จิตใจตกต่ำแน่นอน และบาปที่ติดตัวไปยิ่งทำให้สกปรกและห่างไกล
    ธรรมะหรือความบริสุทธิ์อันเป็นเป้าหมายแท้จริง

    เมื่อเรารู้หลัก คนที่เขาต้องการทำลายเราหวังความหายนะแก่เรานั้น
    หารู้ไม่ว่าเป็นการทำให้จิตวิญญาณสากล หรือจิตใจนิรันดรของเรา
    สูงส่งขึ้น โดยที่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจ

    ดังนั้น ถ้าใครตั้งใจจะสร้างบารมี ตามลำดับขั้น โครงสร้างชีวิตของ
    เขาจะถูกผูกปมปัญหาไว้ให้เผชิญ ถ้าผ่านได้ก็สำเร็จ ถ้าผ่านไม่ได้
    ก็ต้องเจอใหม่ เรียนใหม่ ฝึกใหม่ สอบใหม่กันอีก แต่ถ้าไม่สร้างบารมี
    เลย เอาแต่สุขสบาย ก็ไม่อาจสำเร็จธรรมยิ่งใหญ่ได้

    ถาม : แล้วถ้าเรารู้ว่ามารกำลังมานี่ จะต้องทำยังไงถึงจะให้มันผ่านไปได้
    เร็วๆ เพราะถ้าเรายังไม่แก่กล้า เดี๋ยวมารบงการชีวิตเราก็จะเสียชาติ
    เกิดเปล่า

    ตอบ : เวลาเผชิญมารนี่ หากเกิดอะไรที่ไม่น่าเกิดขึ้น อย่าไปตื่นเต้น
    ตกใจอะไร เดี๋ยวมันก็ผ่านไป พอผ่านทุกอย่างมาแล้วก็เหมือนเราเรียน
    จบนั่นแหละ ตอนเรียนอยู่ก็รู้สึกว่ายากพอจบแล้วกลับรู้สึกว่าสนุกดี
    รู้สึกมั่นใจมากขึ้น การเรียนอย่างนี้มันเรียนจากของจริงในชีวิตจริง
    ในมิติแห่งความเป็นจริงไม่ใช่แค่ทฤษฎีในตำรา ดังนั้นมีบุญบาปและ
    กรรมจริงเป็นเดิมพัน มีการได้จริงๆเสียจริงๆ โดยมีบารมีธรรม
    เป็นปริญญา มีอบายเป็นการสอบซ่อม ซึ่งมนุษย์ทั้งหลายอยู่ใน
    มหาวิทยาลัยธรรมชาตินี้ด้วยกันทุกคน

    และถ้าอยากผ่านเร็ว เมื่อมีปัญหาอะไร วางทั้งหมดก่อนมุ่งเข้าหา
    ความบริสุทธิ์ เราต้องปล่อยวางจนกระทั่งว่าคนทั้งโลกรักก็ไม่ดีใจ
    คนทั้งโลกชังก็ไม่เสียใจ เมื่อนั้นอิทธิพลของมารก็จะหมดไป
    และบารมีของเราในส่วนนั้นๆก็เต็ม

    พอเราหลุดออกมาแล้ว เราจะแผ่เมตตา และอุเบกขา ปัญญาและ
    ธรรมะให้ได้ทุกฝ่าย แม้แก่หมู่มารที่ประสงค์จะขวางธรรมหรือ
    ทำลายเรา ถ้าเขามีปัญญาพอเขาจะทำชั่วกันหรือ

    ถาม : แล้วทำไมเราต้องเมตตาด้วย ทำไมไม่ปราบมารให้มันสิ้นซาก

    ตอบ : พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ปราบมารให้หมดโลก แต่ทำให้คนในโลก
    หลุดพ้นจากอำนาจของมารเท่านั้น

    ถาม : ถ้าเราปราบมารไม่ได้ มารก็ครองโลกสิครับ

    ตอบ : ก็ครองอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรา
    ไม่เห็นอย่างใดอย่างหนึ่งในโลกนี้ที่จะมีกำลังเท่าพญามารเลย มาร
    ย่อมครอบงำมนุษย์ไว้ มีเฉพาะพระขีนาสพในธรรมวินัยนี้เท่านั้น
    ที่จักพ้นอำนาจของมารได้

    แต่บางคนต้องเรียนรู้จากความเจ็บปวดก่อนจึงจะหลุดได้ ซึ่งเขา
    เลือกเอง ความผิดพลาดนั่นแหละเป็นครูที่เก่งที่สุด ประสบการณ์
    นั่นแหละคือพี่เลี้ยงที่ดีที่สุด ธรรมะนั่นแหละคือผู้รักษา ที่เข้มแข็งที่สุด

    และเรื่องมารนี่ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องปราบ หากจะปราบมารก็ต้อง
    ทำลายภพภูมิทั้งหมด โลกทุกโลกแตกเป็นเสี่ยงๆแน่ ชีวิตอื่นก็จะ
    พลอยเดือดร้อนด้วย ดังนั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำลายล้างกันแต่เป็น
    เรื่องที่เราจะต้องผ่านเพื่อให้ได้ตัวบารมีธรรม ถ้าผ่านได้ด้วยหลัก
    ธรรมใดเราก็จะสำเร็จบารมีตัวนั้นๆ ถ้าไม่ผ่านก็ต้องฝึกวิชาใหม่
    และเจอใหม่อีกจนกว่าจะสำเร็จ

    ถาม : ถ้าปล่อยให้มารครองโลกอย่างนี้สังคมก็แย่สิครับ

    ตอบ : เขาครองมานาน เพียงแต่ยุคนี้มากกว่ายุคก่อนๆ เพราะมนุษย์
    ในยุคนี้มีเงื่อนไขต่างๆ ที่เขาจะขี่ได้ง่ายมาก เช่น ความไม่รู้ เราจะ
    สังเกตุได้ว่าเวลามารมากวนพระอริยะท่าน ท่านจะรู้แต่ท่านก็ไม่ทำ
    ตามอำนาจยุแหย่หลอกล่อของมาร มารก็ทำอะไรท่านไม่ได้
    แต่มนุษย์ทุกวันนี้ไม่รู้จักตน ไม่รู้จักสิ่งศักดิ์สิทธิ์แท้ และไม่รู้จักมาร
    เลยถูกจูงถูกครอบงำง่ายและอีกอย่างสังคมในทุกวันนี้มีระบบ
    บำรุงกิเลสกันเยอะมาก มารชอบเล่นกันสนุก

    สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงทำให้เราดูเป็นตัวอย่างคือ หลุดจากอำนาจมาร
    และทรงแนะนำให้พวกเราอย่าอยู่ใต้อำนาจมารเท่านั้น ปราบเขาไม่หมด
    หรอก ประเด็นสำคัญไม่ใช่การปราบมาร แต่หมู่คณะผู้ทรงธรรม และ
    นักเกื้อกูลแก่สังคมเอง ต้องมั่นคงและสมานสามัคคี อย่างชนิดที่ไม่มี
    อะไรทำลายได้ ถ้าไม่เช่นนั้นก็ยังถูกทำให้แตกได้ แล้วการทำคนดีๆ นี่
    มันบาปกว่าทำคนทั่วไปหลายเท่า

    เราจะเห็นได้ว่าสังคมเรายังไม่มีระบบป้องกันตัว แค่โซรอสทุ่มซื้อแล้ว
    ขายเงินบาทเราทิ้ง moody discredit ฐานะทางการเงินของประเทศ
    เรา เศรษฐกิจทั้งประเทศพังพินาศ เพราะสังคมไม่มีระบบป้องกันตัว
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคนี้เป็นยุคข้อมูลข่าวสาร ดังนั้นเขาเอาข้อมูลข่าว
    สารมาใช้เป็นอาวุธหนึ่งในยุทธการการรบแล้ว สังคมที่ไม่มีระบบป้อง
    กันตัวก็เหมือนร่างกายที่ไร้ภูมิคุ้มกันนั่นเอง คิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น
    เหมือนเป็นโรคอะไรอยู่

    สังคมที่ไม่มีระบบป้องกันตัวอย่างนี้ สร้างเท่าไหร่ก็พังเหมือนสังคม
    ฟองสบู่ เป่าก็โต เจาะก็แตก ดังนั้นสังคมต้องมีระบบป้องกันตัวบ้าง
    ต้องมีจรรยาในการรักษาสังคมบ้าง เช่น ไฟก่อที่ไหนก็ดับที่นั่น ไม่ให้
    ลุกลามไปนี่คือการรักษาสังคม และสื่อมวลชนทุกแขนงต้องนำการ
    สร้างวัฒนธรรมสังคมที่ประเสริฐซึ่งต้องสำรวมเคารพสิทธิและให้
    เกียรติกันและกัน

    ที่สำคัญสื่อมวลชน อย่าแพร่กระจายข้อมูลที่เป็นดั่งโรคร้ายทำลาย
    สังคมเสียเอง สื่อมวลชนที่ดีนั้นต้องเป็นนักสร้างสรรค์สังคมมากกว่า
    นักป่าวประกาศโพทนา เพราะการป่าวประกาศโพทนาไม่จำเป็นต้อง
    ใช้ปัญญาชนอะไรเลย ใครๆก็ทำกันได้ แม่ค้าปากตลาดก็ทำกันอยู่
    แล้วเป็นประจำ

    ถาม : อาจารย์คะ พอได้ฝึกวิชานี้ ได้รู้เห็นอะไรที่ลึกซึ้งจึงเข้าใจว่า
    ชีวิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อนซับซ้อนมาก ดิฉันว่าเรื่องทำนองนี้ อาจารย์
    น่าจะเล่าให้คนอื่นฟังบ้าง คนมีปัญญาเขาจะได้ประโยชน์เยอะ เพราะ
    ถ้าทุกคนต้องเจอมารของตนเองแล้ว ถ้าไม่รู้เลยนี่มันเหมือนตาบอด
    เตะตอ ได้ฟังอย่างนี้แล้วก็เป็นประโยชน์

    ตอบ : ใครจะเข้าใจ คนไม่มีญาณนี่ก็เหมือนตาบอดไปสามส่วน เห็น
    สัจจะแค่ส่วนเดียว มันยากที่จะเข้าใจ คนไม่รู้ไม่เห็นใครเขาจะเข้าใจ
    มันลึกลับซับซ้อนเกินกว่าที่จะเห็นด้วยตา หรือเข้าใจได้ด้วยความคิด
    แล้วคนที่สามารถเห็นได้จะมีสักกี่คน เห็นมีก็แต่พระเถระผู้ทรงญาณ
    ไม่กี่ท่านเท่านั้น ซึ่งท่านเหล่านั้นเราก็ไม่ต้องสอนท่านแล้ว ท่านต่างหาก
    ควรจะสอนเรา ที่จริงพระพุทธเจ้าก็พูดไว้เยอะนะเรื่องมาร หลวงพ่อ
    ต่างๆก็สอนอยู่เรื่อย แต่เพราะเมื่อก่อนพวกเราไม่รู้ไม่เห็นเวลาเจอ
    จึงไม่เข้าใจเลยกลายเป็นลูกเล่นให้กับมารกันมานาน เราเองตอนอ่าน
    พระไตรปิฎกเรื่องมารซึ่งมีมากมายก็ยังนึกภาพไม่ออก พอเจอจังๆ
    ก็เข้าใจ ตอนนี้รู้เห็นแล้วก็ประกาศอิสระภาพจากมารเสียนะ

    ถาม : ดิฉันว่า คนที่มีปัญญาพอที่จะเข้าใจมีค่ะ เพราะเรื่องอย่างนี้
    อย่างที่อาจารย์บอก พระพุทธเจ้าท่านก็สอน พระท่านก็เล่าให้ฟังกัน
    เยอะแยะ หลวงปู่ หลวงพ่อท่านก็เจอกันทุกองค์ ดิฉันยังเคยเจอเลย
    คะเป็นญาติกันเองแต่นานแล้ว ดิฉันคิดว่าคนส่วนใหญ่จะเข้าใจด้วยซ้ำ
    และถึงเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างเขาก็ได้ประโยชน์จากความรู้ต่างๆ
    อย่างที่อาจารย์สอนนี่ ดิฉันยังอยากจะขออนุญาตถอดเทปพิมพ์เลย
    จะได้ให้มนุษย์รู้เท่าทันมารบ้าง ไม่งั้นถ้าพวกมารต้องการทำลายสังคม
    อย่างที่น้องเขาสันนิษฐานมันก็ยิ่งประสบความสำเร็จใหญ่

    ตอบ : มารเขาไม่ได้เจตนาทำลายสังคมหรอก อย่าปรักปรำเขาถึง
    ขนาดนั้น เขาเพียงแค่ต้องการควบคุมมนุษย์ไว้ในอำนาจและใช้งาน
    สนองกิเลสตัณหาเขาบ้างเท่านั้นเอง ดังนั้นข้อสังเกตุง่ายๆของมาร
    หรือลิ่วล้อมารคือชอบครอบงำคน และหรือการชักชวนคนเป็นพวก
    เพื่อกระทำการต่างๆ เพื่อสนองความต้องการส่วนตัวหรือเพื่อโจมตี
    กันและกันในสังคม นั่นคือลักษณะมาร พวกเราเรียนแล้วก็ควรรู้และ
    เอาตัวรอดให้ได้ คนอื่นช่างเขาเถิด เขาสามารถเรียนรู้จากความจริง
    ได้ มารเองก็ต้องเรียนรู้จากความเจ็บปวดในวิบากกรรมที่เขาต้อง
    เจออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ใครมีญาณบ้างแล้ว ค่อยแนะนำเขา แต่
    อย่างไรก็ดีขอบคุณทุกคนที่ให้ข้อคิด

    ถาม : อาจารย์ก็ถือว่าสงเคราะห์คนที่ยังมีกรรมสิคะ

    ถาม : เห็นว่าทุกคนต้องเจอมาร ถ้าเราทุกคนจะต้องเจอมารแล้ว
    เราจะมีวิธีรับมือมันอย่างไรบ้างครับ

    ตอบ : ๑. อย่างไปคิดว่ามารเป็นศัตรู น้อยพวกที่เป็นเช่นนั้น พวกที่
    เป็นเช่นนั้นคือเจ้ากรรมที่ยังพยาบาทอยู่ ส่วนใหญ่เพียงแค่แกล้ง
    เฉยๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นพวกไหนมา เราทำความเข้าใจเชิงระบบและกลไก
    ก่อน อย่างที่เราเรียนกันไปแล้ว ที่เราได้ลิ้มลองมาก่อนนี่ก็เป็นประโยชน์
    อีกประการหนึ่ง จึงรู้ความจริงมาแนะนำพวกเราได้

    ๒. เวลาใครเขาเผชิญกระบวนมาร อย่าได้ร่วมมือกับมารทำลายคนอื่น
    เป็นอันขาด จะเดือดร้อน และเมื่อถึงคราวตนจะหนักหนาสาหัส อย่า
    แม้กระทั่งซ้ำเติมแต่ควรช่วยเหลือพาพวกเขาออกมาจากบ่วงมาร
    ถ้าพาออกมาไม่ได้ ก็ให้กำลังใจเข้าสู้มารให้ได้ ถ้าซ้ำเติมเมื่อถึงคราวตน
    ก็จะไม่มีใครเข้าใจ ถ้าไม่ช่วยถึงคราวตนก็ไม่มีใครช่วยเช่นกัน แต่การ
    ช่วยให้ดูตามความเหมาะสม ทั้งโดยฐานะและเทคนิค ศึกษาบทพาหุง
    ของพระพุทธเจ้าให้ดี ด้วยเหตุนี้หลวงปู่ทวดจึงบอกว่า พูดมาก เสีย
    มาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสียผู้ประเสริฐ

    ๓. มีระบบ master คุ้มครอง ก็จะช่วยกรองได้มาก master ท่านจะ
    ปล่อยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น ถ้ามารเล็กมารน้อย
    ท่านกันออกหมด

    ๔. ฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง และพร้อมปล่อยวางทุกสิ่งเสมอ เราให้ความ
    สำคัญกับสิ่งใดมาก มารจะเล่นงานเราที่สิ่งนั้นเป็นสำคัญ ดังนั้นถ้า
    ปล่อยให้โลกครอบงำจิตใจมาก มารล่อเราง่ายที่สุด

    ๕. ทำบุญใหญ่ๆเนืองๆ หลีกเลี่ยงบาปใหญ่ให้สุดขีด อกุศลกรรมบท
    นี่อย่าให้เกิดแม้แต่นิดเดียว เวลามารมาเขาจะล่อให้เราคิดผิด ทำผิด
    ถ้าเราติดดีมากก็จะเอาความดีที่เกินพอดีมาล่อเรา ต้องระวัง ถ้าเรา
    พลาดก็เป็นการเปิดช่องให้มารทันที

    ๖. รวมพลัง เมื่อมั่นใจว่าเราจะรวมธรรมะกับใครนิรันดร หมายความว่า
    จะเกื้อกูลกันโดยธรรมไปจนกว่าจะบรรลุ ก็รวมอภิจิตกันให้มั่นคง เพื่อ
    เพิ่มพลังให้แก่กันและกัน ไม่ทิ้งกันในยามมีภัย และเป็นเรื่องแปลกมาก
    หากเราจัดระบบธรรมมิตรไว้มั่นคงแล้วในกาลก่อนๆ ในยามที่มารเข้ามา
    รังควาญนั่นแหละ คู่ธรรมและธรรมมิตรทั้งหลายของเราก็จะเข้ามาด้วย
    เป็นอย่างนี้ทุกที

    ๗. อย่ามีจุดอ่อน อุดจุดอ่อนให้หมด จุดอ่อนนั่นแหละคือจุดที่มารจะเล่น
    งานเรา จำได้ไหมความแข็งแรงของโซ่เส้นหนึ่งมีค่าเท่ากับ...

    ตอบ : ข้อที่อ่อนที่สุดของโซ่เส้นนั้น จุดอ่อนของคนทั่วไปนั้น มักมีอยู่
    สองตัว คือกิเลสหนาตัณหาเหนียวประการหนึ่ง กับอยู่ภายใต้การครอบ
    งำโดยระบบโลกสมมติอีกประการหนึ่ง ซึ่งมารเล่นได้ง่าย เพราะเขาคุม
    พวกนี้อยู่แล้ว

    เทวปุตตมารนี่ จะมาเขี่ยกิเลสตัณหา ที่มีเชื้ออยู่ในใจเรา และผูกโยงเข้า
    กับกิเลสตัณหาของคนอื่นที่เขาวางเครือข่ายไว้ มัจจุมารนี่จะมาตัดรอน
    เราด้วยกรรมของเราเอง

    พวกเราทั้งหลายก็เช่นกัน พยายามอย่าให้มีจุดอ่อนทั้งในองค์กร ในนิสัย
    และในระบบธรรม คืออย่าให้มีจุดที่ผูกพันมากจนเกินไป หรือจุดที่โลก
    ครอบงำจิตใจจนกลายเป็นทาส ไร้ซึ่งอิสรภาพ ไม่ว่าจะเป็นทาสเงิน
    ตำแหน่งหรือชื่อเสียง เกียรติยศ

    ถ้าเราไม่มีสิ่งเหล่านี้ มารจะทำเราได้ยาก เผลอมาทำอาจกลายเป็นคุณกับเรา
    และถ้าเราไม่ถูกโลกครอบงำเขาตีอย่างไรก็ตีไม่ถูกเรา บางทีเขาต้องการ
    ให้เราเป็นทุกข์ เรากลับเป็นสุขมากขึ้น จริงๆ

    ๘. เตรียมพร้อมที่จะใช้ปัญญาผันสถานการณ์ ให้เป็นคุณค่าที่ยิ่งใหญ่
    แห่งสภาวะธรรมหรือสภาวะจิตใจ เมื่อเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม
    แล้วเราไม่ได้สภาวะธรรม หรือสภาวะจิตใจที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม นั่นขาดทุน
    สอบตก แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้น แล้วเราสามารถใช้ปัญญาผันสถานการณ์นั้นๆ
    ให้เป็นความเจริญก้าวหน้าแห่งสภาวะธรรมหรือสภาวะจิตใจนั้นได้ นั่น
    แสดงว่าได้กำไร สอบผ่าน

    จงจำหลักการไว้ว่า มันไม่สำคัญว่าเราจะเจออะไร ที่สำคัญคือเราได้อะไร
    จากสิ่งที่เราเจอหรือหลังจากที่เราเจอสิ่งนั้นแล้ว

    ปรากฎการณ์ดีและชั่วร้ายทางโลกนั้น เขามีแจกจ่ายให้ทุกคนถ้วนหน้าแหละ
    ไม่ต้องกลัวจะไม่ได้ มันเป็นแค่ปรากฏการณ์ที่แปรเปลี่ยนไป เหมือนกระแส
    น้ำที่แปรเปลี่ยนไปเรื่อย บางช่วงก็สวย บางช่วงก็อันตราย บางช่วงก็
    สงบนิ่ง ดังนั้นอย่าติดในปรากฏการณ์ แต่จง transform จิตใจ เข้าสู่
    สภาวะที่ยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้นเสมอ จึงจะยกระดับวิวัฒนาการของตนได้ ถ้าติด
    ปรากฏการณ์จะจมอยู่ในโลก ใจก็ไม่หลุดเผลอๆตกระดับวิวัฒนาการอีก
    อย่างน้อยก็มีกรรมชั่วพัวพันอีก จะเสียหายใหญ่

    เราถึงบอกว่า สู้เพื่อชัยชนะทางโลกกับสู้เพื่อความเจริญก้าวหน้าแห่งสภาวะ
    ธรรม มันเป็นคนละแบบกัน พวกเราไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเรานะ ทุกคน
    คงต้องมีแบบฉบับของตนเอง ตามโครงสร้างและระดับวิวัฒนาการหรือ
    ตามเป้าหมายของตน ของแต่ละคน นี่คือวิธีการเตรียมตัวหลักๆ เมื่อ
    เตรียมตัวดีแล้ว ก็ทำใจพร้อมเผชิญตลอดเวลา แต่อย่าท้าทายนะ ไม่ต้อง
    เรียกเขาหรอก เขามาเอง

    ถาม : งานนี้อาจารย์สำเร็จบารมีตัวไหนครับ ที่อาจารย์เจอมารชุดต่างๆมา
    อาจารย์ผ่านไหมครับ

    ตอบ : คำถามนี้ไม่ตอบ ต้องดูเอาเอง ผ่านหรือไม่นี่ เราตอบไม่ได้เพราะ
    ไม่ใช่คนตรวจ คณะ master ท่านเป็นคนดู รู้แต่ว่า พอเหตุการณ์ต่างๆ
    ผ่านมาแล้ว master บางท่านส่งรางวัลมาให้ด้วย ไม่รู้ว่ารางวัลแห่งความ
    สำเร็จหรือรางวัลปลอบใจ(หัวเราะ)

    ถาม : อาจารย์ครับ ถ้ามารเขาแกล้งเรา เขาถือเป็นหน้าที่ นี่เขาผิดด้วยหรือ
    ครับ

    ตอบ : มันเป็นหน้าที่ที่เขาสร้างขึ้นเอง กิเลสของเขาหลอกให้เขาเป็นมาร
    เพราะเขาคาดไม่ถึงว่ามันจะทำให้เขาเสียหายแค่ไหน เหมือนหน้าที่หลายอย่าง
    ในชีวิตเราก็เช่นกัน ใครสร้างให้ที่ไหน กิเลสเราสร้างขึ้นมาเอง เวลาทาน
    เลี้ยงกันต้องดื่มนะ ใครสร้าง กิเลสเราใช่ไหม

    ถาม : สังคมสร้าง

    ตอบ : ค่านิยมของสังคมมาจากไหน ก็มาจากการที่มนุษย์ ผู้เป็นสมาชิก
    สังคมทำกันบ่อยๆ มากๆ นั่นเองใช่ไหม แล้วอะไรมันทำให้มนุษย์นิยม
    อย่างนั้นล่ะ หรืออย่างการเที่ยวเทคนี่ คิดว่าความโง่มันพาเราไปหรือปัญญา
    มันพาเราไป

    ถาม : คงจะความโง่และความอ่อนแอมากกว่า

    ตอบ : ความโง่ก็คือกิเลสตัวหนึ่งเหมือนกัน นั่นและมารในตัวเราเอง มันพา
    เราไปหาเรื่องเสียหายให้ชีวิต ทั้งสุขภาพเงินทองและอนาคต

    แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอะไรจะกำหนดหน้าที่ให้ใครเป็นมาร หรือกำหนด
    อย่างไร นั่นเป็นเรื่องของเขา หน้าที่ของเราคือ เราต้องผันสถานการณ์
    หรือแม้แต่วิกฤติการณ์เป็นบุญบารมีที่ยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้นให้ได้ เมื่อมารเขานำ
    ความเสียหายมาให้เรา ทำให้เรามีปัญญาและแกร่งมากขึ้น คราวนี้เราก็พัฒนา
    ตัวเองได้ตรงทางมากยิ่งขึ้น ดังนั้นแม้มารจะโง่ที่มาเป็นมารเรา และเรา
    ก็ใช้ประโยชน์นั้นพัฒนาตัวเองได้เต็มที่แล้ว ก็ขอบคุณมารซะ

    เราเองผ่านมาทีไร ก็ไม่ลืมไปขอบคุณมารเหมือนกัน ควรขอบคุณใครบ้าง
    ที่จริงต้องขอบคุณทั้งมิตร และมารนะ คือต้องขอบคุณตัวละครทุกคน
    ในโลกและจากทุกมิติที่มาแสดงให้ดู ไม่ว่าจะด้วยความปรารถณาดีก็ตาม
    ด้วยกรรมก็ตาม ด้วยการชักใยก็ตาม ด้วยกิเลสตัณหาของเขาเองก็ตาม

    ทำไมเราถึงต้องขอบคุณ ทั้งๆที่บางคนเขาไม่ได้หวังดีต่อเราเลย ก็เพราะ
    ถ้าเราเผชิญมารอย่างชาญฉลาดผลที่ได้ต่อจิตวิญญาณเรานั้นมันมหาศาล
    ยกตัวอย่างที่เราเจอนี่ เราก็ผันให้เป็นประโยชน์หมดแหละ

    ถาม : อาจารย์ทำอย่างไรครับ

    ตอบ : ในอดีตที่ผ่านมานั้น มันมีโซ่เส้นใหญ่ร้อยรัดดวงใจของเราอยู่คือ
    ความเป็นห่วงในเพื่อนมนุษย์ เมื่อสมัยอายุยี่สิบสี่ เราบวชให้แม่ ตอนนั้น
    ปฏิบัติอยู่ในถ้ำฤๅษีขาว มีโอกาสวิปัสสนาทบทวนตัวเองว่า เราต้องการ
    อะไรในโลกบ้าง ก็ไม่พบเลยสักอย่าง ชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ เฉยมาก
    ไม่มีผลอะไรต่อใจเราเลย แต่มีอยู่สิ่งเดียวคือมวลมนุษย์ ตอนนั้นพอนึกถึง
    มวลมนุษย์ว่ายังอยู่ในความทุกข์และความไม่รู้แล้ว น้ำตามันตกใน มันไม่ได้
    ร้องไห้นะ แต่ใจมันกลั่นน้ำตาออกมาอยู่ในใจเอง ไม่มีน้ำตาที่ดวงตานะ
    อธิบายยากใครเคยอาจจะเข้าใจ พอมีอาการน้ำตาตกใน ที่เห็นมวลมนุษย์
    ทุกข์ยากก็อยากอุ้มมนุษย์ทั้งโลกไว้ในอ้อมอก ดูซีมันบ้าไหม นี่แหละอภิสังขาร
    มาร มันหลอกให้เราเหนื่อยยากมาตั้งนานแสนนาน นับชาติไม่ถ้วน แม้ชาตินี้
    ก็ดึงให้เรามาลุยโลกด้วยคิดว่าช่วยพวกเขาได้สักเล็กน้อยก็ยังดี

    พอเราเกิดมาในยุคสมัยเช่นนี้ เห็นมนุษย์เป็นกันอย่างนี้ แม้คนที่มีชื่อว่า
    ดีว่าเก่งในสังคมทั้งหลายก็มี vision กันแค่ในมิติของรูป และติดอยู่ใน
    กรงนั้น ไม่สามารถมองเห็นอะไรที่ beyond ได้ หลายคนจึงยังคงเป็น
    ลิ่วล้อของมารอยู่ โดยไม่รู้ตัว แม้หมู่คนที่เข้าใจว่าตนดีที่อยากทำอะไร
    เพื่อสังคมก็ยังมีตัณหา แก่งแย่งความดีกัน จึงถูกยุแหย่ให้แตกแยกได้
    แม้คนใกล้ชิด ที่เราเลี้ยงมานับชาติไม่ถ้วนบางคนก็เนรคุณได้เออ มัน
    ทำให้เราได้สติ ปล่อยวางได้ทั้งคนเก่าแก่และสังคมทีเดียวพร้อมๆกันเลย
    ปลดโซ่ตรวนเส้นโตในดวงใจออกได้ จิตใจก็เป็นอิสระมากอย่างที่ไม่
    เคยเป็นมาก่อนในชีวิต เรียกว่าคุ้มเลยล่ะที่เกิดมาชาติหนึ่ง

    เมื่อก่อนเราพยายามนิมนต์หลวงปู่ให้ออกจากป่า มาโปรดมนุษย์ ท่านก็
    ไม่ยอมออกมา ตอนนี้เข้าใจท่านแล้ว มนุษย์ยุคนี้ อยู่ในช่วงกลียุคใกล้
    มิคคสัญญีมากแล้ว วิบัติต่างๆ ก็ทะยอยเข้ามาโดยลำดับ ตามกรรม
    ของสังคมเอง แต่มนุษย์ก็ไม่เคยหยุดกรรมชั่วร้าย ยังทำซ้ำเติมตนเอง
    กันอีก สมมติสิ่งต่างๆ ขึ้นมาเป็นระบบเทียมระบบ ระบบซ้อนระบบ
    แล้วก็ขังกันเองไว้ในนั้น ตีกันอยู่ในนั้น เลยเข้าใจท่านหลวงปู่มากขึ้น
    ทั้งๆที่ท่านมีฤทธานุภาพมาก จะว่ามากกว่าใครในโลกยุคนี้ก็ได้ ท่านยัง
    ต้องปล่อยวาง เพราะสังคมก็เคยทำให้ท่านเจ็บปวดไม่น้อยเหมือนกัน
    นี่แหละหลายคนบอกว่าทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ช่วยโลก ที่จริงข้างบน
    ท่านก็พยายามช่วยอยู่ แต่มนุษย์รับไม่ได้เอง และ disconnect เอง
    เพียงเพราะความไม่เข้าใจ และติดอยู่ในกับดักของเจ้ากรรมที่ครอบ
    งำเขาอยู่ อย่างหลวงปู่นี่บางทีองค์ต้นธรรมของท่านมาเองเลย
    องค์เดียวแต่ปรากฏสองร่างในโลกนี้ ยังช่วยโลกยุคอย่างนี้ไม่ได้
    เออ พิจารณาลึกๆ แล้วมันปล่อยวางได้

    ถาม : อย่างนี้โลกก็แย่สิครับ พระดีๆคนดีๆ ทอดทิ้งกันอย่างนี้
    แล้วให้พวกคุณภาพต่ำเพ่นพ่านกันอยู่ในโลก

    ตอบ : ท่านก็ยังอยู่ในโลกนั่นแหละ แต่อยู่ในอีกโซนหนึ่ง คือพวกท่าน
    นั้นไม่ต้องการอะไร พวกที่ยังต้องการอะไรก็ยังดิ้นรนยื้อแย่งกันอยู่

    จริงๆแล้วก็เห็นมีแต่พระอรหันต์และพระโพธิสัตว์เท่านั้นที่เป็นหลัก
    ให้แก่มวลมนุษย์อย่างแท้จริง แต่พระอรหันต์ยี่สิบกว่าองค์ที่โลกมีอยู่
    ขณะนี้ กว่าครึ่งท่านอยู่กันในป่าในดง พระโพธิสัตว์ใหญ่ท่านเก็บตัว
    กันอยู่ในความสงบ ท่านก็ช่วยในอีกมิติหนึ่ง ซึ่งมันอาจจะเป็นกลยุทธ์
    ที่เหมาะสมเท่าที่เป็นไปได้แค่นั้นก็ได้สำหรับโลกสภาพอย่างนี้

    ถาม : ทำไมครับ อย่างนี้ถือว่าท่านไม่ทำหน้าที่หรือเปล่า

    ตอบ : จะเอาหน้าที่อะไรไปยัดเยียดให้ท่านล่ะ ทุกคนมีหน้าที่ยกระดับ
    วิวัฒนาการตัวเองไปให้ถึงที่สุดเท่านั้น แต่บางท่านหวังเกื้อกูลก็
    พยายามช่วยโลก แต่โลกยุคอย่างนี้ไม่รู้จักตนเอง ไม่รู้จักผู้หวังดี
    ไม่รู้จักมาร จึงเละเทะ ใครมาช่วยบางทีพลอยเดือดร้อนไปด้วย
    อย่างพระอรหันต์กับพระโพธิสัตว์นี่จิตใจท่านจะไม่เหมือนมนุษย์โดย
    ทั่วไป เมื่อใจอยู่กันคนละสภาพ เจตนารมณ์ในแต่ละเรื่องก็จะต่างกัน
    เมื่อเจตนารมณ์ต่างกัน ความไม่เข้าใจกันก็เกิด พระพุทธเจ้าจึงทรง
    บอกว่า อยู่ใกล้พระอรหันต์เหมือนอยู่ใกล้ไฟ ท่านใสมากเกินกว่ามนุษย์
    ที่สกปรกจะเข้าใจได้ พระโพธิสัตว์ก็เช่นกัน ใจท่านเสียสละยิ่งใหญ่
    เกินกว่ามนุษย์ที่ยังเห็นแก่ตัวและนิยมการครอบครองจะเข้าใจได้

    ดังนั้นท่านผู้ประเสริฐทั้งหลายคงพิจารณาแล้วว่าช่วยอยู่เบื้องหลัง
    สบายกว่า ซึ่งเราก็เห็นด้วยกับท่านนะ เพราะเห็นคนเขลาวิจารณ์
    พระอรหันต์และพระโพธิสัตว์แล้ว เสียวแทนเลย ยืนอยู่ปากขุมนรก
    ไม่รู้ตัว พวกนี้จะโง่มากขึ้น และพาสังคมให้เดือดร้อนมากขึ้น ซึ่งเป็น
    กรรมใหญ่

    http://www.larndham.net/cgi-bin/krat...028.htm]001028
     
  2. ศิลปินชนบท

    ศิลปินชนบท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    773
    ค่าพลัง:
    +1,678
    ขอกราบอนุโมทนาสาธุในธรรมค่ะ อ่านแล้วรู้สึกมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ เห่อะๆๆ
     
  3. โอภาส

    โอภาส Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +29
    ขอบคุณ จขกท เหมือนกำลังต้องการคำตอบ เรื่องนี้พอดี แล้วก็ได้อ่าน ขอบคุณมาก ๆ ครับ ขอให้ ทุกคนผ่านการทดสอบต่าง ๆ นั้นให้ได้ทุกคน นะครับ(รวมผมด้วย)
     
  4. ธัมปฏิบัติ

    ธัมปฏิบัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +1,020
  5. yogilek

    yogilek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    429
    ค่าพลัง:
    +2,866
    อ่านแล้วนำมาใช้ได้กับการปฎิบัติเลยครับ

    ขออนุโมทนา
    สาธุการครับ
     
  6. ทิพย์ปทุโม

    ทิพย์ปทุโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +2,471
    ต้องอ่านไป คิดตามไป แล้วก็เอามาเทียบเคียงกับมารของเรา ที่วนเวียน ผ่านเข้าออก ชีวิตอยู่เป็นประจำ เพื่อหาวิธีชนะเขาให้ได้ เฮ้อ... ชีวิตนี้ ไม่ง่ายเลยที่จะเดินไปอย่างบริสุทธิ์ที่สุด

    จำได้ว่า พระท่านเทศน์ให้ฟังว่ามีแม่ชีท่านหนึ่งบวชตั้งแต่เล็ก รักษาศีลบริสุทธิ์ไม่ด่างพร้อยเลย จนอายุผ่านไป๗๐ปีแล้ว มีอยู่วันหนึ่งซักผ้าแล้วบังเอิญแมลงติดผ้าขาวที่ตากตายอยู่ ท่านแกะออกมาแล้วจิตก็โทษการกระทำของตัวเอง ว่าปานาติบาต ถ้าเป็นคนอย่างเรา ๆ คงอุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตา ให้ไปเกิดในที่ดี ๆ เพราะไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้ว่ามาตายในกะละมังซักผ้าได้อย่างไร เป็นต้น

    แต่แม่ชี ท่านรักษาศีลบริสุทธิ์มาตลอดชีวิต มาพลาดด้วยเรื่องแบบนี้ จิตท่านไม่ยอมหลุดออกจากแมลง เศร้าโศกจนกระทั้งวันสุดท้ายของชีวิต จิตก็ยังโศกเศร้าเรื่องแมลงอยู่ เลยต้องไปสู่ทุกข์คติ

    พอย้อนมาดูตัวเอง แค่ศีล ห้า ข้อ ที่ต้องรักษาอย่างสุดชีวิต ซึ่งไม่รู้จะพลาดพลั้งเมื่อไร เพราะถูกมารกลั่นแกล้ง ด้วยสารพัดวิธีที่จะหาได้ ยิ่งต้องพบปะผู้คน ยิ่งต้องเจอสารพันอารมณ์เช่นกัน

    ต้องขอบคุณ คุณ K.Kwan นำสาระดี ๆ มาให้อ่านค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2010
  7. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p

    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com
    <O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา
    [​IMG]</O:p>
     
  8. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    สาธุ ๆๆ ครับ
    ขอให้บุญกุศลบารมีที่กระผมบำเพ็ญมาเป็นไปโดยสัมมา ขอให้กระผมและสัมพันธชนเจริญ ในสรรพกุศลธรรมพระพุทธการกธรรมบารมี10 เสื่อมออกจากอกุศลธรรมและมารชั่วร้ายทั้งหลาย โดยดีงามเทอญ
     
  9. กิดากร

    กิดากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +1,039
    ขออนุโมทนากับบทความดีๆ ครับ ผมเชื่อว่านักปฏิบัติทุกคนจะต้องผ่านมาร โดยเฉพาะมารที่เป็นมนุษย์นี่แหล่ะมาทดสอบจิตใจ โดยเฉพาะคนที่มาเป็นครูบาอาจารย์คนจะต้องเจอทุกคน เช่น เมื่อหลายวันก่อนผมไปเจอเว็บหนึ่งปล่อยกระทู้ที่ด่าแม่จันทา ฤกษ์ยาม ว่าหลอกลวงบ้างอะไรบ้าง บางคนก็อ้างว่าเคยไปหาท่านบ้าง ท่านทำวิชาทางคุณไสยให้บ้าง ถ้าคนที่เคยไปหาท่านจริง ๆ จะรู้ว่าท่านไม่ยุ่งกับพวกคุณไสยเลย ไม่ทำให้ด้วย และพวกที่บอกว่าหลอกลวงอ่ะ โปรดพิจารณาก่อนว่าเค้าขอเงินคุณเหรอ คุณเอาเงินไปให้เค้าเองนิ แม่ไม่เคยเรียกเงินว่าจะต้องกี่บาทนิผมไม่เคยเห็น เว้นแต่คุณจะบูชาวัตถุมงคลอันนี้เค้ามีราคากำหนดทุกที่อยู่แล้วเป็นธรรมดา ถ้าคุณไปเจอลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์คนใดแล้วเค้าให้ทำบุญอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็เป็นความซวยของคุณเองนิ เพราะลูกศิษย์เหล่านั้นก็มีทั้งคนดี และคนเลวปะปนกับเป็นธรรมดา คุณจะเอาสาระอะไรมาด่าครูบาอาจารย์ว่าหลอกลวง นี่แหล่ะลีลาของพวกมาร หรือพวกอาภัพบุคคล น่าเสียดายที่มิทฉาทิฐิของตัวเองจะพาตัวเองไปเฉียดประตูนรก เกิดมาเป็นคนทั้งทีชาตินี้มัวแต่ไปเพ่งโทษผู้อื่น
    -- มีมนุษย์อีกบางประเภทที่ชอบทำตัวเป็นมารคือพวกชอบไปหาครูบาอาจารย์แล้วเห็นว้าครูบาอาจารย์เป็นคนธรรมดา ไม่แสดงอะไรพิเศษออกมา แล้วก็นึกว่าท่านเก่งจริงเหรอ นี่ พวกชอบปรามาสคน เมื่อก่อนใหม่ ๆ ผมก็เป็นนะยอมรับ แต่เมื่อเราปฏิบัติแล้วมันมองโลกได้มากขึ้น ครูบาอาจารย์เหล่านั้นท่านจะเก่งจริงหรือไม่จริง มันก็ไม่ใช่เรื่อง หรือธุระอะไรที่ท่านจะต้องมาแสดงปาฏิหารย์ให้เราดูนิ จะต้องให้เหาะเหินเดินอากาศให้ดูหรือไง มันธุระอะไรจะต้องทำให้ดู ใช่มะ มองย้อนกลับไปที่ตอนนั้นผมทำตัวเป็นมารคอยเพ่งโทษผู้อื่นแล้วมันเศร้า โชคดีที่สำนึกได้ก่อนตาย ดังนั้นพวกที่กล่าวหาคนอื่นว่าหลอกลวงบ้าง ไปหาครูบาอาจารย์แล้วหาว่าท่านไม่เก่งจริงบ้าง ขอให้พิจารณาตนเองดีกว่า พวกนี้ก็เหมือนกับพวกที่เกาะแต่เปลือกของพระพุทธศาสนา เหมือนหนอนที่เกาะเปลือกส้มอยุ่แต่เนื้อส้มอ่ะ ไม่เคยได้กินกับเค้าหรอก.
     
  10. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    "แต่บางคนต้องเรียนรู้จากความเจ็บปวดก่อนจึงจะหลุดได้ ซึ่งเขา
    เลือกเอง ความผิดพลาดนั่นแหละเป็นครูที่เก่งที่สุด ประสบการณ์
    นั่นแหละคือพี่เลี้ยงที่ดีที่สุด ธรรมะนั่นแหละคือผู้รักษา ที่เข้มแข็งที่สุด"


    กระทู้นี้ดีมากเลยค่ะ อ่านแล้ว ทำให้เข้าใจเรื่องของมารได้มากขึ้นกว่าเมื่อก่อนที่เราคิดเองไปๆ มาๆ อยู่ แล้วก็เลยไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วคืออะไร ขออนุโมทนาสาธุ ในธรรมทานนี้เป็นอย่างยิ่งด้วยค่ะ สาธุ
     
  11. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044
    ชอบคำตอบของท่านที่ว่า.....มารที่เจอบ่อย ก็คือกิเลสของตนเอง[Embarrass โมทนาสาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2010
  12. เด็กสร้างบ้าน

    เด็กสร้างบ้าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,195
    ค่าพลัง:
    +538
    อนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ

    ไม่ทราบว่าต้องปฎิบัติสมาธิถึงขั้นไหน หรือนานเท่าไรครับถึงเจอมาร
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ตอบคุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->tanasad<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3787422", true); </SCRIPT>

    ถ้ามารที่เป็นกิเลสของเราเอง ก็เจอได้ตั้งแต่นั่งหลับตาเลย เรียกว่าสมาธิในชีวิตประจำวัน
    ก็เจอได้แล้ว มีทั้งโกรธ โลภ หลง ความทะยานอยาก อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากเลิก

    แต่ถ้าเป็นมารภายนอก ก็น่าจะเป็นพวกวิปัสสนูกิเลส ที่มาพร้อมกับวิปัสสนากรรมฐานมั้ง
    แต่วิปัสสนูกิเลสที่เป็นมารภายในที่เป็นกิเลสของเราเองก็มีนะ คนที่จะได้พบมารภายนอก
    คงจะมีไม่เยอะน่าจะเป็นระดับคนพิเศษที่มีแสงแห่งปัญญาสูงมากจนไปรบกวนเขาหรือ
    ไปทำให้เขาเห็น เขาก็เลยมาทดสอบ หรือเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมาก่อนก็มี ปกติ
    ก็คงไม่เจอง่ายๆหรอก มารที่เป็นกิเลสของเราเองนี่แหละที่ยังไงก็ต้องเจอน่ากลัวกว่าเยอะ
     
  14. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    อ่านแล้วเห็นภาพชัดเจนเลยครับ มันไม่สำคัญว่าเราจะเป็นผู้ชนะ
    หรือ ฝ่ายถูกต้องในโลกละครที่มาทดสอบเรา แต่สำคัญที่ว่า
    เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านไปแล้ว เราได้รับประสบการณ์อะไร
    ที่เป็นประยชน์แก่จิตวิญญาณของเราบ้างต่างหาก
     
  15. Helen

    Helen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +803
    อนุโมทนาสาธุค่ะ อ่านแล้วทำให้เข้าใจได้ดีขึ้นจริงๆค่ะ
     
  16. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    ตอนอ่านกระทู้นี้นะพี่ขวัญ เห็นมารเต็มๆ เลย มารขี้เกียจอ่ะ
    เพราะมันยาวมากๆ ข่มใจแทบแย่ให้อ่านให้จบ บรึ๋ย ตามทุกที่เลย
     
  17. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,305
    เช็คดูที่ตัวเองเราก็เจอมาเพียบเลย ตอนนี้ก็เจอเพียบอยู่ นี่ละหน่อเกิดเป็นทุกข์
     
  18. sornsill

    sornsill เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +515
    ดังนั้นท่านผู้ประเสริฐทั้งหลายคงพิจารณาแล้วว่าช่วยอยู่เบื้องหลัง
    สบายกว่า ซึ่งเราก็เห็นด้วยกับท่านนะ เพราะเห็นคนเขลาวิจารณ์
    พระอรหันต์และพระโพธิสัตว์แล้ว เสียวแทนเลย ยืนอยู่ปากขุมนรก
    ไม่รู้ตัว พวกนี้จะโง่มากขึ้น และพาสังคมให้เดือดร้อนมากขึ้น ซึ่งเป็น
    กรรมใหญ่









    หมายถึงพระอรหันต์ที่ช่วยชาติรือเปล่า กับพระโพธิสัตว์ที่มีรูปถ่ายมากที่สุดหรือไม่ ยอมรับเลยครับว่ามีหลายคนที่ยังโง่และเข้าใจผิดๆ อยู่ปากเหวนรกกันมาก น่าสงสารอย่างยิ่ง
     
  19. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    953
    ค่าพลัง:
    +3,165
    อนุโมทนากับความหมายที่เจ้าของกระทู้ต้องการจะสื่อสารด้วยครับ
    อนุโมทนากับความเห็นความคิด อันเป็นกุศลจิตที่เป็นไปเพื่อความห่างพ้น จากการบงการแห่งมารทั้งหลายครับ
    สาธุ
     
  20. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    อนุโมทนาค่ะ ถ้ามารสุดท้ายไม่มาพรากชีวิตไปก่อน ก็ขออยู่เพื่อศึกษาหาวิธีปราบมารค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...