มันบรรลุธรรมเป็นอริยะกัน..เพราะสื่อทั้งนั้นเดี๋ยวนี้...!

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย สับสน!, 2 ตุลาคม 2010.

  1. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +4,065
    พระคุณเจ้าที่บรรดาโยมๆ เจ้าของสำนักพิมพ์ หรือนักเขียนนิยาย..เขานิมนต์ท่านก็ต้องดู รู้ ให้ทันโลก...! (หลวงตาไม่รับนิมนต์ใครเลยเห็นไหม)

    ยกเว้น..พระที่จงใจเดินสายไปตามสถาณที่ปฏิบัติธรรมต่างๆเพราะอยากดัง อยากหาลาภสักการะ ..บ้านพระอาทิตย์ บ้านป่า บ้านพระจันทร์ บ้านอารีย์ บ้านอารอบ .
    แล้วก็มีบริษัท การค้าทางนามธรรมเอาออกมาจำหน่าย ในรูปให้ช่วยทำบุญ.. หนังสือ vcd..vdo..คำบรรยาย สารพัด..

    โดย..ข้าเป็นผู้ได้รับอนุญาติจากพระ..ให้จัดพิมพ์แต่เพียงผู้เดียว..แน่จริงพระที่ไปเทศน์ตามบ้านโยมประกาศออกมาเลยซี..ให้ใครพิมพ์คำเทศนาก็ได้ อย่าผูกขาดให้โยมคนใดคนหนึ่งทำ..มันเห็นลิ้นไก่พระ นะท่านเวลาอ้าปาก

    ในทางการค้าเขาก็ใช้คนกลุ่มนี้แหละช่วยโฆษณาแบบฝังในลึกๆ....อริยะจึงเกิดเพราะปากคน "สื่อ" ของเจ้าของสถาณที่ สำนักปฏิบัติธรรม ...?

    วิธีแก้ จะทำยังไงกันครับ มาช่วยกันเฝ้าสังคมพุทธกันหน่อยครับ..ไม่ได้อิจฉานะครับ..มันลึกเกินคนปฏิบัติธรรม จะมองเล่ห์ทางธุรกิจได้ออกและทันครับ (k)(k)(k)ตบจูบ:':)'(
     
  2. bosssky

    bosssky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +682
    อืมก็แบบนี้แหละทางโลก บางอย่างเข้าไปใส่ใจมาก เราจะเป็นบ้าซะเปล่า ต้องปล่อยมั่ง กรรมใครกรรมมัน
     
  3. สงกะสัย

    สงกะสัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +128
    คุณชอบสบสนแต่ผมขี้สงกะสัย เฝ้ามองอยู่เหมือนกัน เป็นห่วงพุทธศาสนาที่หมุนเวียนมาเป็นขาลง เหมือนดั่งความทำนายของบรมครู แต่ดูเหมือนตาเถรทุศีลจะเป็นตัวเร่งให้ถึงวันนั้นก่อนเวลาอันควร เหมือนมนุษย์เร่งเผาน้ำมันจนเกิดคาร์บอนมากเกินจนเร่งให้โลกพบภัยพิบัติเร็วกว่าเวลาอันควร ในความเป็นจริงธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของกล้วยๆ ไม่ต้องซื้อหา มีทั่วไปตั้งแต่ในตัวของเรา ถึงรอบตัวเรา โดยเฉพาะในตัวของเราจะหาง่ายดูง่ายจับต้องได้ พระพุทธองค์ให้เราเรียนรู้เรื่องธรรมชาติ ให้รู้จักธรรมชาติของมนุษย์สัตว์สิ่งของและโลก แยกเยอะไว้พร้อมเป็นหมวดหมู่ พระธรรมที่พระพุทธองค์ให้สาวกบันทึก ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิวิเศษอะไรเป็นเพียงเนื้อหาสาระให้เรานำมาศึกษา ปฏิบัติเพื่อเข้าใจถึงความเป็นจริงในธรรมชาติ ไม่ได้ให้นำมากราบไหว้บูชา โดยคิดว่ามันจะบันดาลสิ่งที่ตนมุ่งแสวงหาหล่นลงมาจากฟากฟ้าเหมือนสายฝน ละเลยการเปิดอ่านเรียนรู้เพราะความขี้เกียจ เอาเวลาไปเสพสุขมากกว่าศึกษาเล่าเรียนพระธรรม พอเจอทุกข์หนักหาทางออกยังไงดี คิดไปถึงเรื่องอิทธิปาฏิหาร ทำสังฏทานเพราะมีพ่อค้าที่ลงทุนโกนผมห่มเหลืองแนะนำ ถวายปัจจัยเยอะๆจะได้พ้นทุกข์ทันใจ ต่อด้วยซีดีคลายทุกข์อีก2-3ชุด ของแท้ลิกขสิทธิสนนราคาพอกับเพลงค่ายRS กลายเป็นเหยื่ออันโอชะของโจรผ้าเหลืองกับพ่อค้าหัวใสไป เปรียบบัวใต้น้ำที่เป็นอาหารอันโอชะของเต่าปลา เกิดกี่ชาติก็โดนกินทุกชาติไม่มีโอกาสถึงแสงตะวัน มันถึงเวลาที่พุทธทาสแห่งพระบรมครู ต้องกล้าออกมาต่อกรกับอริพุทธศัตรู นำจิตวิญญาณของพี่น้องกลับมาสู่พระประสงค์ของพุทธองค์ที่ให้เราเรียนรู้อย่างที่พระองค์ทรงสอนไว้ ให้เรารู้เท่าที่บรมครูรู้และและย่อยละเอียดเพื่อให้ผู้ด้อยปัญญาอย่างเราได้เข้าใจง่ายขึ้น และสามารถนำมาใช้กับเวลาที่เหลืออยู่อย่างมีความสุข มีปัญญาที่จะตัดสินผิดถูกด้วยตนเอง ไม่เป็นเหยื่อสนองกิเลสของผู้อื่น และมีเส้นทางสู่ชีวิตหลังความตายอย่างมีถูกต้อง ไม่หลงกลับมาเกิดเป็นบัวใต้น้ำให้เต่าปลากินอีก ทำอย่างไรให้ลูกศิษย์ของพุทธองค์เพิ่มมากขึ้น นี่คือปัญหาที่สาวกของพุทธองค์ในสมัยหลังกึ่งพุทธกาลต้องพิจารณา.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2010
  4. wara99

    wara99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    381
    ค่าพลัง:
    +898
    พระที่ชาวบ้านดูว่าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เขาก็ศรัทธา นำสิ่งต่างๆไปถวาย เมื่อได้ธรรมกลับบ้าน

    ก็เอาธรรมมาบอกต่อ พระท่านนั้นจึงเป็นที่นิยม ยิ่งเคยเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิด อดีตพระสุปัสติบันโนฯ

    ก็เป็นธรรมดาที่ผู้คนทั้งหลายจะสนใจเป็นพิเศษ

    อย่าไปว่าท่านเลย ตามบ้านต่างๆ ที่มาก็เพราะญาติโยมนะล่ะ จะขัดศรัทธาก็ใช่ที่

    สื่อก็มีหลายด้าน บางสื่อนำธรรมท่านไปเผยแพร่ แล้วเอาประโยชน์ใส่ตน โดยที่พระไม่รู้ บางครั้งก็ทำให้ท่านเสียชื่อเสียง ก็เพราะไม่รู้จัก จึงไม่รู้ใจว่าคนที่เอาไปทำคิดอย่างไร

    พระไม่เท่าไหร่หรอกครับ คนใกล้ชิดพระต่างหาก พูดไม่ได้โกหกครับนะครับ แต่พูดไม่หมดเท่านั้น พระท่านไม่คิดมากอยู่แล้ว มาแล้วก็กลับ

    เอาง่ายๆ รับไปเจ้าเดียวเลย ทั้งรู้จักและรู้ใจ ผิดถูก ก็ว่าคนคนเดี่ยว

    แต่เรื่องธรรม ผมคิดว่า ถ้าเราบริสุทธิใจ นำธรรมท่านมาเผยแพร่โดยไม่มีผลประโยชน์

    แล้วบอกท่านสักนิด ไหนเลยท่านจะไม่ยอม
     
  5. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,562
    ค่าพลัง:
    +2,128
    ผมว่าแก้ไม่ได้หรอกครับ แก้1 ก็มี2 3 4 ไปเรื่อยๆ แก้ไม่จบ แปลว่าแก้ไม่ได้
    แต่ถ้าจะแก้ให้จบ ก็ได้แต่ต้องแก้ที่ตัวเราเอง
     
  6. เพชรกร

    เพชรกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    291
    ค่าพลัง:
    +1,260
    กาลามสูตร แปลว่า กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการคือ
    1. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
    2. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
    3. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
    4. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
    5. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
    6. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
    7. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
    8. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
    9. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
    10. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
    เราไม่รู้จิตของพระอริยะหรอกครับบางที่เราเอาตัวให้รอดก่อนดีกว่าที่จะไปสนใจเรื่องอื่นเปรียบเหมือนคนว่ายน้ำไม่เป็นโดดไปช่วยคนที่กำลังจะจมน้ำ ผลคือตายทั้งคู่ ประโยชน์ตนก็ไม่ได้ประโยชน์คนอื่นก็ไม่ได้
     
  7. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,065
    ค่าพลัง:
    +2,682
    มีคุณป้าท่านนึงนะ บริจาคที่ดินให้วัดเพราะคิดว่าไม่มีลูกหลานก็เลยทำบุญโดยการบริจาคที่ดินในการสร้างวัดเพื่อเป็นบุญเป็นกุศลเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง

    ต่อมา เมื่อเจ้าอาวาทวัดเปลี่ยนเป็นคนใหม่คุณป้าก็เริ่มไม่พอใจ เข้าไปมีแทรกแซงกิจการภายใน ไปตั้งกฏเกณฑ์และจารณะของพระและเณรตามที่ตนเองคิดว่ามันจะดี จนในที่สุดคุณป้าก็เหลือแต่ความเสียดาย มีแต่ความหวงและห่วงในทรัพย์สินของตนเองขึ้นมาในใจจนวันสิ้นอายุขัย

    ท่านคิดว่าอย่างไรในข้อความที่กล่าวไปแล้วนี้ ?
    ความยึดมั่นถือมันใดๆ หากไม่ยอมปล่อยวางแล้วล่ะก็วันข้างหน้าเราก็อาจจะทุกข์กับสิ่งๆนั้นได้ ด้วยภาวะความไม่เที่ยงความไม่แน่นอนนั้นแล..


    เจริญธรรม
     
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    ตรงเรื่อง ที่ดินวัด อันนี้ ขอกล่าวเท่าที่ศึกษามานะ

    ในสมัยก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ เท่าที่ค้นพบ วัดไม่ได้มีกรรมสิทธิใดๆในรูปที่ดิน

    รูปที่ดินนั้น ยังคงเป็นสิทธิขาดของอุบาสกผู้ยกถวายวัด นั้นแปลว่า อุบากสกที่ถือ
    ครองที่ดินนั้นสามารถเปลี่ยนวัตถุประสงค์เมื่อไหร่ก็ได้

    ตรงนี้เพื่อใช้หลัก อุบากสกเป็นผู้ ทำนุบำรุงวัด และจัดการเรื่องเงินทอง อาหาร
    การกิน แขกเหลือทั้งหมด ภิกษุเป็นเพียงผู้ขอ ผู้อาศัย และตรงนี้คือ จุดแข็ง
    ที่ทำให้ พระต้องกระทำทุกอย่าง เพื่อให้ศรัทธาที่ยังไม่เกิด เกิด ศรัทธาที่เกิด
    แล้วก็ให้เจริญขึ้น อะไรก็ตามที่ทำไปแล้วทำให้เกิดการเสียศรัทธา พระที่อาศัย
    วัดตรงนั้นก็ไม่สมควรจะอยู่ หรือ ครองเพสสมณะอีกต่อไป

    แต่หลักการตรงนี้ เท่าที่ดู เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยมาตั้งแต่ยุดต้นรัตนโกสินทร์

    และมาชัดที่สุด คือ ตอนที่คณะราษฏร์ได้เข้ามาออกกฏหมาย

    ตรงนี้ พระไพศาลวิสาโล ได้ให้ความเห็นว่า เราอาจจะมองเห็นว่า สงฆ์ได้เปลี่ยน
    มาเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน แลทรัพย์สิน ตลอดจนทุกๆอย่างภายในวัด ไม่เว้นแต่
    พระ อันถือว่าเป็นบุคคลากร

    แต่แท้ที่จริงแล้ว สงฆ์ไม่ได้มีสิทธิขาดอะไร เป็นเพียงผู้ถือกรรมสิทธิในนาม หรือ
    เป็น นอร์มินี่ให้แก่ คณะราษฏร์ หรือ รัฐ นั้นเอง ( อันเนื่องจากความจำเป็นบาง
    ประการเกี่ยวกับเรื่องลัทธิการปกครอง )

    [ แทรก เรื่องพัดยศนั้น คณะราษฏร์ได้ระบุไว้ว่า เป็นเพียงเครื่องมือในการให้
    รางวัล หรือ จูงใจให้คนทำงาน --- เปรียบเทียบกับระบบราชการก็คือ ระดับซี
    ซึ่งจะเกี่ยวโยงกับสิทธิ และอำนาจที่รัฐจะมอบหมายให้มากขึ้น -- ตรงจุดนี้
    เรามักเข้าใจผิดคิดว่า พระท่านสร้างขึ้นมาใช้กันเอง แต่จริงๆแล้วเป็นกลไก
    ของรัฐที่แฝงตัวเข้าไปอย่างหนึ่ง ]

    ตรงนี้เองที่ทำให้ "หลักการมีศรัทธา อยู่อย่างศรัทธา เพื่อศรัทธา" จึงอันตรธานหาย
    ไป และเป็นที่มาของความอ่อนแอของศาสนา เพราะ อุบาสก อุบาสิกา ถูกริดรอน
    สิทธิในการกำกับดูแลพระในเขต อีกทั้งพระเองก็ไม่ได้มีสิทธิปกครองกันจริง เพราะ
    เกิดองค์กรบางประการเพื่อตอบสนองรัฐ ผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า งบ ประมาณ

    อุบาสก อุบาสิกา เองอาจจะรู้สึกดีหาก ยกที่ดินแล้ว ที่ดินนั้น ตกไปเป็นของรัฐ(วัด)เร็วๆ

    แต่จริงๆแล้ว อุบาสก อุบาสิกา ลืมไปว่า หากตนยังมีสิทธิที่จัดการดูแลอยู่ ย่อมทำให้
    สามารถควบคุมสิ่งต่างๆได้ตามวัตถุประสงค์ของตน

    กรณีที่ เกิดมีอุบาสก อุบาสิกา เกิดเปลี่ยนใจจะด้วยเหตุใดก็ดี หากเหตุผลของการ
    เปลี่ยนใจนั้นไม่อาจจะถูกยอมรับได้จากฆารวาสด้วยกัน มันก็เป็นเรื่องที่ฆารวาส
    ทะเลาะกันเอง พระไม่มีหน้าที่ทะเลาะ หรือ เป็นโจทย์โทษฆารวาส ซึ่งถูกต้อง
    ตามพุทธบัญญัติในเรื่องนี้

    สำหรับความเป็นห่วงว่า หากเป็นแบบนี้ แล้ววัดจะเกิดขึ้นยาก หรือเกิดขึ้นแล้วก็
    อาจจะแปรปรวนไปตามใจของฆารวาส ผมก็ขอชี้นัยยะบางประการว่า

    ฆารวาสบางประเภทเมื่อถึงซึ่งศรัทธาอันไม่กลับกลอกแล้วนั้น ย่อมมีอยู่ในโลก
    ได้ไม่มากก็น้อย แล้วแต่เหตุปัจจัย

    และ

    ฆารวาสบางประเภทแม้ไม่ถึงซึ่งศรัทธาอันไม่กลับกรอก แต่โดยหน้าที่ที่เข้ามากำกับ
    แบบนี้ก็มีอยู่ในโลก และมีความั่นคงๆ พอกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นกับเหตุปัจจัยของการได้มา
    ซึ่งหน้าที่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2010
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    เพื่อความเข้าใจในวิถีของพระ หากท่านไม่มีอารามอาศัยเลย จะมีภาพเช่นไร

    ก็ขอแจงว่า ภาพก็เหมือน คนเร่ร่อน ในแง่ของสายตารัฐ

    หากมองในแง่นักปฏิบัติย่อมมองเห็นว่า พระทำการธุดงค์

    หากมองในแง่พุทธกาล ย่อมสอดคล้องกับ การธุดงควัตรเป็นกิจ เป็นนิจ

    ซึ่งตรงนี้ ย่อมตัด หรือ กำจัดพระที่ไม่ใช่ พระที่ถูกแฝงเข้ามาด้วยระบบราชการ
    ออกไป เพราะไม่อาจอยู่ได้ จะเหลือเพียงพระที่มุ่งทำนิพพานให้แจ้งเท่านั้น

    อนึ่ง ความกังวลที่ว่า คนเร่ร่อนอาจจะไปแต่งตัวเลียนแบบพระ อันนี้พระเอง
    หากถูกชำระให้เหลือเพียงพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ย่อมต้องมองกันออก

    เมื่อพระมองกันออก แต่อย่างไรก็ดี ห้ามโจทย์กัน แต่มีข้อกำหนดไว้ว่าห้ามร่วม
    สังฆกรรมกับผู้ที่เลียนแบบพระ ตรงนี้ก็คือเครื่องมือที่พระพุทธองค์มองให้
    เพื่อให้ฆารวาสได้ใช้สังเกตข้อวัตร

    การแซงชั่นของฆารวาสเองต่อพระ หรือ ผู้ที่มีจริยาไม่สมต่อการเป็นพระก็ไม่
    ใช่ว่าจะต้องไปโพทนาตีฆ้องร้องเป่าเพื่อให้ พระ หรือแม้แต่ผู้สึกจากพระต้อง
    อยู่ยาก การแซงชั่นมีเพียงวิธีเดียวคือ งดรับนิมนต์ให้ที่อาศัย และงดให้อาหาร

    การงดให้ที่อาศัย และ การให้อาหาร สองตัวนี้เป็นเรื่องหลักการธุดงควัตร
    ซึ่งแปลว่า เป็นการเปิดโอกาสให้พระที่อาจเผลอไปในข้อศีลได้พิจารณาถึง
    จุดประสงค์ในการทำนิพพานให้แจ้งอีกครั้ง จึงไม่ใช่การทำร้ายพระไปในตัว

    จะเห็นว่า พระพุทธองค์ได้ประธานเครื่องมือต่างๆ ไว้สำเร็จเสร็จสับเป็นอันดี
    อยู่แล้ว แต่....ฆารวาสชั้นหลังๆ เกิดความกังวลเกินความจำเป็น แล้วเข้า
    ไปแทรกแซงกุศโลบายที่พระพุทธองค์ได้ทรงวางไว้แล้ว

    * * * *

    ขออภัยพี่เกิดด้วยนะ เนื้อหาของผม ดูจะคนละเรื่องกับ กระทู้ ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2010
  10. พรม

    พรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +164
    คุณเอกวีร์แน่นอนจริงๆ สรุปฆารวาสนี่ละต้นเหตุของปัญหาใช่ใหม
     
  11. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,076
    ค่าพลัง:
    +158
    ถ้าเรายังเป็นคนดีไม่ได้ เอาตัวเองไม่รอด
    ยังไม่รู้ธรรมอะไรสักอย่าง จริง ๆ นั้น เสียเวลาไปมุ่งจับผิดผู้อื่น
    เราเองก็เป็นคนที่ทำลายศาสนาเหมือนกัน

    ผู้ที่มีแต่ความเกลียดชัง อิจฉา ริษยา อยู่
    ผู้นั้นก็คือ ตัวการทำลายศาสนาเหมือนกัน
    อยากปกป้องศาสนา มุ่งภาวนาให้หลุดพ้น
    แล้วกลับมาช่วยปุถุชน นั้นถือการเป็น สืบสานพุทธศาสนาที่แท้จริง
     
  12. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    ไม่ใช่ ฆารวาสคือ สาเหตุของปัญหา

    เพียงแค่ หลอมรวมปัญหาที่มีอยู่ให้มาเป็นประโยชน์สูงสุดได้แล้ว

    ภาพที่เห็นว่าเป็นปัญหามันจะไม่มีไปเอง

    * * * *

    อย่าถามผมนะว่า ทำยังไง ขอตอบล่วงหน้าว่า ไม่รู้

    แต่ก็ไม่แน่ว่า ท่าน จิตเซ็งจิต อาจจะเป็นผู้รู้ก็ได้
     
  13. DarKKazE

    DarKKazE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +240
    ศาสนาเราจะเสื่อมหรือรุ่งเรือง ก็อยู่ที่บริษัท4 นั่นล่ัะครับ
     
  14. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414
    ในสมัยพุทธกาล พระราชา เศรษฐี อุบาสก อุบาสิกา ท่านถวายที่ดินให้แก่สงฆ์ทั้ง 4 ทิศ โดยการประกาศต่อหน้าสาธารณชน คำว่า "ถวาย" เข้าใจหรือไม่ว่าคืออะไร ให้ขาดจากใจไปแล้ว ก็ถือว่าที่นั่นไม่ใช่ของๆตนแล้ว ไม่ีมีธรรมเีนียมดังที่คุณเอกวีร์ว่าไว้ไม่ว่าในสมัยใด
     
  15. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,358
    ค่าพลัง:
    +1,088
    เขาเรียกว่า วัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่ง เป็นสัจธรรมมานานโขอยู่(พุทธพานิชย์)
     

แชร์หน้านี้

Loading...