สัญโยชน์ 10

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย weirchai, 21 พฤศจิกายน 2006.

  1. weirchai

    weirchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +1,410
    สัญโยชน์ หรือสังโยชน์ หรือสัญโญชน์ คือเครื่องผูกจิตเอาไว้ให้ติดอยู่กับสิ่งต่างๆ รวมถึงภพภูมิต่างๆ และวัฏสงสาร ทำให้จิตไม่เป็นอิสระ ต้องตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้น จึงสามารถฉุดกระชากลากจูงจิต ให้ต้องทนทุกข์ทรมานต่างๆ นานา ไม่อาจพ้นจากทุกข์ไปได้
    เปรียบเหมือนเชลยที่ถูกข้าศึกเอาเชือกล่าม แล้วใช้ม้าลากให้เชลยนั้นถูลู่ถูกังไปกับพื้น ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสโดยไม่ปรานี

    สัญโยชน์ 10 นี้มีอวิชชาเป็นแม่ทัพที่คอยบงการให้เสนาทั้ง 9 ลากจูงจิตไปในทิศทางต่างๆ เมื่อเสนาใดมีกำลังมากกว่าก็จะฉุดกระชากจิต ให้ถูลู่ถูกังไปในทิศทางของตน (ดูภาพด้านล่างประกอบ)
    สัญโยชน์ 10 ประกอบด้วย
    1.) สักกายทิฏฐิ : ความเห็นว่ารูปนี้นามนี้หรือกายนี้ใจนี้เป็นอัตตา เป็นตัวเป็นตนของเรา ควรแก่การยึดมั่นถือมั่น ผูกจิตไว้กับความเห็นแก่ตัวอย่างเหนียวแน่น
    2.) วิจิกิจฉา : ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ ไม่ปักใจเชื่อในสิ่งเหล่านี้คือ
    สงสัยว่าพระพุทธเจ้าผู้รู้ทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง และปฏิบัติตามทางนั้นจนสำเร็จ ด้วยตัวพระองค์เองมาแล้ว มีจริงหรือไม่ (สงสัยในพระพุทธเจ้า)
    สงสัยว่าสภาวะที่พ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง และทางปฏิบัติเพื่อเข้าสู่สภาวะนั้น มีจริงหรือไม่ และทางไหนกันแน่ที่ถูกต้องแท้จริง (สงสัยในพระธรรม)
    สงสัยว่าผู้ปฏิบัติตามทางที่พระพุทธเจ้าแนะนำ จนพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงแล้ว มีจริงหรือไม่ (สงสัยในพระสงฆ์)

    ความไม่แน่ใจนี้ผูกจิตเอาไว้กับความไม่แน่วแน่ หรือความไม่จริงจังในการปฏิบัติในทางที่ถูก
    3.) สีลพตปรามาส : การถือศีลพรตด้วยจุดมุ่งหมายที่ผิดทาง ทำให้ไม่ได้ประโยชน์จากศีลหรือพรตนั้น อย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจถึงขั้นได้รับโทษจากการถือศีลพรตนั้นเลยก็ได้ เช่น กิเลสหรือมานะ (ความถือตัว)งอกเงยขึ้น กลายเป็นคนหลงงมงาย หรือเป็นทุกข์ไปโดยเปล่าประโยชน์
    สีลพตปรามาสนี้ผูกจิตไว้กับการปฏิบัติที่ผิดทาง หรือการปฏิบัติอย่างงมงาย
    4.) กามฉันทะ : ความยินดี เพลิดเพลินในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย หรือเพลิดเพลินในความคิด อันเกี่ยวเนื่องด้วยรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายนั้น\
    กามฉันทะนี้ผูกจิตไว้ให้ต้องตกเป็นทาสของรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย เหมือนปลาที่ติดเบ็ดเพราะหลงใหลในเหยื่อที่ล่อเอาไว้ และผูกจิตไว้กับกามภูมิ
    5.) ปฏิฆะ : ความกระทบกระทั่งภายในใจ ความขัดเคืองใจ ความโกรธ ความไม่สบายใจ ความเศร้าโศกเสียใจ
    ปฏิฆะนี้ผูกจิตไว้กับความทุกข์ทางใจต่างๆ นานา
    6.) รูปราคะ : ความยินดี เพลิดเพลินในสมาธิขั้นรูปสมาบัติ หรือรูปฌาน คือสมาธิที่ใช้รูปธรรมเป็นเครื่องยึด เพื่อทำให้เกิดสมาธิ ตัวอย่างรูปธรรมเช่น ดิน น้ำ ไฟ อาการเคลื่อนไหว(ลม) ร่างกาย อวัยวะต่างๆ แสงสว่าง สีต่างๆ สิ่งต่างๆ ที่เห็นในนิมิต (ภาพที่เกิดขึ้นขณะหลับตาทำสมาธิ)
    รูปราคะนี้ผูกจิตไว้กับรูปภูมิ คือภูมิที่ผู้ได้สมาธิขั้นรูปฌานจะไปเกิดเมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ในภูมินี้จะมีความสุขจากสมาธิเป็นหลัก ไม่สนใจในกามคุณทั้งหลาย
    7.) อรูปราคะ : ความยินดี เพลิดเพลินในสมาธิขั้นอรูปสมาบัติ หรืออรูปฌาน อันพ้นจากความยินดีพอใจในรูปทั้งปวง คือสมาธิที่ใช้อรูป คือสิ่งที่ไม่ใช่รูปเป็นเครื่องยึด เพื่อทำให้เกิดสมาธิ ตัวอย่างของอรูปเช่น ช่องว่าง(อากาศ) สิ่งที่รับรู้ความรู้สึก( วิญญาณ) ความไม่มีอะไรเลย(อากิญจัญญายตนสมาบัติ) ความรู้สึกที่เหลืออยู่น้อยมาก จนแทบไม่มีความรู้สึกตัวเลย(เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ) คนที่ได้อรูปฌานนั้น จะไม่ยินดีในรูปใดๆ เลย จะยินดีพอใจในการไม่มีรูปเท่านั้น ไม่ยินดีแม้กระทั่งการมีร่างกาย เพราะมองเห็นแต่ทุกข์ และโทษที่เกิดจากการมีร่างกาย เมื่อตายแล้วจึงไปเกิดในภูมิที่ไม่มีร่างกาย คือมีเฉพาะจิตเพลิดเพลินอารมณ์อันเกิดจากสมาธิอยู่ ที่เรียกว่าอรูปภูมิ
    อรูปราคะนี้ผูกจิตไว้กับอรูปภูมิ
    8.) มานะ : ความถือตัว ความรู้สึกว่ารูปนี้นามนี้หรือกายนี้ใจนี้เป็นเรา ทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับผู้อื่น ว่าเราเหนือกว่าเขา เราเสมอกับเขา หรือเราด้อยกว่าเขา
    มานะนี้ผูกจิตไว้กับการเปรียบเทียบกับผู้อื่น ความชิงดีชิงเด่น ความถือตัว

    9.) อุทธัจจะ : ความฟุ้งซ่านของจิต เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นของจิตคิดว่าสิ่งต่างๆ มีสาระ จิตจึงซัดส่ายไปหาสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นอยู่เนืองๆ ไม่อาจตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งอย่างแนบแน่น เป็นเวลานานๆ ได้
    อุทธัจจะนี้ผูกจิตไว้กับความซัดส่ายรับอารมณ์ไม่มั่น
    10.) อวิชชา : ความไม่รู้สภาวะที่แท้จริงของสรรพสิ่ง คือ ไม่รู้ในทุกข์ เหตุแห่งทุกข์(สมุทัย) สภาวะที่พ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิง(นิโรธ-นิพพาน) ทางปฏิบัติเพื่อพ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิง(มรรค) ไม่รู้ในกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ไม่รู้ในหลักปฏิจจสมุปบาท (การที่สิ่งต่างๆ อิงอาศัยสิ่งอื่นๆ จึงเกิดขึ้นได้) ไม่รู้เรื่องเหตุปัจจัย ไม่รู้ว่าสิ่งทั้งปวงล้วนไม่ควรค่าแก่การยึดมั่นถือมั่น
    อวิชชานี้ผูกจิตไว้กับวัฏสงสาร ภพภูมิทั้งปวง ความทุกข์ทั้งปวง และผูกจิตไว้กับสัญโยชน์ทั้งปวง
     
  2. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ขอคารวะทั่นจอมยุทธจันทรา จอก ยอดเยี่ยมมากครับ555
     
  3. jdean

    jdean เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +147
    ช่วยได้เยอะเลยครับ
     
  4. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านได้สอนลูกศิษย์ให้เน้นที่สังโยชน์ตัวแรกก่อนคือ สักกายทิฏฐิ : ความเห็นว่ารูปนี้นามนี้หรือกายนี้ใจนี้เป็นอัตตา เป็นตัวเป็นตนของเรา ควรแก่การยึดมั่นถือมั่น ผูกจิตไว้กับความเห็นแก่ตัวอย่างเหนียวแน่น ซึ่งเป็นตัวสังขารจิต ถ้าตัวนี้ยังตัดไม่ได้ตัวอื่นๆก็ไม่มีทางตัดได้ดังนั้นจึงต้องมุ่งเน้นที่ต้องตัด 1.สักกายทิฏฐิ ให้ได้ก่อนแล้วตัวอื่นก็จะค่อยๆทยอยตัดออกไปได้ เหมือนกับว่า สักกายทิฏฐิ นี้คือรากแก้ว(เหง้า)ของอวิชชากับอุปทาน ส่วนข้ออื่นๆคือรากฝอยของอวิชชากับอุปทานที่ต้องเก็บออกภายหลังและรากฝอยต่างก็มีระดับความลึกลงในดินไม่เท่ากัน ถ้าเก็บรากฝอยระดับตื้น(2, 3 โทสะ 50 %)ออกก็จะได้ภูมิธรรมโสดาปัตติผล ถ้าเก็บรากฝอยระดับกลาง(2, 3, โทสะ 90 %)ออกก็จะได้ภูมิธรรมสกิทาคามีผล ถ้าเก็บรากฝอยระดับลึก(2, 3, 4, 5 โทสะ 99 %)ออกก็จะได้ภูมิธรรมอานาคามีผล ถ้าเก็บรากฝอยระดับลึกสุด(2 ถึง 10 โทสะ 100 %)ออกหมดก็จะได้ภูมิธรรมอรหัตติผล อาจจะไม่สมบูรณ์หรือมีบางส่วนผิดอยู่ขอคุณInWจัunSา ช่วยแก้ไขให้ด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 พฤศจิกายน 2006
  5. weirchai

    weirchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +1,410
    ขอบคุณครับ ที่ยังมีผู้ให้ความสนจัยกับ ตัว สังโยชน์10นี่อยู่
    ดังที่คุณ tossapornk กล่าวมาว่าให้ตัด ตัวแรกก่อนคือตัว สักกายทิฎฐิ นั้น
    เพราะว่าตัวนี้ เป็นตัวเริ่มต้นของการตัดสังโยชน์ทั้งปวงครับ การที่จะตัดสังโยชน์ได้ ต้องเริ่มที่ตัวแรกก่อนครับ แล้วค่อยไล่ลงไป 2-10 ที่หลัง
    เพราะรัยรู้ไหมครับ เพราะว่ากว่าจะมาเป็นพระอรหัตน์ได้ต้องตัดสังโบชน์ออกทีละข้อ แล้วไต่เต้าจาก โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และค่อยมาถึงพระอรหัตน์

    การบรรลุโสดาบัน คือ เป็นพระอริยบุคคลระดับแรกสุด คือ การละสังโยชน์เบื้องต่ำ(โอรัมภาคิยสังโยชน์) 3 ประการ ได้แก่
    ๑. สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน
    ๒. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
    ๓. สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีล พรต

    พระ สกิทาคามี ละสังโยชน์เบื้องต่ำ 3 ข้อ ข้างต้น และ ทำสังโยชน์ข้อ ๔ และ ๕ ให้เบาบางลงด้วย
    ๔. กามราคะ ความติดใจในกามคุณ
    ๕. ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ

    พระอนาคามี ละสังโยชน์ ๕ ข้อต้นได้หมด

    พระอรหันต์ละ สังโยชน์ทั้งต่ำและสูง(อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ) รวม ๑๐ ข้อ
    ๖. รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรมอันประณีต ๗. อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม
    ๘. มานะ ความถือ ว่าตัวเป็นนั่นเป็นนี่
    ๙. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
    ๑๐. อวิชชา ความไม่รู้จริง

    สังโยชน์เหล่านี้เราเรียกว่า กิเลส หรือ ธรรมที่ทำให้เกิดทุกข์

    โสดาบัน: ผู้ถึงกระแสที่จะนำไปสู่นิพพาน,พระอริยบุคคลผู้ได้บรรลุโสดาปัตติผล มี ๓ ประเภทคือ
    ๑. เอกพีชี เกิดอีกครั้งเดียว
    ๒. โกลังโกละ เกิดอีก ๒-๓ ครั้ง
    ๓. สัตตักขัตตุปรมะเกิดอีก ๗ ครั้ง เป็นอย่างมาก

    โสดาปัตติมรรค: ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุผล คือความเป็นพระโสดาบัน, ญาณคือความรู้เป็นเหตุละสังโยชน์ได้๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
    <!-- / message -->


     

แชร์หน้านี้

Loading...