เรื่องเด่น ปรากฏการณ์ทางจิตเมื่อเข้าถึงธรรม หลวงปู่ขาว อนาลโย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 30 สิงหาคม 2010.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ปรากฏการณ์ทางจิตเมื่อเข้าถึงธรรม


    หลวงปู่ขาว อนาลโย

    คัดมาจากส่วนหนึ่ง ของหนังสือใต้จิตสำนึก

    เหตุ


    ครั้นกาลต่อมาหลวงปู่ขาวได้โอกาสดี จึงขึ้นไปเที่ยววิเวกทางบ้านพวกชาวยางอีกครั้งหนึ่ง ไปพักบำเพ็ญภาวนาปรารภความเพียรอยู่ที่แม่สุนประมาณ 1 เดือน เร่งความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ ขณะที่เริ่มทำความเพียรอย่างเต็มที่นั้น คือ ช่วงที่ท่านเพิ่งหายจากป่วยไข้ใหม่ๆ ซึ่งเป็นมาตลอดพรรษา ร่างกายแข็งแรงดีขึ้นตามลำดับ รู้สึกเจริญอาหาร ท่านจึงตั้งปัญหาถามตนเองว่า


    “ถ้าฉันอิ่ม อิ่มแล้วจะไปทำอะไร” ใจหนึ่งตอบว่า


    “จะตั้งใจทำความเพียร”


    “จริงหรือ” อีกใจหนึ่งถาม ใจหนึ่งตอบอีกว่า


    “จริง” “


    “เรายังไม่เชื่อตัวนะ ลิ้นมนุษย์ ใจมนุษย์ มันแสนจะหลายเหลี่ยมหลายคม แต่เราจะคอยดูว่ามันจะจริงหรือเท็จ ถ้าเจ้าจะทำความเพียรจริง ๆ แล้วเราจะให้เจ้าฉันอิ่มหนำสำราญนั้นแหละ ” ใจหนึ่งตอบอีกว่า


    “ลองดูก็แล้วกันเราจะเห็นกันในไม่ช้านี้”


    ตั้งแต่นั้นมา ท่านก็ออกบิณฑบาตมาฉันให้เต็มอิ่มแล้ว ขอให้ชาวศรัทธาช่วยทำทางจงกรมให้ 3 เส้น 3 แห่ง


    เส้นที่ 1 บูชาคุณพระพุทธเจ้าจอมบรมครูผู้สอนสั่ง


    เส้นที่ 2 บูชาพระธรรมเจ้า อันเป็นพระโอวาทอันศักดิ์สิทธิ์ “นิยยานิกธรรม” นำผู้ประพฤติปฏิบัติว่าให้พ้นไปจากทุกข์


    เส้นที่ 3 บูชาคุณพระอริยสงฆ์ขัณสณะ ผู้หมดแล้วซึ่งกิเสสอาสวะทั้งหลายทั้งปวง


    เมื่อได้อธิษฐานไว้อย่างนี้แล้วก็ได้ตั้งสัจจบารมีสำทับอีกที หวังจะให้แน่นหนามั่นคงเจ้าไปอีก คือ
    ตอนเช้าฉันจังหันเสร็จ ทำกิจวัตร ทั้งปวงเรียบร้อยแล้ว ต้องเดินจงกรมสำรวมจิต
    จนถึงตะวันเที่ยง นั่งสมาธิ 1 ชั่วโมง


    ตั้งแต่บ่าย 2 โมง เป็นต้นไปเดินจงกรมเส้นพระธรรม


    จนถึงบ่าย 4 โมง หยุดทำกิจวัตร มีการกวาดลานวัด และตักน้ำใช้ น้ำฉัน และน้ำสรง เมื่อเสร็จกิจวัตรทั้งหลายทั้งปวงแล้ว ไปเดินจงกรมเส้นที่ 3 บูชาพระอริยสงฆ์


    จนถึง 1 ทุ่มต่อจากนั้นสวดมนต์ไหว้พระ


    การสวดมนต์ไหว้พระของท่านนั้นเป็นการสวดแต่เพียงย่อ ๆ เท่านั้น เพราะจะเป็นการเปลืองเวลา ในการที่จะปรารภความเพียรอย่างยิ่งยวด เพราะท่านกล่าวว่า “เวลาของชีวิตเรามีน้อย วันเดือนมันเคลื่อนคล้อยลอยไป ชีวิตเราก็ใกล้เข้าขยับเข้า จ่อปากมัจจุราชทุกทีๆ เราจะชักข้าไม่ได้แล้ว”


    แล้วนั่งสมาธิต่อจนถึง 6 ทุ่ม จึงพักผ่อน


    ตื่นมาเวลา 03.00 น. นั่งสมาธิต่อจนถึง 8 โมงเช้า จึงไปบิณฑบาต โปรดเป็นกิจวัตรประจำวัน


    การนั่งสมาธิภาวนา บำเพ็ญเพียร ท่านใช้บริกรรม “ทวัตติสสาการ” ตั้งแต่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ จนถึงอาการ 32 อนุโลมปฏิโลม ถอยกลับไปกลับมาไม่ให้เผลอสติ ถ้าเผลอเมื่อไรต้องเริ่มต้นใหม่ทุกครั้งไป จนสติอยู่กับบริกรรมนั้น บริกรรมอยู่อย่างนั้นจนจิตสงบ ไม่ออกไปเที่ยวใด ๆ อยู่กับบริกรรมตลอดเวลา หนักเข้าแม้จะไปบิณฑบาต ตักน้ำ กวาดลานวัด ก็ไม่เผลอ ในกรรมฐานที่ได้ตั้งไว้ อาการ 32 ชำนาญทั้งอนุโลมปฏิโลม


    ผล


    จิตก็สงบอย่างเต็มที่ ปรากฏอารมณ์กับจิตขาดออกจากกัน ไม่ข้องเกี่ยวแก่กัน ผู้รู้และความสว่างไสวอยู่ส่วนหนึ่ง อารมณ์ก็ปรากฏเป็นอีกส่วนหนึ่ง อารมณ์เป็นของเปลี่ยนแปลงเกิด ๆ ดับ ๆ ไม่คงที่


    เมื่อจิตได้หยั่งลงสู่ฐานของมันจริง ๆ แล้ว มันก็หดตัวเข้าไปสู่ความไม่รับรู้อะไรทั้งหมดทั้งสิ้น แต่ก็มิได้ติดอยู่ในแสงอันสว่างไสว หรือความสงบนั้น ปัญญาพุ่งขึ้นมาเหมือนน้ำพุ มันทำงานของมันเอง เหมือนเครื่องยนต์ที่สมบูรณ์ด้วยเครื่องสัมภาระ มีน้ำมัน ลม ไฟ อย่างสมบูรณ์และบริบูรณ์


    ต่อจากนั้นก็ค้นคิดเรื่องไตรลักษณ์ จนแจ้งประจักษ์ในใจ ไม่ข้องใจ ไม่สงสัยในเรื่องนั้น ๆ นับว่าตั้งแต่เข้ามาในพุทธศาสนา จิตใจได้รับความสงบเยือนเย็น เป็นผลมาจากการปฏิบัติอย่างแท้จริง จึงทำเกิดความสว่างไสวในจิต จนมองเห็นโลกได้อย่างแท้จริง


    นับแต่ขณะโลกธาตุไหว ฟ้าดินถล่ม วัฏจักรภายในจิตจมหายไปแล้ว ธาตุขันธ์และจิตใจทุกส่วนต่างเป็นอิสระไปตามธรรมชาติของตน ไม่ถูกจับจองกดถ่วงจากฝ่ายใด อินทรีย์ห้า อายตนะหกทำงานตามหน้าที่ของมันจนกว่าธาตุขันธ์จะหาไม่ โดยไม่มีการทะเลาะวิวาทกระทบกระทั่งกันดังที่เคยมา


    (การทะเลาะท่านหมายถึง ความไม่ลงรอยระหว่างสิ่งภายใน กับสิ่งภายนอกสัมผัสกัน ทำให้เกิดความยินดียินร้าย กลายเป็นความสุขทุกข์ขึ้นมา และเกี่ยวโยงกันไปเหมือนลูกโซ่ ไม่มีเวลาจบสิ้นลงได้)

    คดีต่างๆ ภายในจิตที่มีมากและวุ่นว่ายยิ่งกว่าคดีใดๆ ในโลกได้ยุติลงอย่างราบคาบ นับแต่ขณะศาลสถิตยุติธรรมได้สร้างขึ้นภายในใจโดยสมบูรณ์แล้ว เรื่องก่อกวนลวนลามต่างๆ ไม่มีประมาณ ซึ่งเคยยึดจิตเป็นสนามเต้นรำ และทะเลาะวิวาทบาดหมางไม่มีเวลาสงบลงได้ เพราะอวิชชาตัณหาเป็นหัวหน้า บงการบัญชางานให้โกลาหลวุ่นว่าย ร้อยแปดพันประการนั้น ได้สงบลงอย่างราบรื่นชื่นใจ กลายเป็นโลกร้างว่างเปล่าภายในจิต ผลิตวิชาธรรมแทนอธรรม กิจนอกการภายในได้เป็นไปโดยธรรมสม่ำเสมอ ไม่มีอริศัตรูมาก่อกวนวุ่นวาย ตาเห็น หูได้ยิน จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายสัมผัส เย็นร้อนอ่อนแข็ง ใจรับทราบอารมณ์ต่างๆ เป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่อาจเอื้อมปีนเกลียวยุแหย่แปรรูปคดีให้ผิดเป็นถูก ผูกเป็นแก้ แย่เป็นดี ผีเป็นคน พระเป็นเปรต เปรตกลับเป็นคนดี แม้เป็นหรือตายก็มีความสุขนี่คือท่านผู้นิรทุกข์ปราศจากเครื่องร้อยรัดด้วยประการทั้งปวง



    ขณะที่องค์หลวงปู่ขาวท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์


    คัดเอามาจากประวัติหลวงพ่อทูลครับ คงเป็นการเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนอีกแล้ว...


    " หลวงปู่ก็ได้เล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาแล้วหลายสิบปี หลวงปู่เล่าให้ฟังอย่างละเอียดติดต่อกัน เหมือนกับว่าประสบการณ์นั้นเพิ่งเกิดขึ้นเพียง ๒ - ๓ วันนี้เอง กิริยาท่าทางการแสดงออก หลวงปู่จำได้อย่างแม่นยำทีเดียว หลวงปู่เล่าถึงเหตุที่ทำให้เกิดปัญญาในครั้งนั้นว่า


    ในบ่ายวันหนึ่ง ได้ลงไปสรงน้ำที่เชิงดอย เป็นเวลาที่ชาวนากำลังเก็บเกี่ยวข้าว เมื่อมองดูทุ่งนา ก็ล้วนแต่มีข้าวแก่เหลืองเต็มไปหมด ในตอนนั้นน้ำก็ยังไม่ได้สรง ในขณะที่ดูข้าวในนาเขาอยู่นั้น มีความคิดเกิดขึ้นที่ใจว่า เมล็ดข้าวนี้เกิดมาจากอะไร มีอะไรเป็นเหตุให้เมล็ดข้าวเกิดขึ้น


    ก็คิดตอบทันทีว่า เมล็ดข้าวเกิดขึ้นจากเมล็ดข้าวเอง เพราะเมล็ดข้าวนั้นมีเชื้อพาให้เกิด เมื่อคนเอาเมล็ดข้าวที่มีเชื้อนั้นไปหว่านลงบนพื้นดิน เชื้อของเมล็ดข้าวนั้นก็เริ่มแตกตุ่มออกมาจากเมล็ดข้าวนั้น ทีแรกก็เป็นตุ่มขาว ๆ เล็ก ๆ มีรากหยั่งลงไปในพื้นดิน แล้วดูดเอาปุ๋ยต่าง ๆ จากพื้นดินมาเป็นอาหาร ต่อมาก็มีต้นข้าวเล็ก ๆ งอกออกมาจากเมล็ดข้าวนั้น หลายวันต่อมาก็งอกงามเหมือนกับต้นหญ้า เมื่อได้ประมาณ ๑ เดือน เขาก็ถอนขึ้นมา แยกออกไปปลูกในพื้นดินอีก ต้นข้าวก็ใหญ่ขึ้นแก่ขึ้น เมื่อโตเต็มที่แล้วก็ออกรวงเป็นเมล็ดข้าวเปลือกอ่อน ๆ จากนั้นเมล็ดข้าวเปลือกอ่อน ๆ ก็แก่ขึ้น มีเมล็ดข้าวสารเกิดขึ้นในเมล็ดข้าวเปลือกนั้น และมีเชื้อติดอยู่กับหัวเมล็ดข้าว เมื่อแก่แล้ว ชาวนาก็จะเก็บเอาเมล็ดข้าวที่มีเชื้อนั้นไว้ เพื่อจะไว้ใช้ทำพันธุ์ต่อไป เมล็ดข้าวที่จะได้เกิดขึ้นมาใหม่ ก็เหมือนกันกับเมล็ดข้าวเก่านี่เอง


    หลวงปู่อธิบายต่อไปว่า


    เมล็ดข้าวที่มีเชื้ออยู่นี้ เมื่อไปตกอยู่กับพื้นดินที่ชุ่มเมื่อไรก็จะเกิดเป็นต้นขึ้นมาอีก แต่ถ้าแกะเอาเปลือกนอกมันออกทิ้งไป แล้วใช้เล็บมือแกะเอาหัวเชื้อที่เมล็ดข้าวออกทิ้งไปเสีย เมล็ดข้าวที่เหลือถึงจะเอาไปหว่านลงในพื้นดินที่ชุ่มไปด้วยน้ำและปุ๋ย เมล็ดข้าวนั้นก็จะไม่เกิดเป็นต้นขึ้นมาอีกเลย หรือเอาเมล็ดข้าวเปลือกนั้นไปคั่วด้วยไฟให้ร้อนไหม้ เมื่อนำมาหว่านบนพื้นดินก็จะไม่เกิดอีกเช่นกัน เพราะเชื้อในเมล็ดข้าวนั้นได้ถูกทำลายไปหมดแล้ว จึงหมดเหตุหมดปัจจัยที่จะทำให้เมล็ดข้าวเกิดขึ้นมาได้อีก


    เมื่อพิจารณาเมล็ดข้าวเสร็จแล้วก็ โอปนยิโก น้อมเอาเมล็ดข้าวนั้นเข้ามาหากาย และน้อมเข้ามาหาใจ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาต่อไปว่า ต้นข้าวทั้งหมดเหมือนกันกับร่างกายเรา เมล็ดข้าวนั้นเหมือนกันกับใจเรา เชื้ออยู่ในหัวเมล็ดข้าวนั้นเหมือนกันกับกิเลส ตัณหา อวิชชา การใช้เล็บมือแกะหัวเชื้อที่อยู่ในเมล็ดข้าวทิ้งไป ก็เหมือนกันกับได้ใช้สติปัญญากำจัดกิเลส ตัณหา อวิชชา ออกจากใจได้แล้ว ถ้าใจไม่มีเชื้อที่จะพาให้เกิดเป็นภพเป็นชาติอีก ร่างกายนี้จะมีมาจากที่ไหน ฉะนั้น เรื่องของใจและเรื่องกิเลส ตัณหา อวิชชา ที่มีอยู่ในใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ ต้องกำจัดให้หมดไปในชาตินี้ให้ได้ เพื่อจะไม่ให้ภพชาติของเรายืดเยื้อในการไปเกิดใหม่อีกต่อไป


    ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ในช่วงที่หลวงปู่เอาเมล็ดข้าวมาพิจารณาด้วยปัญญานี้เอง จึงเป็นจุดเริ่มต้นของวิปัสสนาญาณที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ถ้าดูเพียงผิวเผินก็เหมือนกับใช้ความคิดพิจารณาธรรมดา ไม่แตกต่างกันกับความคิดพิจารณาของนักปฏิบัติทั่ว ๆ ไป แต่มีอีกอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนกัน นั่นคือ กำลังของใจ กำลังของสติ กำลังของปัญญา และกำลังบารมี ที่มาบรรจบกันพอดี เรียกว่า บารมีที่อบรมสะสมมาแล้วในอดีตชาติทั้งหมด และบารมีที่หลวงปู่ได้ภาวนาปฏิบัติ สะสมอินทรีย์ที่แก่กล้ามาในชาตินี้ ตลอดทั้งกำลังความเพียรอื่นใดที่หลวงปู่ได้บำเพ็ญมาแล้วทั้งอดีตและปัจจุบัน เมื่อรวมตัวกันได้แล้วจึงได้เกิดกำลังขึ้น เรียกว่า กำลังของวิปัสสนาญาณ นั่นเอง กำลังของวิปัสสนาญาณนี้จะประหารกิเลส ตัณหา อวิชชา ให้หมดไปจากใจทันที เพราะกำลังของวิปัสสนาญาณนี้ เหนือกว่ากำลังของกิเลสตัณหาทั้งปวง กำลังของวิปัสสนาญาณนี้เอง จึงเป็นจุดเด่นเฉพาะตัวของผู้ที่จะได้บรรลุธรรม


    หลังจากนั้น หลวงปู่ก็ได้สรงน้ำ และใช้กระบอกไม้ไผ่ตักเอาน้ำสะพายกลับมากุฏิทันที ในระหว่างที่เดินกลับนี้ หลวงปู่ก็ใช้อิริยาบถเดินจงกรม โดยใช้ปัญญาพิจารณาในสัจธรรมอยู่ตลอด ปัญญานี้จะมีความต่อเนื่องกันจากเมล็ดข้าวดังที่ได้อธิบายมาแล้ว เพื่อเป็นอุบายสอนใจอยู่ตลอดเวลา พิจารณาด้วยปัญญาประกอบเหตุผลให้เป็นไปตามความเป็นจริง ให้ใจได้เห็นทุกข์ โทษ ภัย ในชาติ คือ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ว่าไม่มีอะไรเป็นของของเราอยู่ตลอดเวลา ปัญญาที่นำอุบายธรรมมาสอนใจนั้นห้าวหาญเด็ดเดี่ยวมาก จะพิจารณาเรื่องใดก็รู้เห็นชัดเจนไปทั้งหมด อุบายปัญญาที่นำมาพิจารณานั้นก็เป็นอุบายเก่า ๆ ที่เคยใช้มาแล้วทั้งหมด แต่ก่อนพิจารณาไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะใจยังไม่ยอมรับความจริงในสิ่งนั้น ๆ แต่เมื่อวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นที่ใจได้แล้ว ก็จะประหารกิเลสตัณหาอวิชชาที่มีอยู่ในใจให้หมดไป


    นั่นคือ ใจยอมรับตามความเป็นจริงทั้งหมด จะรู้เห็นในความเกิด แก่ เจ็บ และตาย ว่าเป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นภัย ที่น่ากลัวไปเสียทั้งหมด ชาติคือ ความเกิดในอดีตที่ผ่านมา ก็มีแต่ทุกข์ โทษ ภัย ในชาติปัจจุบันนี้ก็มีแต่ทุกข์ โทษ ภัย เต็มอยู่ในกายในใจทั้งหมด อนาคตที่จะไปเกิดในภพชาติต่อไป ก็จะมีแต่ทุกข์ โทษ ภัย เหมือนในชาติปัจจุบันนี้เอง ใจจึงมีความกลัวในการเกิดเป็นอย่างยิ่ง และเบื่อหน่ายในธาตุขันธ์ที่จะไปเกิดเอาภพชาติอีกต่อไป


    ในตอนเย็นวันนั้น หลวงปู่เดินจงกรมใช้ปัญญาพิจารณาอยู่ตลอด เมื่อค่ำมืดหลวงปู่ก็ขึ้นไปภาวนาที่กุฏิต่อไป หลวงปู่เล่าว่า การขึ้นไปภาวนาที่กุฏินั้นใช้อุบายในการทำสมาธิ เมื่อใช้สติกำหนดจิตนิดเดียวเท่านั้น ก็ลงสู่ความสงบเต็มที่ หลวงปู่ว่า นับแต่ปฏิบัติภาวนามาหลายปี เพิ่งรู้จักจิตสงบเป็นสมาธิในครั้งนี้เอง แต่ก่อนจิตมีความสงบเหมือนกับสายฟ้าแลบแวบเดียวก็ถอนออกมา แล้วจึงใช้ปัญญาพิจารณาด้วยอุบายธรรมต่าง ๆ ตลอด แต่บัดนี้ จิตมีความสงบหนักแน่นแน่วแน่มาก


    หลวงปู่จำคำสอนของหลวงปู่มั่นที่สอนไว้ว่า


    ขาว ถ้าจิตมีความสงบถึงฐานของสมาธิแล้ว อย่าไปบังคับให้ถอนนะ ปล่อยให้อยู่ในความสงบนั้นไป จนจิตได้มีความอิ่มตัวในสมาธินั้น ๆ ได้เวลาแล้วจิตก็จะถอนออกมาเอง เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว ก็ให้ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไป


    ในคืนนั้น หลวงปู่ข่าวได้ปฏิบัติตามโอวาทของหลวงปู่มั่นได้เป็นอย่างดี ในที่สุด หลวงปู่ขาวก็ได้ตัดกระแสวัฏจักรให้ขาดไปจากใจในคืนนั้นเอง ฉะนั้น วิปัสสนาญาณจึงเป็นญาณที่คมกล้า เป็นญาณที่มีกำลัง เป็นญาณที่เกิดขึ้นเพื่อตัดกระแสของกิเลส ตัณหา อวิชชา โดยตรง เมื่อตัดกระแสของอาสวะกิเลสทั้งปวงหมดไปจากใจแล้ว วิปัสสนาญาณก็สลายไป ไม่ได้ตั้งอยู่นาน และไม่มีวิปัสสนาญาณใดเกิดขึ้นมาอีกเป็นรอบสอง เพราะไม่มีกิเลส ตัณหา อวิชชา เหลืออยู่ภายในใจอีกแล้ว


    หลวงปู่ขาวพูดว่า


    ในเวลาจวนจะสว่างของคืนนั้น กิเลส ตัณหา อวิชชา ที่เป็นเจ้าครองหัวใจมานาน กับวิปัสสนาญาณที่เกิดมาต่อสู้กันนั้น ถือว่าเป็นมหาสงครามเลยทีเดียว กิเลส ตัณหา อวิชชา ก็มีความเหนียวแน่นไม่ยอมหลุดออกไปจากใจ และเกาะยึดติดที่ใจเอาไว้ไม่ยอมปล่อยวาง แต่ก็ทนต่อกำลังของวิปัสสนาญาณไม่ไหว วิปัสสนาญาณจึงได้ฆ่ากิเลสให้ตายคายกิเลสออก สำรอกให้กิเลสหลุด จิตก็เข้าถึงวิมุตินิพพานในคืนนั้นแล เป็นอันว่าสงครามระหว่างกิเลสตัณหากับสติปัญญาที่ห้ำหั่นกันมาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ก็ได้สิ้นสุดลงในเวลาจวนสว่างของคืนนั้นเอง


    หลังจากที่สนทนากับหลวงปู่จนได้เวลาอันสมควร ก็ต้องลาหลวงปู่กลับไปกุฏิ หลวงปู่ได้สั่งว่า


    คืนต่อไปมาคุยธรรมะกันอีกนะ คุยกันยังไม่จบ นับแต่เฮารู้ธรรมมานี่ก็หลายปี ยังไม่เคยสนทนาธรรมกับใครยาวถึงขนาดนี้ เพราะไม่รู้ว่าจะพูดให้ใครฟัง เพราะไม่รู้ภาษากัน


    หลวงปู่พูดว่า ในครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เคยได้พูดเรื่องธรรมกับอาจารย์มหาบัว แต่ก็ไม่ได้พูดกันนานเพราะไปในงานกิจนิมนต์ด้วยกัน จากนั้นมาก็เพิ่งมีท่านนี่แหละ พาให้ผมได้พูดธรรมะอีก"


    คัดลอกจาก ประตูธรรม
    www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_kao/lp-kao-06.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2010
  2. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    ต้นข้าวทั้งหมดเหมือนกันกับร่างกายเรา เมล็ดข้าวนั้นเหมือนกันกับใจเรา เชื้ออยู่ในหัวเมล็ดข้าวนั้นเหมือนกันกับกิเลส ตัณหา อวิชชา การใช้เล็บมือแกะหัวเชื้อที่อยู่ในเมล็ดข้าวทิ้งไป ก็เหมือนกันกับได้ใช้สติปัญญากำจัดกิเลส ตัณหา อวิชชา ออกจากใจได้แล้ว ถ้าใจไม่มีเชื้อที่จะพาให้เกิดเป็นภพเป็นชาติอีก ร่างกายนี้จะมีมาจากที่ไหน ฉะนั้น เรื่องของใจและเรื่องกิเลส ตัณหา อวิชชา ที่มีอยู่ในใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ ต้องกำจัดให้หมดไปในชาตินี้ให้ได้ เพื่อจะไม่ให้ภพชาติของเรายืดเยื้อในการไปเกิดใหม่อีกต่อไป

    อนุโมทนา ครับ



     
  3. คนวิเชียร

    คนวิเชียร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +1,298
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ ครับถ้าจิตมีความสงบถึงฐานของสมาธิแล้ว อย่าไปบังคับให้ถอนนะ ปล่อยให้อยู่ในความสงบนั้นไป จนจิตได้มีความอิ่มตัวในสมาธินั้น ๆ ได้เวลาแล้วจิตก็จะถอนออกมาเอง เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว ก็ให้ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไป

     
  4. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    [​IMG]
    หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล


    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com
    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา
    [​IMG]</O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2010
  5. ทิพย์ปทุโม

    ทิพย์ปทุโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +2,471
    "ถ้าจิตมีความสงบถึงฐานของสมาธิแล้ว อย่าไปบังคับให้ถอนนะ ปล่อยให้อยู่ในความสงบนั้นไป จนจิตได้มีความอิ่มตัวในสมาธินั้น ๆ ได้เวลาแล้วจิตก็จะถอนออกมาเอง เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว ก็ให้ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไป"

    ;k04อ่านข้อความนี้แล้วคิดถึงตัวเองเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (29/8/53) ไปถึงวัดสังฆทานเวลา 8.35 น. ฝนตกพร่ำ ๆ คนในลานธรรมเขาไปอยู่บนเรือนเนกขัมมะกันหมด เราไม่ได้ตามไป ไปกราบหลวงพ่อโตดีกว่า นั่งสมาธิสักครู่จนกายและใจนิ่งสงบแล้ว พลันเสียงสวดมนต์ทำวัตรเช้าก็ดังขึ้น เลยได้สวดมนต์อยู่ในโบสถ์แก้ว พร้อมกับเสียงตามสายจนจบพิธี ปกติถ้าอยู่ลานธรรม กรรมฐานจะไม่นาน เพราะจะต้องต่อด้วยกิจกรรมอื่น ๆ แต่วันนั้น เรานั่งอยู่ในโบสถ์แก้ว ไม่ถูกขัดจังหวะด้วยกิจกรรมอื่น เลยนั่งกรรมฐานต่อเนื่องยาวนาน ตกใจตัวเองอีกที ท้องร้องขึ้นมา หิวนะซิ ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่ตื่นนอน เลยค่อย ๆ ออกจากกรรมฐาน ดูนาฬิกา โอ้แม่เจ้า 10.45 น. ฉันนั่งเข้าไปได้อย่างไรเนี่ย คิดว่านั่งแป๊ปเดียวนะเนี่ย เสียดายท้องมาปลุกให้ออกจากกรรมฐานซะได้ กำลังอิ่มเอมกับกรรมฐานอย่างมีความสุขอยู่เลย แหม เสียดายจัง... ;k06
     
  6. Nok Nok

    Nok Nok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +3,297
    [​IMG]
    [​IMG]
    โมทนา สาธุ สาธุ สาธุ...
     
  7. pharm.taung

    pharm.taung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2009
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +432
    กราบ กราบ กราบ หลวงปู่ขาวครับ
     
  8. Bill2541

    Bill2541 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +159
    hp_dayhp_dayhp_day

    ... อนุโมทนา ... พุทโธ ... พุทโธ ...

    hp_dayhp_dayhp_day
     
  9. siranyapat

    siranyapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +382
    อยากถามเพื่อนกัลยามิตรเมื่อคืนก่อนนอนสวดมนต์นั่งสมาธิได้น้อยกว่าทุกวันแค่45นาทีเองเพราะปกติประมาณ1.5-2ชม.มีอาการไม่สงบเลยเข้านอนสี่ทุ่มเพราะปกติจะตื่นตี3-ตี4เพื่อนั่งสมาธิเดินจงกรมอีกจนถึงตี5จึงสวดมนต์เช้าภาวนาก่อนนอนสักครู่ก็หลับตาขณะที่จะหลับดูนาฬิกาเกือยสี่ทุ่มครึ่งเคิ้มๆเหมือนมีฟ้าผ่าหรือระเบิดแสงจ้าขึ้นที่ระหว่างหัวตาหรือคิ้วเสียงดังเปลี้ยงดิฉันตกใจต่นขึ้นมองดูสามีนอนดูทีวีเฉย เลยมีอาการงงๆไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครทราบช่วยบอกด้วยค่ะ
     
  10. จริยากุ

    จริยากุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,314
    ค่าพลัง:
    +1,446
    คิดว่าจิตเริ่มดิ่งในสภาวะธรรมแต่ขณะนั้นคุณตกใจจิตจึงถอนออกจากสภาวะนั้น ซึ่งการเข้าถึงแบบนั้นต้งใช้ความเพียรฝึกต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน แต่ถ้าฝึกต่อเนื่องบ่อยๆตลอดจิตจะชำนาญ และรวมตัวอยู่ในอารมณ์เดียวถ้าได้แบบนั้นอย่ารีบถอนจิตออกมาให้นิ่งอยู่จนกว่าจิตจะถอนเอง(ดูจิตตามจิตอย่าให้มีอารมณ์หรือความรู้สึก แค่ตามดูเท่านั้น)ถ้าทำอย่างสม่ำเสมอจะก้าวหน้าทางธรรม ช่วงนี้ขอให้มีความเพียรอย่างจริงๆ ทุ่มทุนสร้างดีที่สุด ถ้าทิ้งช่วงนี้ อาจจะต้องนับหนึ่งใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำยากสำหรับคนทางโลกข้าพเจ้าเคยเป็นมาก่อนยังเสียดายที่ตอนนั้นทำโดยไม่เข้าใจไม่รู้จะถามใครเริ่มใหม่หลังจากนั้น 10ปี คือนับใหม่มีความเข้าใจเมื่อมีโอกาสคุยและถามผู้ที่ทำจริงตอนนี้เร่งทำอยู่ขอเป็นกำลังใจให้สำเร็จนะ
     
  11. siranyapat

    siranyapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +382
    ขอบคุณมากๆนะคะ คุณ jidsai จะพยายามต่อไปค่ะ ยังสู้ไหวค่ะ
     
  12. หยก พัทยา

    หยก พัทยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +158
    อนุโมทนา สาธุครับ
    เมล็ดข้าวที่มีเชื้ออยู่นี้ เมื่อไปตกอยู่กับพื้นดินที่ชุ่มเมื่อไรก็จะเกิดเป็นต้นขึ้นมาอีก แต่ถ้าแกะเอาเปลือกนอกมันออกทิ้งไป แล้วใช้เล็บมือแกะเอาหัวเชื้อที่เมล็ดข้าวออกทิ้งไปเสีย เมล็ดข้าวที่เหลือถึงจะเอาไปหว่านลงในพื้นดินที่ชุ่มไปด้วยน้ำและปุ๋ย เมล็ดข้าวนั้นก็จะไม่เกิดเป็นต้นขึ้นมาอีกเลย หรือเอาเมล็ดข้าวเปลือกนั้นไปคั่วด้วยไฟให้ร้อนไหม้ เมื่อนำมาหว่านบนพื้นดินก็จะไม่เกิดอีกเช่นกัน เพราะเชื้อในเมล็ดข้าวนั้นได้ถูกทำลายไปหมดแล้ว จึงหมดเหตุหมดปัจจัยที่จะทำให้เมล็ดข้าวเกิดขึ้นมาได้อีก


    เมื่อ พิจารณาเมล็ดข้าวเสร็จแล้วก็ โอปนยิโก น้อมเอาเมล็ดข้าวนั้นเข้ามาหากาย และน้อมเข้ามาหาใจ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาต่อไปว่า ต้นข้าวทั้งหมดเหมือนกันกับร่างกายเรา เมล็ดข้าวนั้นเหมือนกันกับใจเรา เชื้ออยู่ในหัวเมล็ดข้าวนั้นเหมือนกันกับกิเลส ตัณหา อวิชชา การใช้เล็บมือแกะหัวเชื้อที่อยู่ในเมล็ดข้าวทิ้งไป ก็เหมือนกันกับได้ใช้สติปัญญากำจัดกิเลส ตัณหา อวิชชา ออกจากใจได้แล้ว ถ้าใจไม่มีเชื้อที่จะพาให้เกิดเป็นภพเป็นชาติอีก ร่างกายนี้จะมีมาจากที่ไหน ฉะนั้น เรื่องของใจและเรื่องกิเลส ตัณหา อวิชชา ที่มีอยู่ในใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ ต้องกำจัดให้หมดไปในชาตินี้ให้ได้ เพื่อจะไม่ให้ภพชาติของเรายืดเยื้อในการไปเกิดใหม่อีกต่อไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. ธัมปฏิบัติ

    ธัมปฏิบัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +1,020
  14. Maykumi

    Maykumi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +35
    ขอบคุณสำหรับหนังสือ อนุโมธนา สาธุ ค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...