อาฆาตข้ามภพ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย พงษ์ญาดา, 20 ตุลาคม 2010.

  1. พงษ์ญาดา

    พงษ์ญาดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2009
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +1,871
    ถ้าท่านคิดจะแก้แค้นใคร ถ้าคิดจะเล่นงานใคร ให้สาแก่ใจ โปรดอ่านเรื่อง
    อาฆาตข้ามภพ


    [​IMG]


    [​IMG]


    ผลงานของคุณ ท.เลียง พิบูลย์


    เป็นเรื่องราวของความอาฆาตพยาบาทของผู้ที่ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อกลับมาเกิดในภพใหม่ จึงยังคงฝังรอยพยาบาทไว้ไม่เสื่อมคลายนับเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของผู้ที่เคยผ่านความตายมาแล้ว แต่ยังสามารถระลึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะตายลงได้อย่างชัดเจน


    ด้วยเหตุที่เรื่องดังกล่าวนี้ มีคุณค่ายิ่งต่อการทำให้ผู้คนตระหนักถึงความเป็นจริง อันเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิด ตามความเชื่อทางพระพุทธศาสนา จึงอยากนำมาเผยแพร่อีกครั้งหนึ่ง


    แต่ครั้นจะขออนุญาตคุณ ท.เลียงพิบูลย์ เจ้าของผลงาน ก็ไม่ทราบจะติดต่อขออนุญาตได้อย่างไร ด้วยผู้เขียนและท่านก็อยู่กันคนละภพภูมิแล้วจึงใคร่ขออนุญาตคุณ ท.เลียงพิบูลย์ ไว้ ณ โอกาสนี้หากบุญกุศลใดที่ทำให้ผู้อ่านได้ซาบซึ้งถึงหนทางแห่งธรรมะ ละเว้นความชั่วหมั่นสร้างความดีอยู่เป็นเนืองนิตย์บ้างแล้ว ขอให้กุศลแห่งผลบุญนั้นจงส่งผลให้คุณ ท.เลียงพิบูลย์ ได้รับกุศลผลบุญนั้นในสัมปรายภพ จนกระทั่งซึ่งมรรคผลนิพพาน เทอญ


    เรื่องมีอยู่ว่า มีครอบครัวหนึ่งมีสองสามีภรรยา ซึ่งมีลูกชายคนหนึ่งแปลกประ หลาดกว่าเด็กอื่น ๆ รุ่นเดียวกัน เด็กคนนี้มีอารมณ์ลึกลับฝังอยู่ในส่วนลึกของความรู้สึก พ่อแม่ตั้งชื่อให้ว่า "ทะนะ" พออายุย่างเข้า 6 ขวบ เด็กชายทะนะก็ขอร้องให้พ่อหามีดคม ๆ ให้สัก 1 เล่มพ่อสงสัยจึงถามว่า "ไอ้หนู เอ็งเอามีดไปทำไมวะ"ลูกชายบอกว่า "ข้าขอมีดเพื่อเอาไปลับให้คม"

    พ่อถามลูกชายด้วยความสงสัยว่า "จะเอามีดมาลับให้คมเพื่อประโยชน์อะไร เป็นเด็กเป็นเล็กเล่นมีดเล่นพร้าไม่ได้"
    ลูกชายอ้อนวอนแล้วพูดว่า "ข้าขอลับให้มันคมเท่านั้น เมื่อข้าจะทำร้ายใคร ข้าจะบอกให้พ่อรู้ก่อน"


    เมื่อพ่อเห็นลูกชายอ้อนวอนขอมีดหลายครั้ง ด้วยความรักลูกและสงสาร ทั้งเห็นลูกรับรองว่าจะบอกก่อนที่จะไปทำร้ายใคร พ่อจึงหามีดชายธงมาให้ลูกชายเล่มหนึ่ง หลังจากได้มีดตามความประสงค์แล้ว เด็กชายทะนะก็ใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปในการลับมีด หาได้เล่นซนเหมือนเด็กอื่น ๆ ทั้งหลายไม่ แม้จะมีผู้ถามว่า ลับมีดไปทำไมก็ไม่ยอมบอก


    เวลาผ่านไป 2 ปี เมื่อเด็กชายทะนะอายุได้ 8 ขวบ วันหนึ่งได้เข้าไปหาพ่อแล้วบอกว่า
    "บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ข้าจะต้องแก้แค้นไอ้คนทรยศต่อข้าเมื่อชาติก่อน ข้าจึงบอกพ่อตามสัญญา"

    เมื่อพ่อได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ นึกว่าลูกชายเรานี่มันสติดีอยู่หรือเปล่า ตัวเล็ก ๆ เท่านี้ ไปมีศัตรูกับใครเข้าจนถึงกับจะไปฆ่าแกงกัน เพื่อแก้แค้นตั้งแต่เล็กๆ คิดดูแล้วก็หนักใจ เพราะมองเห็นท่าทางเอาจริงเอาจังไม่ใช่พูดเล่น นับแต่ลูกชายเกิดมาก็มีกิริยาแปลก ๆ ผดกับเด็ก ๆ คนอื่นคิดแล้ว พ่อจึงพูดว่า

    “ไอ้หนู…เอ็งมีความแค้นเคืองใครมาแต่ไหนวะ ถึงจะฆ่าฟันเอาชีวิตกันเช่นนี้ เอ็งเป็นลูกของพ่อ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของพ่อเอง เพราะพ่อมีลูกชายเอ็งคนเดียว


    ฉะนั้นพ่อจะต้องช่วยลูกเสมอ ศัตรูของลูกก็เหมือนศัตรูของพ่อ พ่ออยากรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เป็นใคร บอกให้พ่อรู้บ้างสิลูก เขาทำอะไรให้ลูกของพ่อเจ็บแค้น จนถึงกับอาฆาตมาดร้ายถึงชีวิตเพียงนี้”


    ลูกชายเมื่อได้ยินพ่อพูดเช่นนั้น จึงบอกกับพ่อว่า“เรื่องของลูกนั้นเกิดมาแต่ชาติก่อนแล้ว ลูกมีความโกรธแค้นมาก เขาเคยเป็นเพื่อนรักเพื่อนตายกันมา แต่แล้วเขาก็ฆ่าลูกหมกศพไว้ในป่าห่างหมู่บ้าน”


    ผู้พ่อได้ยินลูกชายอายุเพียง 8 ขวบพูดเช่นนั้นก็สะดุ้ง แต่แล้วก็ทำจิตให้ปกติ แล้วก็พูดกับลูกชายว่า
    “ลูกเอ๋ย…..คนเป็นศัตรูของลูก ชื่ออะไร อยู่บ้านตำบลไหน บอกพ่อซิลูก”

    ลูกชายพอได้ยินพ่อพูดเช่นนั้น ก็นิ่งอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกระซิบบอกชื่อเสียงเรียงนามของคนที่ฆ่าเขา และตำบลบ้านที่เกิดในชาติก่อนให้พ่อทราบ


    หลังจากนั้นพ่อก็เที่ยวติดตามสืบหาชายผู้เป็นศัตรูของลูกแต่อดีตชาติ ตามตำบลที่ลูกชายบอก พ่อได้พยายามสืบหาทั่วทั้งตำบลที่ลูกชายบอก ก็ยังหาคนที่ต้องการไม่พบ จึงนั่งพักใต้ต้นมะขามใหญ่แล้วจึงรำพึงกับตัวเองว่า เรานี่ก็หลงเชื่อเจ้าลูกชายเด็กเมื่วานซืนนี้ว่าเป็นเรื่องจริงเป็นตุเป็นตะ เที่ยวหาจนอ่อนใจแล้วก็ไม่พบคนชื่อนั้น จึงหยุดนั่งที่ม้าไม้สำหรับชาวบ้านใส่บาตรตอนเช้า ๆ ใต้ต้นมะขามใหญ่หน้าบ้านหลังหนึ่งเนื่องจากใต้ถุนสูงจึงมองเห็นชายมีอายุ กำลังผ่าฝืนอยู่กลางลานที่มีรั้วบ้านปลูกด้วยต้นฟูระหง


    ส่วนทางใต้ถุนนั้นมีผู้หญิงทั้งสาวและแก่ กำลังตำข้าวและผัดข้าว มีไก่หลายตัวคอยจ้องจิกข้าวเปลือกที่ตกหล่นแถวบริเวณครกตำข้าว เด็กสาวก็คอยไล่โดยเอาไม้ขวางไว้ ไม่ให้มันเข้าไปส่วนเจ้าพวกไก่รุ่นกระทง ก็คอยจ้องอยู่ห่าง ๆ นาน ๆ จะเข้าไปจิกสักครั้งหนึ่งเพราะกลัว จากนั้นก็มีหมูแม่ลูกอ่อนนอนกกอยู่ในเล้าพวกหมูรุ่น ๆ เดินออกมาเที่ยวหากินแบบเลี้ยงปล่อย

    เมื่อนั่งพักอยู่ครู่หนึ่งคิดว่า หากหาไม่พบ ก็จะต้องไปพึ่งกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านคงจะได้ผล คิดพลางก็มองดูรอบตัว นึกได้ว่าลูกชายบอกว่าบ้านของคนที่เป็นศัตรูแต่ชาติก่อนนั้น หน้าบ้านมีต้นมะขามใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ถนนบ้านติดกับคลอง

    เมื่อมองดูสภาพแวดล้อมที่ตัวนั่งอยู่ลักษณะตรงกับลูกชายบอดทุกอย่าง จึงคิดว่าเรามาถูกแล้ว ศัตรูของลูกชายคงอยู่ในบ้านนี้แน่บางทีอาจจะเป็นชายที่ผ่าฝืนก็ได้ จึงดีใจเข้าไปถามชายชราซึ่งกำลังผ่าฝืนอยู่ที่ลานบ้านว่า“พ่อลุงรู้จักนายเทศ บ้านฟ้าคะนองไหม”


    ชายแก่ได้ยินก็สะดุ้ง โยนขวานผ่าฟืนลงกลางดินเพราะตกใจที่ได้ยินชายแปลกหน้าเอ่ยชื่อนายเทศ จึงถามด้วยเสียงสั่นว่า“พ่อถามถึงนายเทศ มีธุระอะไรหรือ”


    ชายผู้เป็นพ่อเด็กกลับชาติมาเกิดจึงบอกว่า “ฉันอยากจะถามว่าพ่อลุงชื่อเทศหรือเปล่า และเมื่อหนุ่ม ๆ เคยเป็นเพื่อนกับคนที่ชื่อจุ่นหรือเปล่า”

    ชายแก่แสดงกิริยาท่าทางตื่นกลัว ถามอย่างละล่ำละลักว่า “พ่อเป็นพวกนครบาลหรือ”


    ชายผู้เป็นพ่อเด็กบอกว่า “เปล่าหรอกลุง อยากทราบว่า เคยเป็นเพื่อนกับคนชื่อจุ่นหรือไม่ ถ้าเป็นเพื่อน ฉันมีเรื่องที่จะเล่าให้พ่อลุงฟัง จึงอยากทราบว่า พ่อลุงชื่อนายเทศหรือเปล่า”


    ชายชราอึกอัก หยิบผ้าขาวม้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ไหลย้อยออกมาหน้า แล้วก็นิ่งใจครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจพูดออกมาว่า
    “จริง ! เมื่อหนุ่มฉันเคยชื่อเทศ แต่ฉันเปลี่ยนเป็นชื่อโต เดี๋ยวนี้ไม่มีใครรู้จักชื่อเทศแล้ว และฉันเคยเป็นเพื่อนกับเจ้าจุ่น เพราะเราเป็นเพื่อนรักกันมาก แต่เจ้าจุ่นได้ตายเสียก่อนเมื่อยังหนุ่ม ๆ คิดดูก็ผ่านมานานปีแล้ว ฉันก็เสียใจมาจนถึงทุกวันนี้”

    พ่อของเด็กจึงพูดว่า “หากพ่อลุงรับว่าเป็นเพื่อนกับนายจุ่นเมื่อครั้งก่อนนั้น ฉันก็ไม่มีความสงสัยอะไรอีกแล้ว เพราะตรงกับความจริงที่ฉันได้รู้ได้ทราบมาแล้ว”


    นายเทศได้ฟังดังนั้นก็สงสัย จึงพูดขึ้นว่า “ฉันสงสัยว่ามีเรื่องอะไรกับฉันหรือ จึงเที่ยวติดตามหาตัวฉันจนพบ ขอให้บอกให้ทราบด้วย”


    พ่อของเด็กได้ฟังเช่นนั้น จึงเล่าให้ฟังว่า “เรื่องที่จะเล่านี้ เมื่อพ่อลุงฟังแล้วจะว่าผิดหรือถูกก็โปรดคิดพิจารณาดูเอง คือฉันมีลูกชายคนหนึ่ง พออายุได้สัก 6 ขวบ ก็ขอมีดจากฉันมา 1 เล่ม และยังขอมีดคมอย่างดี ฉันจึงหามีดชายธงให้ นับแต่นั้นมาเจ้าลูกชายของฉันก็ตั้งหน้าตั้งตาลับมีดอยู่ทุกวัน


    ฉันได้พยายามถามว่า ลับมีดเพื่อประสงค์จะทำอะไรก็ไม่บอกเพียงแต่บอกว่า เมื่อถึงเวลาก็จะบอกให้รู้ ครั้นเมื่อถึงเวลานี้อายุ 8 ขวบบอกว่าถึงเวลาแล้ว ลูกจะบอกให้พ่อรู้ว่า คนที่ลูกจะฆ่า เพราะความแค้นพยาบาทนั้นคือ “นายเทศ” ผู้เคยใช้มีดแทงนายจุ่นตาย ทั้งที่เป็นเพื่อนรักใคร่กันหนักหนา นายจุ่นเมื่อใกล้จะดับจึงร้องด่าอาฆาต


    นายจุ่นชาติก่อนก็คือลูกชายของฉันในชาตินี้ จะเป็นความจริงแค่ไหน ขอให้พ่อลุงช่วยเล่าให้ฟังด้วย”
    นายเทศได้ฟังเช่นนั้น ตัวสั่นพลางพูดว่า “เป็นความจริงในเรื่องนี้ เด็กที่เกิดมานั้นต้องเป็นนายจุ่นแน่นอน”

    พ่อของเด็กจึงบอกว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ช่วยเล่าเรื่องให้ฟังถึงต้นเหตุว่า ทำไมเป็นเพื่อนรักเพื่อนเกลอจึงได้ฆ่าแกงกันลงคอ ตอนนี้เวลาผ่านไปนานปี ทางบ้านเมืองก็ไม่มีโทษทัณฑ์แล้ว ถึงจะเล่าความจริงก็ไม่เกิดความเสียหายอะไร ซ้ำยังจะเป็นประโยชน์เพราะจะช่วยหยุดยั้งความพยาบาทอแก้แค้นให้สิ้นสุดลงได้”


    พ่อเฒ่าได้ฟังเช่นนั้นก็ก้มหน้าร้องไห้อย่างน่าสงสารอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเล่าเรื่องว่า“ตลอดเวลาที่ฉันได้ฆ่าเพื่อนที่รักตายนั้น ฉันหาความสุขทางจิตใจไม่ได้เลย ฉันรู้สึกเหมือนตกนรก คอยแต่นึกหวากกลัวเรื่องที่ว่า ฉันได้ฆ่าเพื่อนอยู่ตลอดเวลา ได้พยายามปลอบใจตัวเองอย่างไรก็ไม่สำเร็จทั้งเวลานอนคิดอะไรเพลิน ๆ พอนึกว่าได้ฆ่าคนตาย ฉันก็สะดุ้ง รีบลุกขึ้นตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า
    <O:p</O:p
    ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันทนไม่ไหว ฉันฆ่าคนตาย ทั้งคนตายก็เป็นเพื่อนรักของฉัน”


    “จิตใจฉันปั่นป่วนหมด มันทุรนทุรายบอกไม่ถูก ฉันเสียสติเป็นพัก ๆ ฉันอยากจะร้องไห้ อยากหัวเราะ และอยากจะตะโกน ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะตะโกนไปเพื่ออะไร ฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา เหมือนมันเจ็บปวดจากความรู้สึกภายในใจ แม้ว่าฉันจะไม่ได้รับโทษทางบ้านเมือง แต่ฉันก็ได้รับโทษทางความรู้สึก เป็นกรรมที่สร้างขึ้นเอง ซึ่งทรมานยิ่งกว่าต้องโทษทางบ้านเมือง เพราะโทษทางบ้านเมืองยังมีเวลาสิ้นสุด หรือไม่ก็ตายไปตามความผิด แต่ฉันไม่ได้รับโทษจองจำทางร่างกายแต่ต้องรับกรรมทางจิตใจมันหนักยิ่ง ต้องคอยหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา และสะดุ้งตกใจไม่สิ้นสุด”


    พ่อของเด็กได้ฟังและเห็นกิริยาท่าทางของพ่อเฒ่าแล้วก็นึกสงสาร แต่ก็อยากทราบถึงต้นเหตุ จึงพูดขึ้นว่า“ฉันก็เห็นใจพ่อลุงที่ได้รับความทรมานทางจิตใจที่ตัวได้สร้างขึ้น กรรมได้ติดตามความรู้สึกตลอดเวลา ฉันอยากจะทราบว่า ต้นเหตุคืออะไร เพื่อจะได้คิดแก้ไขให้หลุดพ้นกรรมไปได้”


    พ่อเฒ่าได้ฟัง ก็หยุดรำพันเรื่องทุกข์ทรมานทางจิตใจ แล้วเอาผ้าขาวม้าเช็ดน้ำตา และตั้งอกตั้งใจเล่าต้นเหตุให้ทราบว่าเมื่อก่อนฉันยังเด็กอยู่ มีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชื่อจุ่น เด็กคนนี้อยู่กับท่านสมภารที่วัด เติบโตมาจากวัด ไม่ปรากฎว่าพ่อแม่ของจุ่นอยู่ที่ใด เมื่อฉันรู้จักก็เห็นอยู่กับท่านสมภารตลอดมา เมื่อเราโตเป็นหนุ่มก็ไปเที่ยวเตร่หาความสำราญด้วยกัน หรือจะไปไหนก็ไปด้วยกันเสมอ แม้จะริรักผู้หญิงเป็นครั้งแรก เราก็ต้องไปด้วยกัน


    คืนหนึ่งเราไปเที่ยวกันในงานวันสงกรานต์และเล่นสะบ้า นอกจากจะริรักผู้หญิงแล้วยังริดื่มเหล้าเป็นครั้งแรกหลังจากงานสงกรานต์ผ่านไปแล้ว คืนนั้นเราต่างคนต่างเมาเหล้าเมารักด้วยกัน ต่างก็เดินเปะปะกลับบ้านกลับวัดทั้งที่เดินไม่ตรง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เราเกิดแตกคอและผิดใจกัน เพราะต่างคนต่างเมา เมื่อจุ่นดื่มเหล้าจนเมา กลับมีกิริยาดุร้ายผิดจากยามปกติ ตรงกันข้ามเมื่อเขาไม่เมาจุ่นมีกิริยาเรียบร้อย


    คืนนั้นเราคุยกันถึงเรื่องหญิงสาวที่เราได้พบและได้สนทนากัน แต่ด้วยความที่จุ่นกำลังเมาจึงได้แสดงกิริยาโกรธอย่างไม่ไม่เหตุผล ฉันก็ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ จุ่นก็อะลาวาดด่าฉัน ชกต่อยฉัน หาว่าเป็นเพื่อนทรยศ กูจะฆ่ามึงให้สมกับมึงทรยศ พูดแล้วก็ไล่เตะต่อยเหมือนคนบ้า ฉันก็หลบหลีก เพราะฉันก็เมาเหมือนกัน


    ตอนนั้นฉันโกรธแค้น คิดว่าอยู่ดี ๆ ก็จะฆ่ากันง่าย ๆ ความเป็นเพื่อนรักกันมาก่อนก็ลืมหมด เหลือแต่ความโกรธ และความลืมตัว ฉันชักมีดที่พกออกมาแล้วเเทงไปตามตัวเพื่อน ไม่รู้ว่าถูกที่ใดบ้าง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเพื่อนร้องเพราะความเจ็บปวดที่ถูกมีดแทงที่สำคัญหลายแผล พอได้ยินเสียงเพื่อนร้องก็ได้สติ ความเมาก็หายสิ้นมีแต่ความตกใจกลัว ตัวสั่น วิ่งเข้าไปประคองเพื่อน แล้วฉันก็ร้องไห้ พลางพูดว่า


    “เพื่อนเอ๋ย ฉันผิดไปแล้ว ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเพื่อน แต่ฉันเมาจึงคุมสติไม่อยู่”

    พูดพลางฉันก็ร้องไห้หวังจะกอดเพื่อน แต่เพื่อนก็โกรธ แม้มันจะบาดเจ็บสาหัสก็ไม่ยอมให้กอด เคราะห์ดีมีดหลุดมือเสียก่อน มันใช้กำลังที่มีอยู่ ทุบหน้าฉันด้วยความโกรธ แล้วเสียงมันก็พูดด้วยความอาฆาตคำสุดท้ายว่า“มึง อ้ายเทศ กูจะขอเกิดมาแก้แค้นมึง จงจำไว้”มันพูดด้วยความพยาบาท เสียงมันกัดฟันส่ายหน้าไปมา ฉันได้พยายามประคองไว้ในอ้อมแขนและอ้อนวอนขอโทษ แต่ในที่สุดเจ้าเพื่อนรักก็ขาดใจลงในไม่ช้า ฉันก็กอดศพเพื่อนรัก แล้วร้องไห้รำพันความรักความเป็นเพื่อน

    พอได้สติ ฉันก็กลัวความผิดอาญาหลวง จึงหยิบมีดมาขุดหลุมเพื่อฝังศพเพื่อนรักให้พ้นความผิด เคราะห์ดีสมัยนั้นที่ทางแถวนั้นมันเปลี่ยว ไม่มีผู้คนเดินผ่านไปมา ทั้ง 2 ข้างเป็นป่ารก ทั้งคนยังลือกันว่าทางนี้ผีดุ เราทั้ง 2 เมาจึงไม่ได้นึกกลัวผีสางอะไร ด้วยความกลัวผิดทำให้ฉันออกแรงขุดดิน อาศัยแสงเดือนส่องสว่างพอมองเห็น ทำให้ฉันขุดหลุมได้ลึกพอที่จะฝังศพของจุ่นได้ และลึกพอที่ศพจะไม่ส่งกลิ่นไปไกลนัก ทั้งเป็นที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านในเวลากลางวัน เพราะหมู่บ้านอยู่ห่างออกไปมาก


    คืนนั้นกว่าจะขุดหลุมลึกและฝังร่างของเพื่อนรักลงไปได้ ก็เกือบใกล้สว่าง เมื่อกลบดินให้เรียบไม่เป็นที่สงสัยเสร็จแล้วก็เอาดินเก่าโรยข้างหน้า แล้วหาใบไม้ที่ร่วงแล้วไปสุมไว้พอพรางตา หากมีคนผ่านไปมา ก็จะไม่มีใครรู้ว่ามีร่างของมนุษย์อยู่ใต้ดินเมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว ฉันก็เดินร้องไห้กลับบ้าน หลังจากนั้นฉันก็เอาเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดห่อด้วยก้อนอิฐ แล้วมักด้วยเชือกอย่างแน่นหนา พอค่ำก็พายเรือออกไปกลางแม่น้ำ ถ่วงลงไปให้จมก้นแม่น้ำ แล้วฉันก็กลับมาบ้านด้วยความกลัวและหวาดระแวงสะดุ้งตลอดเวลา เรื่องนี้ถึงจะไม่มีใครรู้เห็น แต่ฉันก็รู้ตัวว่าได้ทำชั่วทำผิดและมีบาปติดตัวอยู่ตลอดเวลา

    ส่วนทางวัด หลวงตาสมภารซึ่งเป็นผู้ปกครองจุ่น อายุ 80 กว่าแล้ว ทีแรกเห็นจุ่นหายไปก็ถามลูกศิษย์และพระเณรที่วัดนั้นว่ามีใครเห็นบ้าง ก็ไม่มีใครรู้เห็น แต่ก็ไม่มีใครนึกว่าจุ่นจะถูกฆ่าตาย เพราะไม่มีเหตุผลที่จะต้องนึก พระศิษย์ในวัดส่วนมากนึกว่า จุ่นคงจะไปช่วยชาวบ้านเขาทำนาทำสวน เพราะเคยหายไปนาน ๆ แต่ก็กลับมา


    ฉะนั้นการปิดความลับก็ง่ายเข้า ไม่มีใครสงสัย ไม่มีใครพบหลุมที่ฝังศพ การตายของจุ่นก็เป็นการหายสาบสูญอย่างลอย ๆ ตลอดไป นี่แหละเป็นเหตุให้ฉันได้รับกรรมตลอดมาจนถึงทุกวันนี้


    พ่อของเด็กได้ฟังก็พิจารณาตามที่ชายผู้มีอายุเล่าก็เห็นใจว่าการฆ่ากันตายในครั้งนั้น มิได้มีความตั้งใจเจตนา ทั้งมองเห็นเหตุการณ์ในสมัยนั้น คงจะจริงตามที่ผู้มีอายุเล่าให้ฟัง จึงพูดขึ้นมาว่าเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นมาแล้ว ก็อยากจะให้เหตุเหล่านี้ระงับลงด้วยการอโหสิกรรมกันเสีย อย่าได้จองเวรจองกรรมกันต่อไปอีกเลย ลองมองหาทางใดที่จะปฏิบัติได้บ้าง ลองคิดดูให้ดี”


    พ่อของเด็กพูดด้วยเชิงหารือดู ชายมีอายุตื่นเต้น หน้าตากลับมีสีเลือดขึ้นมาด้วยความปิติ แล้วพูดว่า“ถ้าทำได้เช่นนั้น ก็นับว่าช่วยฉันให้พ้นจากขุมนรกได้ ฉันตกนรกมานานแล้ว โปรดให้จิตใจของฉันสงบเหมือนคนธรรมดา พ้นทุกข์พ้นร้อน ฉันก็จะสบายใจ ในชีวิตนี้ ฉันจะไม่ลืมบุญคุณตลอดไป โปรดช่วยให้ฉันพ้นจากขุมนรก”


    เมื่อพ่อของเด็กรับปากว่า จะพยายามหาทางช่วยให้ลูกชายเลิกคิดอาฆาตพยาบาท อโหสิกรรม ให้อภัย เพื่อยุติจองเวรจองกรรมกันต่อไป เพราะเห็นนายเทศมีความหวาดกลัว สะดุ้ง สะเทือนทางจิตใจ ทรมานต่อกรรมที่ตัวเคยสร้างมา และดูเหมือนคนครึ่งบ้าครึ่งดี เมื่อนึกถึงเรื่องที่ได้ประกอบกรรมแล้วตัวสั่นใจสั่น พอนึกถึงบาป ก็เปลี่ยนแปลงจิตใจทันที ทำให้เกิดโรคประสาท เป็นสภาพที่ตกอยู่ในโรคจิตชนิดหนึ่งเมื่อได้พิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว ก็จะมองเห็นกรรมสนองทางใจอย่างหนัก มิใช่ทางกายที่รับโทษจองจำ ซึ่งยังเบากว่ากันมาก


    เมื่อพ่อของเด็กลานายเทศกลับไปบ้านแล้ว พยายามตรึกตรองว่าทำอย่างไรดี เพื่อจะได้พูดให้ลูกชายอายุ 8 ขวบ เข้าใจถึงการจองกรรมจองเวรว่า เป็นทุกข์ทรมาน ให้เลิกคิดพยาบาท เลิกคิดที่จะฆ่าฟันกันต่อไป จึงได้พยายามหาทางออกที่ดีที่สุด อย่างบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี ถ้าจะพานายเทศไปพบลูกชายที่บ้าน ก็ทำไม่ได้แน่นอน เพราะเป็นเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน แม้ฝ่ายหนึ่งจะเป็นเด็ก แต่มีจิตใจเข้มแข็งด้วยแรงอาฆาตพยาบาท


    ส่วนนายเทศแม้จะเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ตกอยู่ในความหวาดกลัว เหมือนแกะสู้กับลูกเสือ แม้เสือจะตัวเล็ก ก็มีอำนาจเหนือกว่า คิดไปคิดมาเรื่องจะช่วยนายเทศผู้เป็นศัตรูร้ายของลูกชาย ก็จนปัญญา พานเบื่อข้าวปลาอาหาร ลูกชายสังเกตเห็นจึงถามพ่อว่า
    “พ่อเป็นอะไรไป หมู่นี้กินข้าวปลาไม่ลง แล้วพ่อไปสืบหาเจ้าเทศ เพื่อนทรยศได้ความว่าอย่างไร”


    ผู้เป็นพ่อได้ฟังก็สะดุ้ง แล้วพูดขึ้นมาว่า “พ่อไม่สบายใจเพราะเรื่องของลูก เหตุก็เพราะพ่อมีความรักลูกมาร หากลูกได้ปฏิบัติตามที่ลูกตั้งใจแก้แค้นทำลายชีวิตนายเทศแล้ว พ่อก็รู้สึกว่าเหมือนลูกได้ทำลายชีวิตของพ่อเหมือนกัน”
    <O:p</O:p
    เจ้าลูกชายสงสัยจึงถามขึ้นมา “ทำไมจึงได้เป็นอย่างนั้นล่ะ ฉันไม่เข้าใจ แรก ๆ ก็รับปากว่าจะช่วยกันกำจัดศัตรูของลูก มาบัดนี้พ่อกลับมาพูดอีกอย่างหนึ่ง ฉันไม่เข้าใจ”


    พ่อของเด็กถอนหายใจ แล้วก็พูดขึ้นมา “ที่พ่อพูดออกไปครั้งแรกก็เพราะความรักที่มีต่อลูกจะมีเหตุใด พ่อก็เข้าข้างลูกเสมอเป็นธรรมดาของพ่อที่รักลูกจนหลง แต่มาคิดดูคราวนี้พ่อมีความอาลัยเสียดายลูก เพราะทุกวันนี้พ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกันมีความสุขความใกล้ชิด ไม่เคยลำบาก ไม่เคยห่างกันเลย เงินทองเราก็มีพอที่จะหาความสุขได้


    หากลูกได้แก่แค้นฆ่านายเทศ ลูกกับพ่อก็คงจะต้องแยกกันอยู่คนละแห่ง เพราะทุกวันนี้เราจะฆ่าแกงกันอย่างง่าย ๆ ไม่ได้ เพราะบ้านเมืองมีขื่อมีแป ทางการเขาคงไม่ยอมให้พลเมืองมาฆ่ากันง่าย ๆ ตามใจชอบ แม้ลูกจะเป็นเด็ก เขาก็จะถือว่าเป็นเด็กอันธพาล มีใจคอเหี้ยมโหดดุร้าย อย่างน้อยเขาก็จะพรากลูกจากพ่อแม่ เข้าไปอยู่โรงเรียนดัดสันดานกักกันอยู่บนเกาะจำกัดเขต ไม่มีกำหนดจะปล่อยออกมาให้เป็นอิสระ


    ถ้าลูกคิดดูให้ดี เลิกผูกใจเจ็บแค้น เลิกผูกพยาบาทอาฆาตเรื่องชาติก่อน อโหสิกรรมให้เขา แล้วทุกฝ่ายก็จะมีความสุข รวมทั้งพ่อแม่ด้วย และถือเป็นการชนะใจที่ไม่ผูกเวร ไม่จองเวร ขอให้ลูกคิดดูให้ดี”


    เจ้าลูกชายฟังพ่อ ก็ไม่พอใจ ถามว่า “ทำไมคนเรา เมื่อมันฆ่าเราได้ เราก็ฆ่ามันได้ ยุติธรรมดีแล้วนี่ อ้ายเรื่องเวรกรรมฉันไม่กลัว เมื่อตั้งใจจะแก้แค้น ก็ต้องแก้แค้นให้ได้ จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็เอาไว้ทีหลัง ถึงฉันจะต้องจากพ่อแม่ไป ก็สุดแต่บุญกรรม ฉะนั้นพ่อไม่ต้องมาพูดเกลี้ยกล่อมให้ฉันกลับใจ ไม่มีหวังหรอกพ่อ”


    พ่อของเด็กนึกอยู่ในใจว่า ไอ้ลูกของเรานี่ทั้งดื้อทั้งรั้นและอวดดีตั้งใจจะทำอะไร ก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ เราจะพยายามอธิบายอย่างไร ลูกคงไม่ยอม และคงจะไม่สำเร็จ คิดแล้วก็นิ่งอยู่ ตั้งใจจะหาอุบายอย่างอื่นต่อไป แต่แล้วพ่อของเด็กก็แอบไปติดต่อกับนายเทศ หาทางที่จะช่วยให้เหตุการณ์เข้าสู่สภาวะปกติ

    วันหนึ่งลูกชายถามพ่อว่า “พ่อบอว่าจะพาฉันไปหาอ้ายเพื่อนทรยศ จะได้คิดบัญชีให้เสร็จเรื่องเสร็จราวสักที ฉันคอยมาก็นานพอแล้ว เมื่อไหร่พ่อจะช่วยฉันล่ะ”


    พ่อได้ฟังลูกชายพูดเช่นนี้ จึงบอกว่า “หมู่นี้พ่อใจคอไม่ดี กินก็ไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ เพราะความรักลูกและอยากจะขอ”

    ยังไม่ทันผู้เป็นพ่อจะพูดจบ เจ้าลูกชายก็ขัดขึ้นว่า “พ่ออย่าขอชีวิตไอ้คนทรยศเพื่อนเลย ไม่มีหวังหรอก ฉันบอกแล้วว่า ฉันให้ไม่ได้ ถ้าพ่อจะขออย่างอื่น ฉันจะให้ทุกอย่าง ยกเว้นขอชีวิตอ้าย คนทรยศเพื่อน”


    “พ่อรู้ว่าลูกใจแข็งเหมือนหิน พ่อไม่สามารถจะทำให้ลูกเห็นผิดเป็นชอบ แต่เมื่อลูกบอกว่า พ่อจะขออะไร ลูกก็จะปฏิบัติทุกอย่าง แต่ไม่ยอมให้ชีวิตไอ้คนทรยศอย่างเดียวเท่านั้น พ่อขอบใจลูกมาก ลูกก็รู้ว่าเราเป็นชาวพุทธ นับถือพระพุทธศาสนา ฉะนั้น พ่อคิดว่าจะทำให้ลูกสบายใจ และพ่อก็สบายใจด้วย ในบ้านเราจะจัดการเลี้ยงพระถวายอาหารเพล แล้วเราพากันถือศีลบริสุทธิ์ 3 วัน จากนั้นพ่อจะพาลูกไปหานายเทศ ศัตรูเก่าที่ลูกได้พยาบาทจองเวรคิดจะเอาชีวิต พ่อรับปากว่าพ่อจะพาลูกไป หลังจากที่ถือศีลบริสุทธิ์แล้ว”


    เจ้าลูกชายได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจ รีบรับปากว่า “ตกลงพ่อ ฉันจะถือศีล 5 ตามที่พ่อบอก ให้เคร่งทั้ง 3 วัน แม้ยุงฉันจะไม่ยอมตบ”

    พ่อได้ยินลูกรับปากเช่นนี้ก็ดีใจ แล้วกำหนดจัดงานเลี้ยงพระเป็นการภายในครอบครัว แล้วบอกให้ภรรยาได้รู้ ทั้งยังขอแรงเพื่อนบ้านมาช่วยกันทำอาหารคาวหวาน


    ครั้งเมื่อถึงกำหนดวันเลี้ยงพระ ทั้งพ่อแม่ลูกต่างก็อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดบริสุทธิ์ เพื่อเตรียมจะรับศีล 5 และฟังพระสวดพระพุทธมนต์ด้วยจิตศรัทธา ด้วยใจบริสุทธิ์ และเกิดปีติในการทำบุญครั้งนี้


    ส่วนพวกเพื่อนบ้านที่ชำนาญในการทำกับข้าว และของหวานต่างก็มาช่วยจัดหุงหาอาหารตามที่ตนถนัด เพื่อถวายพระฉันเพล และเลี้ยงคน ต่างคนต่างทำหน้าที่ ไม่ว่าสาวหรือแก่ ต่างสมัครใจช่วยงานมิได้เกรงความเหน็ดเหนื่อย แสดงถึงน้ำใจคนในหมู่บ้าน ต่างก็ร่วมสามัคคีกลมเกลียวกัน ทั้งครอบครัวของพ่อเด็กก็เป็นคนมีจิตใจอารีอารอบต่อเพื่อนบ้าน และเป็นคนใจบุญจึงเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป


    ทางโรงครัวทำอาหารเรียบร้อยพอดี พระสงฆ์ที่นิมนต์มาถึงบ้าน ผู้ที่มาช่วยงาน

    ก็พากันตักน้ำล้างเท้าพระสงฆ์ก่อนที่ท่านจะขึ้นไปบนเรือน พ่อได้แนะนำลูกชายให้เข้าไปกราบท่านสมภาร ผู้อาวุโสในหมู่สงฆ์ ซึ่งท่านเข้านั่งลำดับเป็นองค์ต้น ท่านสมภารก็ทักทายปราศรัยให้ความเอ็นดูแก่เด็กถามถึงความรู้ต่าง ๆ เด็กก็ตอบได้อย่างฉะฉาน ทำให้ท่านสมภารมีความพอใจมาก หันไปยิ้มกับพ่อเด็กแล้วพูดว่า


    “ลูกของโยมคนนี้เฉลียวฉลาดกว่าเด็กคนอื่น ๆ อายุรุ่นเดียวกันที่อาตมาเคยพบมา”
    พ่อของเด็กมีความพอใจ ที่ท่านสมภารชมลูกชายของตน จึงก้มตัวลงกราบแล้วพูดว่า
    “ผมอยากถวายให้เป็นศิษย์หลวงพ่อ จะได้ช่วยอบรมสั่งสอนศีลธรรม เพื่อจะได้เป็นคนดีต่อไปภายหน้า”

    ท่านสมภารหัวเราะแล้วพูดว่า “เออ! ดี! ดี! อาตมาชอบมากถ้ามีเด็กฉลาด เข้าใจอะไรง่าย ๆ อย่างนี้ ถ้าได้มี่โอกาสเรียนศีลธรรมในทางพุทธศาสนาตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ อย่างนี้ โตขึ้นก็จะแตกฉาน มีความรู้ซึ้งในหลักพระธรรมคำสอนของพระตถาคต ศาสนาก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกมาก


    เวลานี้มีแต่ผู้ขึ้นชื่อว่าถือศาสนามากมาย แต่ความจริงส่วนใหญ่สักแต่ว่านับถือพระพุทธศาสนา รู้แต่ไหว้พระ ทำบุญใส่บาตร ฟังพระเทศน์ เป็นแต่ว่าครั้งปู่ย่าตายายนับถือกันมา ก็นับถือต่อ ๆ กันไป รู้เพียงหยาบ ๆ ว่าทำบุญแล้วขึ้นสวรรค์ ทำบาปแล้วตกนรก นอกนั้นไม่สนใจที่จะศึกษาหาความรู้ จึงไม่ซาบซึ้งเข้าถึงหลักธรรม ส่วนมากไม่เคยปฏิบัติอันพระพุทธศาสนานั้นล้ำเลิศประเสริฐสุดแต่ชาวพุทธยังเข้าไม่ถึง ข้อนี้อาตมาเศร้าใจ บางคนไม่รู้ว่าพระพุทธศาสนานั้นมีหลักปฏิบัติอะไรบ้าง ถ้ามีใครถามแล้วก็ตอบไม่ได้ ไม่สมกับเป็นชาวพุทธเลย ทั้งการเผยแพร่พระพุทธศาสนาของเราก็รู้สึกเอื่อย ๆ เฉื่อย ๆ ไม่สมกับที่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาอันล้ำเลิศของโลก”


    เด็กชายทะนะมีความสนใจท่านสมภารยิ่งขึ้น ถามโน่นถามนี่ท่านก็ตอบด้วยใจเมตตากรุณา พ่อของเด็กก็มีความปีติมากขึ้น ที่ได้เห็นลูกชายของตนสนใจทางพระ จึงพูดกับท่านสมภารว่า

    “ผมอยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า อันฆราวาสผู้เป็นพุทธศาสนิกชนควรจะปฏิบัติตนอย่างไร จึงสมกับที่เราได้มีโอกาสเกิดมาในร่มโพธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”


    ท่านสมภารยิ้มอย่างอารมณ์ดี แล้วพูดว่า “ดีแล้วที่โยมถามมาเช่นนี้ ข้อแรกคฤหัสถ์ควรจะมีศีลปฏิบัติอย่างต่ำนั้น มีศีล 5 ศีล 8 และศีล 10 อาตมาอยากจะแนะนำปุถุชนทั้งหลายว่าควรจะปฏิบัติศีล 5 ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เพื่อปลูกความศรัทธา ขอให้บริสุทธิ์สะอาดก็จะเกิดเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง หากสามารถจะปฏิบัติศีล 8 หรือศีล 10 ได้ก็ยิ่งประเสริฐ หรือจะปฏิบัติศีลเฉพาะในวัน 8 ค่ำ 15 ค่ำ หรือวันสำคัญในทางพุทธศาสนานาน ๆ ครั้งได้ก็ดี


    หลักพระพุทธศาสนามาจากธรรมชาติ ที่สามารถจะพิสูจน์ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งหลักธรรมะของพระองค์ท่านมุ่งหวังที่จะกำจัดทุกข์ กำจัดความเดือดร้อน ดังเช่น มนุษย์เราได้ประสบปัญหาอย่างทุกวันนี้ บุคคลใดสร้างกรรมดี มีศีลมีสัตย์ มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ มีจิตใจเมตตากรุณาเผื่อแผ่ ไม่เบียดเบียนมนุษย์และสัตว์ ปฏิบัติศึกษาหลักธรรมะ บุคคลใดสร้างบุญสร้างกุศล เรียกว่า บุญกรรม หากผู้ใดทำชั่วสร้างบาปก็เรียกว่า บาปกรรม พระพุทธศาสนาถือกรรมเป็นสัจธรรม เชื่อกรรมลิขิตใดสร้างกรรมดีกรรมชั่วย่อมเป็นสมบัติมรดกติดตามสนองตลอดไปให้ต้องใช้กรรม
    ฉะนั้นทางพระพุทธศาสนาจึงมิให้บุคคลเชื่อโชคลาง หรือฤกษ์ยามอย่างงมงาย ทุกอย่างตัวเรารู้ดีกว่าผู้อื่น จะทุกข์สุขเดือดร้อนหรือสบายอกสบายใจก็อยู่ที่ใจของเรา หากเราทำบุญสร้างความดี เราก็รู้สึกสบายใจ หากเราทำความชั่ว สร้างบาป ใจเราก็ไม่สบาย เป็นทุกข์ แม้จะไม่มีใครรู้ใครเห็น เราก็รู้เห็นของเราเอง”

    พวกที่ได้ฟังท่านสมภารชักนำให้เข้าใจถึงเรื่องพระพุทธศาสนาต่างก็สนใจกันมาก พากันนั่งฟังนิ่ง แม้แต่เด็กทะนะก็สนใจนิ่งฟังท่านสมภารด้วยเกิดความซาบซึ้ง ผิดกับเด็กธรรมดาทั่วไปในอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ความรู้สึกเกินเด็กที่มีอายุน้อย คล้ายความรู้สึกของผู้ที่อายุบรรลุนิติภาวะ


    ฉะนั้นจึงได้เข้าใจธรรมะในทางพระพุทธศาสนา ตามที่ท่านสมภารชี้แจงให้ทราบทุกสิ่ง และได้ซักถามถึงเหตุผลที่เหมาะสม กับผู้สนใจศึกษาในหลักศาสนาแห่งศีลธรรม ทำให้ผู้ใหญ่อยู่ในที่นั้นต่างพากันแปลกประหลาดใจไปตามกัน ที่ได้ยินเด็กถามท่านสมภารว่า


    “อันฆราวาสผู้ครองเรือนจะปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะเกิดความสุขความสบาย”

    ท่านสมภารยิ้มด้วยความพอใจ แล้วพูดขึ้นว่า “อันมนุษย์เราเกิดมาในโลกนี้ เมื่อมีความคิดสมบูรณ์แล้ว ก็ต้องแสวงหาความสุข ความสบาย อยู่ดีกินดีด้วยกันทุกคน ไม่มีคนใดต้องการความทุกข์ ความยากลำบาก ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความเศร้าโศกเสียใจ แต่ก็ไม่มีใครหนีความทุกข์เหล่านี้พ้น
    <O:p</O:p
    ความทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจ เป็นภัยของธรรมชาติอันใหญ่หลวงคู่โลกตลอดมา ซึ่งทั้งหมู่มวลมนุษย์และสัตว์เกลียดชังและกลัวเกรงจึงมีมนุษย์กระเสือกกระสนดิ้นรนหาทางออก จะหลีกหนีให้พ้นเพลิงทุกข์อันนี้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดหนีพ้นไปได้ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นจอมจักรพรรดิผู้ทรงแสนยานุภาพยิ่งใหญ่ ผู้ที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ทั้งหลาย เศรษฐีมั่งมีทรัพย์สินมหาศาล หรือแพทย์ผู้มีความสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ชีวิตยืนยาวไปได้ หรือแม้แต่ยาจกเข็ญใจถ้าได้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองดู ก็จะเห็นจริงตามที่อาตมาพูด


    คราวนี้เรามาพูดถึงว่า ฆราวาสหรือผู้ครองเรือนควรจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะเกิดความสุข อยากจะชี้ให้เห็นในการทำดี เวลานี้ ในปัจจุบันนี้พวกญาติโยมมาประชุมพร้อมหน้าในงานเลี้ยงพระฉันเพลวันนี้ มีการสร้างความดี การสร้างความดีนั้น จะมากน้อยเพียงใด เมื่อเกิดมีจิตศรัทธาแล้ว ก็จะทำให้จิตใจญาติโยมทั้งหลายเกิดความปีติยินดีชื่นบายขึ้นมาทันที ไม่มีความเศร้าหมองเพราะไม่เห็นแก่ตัว มีความกรุณา แม้เพียงระยะสั้น ๆ ก็อิ่มเอิบใจ


    การครองเรือนเพื่อหาความสุขความสบาย ย่อมจะต้องกำจัดความทุกข์ การกำจัดทุกข์ซึ่งเป็นมารของความสุขนั้น ย่อมจะต้องรู้ถึงต้นเหตุของความทุกข์ และต้องกำจัดทุกข์เสียก่อน อุปมาเหมือนต้นไม้มีพิษ เราเพียงตัดกิ่งตัดปลาย ก็ไม่สามารถจะกำจัดได้ หากเราไม่ขุดรากแก้วโค่นทิ้งเสีย เหตุแห่งทุกข์ก็เช่นเดียวกัน หากเราแก้ไขปลายเหตุก็ไม่สามารถกำจัดทุกข์ได้

    ธรรมะของพระพุทธองค์ ชี้ทางให้เราเห็นต้นเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งเกิดจากราคะ โทสะ โมหะ เหล่านี้ก่อให้เกิดความอิจฉาริษยา คอยทำลายทรัพย์สินและชีวิต ให้ย่อยยับลงและฉิบหาย คอยแก้แค้นสังคมของโลกทุกวันนี้ให้ปั่นป่วน ความทุกข์ยาก ความเดือดร้อน เหตุเกิดเพระมัวเมาหลงไหลในรูปรสกลิ่นเสียง และสัมผัส งมงายในอำนาจวาสนา หมกมุ่นอยู่กับราคะ ตัณหาในความกำหนัด ทำให้หูหนวกตาบอด หลงอยู่ในกองทุกข์ว่าเป็นความสุขจมอยู่ในกองกิเลสตัณหา


    ธรรมะของพระพุทธองค์ ปลุกผู้หลงใหลงมงายให้รู้สึกตัวตื่นจากกองกิเลส ถอนตัวจากความชั่วร้าย มองเห็นทางกำจัดกิเลสความชั่วร้าย คือ ราคะ โทสะ โมหะ ให้ดับลงได้ เมื่อรู้ว่ามันจะเกิดขึ้น ก็พยายามใช้ ศีล สมาธิ ปัญญา พิจารณาเป็นพลังขับไล่มารชั่วนี้และทำลายให้สูญไป อย่าให้เกิดขึ้นในความรู้สึก ถ้าผู้ใดปฏิบัติได้เช่นนี้ผู้นั้นก็จะเกิดความสุขขึ้นมาด้วยความสงบ แม้ปุถุชนธรรม


    ดาที่ไม่สามารถกำจัดให้ห่างออกไป แต่ยังคอยระวังอย่าให้เข้ามาใกล้ เพียงแค่นี้ก็ยังถือว่าดี เพราะกิเลสตัณหาเหล่านี้ยิ่งห่างไกลเพียงใด เราก็ไกลจากความทุกข์เท่านั้น


    ปุถุชนทั้งหลายจงสังวรว่าเราจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะเกิดสุขหากเราได้กำจัดความโลภโกรธหลงลงได้ความพยาบาทความอิจฉาริษยาการจองเวรจองกรรมก็จะไม่มีจงตั้งอยู่ในความเมตตา เพราะความเมตตาเป็นเครื่องทำลายความพยาบาทความโกรธแค้นความอิจฉาริษยาการจองเวรจองกรรมให้สิ้นลงขอให้ปฏิบัติดังที่อาตมาได้กล่าวมาแล้ว



    วันนี้อาตมามีความยินดีที่ญาติโยมขอร้องให้พูดเรื่องการครองเรือนของฆราวาสเพื่อประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติเพื่อปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและมีผู้ถามว่าในปัจจุบันจะปฏิบัติชีวิตอย่างไรจึงจะได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 ตุลาคม 2010
  2. pagorn

    pagorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    768
    ค่าพลัง:
    +2,848
    การอโหสิกรรมต่อกันนั้นถือว่าเป็นทานบารมีอันยิ่งใหญ่ สาธุ. อนุโมทนาค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3198.gif
      3198.gif
      ขนาดไฟล์:
      32.3 KB
      เปิดดู:
      2,777
  3. mahamate

    mahamate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +1,807
    อย่าจองเวรจองกรรม อาฆาตพยาบาตเบียดเบียนกันเลยครับ เพื่อนร่วมโลกใบเดียวกัน อโหสิกรรมให้แกกันดีกว่าครับ

    อนุโมทนาครับที่นำเรื่องดีๆมาแบ่งปันกันครับ
     
  4. kanglefong

    kanglefong Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +49
    อนุโมทนาสาูธุ ครับ
    การ อโหสิกรรม คือการให้ที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
     
  5. สนังกุมารพรหม

    สนังกุมารพรหม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +992
    เรื่องมันผ่านมาแล้วก้แล้วไป ใยต้องจับมาคิดให้ใจต้องหม่นหมอง อภัยกันนั่นแหละดีแล้วจะได้หมดสิ้นเวรภัย สาธุขออนุโมทนา
     
  6. สุทธิมา

    สุทธิมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    784
    ค่าพลัง:
    +2,118
    อนุโมทนาสาธุ กับบทความให้แง่คิด กินใจยิ่ง
    ให้อภัย จิตใจไม่เศร้าหมอง
    การอาฆาตแค้นมีแต่ทุกข์
    เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
     
  7. k2

    k2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2008
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +811
    อ่านจบแล้วรู้สึกดีครับ อนุโมทนาสาธุ กับบทความดีๆที่ให้แง่คิดครับ
     
  8. ทิพย์ปทุโม

    ทิพย์ปทุโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +2,471
    ถ้าคนดี ๆ ที่ทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมือง และพระศาสนา ระลึกชาติได้กันทุกคนก็ดี
    จะได้มาต่องานที่ค้างอยู่ หรือมาต่อยอดงานของตนเอง หรือริเริ่มโครงการใหม่ ๆ ตั้งแต่ยังตัวเล็ก ตัวน้อย
    ชาติไทยคงเจริญรุ่งเรือง วัฒนา สถาพร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2010
  9. mmie

    mmie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +1,986
    ขออนุโมทนาบุญกับบทความนี้เป็นอย่างยิ่ง ที่ช่วยส่องทางสว่างให้กับจิตใจของเรา...
     
  10. palpats

    palpats Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +97
    อนุโมทนา สาธุครับ
    การให้อภัยทานเป็นทานที่สูงครับ
    การอโหสิกรรมกันจะได้ไม่จองเวรครับ
    จะได้ไม่ผูกพยาบาทกันต่อไป
     
  11. Kollanya

    Kollanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +443
    "การให้อภัยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่การแก้แค้นลงทุนมาก"
     
  12. Violent Daughter

    Violent Daughter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +305
    มุสาวาทา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
     
  13. eungeang

    eungeang สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +9
    ขออนุโมทนา สาธุด้วยคนค่ะ
    <input id="gwProxy" type="hidden"><!--Session data--><input onclick="if(typeof(jsCall)=='function'){jsCall();}else{setTimeout('jsCall()',500);}" id="jsProxy" type="hidden">
     
  14. ปลายแสง

    ปลายแสง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +70
    แรงอธิฐานแรงอาฆาตส่งผลข้ามชาติขนาดนี้เลยนะค่ะ น่าสงสารเพิ่งเกิดมาก็จะสร้างบาปอีกแล้ว ถ้าสมมติน้องเค้าเกิดศาสนาอื่น เค้าจะเป็นยังไงนะ ขอให้เค้าทั้งคู่หลุดจากบ่วงกรรมให้ได้นะค่ะ
     
  15. Santajitto

    Santajitto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2010
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +455
    อนุโมทนาสาธุ ... การให้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเลิศในทาน ...ได้แก่ การให้อภัยทาน
     
  16. บูชาธรรม

    บูชาธรรม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +24
    การให้อภัยทานเป็นสิ่งที่ดีและยิ่งใหญ่
    ขออนุโมทนา สาธุครับ
     
  17. Sailomsuksikee

    Sailomsuksikee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +573
    อ่านเอาสาระครับ เก็บสะสมแต่ิสิ่งที่ควรเก็บ....อย่าไปคิดมากเรื่องนี้จริงหรือปลอม หรือยุงไข่ไปหลายตัวแล้ว อ่านแล้วก็วางมันลง ถ้าไม่วางตัวเรานั้นล่ะจะตกอยู่ภายใต้กิเลสตััวที่มันผุดขึ้นมากระซิบข้างหู ๕๕๕๕๕
     
  18. naruetorn oanson

    naruetorn oanson เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +2,142
    อนุโมทนาด้วยนะคะ อยากอ่านต่อคะ เด็กชายทะนะยังผูกใจเจ็บอยู่มั้ยคะ
     
  19. nitis

    nitis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +137
    ขอความกรุณาเล่าต่อให้จบด้วยครับ
     
  20. OddyWriter

    OddyWriter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +977
    เหมือนยังไม่จบเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...