ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ภูเขาไฟเมอราปีปะทุอีกวันนี้

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ภูเขาไฟเมอราปีที่อินโดนีเซียยังคงปะทุและพ่นเถ้าถ่านแก๊สพิษขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง หลังเกิดระเบิดครั้งใหญ่เมื่อวานนี้ ล่าสุดยอดผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นเกือบ 140 คนแล้ว

    ภูเขาไฟเมอราปียังคงพ่นเถ้าถ่านและแก๊สพิษขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ท่ามกลางความหวาดผวาของชาวบ้านหลายพันคนที่หนีตายเข้าไปหลบภัยในศูนย์ผู้ประสบภัยจนแน่นขนัด หลังจากที่เมื่อวานนี้ได้เกิดปะทุครั้งรุนแรง ทำให้หมู่บ้านบรองกังถูกลูกไฟตกใส่เผาบ้านเรือนวอดวายเกือบทั้งหมู่บ้าน และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ล่าสุดพุ่งขึ้นเป็น 94 คนแล้ว รวมกับผู้เสียชีวิตครั้งก่อนทำให้ยอดพุ่งขึ้น 138 คน บาดเจ็บกว่า 200 คน จนโรงพยาบาลไม่สามารถรองรับผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตต้องส่งผู้บาดเจ็บจำนวนมากกลับบ้าน เนื่องจากเตียงไม่พอ

    ขณะที่เมืองยอร์คยาการ์ต้าต้องสั่งปิดสนามบินเป็นวันที่สอง เนื่องจากเถ้าถ่านยังปกคลุมเต็มรันเวย์ สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางจากสนามบินบันดุงซึ่งอยู่ใกล้เคียงไปลงเมืองอื่นแทนเนื่องจากได้รับผลกระทบจากฝุ่นควันด้วย ขณะที่หลายฝ่ายวิตกเกี่ยวกับแม่น้ำโคเด้ ที่ไหลจากภูเขาลงสู่ใจกลางเมือง โดยเกรงว่าแรงสะเทือนและลาวาจากภูเขาไฟจะทำให้เกิดโคลนถล่มไหลลงมาทางแม่น้ำสู่เมืองยอร์คยาการ์ต้า

    ข่าวทีวีช่อง 3 วันเสาร์ ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

    ที่มา http://www.krobkruakao.com/kkn/ข่าวต่างประเทศ/26248/ภูเขาไฟเมอราปีปะทุอีกวันนี้.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. สรัสวดี

    สรัสวดี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +76
    ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปโดยเร็วด้วยเถิด_/I\_
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,618
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    อนุโมทนาสาธุค่ะ:cool:
    เศร้าใจจริง
    ขอบคุณ จขกท ค่ะ
    เลิกทะเลาะกันได้แล้ว ป้องกันก่อนที่จะแย่ แล้วจะแก้ไม่ทัน





    catt12
     
  4. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    เรื่องแรกเลยคือการย้ายเมืองหลวง อย่ามัวลับ ลวง พราง ผลุบๆ โผล่ๆ รู้ทั้งรู้ว่า กทม. ดินอ่อน ทรุดตัวทุกปี จะทำอะไรก็รีบทำ

    คนที่จะเดือดร้อนมากที่สุดคือคนจน และคนจนก็เป็นพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศซะด้วย จะขยับตัวทำอะไร ก็ยากกว่าคนฐานะดี ทั้งเรื่องที่อยู่ หรือเรื่องหาลู่ทางทำกินกันใหม่

    ภัยธรรมชาติไม่เข้าใครออกใคร ต่อไปจะมีบ่อยขึ้น หนักขึ้น ไม่เลือกสถานที่ ไม่เลือกเวลา อะไรที่ไม่คิดว่าจะเกิดตรงนั้นตรงนี้ เพราะไม่เคยเกิดก็จะเกิด

    ลองนึกภาพ อย่างกรุงเทพฯ ที่มีสภาพภูมิศาสตร์เป็นที่ราบลุ่ม ถ้าเจอเคสแรงๆ แบบนาร์กิสเข้าไป จะบูรณะกันกี่แสนล้าน ที่สำคัญกว่าเงินคือชีวิตคน มันคุ้มได้คุ้มเสียไหม

    สตอร์มเสิร์จ อย่านึกว่าจะเกิดเฉพาะในที่ๆ ใครไปจัดให้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2010
  5. พุทธเมตตา

    พุทธเมตตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +174
    วันที่ 07 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7284 ข่าวสดรายวัน


    ในหลวงห่วงพสกนิกร ถึง"สุบิน" ว่าน้ำท่วมกรงเทพฯ

    ในฝัน-ยังทรงห้าม พยาบาลปิดหน้าต่าง นายกฯเผยทรงแนะ วิธีแก้ปัญหาอุทกภัย



    <TABLE border=0 cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯยังท่าน้ำร.พ.ศิริราช ทอดพระเนตรการแสดงวงดนตรี The Preservation Hall Jazz Band จากสหรัฐ ที่จัดแสดงบนเรืออังสนา เมื่อเวลา 17.50 น. วันที่ 6 พ.ย.


    </TD></TR></TBODY></TABLE>เผย ′ในหลวง′ ทรงห่วงใยราษฎรผู้ประสบภัยน้ำท่วมอย่างมาก ถึงกับทรงพระสุบินว่าน้ำท่วมกรุงเทพฯ ด้านนายกฯ ระบุ ′ในหลวง′พระราชทานพระราชดำริวิธีแก้ไขปัญหาระยะยาว ทรงเน้นย้ำเรื่องของการศึกษาระบบระบายน้ำ และทำโครงการช่วยให้น้ำไม่ไปท่วมขังในลุ่มน้ำเจ้าพระยา แต่ต้องศึกษาผลกระทบรอบด้านให้ดี อภิรักษ์ประชุมศชอ. ชี้ภาคใต้ยังต้องเฝ้าระวังเหตุดินโคลนถล่มในพื้นที่จ.นครศรีธรรมราช ส่วน ′หาดใหญ่′ เจอวิกฤตขาดน้ำดื่มและขยะเหม็นเกลื่อนเมือง สงขลาระทึกจับตายจระเข้หลุด 40 กว่าตัว ชาวบ้านริมทะเลสาบสงขลาทุกข์ซ้ำหลังจากเกิดภาวะน้ำทะเลหนุน หญิงกรุงเก่าสุดทนกระโดดขวางขบวนรถอภิรักษ์ร้องเรียนเดือดร้อนน้ำท่วม-ไม่มีส้วมใช้แต่รัฐไม่เคยเหลียวแล นางเอกสาว ′แพนเค้ก′ รุดให้กำลังใจชาวอยุธยา ด้านปทุมธานีน้ำตลบเข้าท่วมพื้นที่คลองพระอุดมแล้ว ขณะที่น้ำเจ้าพระยาทะลักท่วมอ่างทอง เตือนชาวอีสานอพยพหนีน้ำชี
     
  6. nut_20036

    nut_20036 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +1,776
    [​IMG]
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A.JPG
      A.JPG
      ขนาดไฟล์:
      28.3 KB
      เปิดดู:
      1,548
    • B.JPG
      B.JPG
      ขนาดไฟล์:
      24.7 KB
      เปิดดู:
      1,606
  7. gentenaar

    gentenaar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +2,320
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ลำพูนเตรียมประกาศ 8 อำเภอเป็นพื้นที่ประสบภัยหนาว</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>7 พฤศจิกายน 2553 19:00 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><IFRAME style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; OVERFLOW: hidden; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 450px; BORDER-BOTTOM: medium none; HEIGHT: 35px" src="http://www.facebook.com/plugins/like.php?href=http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9530000157281&layout=standard&show_faces=false&width=450&action=like&colorscheme=light&height=35" frameBorder=0 scrolling=no allowTransparency></IFRAME></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> นายชุมพร อินตะเทพ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.ลำพูน เปิดเผยว่า ในวันที่ 8 - 9 พฤศจิกายนนี้ ปภ.ลำพูน เตรียมเสนอเรื่องต่อผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน ออกประกาศพื้นที่ทั้ง 8 อำเภอ คือ เมืองลำพูน แม่ทา บ้านธิ ป่าซาง บ้านโฮ่ง ทุ่งหัวช้าง ลี้ และเวียงหนองล่อง เป็นพื้นที่ประสบภัยหนาว หลังจากอุณหภูมิลดต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส ติดต่อกันนาน 3 วัน เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น
    ทั้งนี้ หลังผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน ประกาศพื้นที่ประสบภัยหนาวแล้ว ปภ.จะเร่งสำรวจความต้องการเครื่องนุ่งห่มกันหนาวของประชาชนในพื้นที่ เพื่อเร่งช่วยเหลือและนำไปแจกจ่ายบรรเทาความหนาวเย็น ซึ่งคาดว่าฤดูหนาวปีนี้จะหนาวเย็นกว่าทุกปี

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. gentenaar

    gentenaar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +2,320
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>กรมอุตุฯ คาดสัปดาห์นี้ ภาคเหนือ-อีสาน อากาศเย็นลงอีก ภาคใต้จะมีฝนเพิ่มขึ้น </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>7 พฤศจิกายน 2553 19:55 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><IFRAME style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; OVERFLOW: hidden; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 450px; BORDER-BOTTOM: medium none; HEIGHT: 35px" src="http://www.facebook.com/plugins/like.php?href=http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9530000157318&layout=standard&show_faces=false&width=450&action=like&colorscheme=light&height=35" frameBorder=0 scrolling=no allowTransparency></IFRAME></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> กรมอุตุนิยมวิทยา คาดหมายสภาพอากาศสัปดาห์นี้ บริเวณความกดอากาศสูง หรือมวลอากาศเย็นยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกมีอากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า ส่วนร่องมรสุมที่พาดผ่านทะเลอันดามัน ภาคใต้ตอนล่าง และอ่าวไทยตอนล่าง ทำให้ภาคใต้มีฝนกระจาย ส่วนคลื่นลมในทะเลอันดามัน และอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังอ่อนลง
    ส่วนในช่วงวันที่ 8-13 พ.ย. บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนอีกระลอกหนึ่งจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมทะเลจีน ใต้ และประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นลง โดยอุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศา ส่วนมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังแรงจะพัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทย และร่องมรสุมที่พาดผ่านอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้นด้วย ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น
    ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 9-13 พ.ย. ขอให้ประชาชนในภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ลงไป ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ส่วนชาวเรือในอ่าวไทยควรเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือไว้ด้วย

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. gentenaar

    gentenaar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +2,320
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ดินถล่มซ้ำในเมืองคอน ชาวบ้านผวาไม่กล้าเข้าใกล้ </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>7 พฤศจิกายน 2553 20:35 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><IFRAME style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; OVERFLOW: hidden; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 450px; BORDER-BOTTOM: medium none; HEIGHT: 35px" src="http://www.facebook.com/plugins/like.php?href=http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000157270&layout=standard&show_faces=false&width=450&action=like&colorscheme=light&height=35" frameBorder=0 scrolling=no allowTransparency></IFRAME></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> นครศรีธรรมราช - เกิดเหตุดินถล่มนครศรีธรรมราชเพิ่มอีกในอำเภอลานสกา และยังทรุดตัวต่อเนื่อง ทำให้ชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นผวาไม่กล้าเข้าใกล้ ทำได้เพียงแต่เฝ้าระวัง โดยที่ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต เนื่องจากจุดเกิดเหตุเป็นป่า

    วันนี้ (7 พ.ย.) ความคืบของสถานการณ์ล่าสุด โดยเฉพาะในเรื่องของโคลนถล่ม ในพื้นที่ปรากฏว่า สำนักงานป้องกันบรรเทาสาธารณภัยนครศรีธรรมราช ได้รับแจ้งเหตุดินและโคลนถล่มอีกจุดในพื้นที่ม.8 ต.กำโลน อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช เป็นวงกว้าง แต่ยังไม่ได้รับรายงานผู้สูญหายเสียชีวิตหรือความเสียหายต่อทรัพย์สินแต่อย่างใด ในขณะที่ฝนยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง

    นายยงยุทธ กระจ่างโลก กำนันตำบลกำโลน อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่าขณะนี้รับแจ้งแล้วแต่จุดที่เกิดเหตุนั้นโชคดีที่เป็นพื้นที่ป่าเขา ซึ่งอยู่ใกล้กับธารน้ำท่าหา ต.กำโลน ขณะนี้ยังไม่มีใครเข้าไปใกล้ได้เนื่องจากมีการทรุดตัวอยู่ตลอดเวลา ส่วนดินที่ถล่มลงมานั้นได้ลงไปอยู่ในธารคลองท่าหา อย่างไรก็ตามพื้นที่ละแวกนั้นเป็นสวนของชาวบ้านที่ไม่มีคนอาศัย และเป็นพื้นที่ป่าสงวนติดต่อกันคาดว่าผ่านพ้นคืนนี้ไปก่อนจึงจะมีการตรวจสอบอีกครั้ง ส่วนพื้นที่จุดเสี่ยงดอื่นๆนั้นชาวบ้านต่างช่วยกันเฝ้าระวันอยู่ตลอดเวลา

    นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตเนื่องจากจมน้ำอีก 1 รายสอบสวนทราบผู้จมน้ำสูญหายไปชื่อ นายแดง จัตุรัส อายุ 60 ปี อยู่บ้านเลขที่ 83 ม.4 ต.ไม้เรียง อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุขณะที่ นายแดง ออกจากบ้านเดินฝ่ากระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากบริเวณริมทางรถไฟเพื่อจะไปหาซื้อของกินที่ในตัวตลาดทานพอ ปรากฏว่านายแดงได้ถูกกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากพัดร่างจมหายไปกับกระแสน้ำ ญาติ และชาวบ้านได้ลงงมค้นหาอยู่นานตลอดทั้งวันก็ยังไม่พบร่างนายแดง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. gentenaar

    gentenaar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +2,320
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>'เมราปี'ทำพิษ-เที่ยวบินระงับนับสิบหวั่นกระทบดั่งภูเขาไฟ'ไอซ์แลนด์'</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>7 พฤศจิกายน 2553 20:43 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><IFRAME style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; OVERFLOW: hidden; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 450px; BORDER-BOTTOM: medium none; HEIGHT: 35px" src="http://www.facebook.com/plugins/like.php?href=http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9530000157333&layout=standard&show_faces=false&width=450&action=like&colorscheme=light&height=35" frameBorder=0 scrolling=no allowTransparency></IFRAME></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพการปะทุของภูเขาไฟเมราปียามค่ำคืน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> เอเอฟพี / เอเจนซี - ภูเขาไฟ “เมราปี” ซึ่งยังคงพ่นเปลวควันเถ้าถ่านและก๊าซพิษปกคลุมชั้นบรรยากาศเหนือเกาะชวาของอินโดนีเซียอย่างไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง ส่งผลให้สายการบินยักษ์ใหญ่ของโลกหลายแห่ง ต้องประกาศระงับให้บริการเที่ยวบินไป-กลับแดนอิเหนาแล้วรวมหลายสิบเที่ยวบิน ท่ามกลางความหวาดวิตกว่าม่านหมอกพิษจากภูเขาไฟลูกนี้ จะสร้างความเสียหายแก่ธุรกิจการบิน ดังเช่นปรากฏการณ์ภูเขาไฟปะทุที่ไอซ์แลนด์เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

    ซูดาร์ยันโต โฆษกของท่าอากาศยานนานาชาติ ซูการ์โน-ฮัตตา ในกรุงจาการ์ตา แถลงว่า สายการบินชื่อดัง หลายแห่งได้ประกาศระงับเที่ยวบินไป-กลับกรุงจาการ์ตารวม 8 เที่ยวบินในวันนี้ (7) ต่อเนื่องมาจากวันเสาร์ (6) ที่มีการงดบินทั้งสิ้น 36 เที่ยวบิน นอกจากนั้นยังมี 42 เที่ยวบินที่ต้องปรับตารางการบินใหม่วันนี้ (7) โดยสายการบินที่ได้รับผลกระทบจนต้องยกเลิกหรือวางตารางการบินใหม่ ก็ได้แก่ สิงคโปร์ แอร์ไลนส์, คาเธย์ แปซิฟิก, เอมิเรตส์, ลุฟท์ฮันซา, แอร์เอเชีย, มาเลเซีย แอร์ไลนส์ และเตอร์กีช แอร์ไลนส์ เป็นต้น

    เขา ยังระบุด้วยว่า เที่ยวบินส่วนใหญ่ที่มีการระงับนั้น เป็นเที่ยวบินที่มีจุดหมายปลายทางที่สิงคโปร์โดยบินผ่านอินโดนีเซีย

    อย่างไรก็ตาม โฆษกคนเดิมระบุว่า ท่าอากาศยานจาการ์ตาแห่งนี้ ซึ่งการจราจรคับคั่งด้วยเที่ยวบินราว 900 เที่ยวต่อวัน ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ เนื่องจากเมราปีซึ่งอยู่ห่างจากจาการ์ตาราว 600 กิโลเมตรไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระบบการจราจรทางอากาศในเมืองหลวงแต่อย่างใด

    ด้านเรย์มอนด์ ยอง ผู้โดยสารชาวสิงคโปร์ให้สัมภาษณ์ด้วยความกระวนกระวายใจ หลังจากสายการบินลุฟท์ฮันซา ระงับเที่ยวบินจากกรุงจาการ์ตาไปสิงคโปร์ บอกว่า “เราโทรศัพท์ถึงสามสายการบิน ทว่าที่นั่งทั้งหมดถูกจองเต็มหมดแล้ว”

    “ผมไม่เข้าใจว่าทำไมหลายสายการบินจึงถูกยกเลิก ในเมื่อสายการบินอื่นๆ ที่ยังให้บริการอยู่ก็ไม่พบปัญหาอะไร ผมต้องกลับไปทำงานวันพรุ่งนี้ และนี่ก็ไม่สะดวกเอามากๆ” เขาพูดด้วยความหัวเสีย

    นอกจากสนามบินในเมืองหลวงแล้ว การปะทุของเมราปีคราวนี้ ยังส่งผลกระทบต่อหลายเที่ยวบินที่มุ่งหน้าไปยังเมืองยอกยาการ์ตา โซโล และบันดัง ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับที่ตั้งของภูเขาไฟลูกนี้อีกด้วย ขณะที่มีรายงานว่า ผู้โดยสารเครื่องบินจำนวนหลายพันคนยังคงติดค้างอยู่บนเกาะชวา โดยที่กองทัพอากาศของมาเลเซียได้ส่งเครื่องบินลำเลียง เฮอร์คิวลิส ซี-130 จำนวน 3 ลำ ไปยังเมืองยอกยาการ์ตาเพื่อไปรับผู้โดยสารชาวมาเลเซียที่ยังติดค้างอยู่ที่นั่น 664 คน

    การปะทุอย่างไม่หยุดหย่อนของภูเขาไฟลูกนี้ยังเป็นที่จับตาของสื่อมวลชนต่างชาติด้วยว่า จะมีผลกระทบต่อกำหนดการเยือนกรุงจาการ์ตาของประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ ในวันพรุ่งนี้ (9) หรือไม่ หลังจากที่ผู้นำทำเนียบขาวผู้นี้ได้เลื่อนการเดินทางมายังแดนอิเหนาแล้วถึงสองครั้งสองครา ขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า จะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

    ทั้งนี้ ภูเขาไฟเมราปี ตื่นจากภาวะหลับไหลเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมเป็นต้นมา และเกิดการระเบิดครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1870 เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (5) ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนในวันเดียวเกือบ 80 ราย โดยสำนักงานควบคุมภัยพิบัติแห่งชาติของอินโดนีเซีย ระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดจากวิบัติภัยธรรมชาติคราวนี้ที่แก้ไขล่าสุดแล้วอยู่ที่ 132 รายและมีการสั่งอพยพผู้คนที่อาศัยอยู่ในรัศมีของภูเขาไฟแล้วกว่า 200,000 คน พร้อมกับเตือนด้วยว่า ยอดผู้เสียชีวิตอาจพุ่งสูงขึ้นอีก เมื่อเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์สามารถเข้าไปถึงเขตหมู่บ้านที่เข้าถึงยากได้แล้ว

    แต่กระนั้นก็ยังพอมีข่าวดีอยู่บ้าง เมื่อกรมอุตุนิยมวิทยาของอิเหนาพยากรณ์ว่าจะเกิดฝนตกหนักขึ้นในบริเวณพื้นที่ซึ่งมีหมอกพิษปกคลุม ส่งผลให้จะช่วยเจือจางความเข้มข้นของเถ้าถ่านและก๊าซพิษในชั้นบรรยากาศลงได้บ้าง

    อนึ่ง ปรากฏการณ์ปะทุของภูเขาไฟเมราปีในอินโดนีเซียซึ่งกระทบกระเทือนสายการบินหลายแห่ง ถูกสื่อมวลชนนำไปเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งระเบิดที่ไอซ์แลนด์เมื่อช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งครั้งนั้นส่งผลให้ธุรกิจการบินทั่วภูมิภาคยุโรปได้รับความเสียหายอย่างหนัก

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. gentenaar

    gentenaar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +2,320
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>น้ำท่วมสูง! ชาวนาเมืองน้ำดำลงแขกพายเรือเกี่ยวข้าว</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>7 พฤศจิกายน 2553 16:03 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><IFRAME style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; OVERFLOW: hidden; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 450px; BORDER-BOTTOM: medium none; HEIGHT: 35px" src="http://www.facebook.com/plugins/like.php?href=http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000157210&layout=standard&show_faces=false&width=450&action=like&colorscheme=light&height=35" frameBorder=0 scrolling=no allowTransparency></IFRAME></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>กาฬสินธุ์ -ชาวนา 4 หมู่บ้าน ร่วมลงแขกพายเรือออกไปเกี่ยวข้าวที่ถูกน้ำท่วมสูงเกือบ 2 เมตร ขณะที่ระดับน้ำแม่น้ำชีเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยวันละ 10 ซม.เกษตร อ.ฆ้องชัย เผย นาข้าวเสียหายสิ้นเชิงแล้ว กว่า 4,000 ไร่ ด้านผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ สั่งการเฝ้าระวังพนังกั้นน้ำตลอด 24 ชม.พร้อมเตรียมอพยพชาวบ้านหนีน้ำท่วม

    วันนี้ (7 พ.ย.) นายทวี นาถมทอง กำนัน ต.โคกประสิทธิ์ นายหนูแหวง นาถมทอง ผู้ใหญ่บ้านบ้านโนนชัย นำชาวบ้านจากบ้านโนนชัย หมู่ 1 บ้านโคกประสิทธิ์ หมู่ 5,10และ หมู่ 12 ต.โคกสะอาด อ.ฆ้องชัย จ.กาฬสินธุ์ ลงแขกพายเรือเกี่ยวข้าว ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นทำให้การเกี่ยวข้าวในน้ำเป็นไปอย่างลำบากแก่ชาวนากาฬสินธุ์เป็นอย่างมาก

    นายทวี นาถมทอง กำนัน ต.โคกประสิทธิ์ กล่าวว่า จากภาวะน้ำชีเอ่อล้นพนังกั้นน้ำทำให้น้ำไหลเข้าท่วมนาข้าวสูงถึง 1.5 เมตร นอกจากนี้ นาข้าวของชาวบ้าน 4 หมู่บ้าน ถูกน้ำท่วมเสียหายสิ้นเชิงแล้ว 4 ,000 ไร่ นาข้าวบางแห่งไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้าวได้เพราะระดับน้ำสูงเกิน 2 เมตร แต่เกษตรกรก็พยายามดำน้ำเข้าไปเกี่ยวข้าว เพราะเสียดายเงินที่ลงทุนในการทำนาไปในปีนี้

    “แม้ว่าต้องลุยน้ำในสภาพอากาศที่หนาวเย็นแค่ไหน ชาวบ้านก็ต้องลงน้ำไปเกี่ยวข้าวในน้ำที่เย็นเฉียบ เพราะข้าวที่ถูกน้ำท่วมเป็นเงินทองที่ลงทุนไปบางรายไม่สามารถเก็บเกี่ยวข้าวมาได้เลยนั่นก็เท่ากับว่าเงินจมน้ำไปด้วยสุดท้ายก็ต้องเป็นหนี้สินเพราะไม่มีข้าวไปขายเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ สิ่งที่จะช่วยเหลือกันได้ก็เพียงช่วยกันเก็บเกี่ยวข้าวที่ถูกน้ำท่วม ทุกๆ คน ออกแรงช่วยกันเหมือนการให้กำลังใจกันและกันด้วย” นายทวี กล่าว

    สำหรับจังหวัดกาฬสินธุ์ อุตุนิยมวิทยา จ.กาฬสินธุ์ แจ้งว่า สภาพอากาศมีความหนาวเย็น พื้นที่ราบอุณหภูมิต่ำสุดวัดได้ 13-14 องศาเซลเซียส ขณะที่ยอดดอยต่ำสุดวัดได้ 7-9 องศาเซลเซียส

    นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดำเนินการช่วยเหลือชาวบ้านอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเตรียมอพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม โดยเน้นความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน

    อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายจะต้องเตรียมพร้อมตลอด 24 ชม.รวมทั้งการเฝ้าระวังปัญหาพนังกั้นน้ำที่มีปัญหารอยร้าวตลอดแนว 31 กม.

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. ragpon

    ragpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    457
    ค่าพลัง:
    +956
    ข้าพเจ้าขอน้อมกราบชาวนาทุกคนแทบเท้า ด้วยในใจคิดเพียงว่าพระคุณใหญ่ที่ท่านผู้ที่เป็นชาวนานั้นได้ให้ข้าพเจ้ามีอาหารกินหากแม้ข้าพเจ้าจะมีเงินมีทองมากมายซักเพียงใดแต่หากไม่มีผู้สร้างกระทำเหล่านี้ข้าพเจ้าก็ไม่มีโอกาศได้อิ่มท้องได้ แม้ว่าจะเป็นการดำลงชีวิตเพื่ออาชีพของท่านแต่ทุกสิ่งที่ท่านสร้างมามีผลต่อชีวิตของผมและครอบครัวของกระผมอย่างที่เป็นอยู่ ขอบคุณครับขอให้ชาวนาและทุกๆคนรอดพ้นจากภัยต่างๆด้วยเทอญ

    คือว่าผมเห็นข่าวนี้แล้วรู้สึกสะเทือนใจ แค่รำพังเกี่ยวข้าวธรรมดาย่อมลำบากอยู่แล้วแต่...นี้ น้ำตามันคลอเบ้าขึ้นมานะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2010
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192

    เริ่มจากปี พ.ศ. ๒๕๔๙ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๒

    บทกลอนฝากเตือน จากหลวงปู่เทพโลกอุดรแจ้งไว้แก่หลวงปู่ภารตะฤาษี(บัวขาว)



    [​IMG]

    ขอยกกลอน สอนใจ ในยามยาก ช่วงลำบาก ไว้เป็น อุทาหรณ์
    โลกทั้งโลก กำลัง จะสั่นคลอน เพื่อสะท้อน ผลกรรม คนทำมา
    จากวันนี้ ต่อไป ภายภาคหน้า ในไม่ช้า วิบากกรรม วิ่งเข้าหา
    ให้โหยหวน คร่ำครวญ แสนเวทนา คนทั่วหล้า ต่างล้มหาย ตายเป็นเบือ

    หากไม่เชื่อ ให้เผ้าดู จะรู้สึก ต้องสะอึก เมือ่ไม่มี สิ่งใดเหลือ
    ทุกวันนี้ มีใช้ อย่างเหลือเพือ จะไม่เหลือ ให้ใช้ ในบัดดล
    คนหลายคน วกวน เพื่อเสพสุข ไม่เคยทุกข์ ร้อนใจ ให้ขัดสน
    เฝ้าเอาเปรียบ เบียดเบียน หมู่ผู้คน ไม่เคยสน เวรกรรม มันมีจริง

    ไม่ว่าใคร ใดใด ในโลกนี้ ชั่วหรือดี ทุกเยาว์วัย ชายหรือหญิง
    สัจธรรม เท่านั้น คือความจริง ทุกสรรพสิ่ง หนีไม่พ้น ผลของกรรม
    คนคิดดี ทำดี ย่อมมีสุข พ้นกองทุกข์ ชีวี ไม่แปรผัน
    พาพ้นทุกข์ สิ้นวิบัติ ในฉับพลัน บุญเท่านั้น ที่หนุนนำ คนทำดี

    ผิดกับคน ที่ทำผิด และทำพลาด ต้องถึงฆาต บาปกรรม ซ้ำเป็นผี
    ครั้งอยู่ดี มีสุข ไม่ใฝ่ดี พอจะม้วย ชีวี แล้วใฝ่บุญ
    กุศลหนุน บุญใด ไหนจะช่วย มีแต่ซวย เท่านั้น ที่เกื้อหนุน
    เกิดเป็นคน ไม่เคยคิด ตอบแทนคุณ จะเอาบุญ ที่ไหน มานำพา

    อีกไม่นาน ก็ถึง กึ่งพุทธะ เป็นจังหวะ รอยต่อ ศาสนา
    สิ่งทุกสิ่ง ย้อนกลับ สู่เวลา ทรัพย์ไร้ค่า คนยึดจิต อภิญญา
    ถิ่นกาขาว ยาวนาน จะผันผ่าน พระศรีอารย์ อริยะเมตไตร เข้ามาหา
    ศรีวิไล ใฝ่ธรรม ทุกเวลา เทวดา ปกป้อง ตลอดกาล

    อยากอยู่ดี มีสุข ถึงยุคนั้น ต้องช่วยกัน สร้างกรรมดี ไว้สืบสาน
    ภัยวิบัติ โลกสลาย อีกไม่นาน สิ้นคนพาล เหลือคนดี ไม่กี่คน
    คำยืนยัน ปู่ฤาษี ภารตะ ให้สละ อย่ายึดมั่น อย่าสับสน
    ให้รู้ไว้ ภัยจะถึง ทุกตัวตน ให้ทุกคน หลบลี้ หนีออกมา

    การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จะบังเกิด จำไว้เถิด จะสิ้นยุค กลุ่มเศรษฐี
    ที่คดโกง ฉกฉวย จนได้ดี จะสิ้นที หมดท่า พาตรอมตรม
    บาปและกรรม ตามซ้ำ ไม่ย่อหย่อน กินหรือนอน เดินนั่ง ช่างขื่นขม
    ถึงรวยทรัพย์ เคยยิ่งใหญ่ ยิ่งระทม ก็จะล้ม จมดิ้น สิ้นกันไป

    จากสี่เก้า เข้าถึง ปีหกสอง ฟ้าจะร้อง คำราม สุดหวั่นไหว
    ธรณี จะโกรธ เป็นพื้นไฟ พระพรายไซร์ จะถามโถม โจมดีเรา
    พระคงคา จะไหลบ่า หุ้มเปลือกโลก ดาวนอกโลก พุ่งชน คนอับเฉา
    ให้รีบลุก และตื่น เถิดพวกเรา รีบเดินหน้า ถึงธรรม ค้ำชีวา

    ภาคกลางหนึ่ง ใต้หนึ่ง พีงจำไว้ จมอยู่ใต้ คงคา แน่นักหนา
    ผืนแผ่นดิน คลุมด้วยน้ำ สุดลูกตา ชาวประชา ไร้แผ่นดิน สิ้นชีพวาย
    เหนืออีสาน ตอนล่าง ต่างรันทด แผ่นดินลด หดหู่ ไม่รู้หาย
    เหลือก็น้อย คนบุญ ที่รอดตาย นอกนั้นไซร์ ไร้ชีวิต วิบัติภัย

    บนท้องฟ้า มืดมน ฝนห่าใหญ่ ห่อหุ้มไว้ เจ็ดราตรี อรุณฉาย
    สัตว์เล็กใหญ่ ดับดิ้น แทบวอดวาย ที่ไม่ตาย กลายมีพิษ ปลิดชีพกัน
    พายุลม สลาตัน นับว่าร้าย ก็ไม่ว่าย ต้องแพ้ ลมกรรมหันต์
    ฝนที่ไหน พัดที่ใด ตายฉับพลัน ไม่มีควัน มีแต่พิษ ชีวิตวอดวาย

    พลังจากนั้น คนที่เหลือ จะแปรเปลี่ยน บำเพ็ญเพียร ภาวนา ไม่ขาดสาย
    ทุกข์และโศก โลกมนุษย์ จะผ่อนคลาย ศรีอริยะเมตไตร จะบรรเจิด เกิดขึ้นพลัน
    สร้างมนุษย์ สร้างโลก ให้ผุดผ่อง ตามครรลอง ศรีวิไล ให้เฉิดฉันท์
    สิ้นทุกข์โศก โรคภัย ไม่โรมรัน จิตเท่านั้น ที่วัดใจ ให้อยู่ยืน

    ทรัพย์เงินทอง ก่ายกอง เต็มไปหมด ช่างรันทด ไม่มีค่า เท่าผ้าผืน
    สิ่งที่หา และใฝ่ ทุกวันคืน ที่ยั่งยืน คือจิต ผ่องอำไพ
    อาศัยกรรม ทำดี ช่วยชูค้ำ ให้ได้นำ สู่ภิญญา น่าสดใส
    ทั้งอิ่มเอิบ อิ่มกาย อิ่มจิตใจ พระยาธรรม นั่นไซร์ คือกฏเกณฑ์

    หากไม่เชื่อ สิ่งที่กล่าว ชาวโลกเอย จำไว้เลย นี่คือแท้ แน่นักหนา
    เฝ้าติดตาม การเปลี่ยนแปลง ทุกเวลา จะรู้ว่า เริ่มตั้งเค้า เข้าสู่กาล
    หายุโหม น้ำท่วม แผ่นดินไหว โลกทั้งใบ ไม่แน่น ไร้แก่นสาร
    ธาตุดินน้ำ ลมไฟ ถูกรุกราน จากวิญญาน กาลอดีต กรีดทำลาย

    คนทั่วโลก จะพบ ภัยพิบัติ สารพัด ปัญหา ให้แก้ไข
    ทั้งเรื่องโลก เรื่องคน จนวุ่นวาย แก้อย่างไร ก็ไร้ค่า พาล้มครืน
    เป็นด้วยเหตุ อาเพศ โลกใบนี้ ถูกย่ำยี จากมนุษย์ สุดทนฝืน
    มุ่งทำลาย ล้างผลาญ ทุกค่ำคืน ไม่อาจฝืน ขืนปล่อยไว้ ใจโลกตรม

    มอบให้เหล่าท่านทั้งหลายได้พิจารณา เห็นอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ด้วยสติปัญญาของตนเอง จากหลวงปู่ ภารตะ ฤาษี (บัวขาว) ผู้ประพันธ์ คุณฐิติศักดิ์ ฐิติพงศ์ทัพพ์



    สาส์นสำคัญจากหลวงปู่เทพโลกอุดร

    มวลมนุษย์ ภัยพิบัติ น้ำจะท่วมโลก แผ่นดินจะไหว มนุษย์ที่ดีถึงจะรอด หมู่ชนควรทำดี ให้มนุษย์มีการปฏิบัติ มวลชนทุกหมู่เหล่าต้องปฏิบัติ พระเจ้าผู้สร้างโลก มองเห็นมวลมนุษย์ กำลังจะทุกข์ยาก ล้มหายตายจาก เวลานั้นใกล้เข้ามา มนุษย์เท่านั้น ที่จะช่วยตัวเองได้ จงทำตัวเองให้ดี จงมีจิตที่ดี จึงจะรอดพ้น ไม่มีใครช่วยใครได้ แผ่นดินจะกลืนกิน มิรู้สิ้นชีวิตเท่าใด ผู้ที่จะรอดปลอดภัย ต้องอยู่ในศีลธรรม

    พึงรักษาชีวี อย่าคิดว่าตายแล้วดีกว่าอยู่ ต้องอดทน ผู้รอดจากภัยพิบัติ คือ ผู้ที่ต้องอยู่ต่อ เป็นผู้ที่ต้องช่วยกัน ปรับสภาพจากเหตุการณ์ ที่ผ่านพ้นแต่กว่าจะถึงตอนนั้น มนุษย์ก็แสนสาหัส ทุกข์ยากอดอยาก ยากไร้ปางตาย ไร้ความทรงจำก็มี เพราะขาด การเตรียม ด้วยความไม่รู้ มนุษย์ต้องพบ วิบากกรรมชีวิต ทุกชีวิตที่อาศัย อยู่บนโลกลำบาก มนุษย์เป็นผู้ทำทุกสิ่งด้วยมือ ของมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่มี ไม่ใช่ ใครที่ไหนทำ เวลาใกล้เข้ามา ทุกขณะความตาย กำลังเข้ามาใกล้ตัว

    ก่อนถึงเวลา ก่อนถึงวันนั้น มนุษย์ผู้ซึ่งกระทำการทำลาย มนุษย์ด้วยกัน มันต้องพินาศเช่นกัน การกระทำของมันผู้นี้ ทำให้มนุษย์ จำนวนมากมายสิ้นชีวิต คล้ายใบไม้ร่วง มันหวังว่าจะได้เป็นใหญ่ ในแผ่นดินทั่วโลก แต่แล้วความหายนะ เข้ามาครองโลกแทน ความพินาศเต็มไปหมด ความหวังย่อยยับ ปฐพีเต็มไปด้วยเลือด ศพกลาดเกลื่อนเลือดทาแผ่นดิน ชีวิตสูญสิ้น สิ้นไร้ผู้คน มีแต่ความตาย ที่เห็นชัดความดับสูญครั้งใหญ่ ของมวลมนุษย์และสัตว์ในโลก

    ความตายเป็นผู้ชนะ ผู้แพ้คือผู้กระทำความชั่วร้าย ผู้ที่ตายทั้งหมดเป็นผู้โชคดีกระนั้นหรือ ผู้ที่รอดเป็นผู้โชคดีกระนั้นหรือ มิใช่ทุกอย่างคือ กฎแห่งกรรม วิถีแห่งกรรม มาจากที่ใด ทำไม มวลมนุษย์จึงต้องรับความดับสูญ เพราะชีวิตกับความตายเป็นสิ่งที่คู่กัน ไม่อาจหลีกเลี่ยง ไม่มีทางหนีพ้น โอกาสผู้ที่รอด หมายถึง ผู้อยู่ต่อ เพื่ออนาคตโลก ผู้ทำลายดับสิ้นสูญ โลกร้อนระอุ มีแต่ไฟ เถ้าถ่านท่วมท้นแผ่นดิน น้ำเป็นพิษ สารเคมีท่วมท้น เชื้อโรคสารพัดชนิด กัดกินผู้คน ผู้ที่รอดแสนสาหัส ทุกข์ยากรอความตาย

    ผู้มีบุญจะออกมาช่วย รักษาชีวิต ผู้คนมากมาย จะรอดชีวิตจากโรคร้าย การรักษา ไม่ต้องใช้ยา เป็นวิชา ไม่มีใครรู้จัก คนผู้นี้ รักษาผู้คน ไม่หวังสิ่งใด เพราะเป็นหน้าที่ก่อนเกิด การรักษา ไม่ต้องมาพบตัวผู้ป่วยอยู่แห่งใด รักษาได้ ไม่ต้องมา ถึงเวลาไม่ต้องค้นหา โรคจะหายเอง

    เศรษฐกิจตกต่ำ ต้องการผู้แก้ไข ทั่วโลกวุ่นวาย ขาดอาหาร น้ำตาเนืองนอง ศพลอยฟูฟ่อง เพราะน้ำหลากมา น้ำตาไหลริน ไม่มีใครได้กินอิ่ม

    มีแต่ความทุกข์ ความเศร้าโศกครอบคลุม คนทั่วโลกไม่ต่างกัน ทุกที่มีแต่ความเศร้า การสูญเสีย ของมวลมนุษย์ แต่ก็มีบางประเทศ ฟื้นตัวเร็ว การฟื้นตัวของบางประเทศรวดเร็ว เป็นประเทศเล็กๆ ประเทศที่เคยยิ่งใหญ่สูญเสียหนัก การพัฒนา เริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ช้า ทุกอย่างจึงกลับกัน ประเทศที่เคยเป็นมหาอำนาจ กลายเป็นผู้ยากไร้ แทบไม่น่าเชื่อ เคยมีเงินเหลือเฟือ ต้องฝืดเคือง ยิ่งกว่ากินเกลือ โลกไม่พ้นวิกฤต ความทุกข์ยังครองเมือง

    ผู้อ่อนแอจะไม่รอด อากาศหนาว หิมะถล่ม น้ำแข็งละลาย น้ำป่าหลาก ความทุกข์ยากทับถม คนตายเพราะความหนาวทุกข์ทับถมทวี กว่าจะรู้ ความดื้อรั้น ความเชื่อยาก ทำให้มนุษย์ ได้รับบทเรียน แต่ไม่เข้าใจ เพราะความตายมาเร็วเกินไป ไม่ทันรู้ตัว มนุษย์ไมทันได้คิด ไม่มีโอกาส เข้าใจ ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะไม่บรรลุธรรม ต้องมีชะตากรรม เวียนว่ายตายเกิด อยู่เช่นนี้ ทุกชีวี ผู้รู้เหตุการณ์ รอเวลามีน้อย ความไม่แน่นอน

    ความไม่มั่นใจ คิดว่าไม่เกิด จึงทำให้ การเตรียมตัวไม่พร้อม

    อาหารไม่พอ น้ำดื่มไม่มี หมอก็ป่วย คนไข้มากมาย โรคที่เป็นก็หายยาก พุพองทั่วร่างกาย โรคร้ายทั้งสิ้น เกาะกินร่างกายกัมมันตภาพรังสี สารเคมี เชื้อโรคมากมี ทำร้ายร่างกาย อาหารเป็นพิษ ยาปฏิชีวนะ ช่วยไม่ได้ โรคระบาด ทุกหย่อมหญ้า ชีวิตร่วงเหมือนผักปลา ไม่มีเวลา มีแต่ชีวิตที่สิ้นไป กว่าเถ้าจะมอด กว่าน้ำจะลด กว่าเชื้อโรคจะหมดสิ้น ชีวิตสิ้นไปไม่รู้เท่าไหร่ ความอดทนต้องสูงสุด ไม่มีเสียงนกร้อง มีแต่เสียงโอดครวญ ความเจ็บปวด ครองเมือง

    การครั้งนี้ กว่าจะสิ้นสุด ไม่มีใครล่วงรู้ ความไม่แน่นอน เที่ยงที่สุด ทุกชีวิต กว่าจะผ่านพ้น เหตุการณ์ สุดแสนลำบาก นอกจาก ผู้คนจำนวนหนึ่งหยั่งรู้ เตรียมรับสถานการณ์ ผู้คนเหล่านั้น มีโอกาส เป็นผู้อยู่รอด ชาวโลก กว่าครึ่งโลก ที่ล้มหายตายจาก ล้วนแล้วแต่ กรรม ฟ้าจะใสอีกครั้ง เมื่อฤดูฝนร่วงหล่น ละลายสิ่งต่างๆ ฝนจะชุ่มโชก สิ่งที่ร้ายจะกลายเป็นดี แต่ก็ต้องใช้เวลา พลิกฟื้นขึ้นมาใหม่


    ช่วยกันทำนุบำรุงรักษาทุกประเทศต้องพัฒนา เหมือนยุคเก่าย้อนมา แต่เจริญรุ่งเรือง กลายเป็นโลกยุคใหม่ วิทยาศาสตร์ล้ำหน้า ชาวประชาหน้าใส คนที่เหลือจากเหตุการณ์ มีความคิดเปลี่ยนไป ไม่มีแล้วความคิดเก่าๆ ทุกอย่างเปลี่ยนไป แม้แต่ความคิดของคน เปลี่ยนแปลงไปหมด ลดทิฐิ จิตใจดี มีเมตตาช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การแก่งแย่งชิงดี แทบสิ้นไป มนุษย์ จิตใจร้ายยังมีอยู่ ความเมตตาค้ำจุนโลก ทุกข์สร่างโศรก

    ผู้มีเมตตาธรรมปรากฏ เพื่อนนุษย์ีช่วยเหลือกัน บำรุงรักษา ผู้มีจิตเมตตา เปิดโฉมหน้า แต่ไม่ปรากฏตัว ได้ยินแต่ข่าว ร่ำลือไปทั่ว เพื่อนมนุษย์ ทั่วโลก ต่างยินดีชื่นชม เหมือนพระเจ้ามาโปรด คนทั่วโลก ต้องการหมอรักษา หาหมอ ไม่ได้ โรคที่ระบาด ไม่มีในตำรา และไม่มียา แก้โรคที่ระบาด ความตาย มาเยือน ชีวิตมนุษย์ ได้สำนึก กว่าจะรู้ตัว เกือบจะรู้ตัว เกือบจะตาย ผู้ที่ตายไม่ได้รู้ตัว สำนึกในบาป

    คนที่เหลือ ล้วนคิดได้ ความตาย ผ่านพ้นไป ผู้มีบุญ ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่กลัวเหนื่อย ไร้การแบ่งชั้น ทุกคนเสมอภาค ความดี ความพยายาม ผู้สร้างโลก ไม่ปล่อยให้ มนุษย์ ทุกข์ทรมานสู้กับความตาย นิมิตรหมายใหม่ ประกอบกรรมดี ละเว้นความชั่ว รักษาความดี อยู่ในศีลธรรม ตั้งมั่นในการปฏิบัติ อย่าเห็นแก่ตัว ทางสายกลาง ช่วยเหลือผู้อื่น จงมองตนเอง อย่ามัวรอเวลา ความว่าง (สุญญตา) จิตตั้งมั่น ปล่อยใจวาง จิตเป็นหนึ่ง มีสติ

    คนที่สามารถทำได้เช่นนี้ ทางสายใหม่ คือการหลุดพ้น ผู้ที่ทำได้ ไม่ต้องมาเกิด ตามวัฎจักร ทางสายนี้มีมานาน ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ผู้ที่รู้ และเข้าใจ พยายามศึกษา ผิดบ้างถูกบ้าง เพื่อหาทางหลุดพ้น จากกิเลส พระเจ้าเบื้องบน เฝ้ามองดู ใครทำอะไร ไม่รอดพ้นสายตา การกระทำ ทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ในสายตา มีการบันทึก ผู้ที่รอดตาย ต้องมีจิตใจเข้มแข็ง อดทนต่อสถานการณ์ ไม่ใช่ง่าย สิ่งที่เลวร้าย มนุษย์ ต้องอดทนให้ได้

    กาลเวลาผ่านไป ผลที่ได้รับต่างทุกข์ถ้วนหน้า จิตใจสำคัญที่สุด เมื่อเวลานั้นมาถึง สภาวะคับขัน ผู้เข้มแข็ง จะรอดพ้น ความอดอยาก ความพลัดพราก คืบคลานเข้ามาความลำเค็ญ ผู้คนโอดครวญ ชีวิตทุกผู้ทุกนาม รอความหวัง อย่างสิ้นหวัง แต่ก็รอ สภาวะเช่นนั้น ใครทนได้ ยอดคน ชีวิตมืดมนต์ ยิ่งกว่าความมืด หนทาง มองไม่เห็น

    สิ่งลี้ลับ เริ่มปรากฏ ผู้คนแตกตื่น ได้ยินเรื่องราว อันมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์นั้น ไม่เคยปรากฏ ตั้งแต่สมัยพุทธกาล มาสู่ยุคปัจจุบัน มนุษย์จะได้พบ สิ่งมหัศจรรย์ ในยุคนี้ ผู้ซึ่งไม่เคยได้พบเห็น ความมหัศจรรย์ จะมีโอกาส ได้เห็น

    รวบรวมโดยคุณ มงคล กริชติทายาวุธ
    ประธานชมรมศาสนาและการกุศล
    สารชมรมศาสนาและการกุศล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2010
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    คำพยากรณ์ ๑๐ ยุคของประเทศไทย
    [​IMG]
    คำพยากรณ์ของ โหร"พลูหลวง"
    โดยคุณกำแหง ภริตานนท์​

    [​IMG]
    อาจารย์ ประยูร อุลุชาฏะ (พลูหลวง)

    อ.พลูหลวง ได้ละสังขารทิ้งร่างไปเมื่อวันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม 2543 แต่ได้ฝากผลงานโดยเฉพาะการ ทำนายความเป็นไปของบ้านเมือง ได้อย่างแม่นยำ ยิ่งกว่าตาเห็น ซึ่งผู้เขียนขอสรุปโดยย่อให้ประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะเยาวชนรุ่นหลัง ได้รับรู้ จดจำ และมีความภูมิใจใน โหราศาสตร์ไทย ตามแนว วิทยาศาสตร์ของอาจารย์ไว้ดังนี้ ​

    ประเทศสยาม ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็นประเทศไทยเมื่อ 24 มิถุนายน 2482 ประกาศเวลา 09.00 น. เมื่อผูกดวงกาลชาตาก็จะมีลัคนาอยู่ที่ราศีกรกฎ อาจารย์ได้วิจารณ์ไว้ว่า...​

    " คำว่าสยามหรือเสียมเป็นคำที่สำคัญที่สุด เพราะมาควบคู่กับความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรทุกยุคทุกสมัย การเปลี่ยนชื่อประเทศซึ่งเท่ากับการทำลายเอกลักษณ์ของชาติ เป็นการฉีกประวัติศาสตร์โดยสิ้นเชิง "

    อ.พลูหลวง ได้พยากรณ์ดวงชาตาการเปลี่ยนชื่อจากสยามมาเป็นไทยไว้ จะเห็นว่าอาจารย์ได้แบ่งออกเป็น 10 ยุคในรอบร้อยปี โดยแต่ละยุคมีอายุ 10 ปี นับแต่มีการเปลี่ยนชื่อประเทศ​

    1. ยุคกาลี
    2. มิตรมาเยือน
    3. เฉือนดินแดน
    4. แสนแค้นกลางเขาควาย
    5. ลายเสือครองเมือง
    6. ฟูเฟื่องชาวสังคม
    7. ชมบุญทรราชย์
    8. ชาติวิปโยค
    9. โรคคลาย
    10. หายกังวล

    ถอดความพยากรณ์ โดย "รุ่งศิลา"

    1. ยุคกาลี ตรงกับช่วง พ.ศ.2482-2492
    - สงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุโรประเบิดขึ้น
    - 1 กันยายน พ.ศ.2482 กบฏพระยาทรงสุรเดช พ.ศ.2482 ผู้ถูกนำตัวมาประหารชีวิต ด้วยการยิงเป้าจำนวน 18 คน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ กบฏ 18 ศพ จนถึงทุกวันนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าผู้ถูกลงโทษทั้งหมด มีผู้ใดกระทำผิดจริงหรือไม่ เพราะถูกตัดสินโดยศาลพิเศษ ที่บรรดาผู้พิพากษาคือผู้ที่รัฐบาลแต่งตั้ง และไม่มีทนายจำเลย มีความชัดเจนว่าอุบัติการนี้สร้างขึ้นเพื่อหาเรื่องกำจัดบุคคลที่หลวงพิบูลสงคราม(จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม)เห็นว่าน่าจะเป็นศัตรูของตนเท่านั้น
    - พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลฯ รัชกาลที่ 8 เสด็จสวรรคต ด้วยทรงต้องพระแสงปืน เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2489
    - สังหาร 4 อดีตรัฐมนตรี พ.ศ. 2492 นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายถวิล อุดล และนายจำลอง ดาวเรือง สามใน "สี่เสืออีสาน" ถูกยิงคารถระหว่างเคลื่อนย้ายผู้ต้องหาโดยไม่มีตำรวจได้รับความบาดเจ็บสักคน ​

    2. มิตรมาเยือน ตรงกับช่วง พ.ศ.2492-2502 ฝรั่งอั๊งม้อ มาเยือนเรือนชานจนเป็นเทือก หลังสงครามโลก แถมชักชวนเป็นพวกให้ช่วยกันขัดขวางลัทธิคอมมิวนิสต์​

    3. เฉือนดินแดน ตรงกับช่วง พ.ศ.2502-2512 แพ้คดีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ 15 มิถุนายน2505 เสียเขาพระวิหารให้กัมพูชา สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 11 และผู้นำจอมเผด็จการของไทย​

    4. แสนแค้นกลางเขาควาย ตรงกับช่วง พ.ศ.2512-2522 วันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 การปราบปรามประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการ ถนอม-ประภาส-ณรงค์ และ วันฆ่าพิราบขาว 6 ตุลาคม 2519 การล้อมฆ่าอย่างเหี้ยมโหด นักศึกษาเยาวชนมือเปล่า ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์บางส่วนที่เคียดแค้นหนีตายไปเข้าร่วมจับอาวุธขึ้นสู้รัฐบาล กับพรรคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ​

    5. ลายเสือครองเมือง ตรงกับช่วง พ.ศ.2522-2532 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 16 ของประเทศไทย 3 สมัย ระหว่างปี พ.ศ. 2523 ถึง พ.ศ. 2531​

    6. ฟูเฟื่องชาวสังคม ตรงกับช่วง พ.ศ.2532-2542 หมดยุคป๋าครองเมือง เข้าสู่ยุค นายกฯชาติชาย ชุณหะวรรณ ผู้เปลี่ยน สนามรบเป็นสนามการค้า เศรษฐกิจฟูเฟื่องไปทั่วแดน ไพร่ฟ้าหน้าใส คิดเงินได้เงิน คิดทองได้ทอง ​

    7. ชมบุญทรราชย์ ตรงกับช่วง พ.ศ.2542-2552 ดูจากช่วงเวลากอร์ปกับคำทำนายยุคที่ 7 นี้ น่าจะหมายถึงระบอบปกครองโดยทรราช ​

    8. ชาติวิปโยค ตรงกับช่วง พ.ศ.2552-2562​

    9. โรคคลาย ตรงกับช่วง พ.ศ.2562-2572​

    10. หายกังวล ตรงกับช่วง พ.ศ.2572-2582 ​

    หมายเหตุ

    การถอดคำแปลรหัสความหมายพยากรณ์ข้างต้น "รุ่งศิลา" เป็นผู้ให้ความโดยมิได้อ้างอิงถ้อยความท่านผู้ใด แต่แปลโดยความเป็นจริงที่ได้เกิดในยุคสมัยที่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง โดยนำเอาคำพยากรณ์ของท่าน อ.พลูหลวง มาเป็นเข็มทิศส่องนำทาง ฉะนั้นโปรดใช้วิจารณญาณของท่านในการอ่านและตีความ อนึ่งโดยปกติผมมิได้ให้น้ำหนักความเชื่อเถือในเรื่องคำทำนายของ พ่อหมอดูพาณิชย์ โหนต่องแต่งตามกระแส และ โหนใบบอกพรอพกานดา ทั้งหลายเท่าไรนัก ยกเว้นคำเก่าโบราณที่ตกสืบทอดกันมา และจากปากบรมครู ที่ถ่ายทอดเป็นวิทยาทาน ​

    คำพยากรณ์ของท่าน อ.พลูหลวงนี้ถือว่าเป็นสถิติข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ ที่ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วด้วยวันเวลาว่า ถูกต้องกว่า 8 ใน 10 ส่วน โดยมิพักต้องได้รับเอกสารยืนยันรับรองความเที่ยงตรงจากบุคคลใด ​

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 14955613.jpg
      14955613.jpg
      ขนาดไฟล์:
      52.2 KB
      เปิดดู:
      1,669
    • 93880259.jpg
      93880259.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32.4 KB
      เปิดดู:
      2,851
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2010
  15. whitenaga

    whitenaga เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    797
    ค่าพลัง:
    +2,752
    จากกระทู้ของคุณขุนอิน

    ตามตำนานว่าด้วยภัยภิบัติในเมืองไทยบทแรก ท่านมองเห็นอะไรไหม<!-- google_ad_section_end -->

    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->

    ผมได้อ่านเจอบทความอยู่บทความนึงที่ได้อ่านเจอ จากเว็ปแห่งนี้ ที่จาก เจ้าของกระทู้นำมาตั้งชื่อเรื่องว่า เรื่องลางบอกเหตุก่อนเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ (คำพยากรณ์ ขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า2) ซี่งข้อความตอนนึง เขียนไว้ว่า ครูบาอาจารย์เคยเล่าว่า แค่นาคโก่งหลังขึ้นมามนุษย์ก็ตายเป็นเบือแล้ว ต่อไปบางที่ก็จะหายไปทั้งเกาะ นี่ยังไม่นับภัยพิบัติทางธรรมชาติจาก ท้าวกกนาค แถวลพบุรีที่ในไม่ช้า * (ช่วงท้าย ๆ ของภัยพิบัติ) จะลุกขึ้นมา (ภายใน) เพื่อไปรอรับพระจักพรรดิ์ ขณะที่ทหารลิง๑๘ กองพลที่เคยเฝ้ายักษ์ตนนี้อยู่ที่อื่น ครูบาอาจารย์ท่านว่า ยักษ์กกนาค ตนนี้มีพิษมากแค่พลิกตัวพิษของยักษ์ก็จะทำให้เกิดโรคระบาดร้ายแรงได้ มนุษย์จะตายไปครึ่งโลก แต่คนที่มีศีลไม่เป็นไร กับตอนที่ว่า สถานที่แห่งแรกในประเทศไทยทีจะได้เผชิญกับลาวาร้อน...จากไฟใต้โลกจะเกิดขึ้นจากทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดแรกในภาคอีสานตามรอยต่อของจังหวัดทิ่ดกันเป็นแนวยาวเริ่มแรกจะมีลักษณะเป็นแนวแยกของแผ่นดินคดเคี้ยวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ธารโลหะร้อนจะไหลลามแผ่ออกไปเป็นบริเวณกว้างข้ามวันข้ามคืนติดต่อกัน จากนั้นพายุที่รุนแรงจะนำน้ำมาดับไฟก่อให้เกิดน้ำท่วมและโรคร้ายที่จะระบาดอย่างรุนแรงจนสุดที่จะเยียวยาได้ โดยเฉพาะอหิวาตกโรคสายพันธุ์ใหม่ที่มนุษย์เชื่อว่าได้กำจัดจนหมดไปจากโลกนี้แล้ว แต่หารู้ไม่ว่ามันกำลังฟักตัวและจะมีฤทธิ์ร้ายแรงกว่าเดิม ซึ่งสามารถคร่าชีวิตผู้รับเชื้อได้ในเวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น>>
    ท้องฟ้ามืดมิด ฝนจะเริ่มตกหนักทั่วโลกอย่างไม่หยุดยั้ง น้ำจะเอ่อขึ้นเรื่อย ๆ จนเข้าท่วมแผ่นดินในหลาย ๆ พื้นที่ พายุไซโคลนจะพัดกระหน่ำและจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ ๑๖๐ / กม.ชม. พัดผ่านกรุงเทพ ฯ ผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา ตึกแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่อยู่ใกล้สะพานกลางเก่ากลางใหม่ในย่านฝั่งธนบุรีจะพังทลายลงมาจากการโหมกระหน่ำและความบ้าคลั่งของลมพายุ มีผู้เสียชีวิตในครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า ๖๐๐ คน ในเวลาหลังจากนั้นไม่นานนัก ตึกสีขาวที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าฝั่ตรงกันข้ามจะพังทลายตามลงมายอดตึกที่พังทลายจะแลโผล่ให้เห็นเหนือน้ำเป็นอนุสรณ์ ของคราบน้ำตา หลังคาบ้านเรือนในบริเวณใกล้เคียงจะปลิวว่อนเสาไฟฟ้าจะล้มระเนระนาดด้วยความรุนแรงของลมพายุ ผนังตึกส่วนหนึ่งจะรูดลงมากองกับพื้น ลมพายุที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงจะสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนในบริเวณใกล้เคียงอย่างเหลือคณานับ>>
    ซึ่งจากบทความบทนี้ ข้าพเจ้าได้ไปสืบค้นถึงสถานที่บางแห่ง ในตำนานก็พบ ว่า สถานที่แห่งนั้นมีจริง ดังเช่นตำนาน ท้าวกกขนาก ของเมืองลพบุรี ซี่งภูเขาลูกนี้ก็คือ เขาวงพระจันทร์ซึ่งใต้ภูเขาลูกนี้ และแนวเขาที่ใกล้เคียงกัน ก็คือ ภูเขาไฟนั้นเองซึ่งดับ สนิทมานาน และเส้นทางภูเขาแถวนี้จนจรด ลำนารายณ์ซึ่งนั้นก็เป็นแหล่งภูเขาไฟแหล่งใหญ่ ของภาคกลางเลย และที่บอกว่า จังหวัดแรกของภาคอีสาน นั้นก็คือ จังหวัด ชัยภูมิ จะสังเกตุเห็นป้ายจังหวัดแรกของภาคอีสาน อยู่ตรงทางขี้นเขาพังเหย ด้าน อำเภอ ลำสนธื และถ้าดูทางกายภาพ หรือภาพถ่ายทางอากาศ จะมองเห็นภูเขาที่ยกตัวสูงขี้นไปทางเหนือ ผ่านจุดชมวิวเขาพังเหยด้านอ.ภักดีชุมพล ซีงหุบเขานี้ผมขอเรียกมันว่ากำแพงไฟ เพราะตรงจุดนี้ เมื่อก่อนก็มีแผ่นดินแยก แล้ว ลาวาก็ไหลขี้นมาตามรอยแตก แล้วจากจุดนี้ถัดเข้าไปทางอำเภอเทพสถิตย์ ที่มุ่งหน้าป่าหินงามจะสังเกตุเห็นเขาลูกเดียวโดดๆอยู่ ชาวบ้านแถวนี้ เรียกว่าเขา กระโจม ผมเห็นครั้งแรก เมื่อ 20 ปีที่แล้ว และได้ยินชื่อของมัน ผมแอบตั้งชื่อให้มันใหม่ ว่า เขากระโจมไฟ เพราะมันมีลักษณะเหมือนกับภูเขาไฟที่ระเบิดกันอยู่ และพอค้นหาข้อมูลต่อไป ก็ได้คำยืนยันว่า เขาลูกนี้ก็คือภูเขาไฟที่ดับไปแล้ว น้ันก็แสดง ว่าถ้าตำนานเรื่องภัยพิบั้ตินี้เป็นจริง เส้นทางที่จะขึ้นสู่เพ็ชรบูรณ์ และ ผ่านไปภาคอีสานที่จะช่วยระบายรถที่มุ่งสู่ จังหวัดอื่นๆของอีสาน ถูกตัดขาดพอดี ซี่งผู้ที่จะเดินทางมุ่งสู่เพ็ชรบูรณ์ ก็ควรหา เส้นทางสำรองได้แล้วว่า จะเดินทางไหน ถึงจะได้เดินทางถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย และรวดเร็ว โอกาศหน้า ผมจะขอค้นคว้าข้อความตามตำนานจากช่วงอิ่นๆ และดูว่ามีอะไรที่สอดคล้องกับคำพยากรณ์บ้าง ขอบคุณครับสำหรับเว็ปแห่งนี้ที่ได้ให้ผมได้เขียน กระทู้


    " เห็นว่ามีประโยชน์ดี .. ถ้าหากเราจะนำตำนานต่างๆ มาวิเคราะห์ เป็นการป้องกันอีกทาง "

    <!-- google_ad_section_end -->
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เรื่องท้าวกกขนากนี้ ก็บังเอิญไปตรงกับนิมิตรของผมที่ พระท่านให้ไปที่เขาวงพระจันทร์ สร้างหรือถวาย พระศรีอาริยเมตตรัย เพื่อยับยั้งภัยพิบัติ และถวายผ้าไตรรอเอาไว้

    เพราะตามตำนาน ท้าวกกนากจะพ้นการจองจำเมื่อ พระศรีท่านมาตรัส และลูกสาวท้าวกกขนากได้เฝ้ารอ ทอผ้าทิพย์ใยบัว ถวายพระศรี

    เป็นนิมิตรที่ทราบในช่วงที่เดินทางไปยังลพบุรีเพื่อช่วยน้ำท่วมครับ
     
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เบื้องหลังภาพ : แม่คะนิ้งโผล่ สัญญาณบ่งบอก ‘อินทนนท์’ หนาวแล้ว</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการรายวัน</TD><TD class=date vAlign=center align=left>7 พฤศจิกายน 2553 18:28 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    [​IMG]

    ในที่สุดหน้าหนาวที่หลายคนรอคอยก็กลับมาอีกครั้ง สัมผัสได้จากลมเย็นๆ ที่ช่วงนี้ดูจะถาโถมเข้ามาจนหลายคนถึงกับสั่นสะท้าน

    ไม่เพียงเท่านั้น ในพื้นที่สูงๆ อย่างพวกยอดดอยทั้งหลายก็มักจะมีปรากฏการณ์น้ำค้างบนนยอดหญ้าเกิดการแข็งตัวขึ้นมา หรือที่หลายๆ คนเรียกว่าเกิด ‘แม่คะนิ้ง’ ขึ้น

    ซึ่งในปีนี้ จุดแรกของเมืองไทยที่เกิดเรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่ที่ไหนไกล แต่เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศ อย่าง ‘ดอยอินทนนท์’ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีคนเริ่มเห็นแล้วตั้งแต่วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน 2553 ที่ผ่านมา

    จากคำบอกเล่าของ จิรเดช บุญมาก ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ในฐานะที่เป็นผู้พบแม่คะนิ้งเป็นคนแรก ทำให้ทราบว่าปีนี้ ถือว่าเกิดแม่คะนิ้งเร็วกว่าปกติมาก

    เพราะโดยทั่วไปแล้ว แม่คะนิ้งจะเกิดในช่วงราวๆ เดือนพฤศจิกายนเรื่อยไปจนถึงกุมภาพันธ์ แถมบางปีก็ไม่เกิดด้วยซ้ำ ซึ่งหากให้คาดเดาเหตุผลก็น่าจะเป็นช่วงนี้เกิดความกดอากาศในประเทศจีนซึ่งพัดเข้ามาในตอนเหนือของประเทศเร็วกว่าปกติ

    “ผมไม่แปลกใจ ที่ปีนี้เกิดแม่คะนิ้งเร็วกว่าปีก่อนๆ คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติมากกว่า เพราะอากาศเย็นขนาดนี้ ถ้าไม่เกิดก็ถือเป็นเรื่องแปลก”

    ไม่เพียงแต่แม่คะนิ้งเท่านั้นที่ออกดอกออกผลเร็วเป็นพิเศษ ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานฯ ยังเล่าถึงเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงความหนาวอีกหลายอย่าง เช่น ดอกกุหลาบพันปีที่จะออกดอกช่วงปลายปีหรือต้นปี แต่ตอนนี้เริ่มบานสะพรั่งกันบ้างแล้ว

    ขณะที่ดอกนางพญาเสือโคร่ง เจ้าของฉายา ‘ซากุระเมืองไทย’ นั้น ยังไม่มีทีท่าว่าจะออกดอก ซึ่งอาจจะเป็นเพราะฝนตกช้ากว่าปกติ แต่ก็เชื่อว่าภายในเดือนธันวาคมนี้ก็น่าจะเบ่งบานได้เหมือนปกติแล้ว

    อย่างไรก็ตาม การที่แม่คะนิ้งมาแล้ว ก็ทำเอาหลายคนก็อดสงสัยไม่ได้ว่าจะเป็นสัญญาณเตือนอะไรหรือเปล่า ซึ่งจิรเดชก็หัวเราะก่อนจะบอกทันทีว่า ไม่น่าจะใช่ น่าจะเป็นเรื่องธรรมชาติล้วนๆ ซึ่งหากงานนี้จะมีใครต้องปรับตัว ก็คงจะหนีไม่พ้นบรรดานักท่องเที่ยว

    “ตอนนี้ผมกังวลเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่จะขึ้นมามากกว่า เพราะด้วยความที่อากาศหนาวจัด ก็เลยทำให้หมอกลงหนา ยังไงก็อยากเตือนให้ตรวจเช็คสภาพรถ ขับขี่รถก่อนขึ้นมาด้วย และถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เปิดไฟหน้าตอนเช้าจะดีมาก เพราะทัศนวิสัยและการมองเห็นอาจไปได้ไม่ไกลนัก”
    ………
    เรื่อง : เด็กหลังเฟรมและสหาย

    ที่มา http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000157269


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ส่วนสิ่งที่จะเกิดขึ้นติดตามมาภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในครั้งนี้คือ

    -มีโรคระบาดติดตามมา จากน้ำเน่าเสีย ปัญหาด้านสาธารณะสุข

    -หลุมยุบเกิดขึ้นหลายแห่งหลายพื้นที่แน่นอน ใต้ดินเป็นโพรงใหญ่หลายที่และมีข่าวอินไซท์เรื่องนี้

    (

    Pat wrote:
    "MOMเคยบอกพี่Macหลายปีแล้วพี่Macไม่เชื่อ!เพราะ เคยเห็นภาพถ่ายหลายปีก่อนจากดาวเทียมทหารมีรูปScan ให้เห็นชั้นของแผ่นใต้ดินในประเทศไทยด้วย ยังจำติดตามาจนถึงทุกวันนี้ นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่มาซื้อบ้านอยู่ที่นี่ อยากได้รูปถ่ายขอไปที่ศูนย์เตือนภัยของเขาหรือที่ JUSMAX")

    -น้ำที่ท่วมขังและมีแรงกำลังสูง ทั้งซัดทั้งซึมจนโครงสร้างอาคารหลายแห่งเสียหาย มีทั้งชนิดที่มองเห็นชัดเจนว่าบ้านตึกโย้ทั้งหมู่บ้าน ที่ ลพบุรี และที่ปูนที่ฐานชั้นล่างอาคารบวม ยุ่ย

    -เมื่อข้าว พืชผล ผักเสียหาย ขาดแคลน ภาวะข้าวยากหมากแพง ของกินใช้ราคาขึ้นแน่นอน และข่าวเช้านี้ก้แจ้งว่าผักราคาแพงขึ้นมาก ต่อไปก็ข้าว เพราะทั่วโลกที่เป็นอู่ข้าวประสบภัยทั้งหมด
    ความเดือดร้อนก็ยิ่งเพิ่มขึ้น

    -เมื่อข้าวของแพง คนตกงาน หมดตัว โจรผู้ร้ายก็มากขึ้นตามไปด้วย บางพื้นที่ทราบว่า ฆ่ากันยิงกันเพราะแย่งมาม่าห่อเดียว บางพื้นที่เริ่มปิดถนนดักรถขนอาหารความช่วยเหลือ แบบไฮติบ้างแล้ว

    -เมื่อคนตกงานหมดตัว เข้าเมืองใหญ่ เช่นกรุงเทพมากขึ้น ปัญหาต่างๆก็เพิ่มตามไปอีกเป็นเงาตามตัว

    มีวิธีแก้ไขคือการน้อมนำโครงการ บ ว ร แนวคิดด้านเศรษฐกิจพอเพียง มาปรับใช้เพื่อบรรเทา เยียวยา และพัฒนาไปพร้อมกัน

    -ปัญหาน้ำท่วมขังเน่าเสีย โรคระบาด นำจุลินทรีย์ไปราด เพื่อลดปัญหา เร่งการสลายตัว และทำให้สิ่งปฏิกูลกลับมาเป็นปุ๋ย สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้ผืนดิน จากวิกฤตกลายเป็นโอกาส ที่น้ำท่วมชำระล้างสารเคมีออกไปหมด

    -ชาวบ้านหมดเนื้อหมดตัว ก็เร่งส่งเสริมการ เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยเศรษฐกิจพอเพียง เร่งปลูกพืชโตเร็ว กิน เก็บ ขาย ได้เร็ว

    -ตั้งโรงทานในวัดเพื่อช่วยผู้ที่อ่อนแอยังปรับตัว ฟื้นตัวได้ไม่ทัน ปรับจิตปรับใจ ฝึกจิตจากความเครียด

    -พวกเราที่อยู่กรุงเทพบ้าง อยู่ในองค์กรขนาดใหญ่บ้าง ร่วมใจไปสร้างกิจกรรมเสริมเพื่อไปสร้างไปฟื้นฟู ชุมชนต่างๆที่ประสบภัยกัน ต่างฝ่ายต่างช่วย ต่างฝ่ายต่างเกื้อกูลกันสังคมไทยก็กลับมามีความสามัคคีอีกครั้ง

    กลุ่มทำงานของพวกเราได้ลงพื้นที่และดำเนินการไปบางส่วนแล้วครับ ต้องการ ความร่วมแรงร่วมใจ อีกมาก จากที่ภาคฝ่าย
    เร่งการทำงานเรื่องโครงการบวร เร่งสร้างพัฒนาวัดให้เป็นที่พึ่งพิงในยามเกิดภัยพิบัติ

    เร่งนำแนวทางขององค์พระบาทสมเด้จพระเจ้าอยู่หัวไปใช้ ไปเผยแพร่ ให้เร็วที่สุดครับ

    ก่อนที่ภัยทางอ้อมจากย้อนมาถึงตัวท่าน

    ทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ด้วยจิตอันมีเมตตาต่อกันครับ
    </pre>
     
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    อินเดีย VS ปากีสถาน : จุดระเบิดแห่งเอเชีย !
    โดย สุรชาติ บำรุงสุข

    [​IMG]
    เหตุวินาศกรรมเมืองมุมไบของอินเดียในปี 2008

    "เทพเจ้าทุกองค์ตายแล้ว ยกเว้นเทพเจ้าแห่งสงคราม"

    ความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถานไม่ใช่เรื่องใหม่ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ เพราะนับตั้งแต่ประเทศทั้งสองได้รับเอกราชเป็นต้นมา เค้ารางของสงครามและความขัดแย้งระหว่างสองประเทศก็เห็นได้ทันที โดยในวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ.2490 อินเดียและปากีสถานได้เริ่มมีปัญหากันในเรื่องเส้นเขตแดน

    ความขัดแย้งดังกล่าวมีความซับซ้อนมากขึ้น เมื่อปัญหาทางศาสนาเข้ามาเป็นสิ่งที่วิชาเคมีเรียกว่า "ตัวเร่งปฏิกิริยา" กล่าวคือ อินเดียนับถือศาสนาฮินดู และปากีสถานนับถือศาสนาอิสลาม และปัญหามาถึงจุดสำคัญเมื่อแคว้นแคชเมียร์จะต้องตัดสินใจว่าจะอยู่กับอินเดียหรือปากีสถาน

    ราชาของแคว้นแคชเมียร์ซึ่งเป็นผู้ที่นับถือศาสนาฮินดู ได้ตัดสินใจนำเอาดินแดนของตนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นชาวมุสลิมต้องการเข้าร่วมกับปากีสถาน และในที่สุดอินเดียได้ผนวกแคว้นนี้เป็นของตนในเดือนมกราคม พ.ศ.2500

    รัฐบาลปากีสถานได้ประท้วงต่อการกระทำของอินเดีย และสหประชาชาติก็ไม่ได้รับรองการผนวกของอินเดียแต่อย่างใด จนในที่สุดการสู้รบก็เกิดขึ้นในเดือนเมษายน พ.ศ.2508 และต่างฝ่ายต่างข้ามเส้นแนวหยุดยิงในแคว้นแคชเมียร์ อันทำให้ความขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งสองทวีความรุนแรงและขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น

    แต่สงครามใหญ่ระหว่างประเทศทั้งสองเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ.2514 และปากีสถานเป็นฝ่ายแพ้สงคราม จนทำให้เกิดการแยกตัวของปากีสถานตะวันออกเป็นประเทศใหม่คือบังคลาเทศ

    อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานไม่ได้หมดสิ้นไป เพราะปัญหารูปธรรมเดิมที่ไม่สามารถตกลงกันได้ยังคงดำรงอยู่ อันได้แก่ กรณีแคว้นแคชเมียร์ และได้กลายเป็นหนึ่งในปัญหาการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติมาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน

    นอกจากนี้ ในช่วงสงครามอัฟกานิสถาน เมื่อกองกำลังทางสหภาพโซเวียตได้บุกเข้าไปในประเทศดังกล่าวในช่วงปลายปี 2522 ปากีสถานได้กลายเป็น "รัฐแนวหน้า" ในการต่อต้านการยึดครองของโซเวียตในรูปแบบต่างๆ แต่ในขณะนั้นอินเดียเป็นมิตรที่แนบแน่นของโซเวียตในเอเชีย ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่สหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเป็นรัฐที่ให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ปากีสถาน ในขณะที่อินเดียก็ได้รับจากโซเวียต

    ปรากฏการณ์เช่นนี้ยังได้นำไปสู่การแข่งขันสะสมอาวุธของประเทศทั้งสองอีกด้วย โดยต่างฝ่ายต่างมีมหาอำนาจใหญ่เป็น "ผู้สนับสนุน" (supplier) อยู่เบื้องหลัง ดังจะเห็นได้ว่าในสงครามโซเวียต-อัฟกานิสถาน ในช่วงทศวรรษของปี พ.ศ.2523 (1980) ปากีสถานได้รับอาวุธจำนวนมากทั้งจากสหรัฐและจากจีน ซึ่งในขณะเดียวกัน อินเดียก็ได้เร่งพัฒนายุทโธปกรณ์ของตนอย่างมากโดยได้รับการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีการทหารจากโซเวียต

    การแข่งขันสะสมอาวุธของอินเดียและปากีสถานถึงจุดสำคัญเมื่อแต่ละประเทศหันไปพัฒนาศักยภาพทางด้านอาวุธนิวเคลียร์ของตน จนประสบความสำเร็จในการจุดระเบิดนิวเคลียร์ได้จริง อันทำให้เกิดความกังวลว่า ปัญหาระหว่างประเทศทั้งสองในอนาคตจะกลายเป็นการเผชิญหน้าของรัฐนิวเคลียร์ไปโดยปริยาย

    อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในรายละเอียดถึงการแข่งขันสะสมอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน จะเห็นได้ว่านับจากปี พ.ศ.2543 เป็นต้นมา ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงในทางยุทธศาสตร์เท่าใดนัก

    กล่าวคือ อินเดียยังไม่สามารถพัฒนาขีดความสามารถให้เกิดขึ้นจริงตามแนวทางที่ถูกกำหนดขึ้นโดยคณะกรรมการที่ปรึกษานโยบายทางยุทธศาสตร์ (Strategic Policy Advisory Board) ในปี 2542 เช่น อินเดียไม่ได้ทุ่มงบประมาณทหารไปเพื่อการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ หรือในขณะเดียวกัน รัฐบาลอินเดียก็ยังไม่ได้กำหนดหลักนิยมของการใช้อาวุธนี้ด้วย

    แม้อินเดียจะได้ทำการทดลองยิงอาวุธปล่อยแบบ Prithvi ที่สามารถยิงได้จากฐานยิงบนบกและพื้นน้ำและมีพิสัยประมาณ 150-250 กิโลเมตร แต่อาวุธปล่อยเช่นนี้ก็ไม่ใช่อาวุธที่จะพัฒนาขีปนาวุธนิวเคลียร์แต่อย่างใด

    ปัญหาประการสำคัญในการพัฒนาระบบส่งอาวุธนิวเคลียร์ (nuclcar delivery system) ของอินเดียให้มีขีดความสามารถได้จริงยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องงบประมาณ เพราะถ้าอินเดียต้องการเพิ่มขีดความสามารถดังกล่าว อินเดียจะต้องเพิ่มงบประมาณทหารอีกเป็นจำนวนมากจากเท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (งบประมาณการของอินเดียในปี 2543 คือ 15.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ)

    นักวิเคราะห์ด้านการทหารเชื่อว่า ถ้าอินเดียจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์จริงก็จะต้องใช้งบประมาณราว 500 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปีเป็นระยะเวลาราว 10 ปี โดยใช้จ่ายในเรื่องต่างๆ 3 รายการหลัก คือ การพัฒนาหัวรบนิวเคลียร์ การพัฒนาระบบส่งของตัวอาวุธ และการพัฒนาระบบสั่งการและควบคุม ดังนั้น ในช่วงรอบปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2544) แม้อินเดียได้ทำการทดลองยิงขีปนาวุธพิสัยกลาง (MRBM) แบบอัคนี-2 (Agni-2) แต่ก็ดูจะยังไม่มีอะไรก้าวไปมากกว่านั้น

    ทางด้านปากีสถาน ได้ประสบความสำเร็จในการสร้างขีปนาวุธแบบ Shaheen 2 มีพิสัยยิง 23,400 กิโลเมตร และทั้งยังประสบความสำเร็จในการพัฒนาอาวุธปล่อยจากพื้นสู่พื้น (SSM) แบบ Hatf 1 มีพิสัยประมาณ 100 กิโลเมตร และแบบ Hatf 3 ซึ่งมีพิสัยประมาณ 600 กิโลเมตร (พัฒนาจากอาวุธปล่อยแบบ M-11 ของจีน)

    นอกจากนี้ เชื่อว่าปากีสถานมีอาวุธปล่อยจากพื้นสู่พื้นแบบ Ghauri 1 พิสัย 1,500 กิโลเมตร และแบบ Ghauri 2 พิสัย 2,500 กิโลเมตร ซึ่งพิสัยของอาวุธปล่อยแบบ Ghauri 2 นี้สามารถยิงทำลายเป้าหมายทุกแห่งในอินเดียได้ทั้งหมด

    การพัฒนาขีปนาวุธและปาวุธปล่อยจากพื้นสู่พื้นเช่นนี้ ทำให้ปากีสถานสามารถลดความด้อยกว่าในด้านจำนวนของดุลกำลังกับอินเดียได้ ทิศทางเช่นนี้เห็นได้ชัดจากแนวโน้มของการใช้งบประมาณของรัฐบาลปากีสถานในการพัฒนาระบบอาวุธดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเช่นนี้ได้ก่อให้เกิดภาระด้านงบประมาณอย่างมากกับรัฐบาลปากีสถาน ซึ่งอาจจะกลายเป็นแรงกดดันให้ปากีสถานต้องลดความต้องการในการพัฒนาอาวุธเช่นนี้ลงบ้างในบางระดับในอนาคต ฉะนั้น หากเปรียบเทียบสถานะของขีปนาวุธนิวเคลียร์ของอินเดียและปากีสถานในปัจจุบันจะเป็นดังนี้

    ขีปนาวุธของอินเดียเป็นแบบพิสัยปานกลาง (IRBM) คือ
    - แบบ Agni 2 พิสัย 3,000 กิโลเมตร

    ขีปนาวุธของปากีสถานเป็นแบบพิสัยกลาง (MRBM) คือ
    - แบบ Shaheen 2 พิสัย 2,400 กิโลเมตร

    นอกจากการแข่งขันสะสมอาวุธนิวเคลียร์ดังที่กล่าวในข้างต้นแล้ว ปัญหาดั้งเดิมคือ กรณีแคชเมียร์ ซึ่งยังไม่สามารถยุติลงได้ ยังนำไปสู่ปัญหาอีกประการคือการก่อการร้าย โดยกลุ่มที่ต่อต้านการผนวกแคว้นนี้ของอินเดีย ได้ใช้วิธีการก่อการร้ายเพื่อตอบโต้กับอินเดีย และอินเดียกล่าวหาว่ารัฐบาลปากีสถานและโดยเฉพาะกองทัพปากีสถานมีส่วนรับรู้และ/หรือสนับสนุนต่อกลุ่มดังกล่าว ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างของปฏิบัติการพลีชีพที่เกิดแก่รัฐสภาอินเดียเมื่อเดือนธันวาคม 2544 และล่าสุด คือการโจมตีศูนย์อเมริกัน (American Center) ในเดือนมกราคม 2545 นี้

    แม้ว่าในปี 2543 มีแนวโน้มว่าการก่อการร้ายในแคว้นแคชเมียร์อาจจะยุติลงได้เพราะมีความพยายามในการเปิดเจรจาระหว่างกลุ่มฮิซบู มูจาฮีดีน (Hizbul Mujahidin) กับรัฐบาลอินเดีย แต่ในที่สุดก็ล้มเหลว และจนถึงปี 2544 การเจรจาดังกล่าวก็ยังไม่มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้อีก หากแต่มีการสู้รบเกิดมากขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว

    นอกจากนี้ เป็นที่รับรู้กันว่ากองทัพปากีสถานซึ่งมีองค์ประกอบหลักเป็นชาวปัญจาบ ซึ่งได้เห็นด้วยกับการที่จะเปิดการเจรจาและยุติปัญหาแคชเมียร์ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าปากีสถานจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอินเดียในกรณีนี้ ดังนั้น ไม่แปลกอะไรที่กองทัพปากีสถานจะต้องเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังองค์กรก่อการร้ายของชาวมุสลิมในแคว้นนี้คือ Lashkar-e-teiba

    ดังนั้น เมื่อเกิดสถานการณ์วันที่ 11 กันยายน 2544 ขึ้น และนำไปสู่สงครามในอัฟกานิสถานในเวลาต่อมา ความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถานจึงกลายเป็นความซับซ้อนในตัวเอง เพราะสหรัฐจำเป็นต้องอาศัยทั้งสองประเทศทั้งในสงครามอัฟกานิสถานและในสงครามต่อต้านการก่อการร้าย

    แต่ขณะเดียวกัน เมื่อปากีสถานเข้าร่วมกับสหรัฐในสงครามนี้ รัฐบาลปากีสถานจะทำอย่างไรกับองค์กรการเมืองที่ตนเองได้ให้การสนับสนุน และในสงครามเช่นนี้ อินเดียก็อยากจะอาศัยให้สหรัฐช่วยจัดการกับองค์กรก่อการร้ายที่มาจากแคชเมียร์ และในทำนองเดียวกัน ทั้งสองประเทศก็ต้องการให้สหรัฐสนับสนุนนโยบายของตนในเรื่องแคชเมียร์ด้วย

    สำหรับชาวแคชเมียร์แล้ว พวกเขาอยากให้สงครามอันยาวนานนี้ยุติลงเสียที เช่น มีรายงานว่าสำหรับชาวมุสลิมในแคชเมียร์ มีความต้องการมากขึ้นที่ต้องการให้ความขัดแย้งดังกล่าวสิ้นสุดลงด้วยการเจรจากับรัฐบาลอินเดีย ในทำนองเดียวกัน อินเดียเองก็อยากจะยุติปัญหาสงครามและความขัดแย้งจากกรณีนี้ เพราะปัญหาดังกล่าวได้ดึงเอาทรัพยากรและทั้งยังได้กลายเป็นพันธะทางด้านงบประมาณทหารอย่างมาก ซึ่งหากปัญหานี้ยุติลงได้จริงๆ ก็อาจทำให้อินเดียสามารถนำทรัพยากรส่วนนี้ไปใช้ในการพัฒนากองทัพของตนเองได้มากขึ้น

    แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในปัจจุบันตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2544 ต่อต้นปี พ.ศ.2545 ดูจะไม่เป็นไปในแนวทางที่ดีนัก โดยเฉพาะจากการก่อการร้ายที่เกิดมากขึ้นกับอินเดีย และรัฐบาลอินเดียก็ปักใจว่าการกระทำนี้ได้รับการสนับสนุนจากปากีสถาน อันทำให้เกิดการเผชิญหน้าขึ้นอีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ซึ่งผลที่เกิดขึ้นก็คือ การยืนยันว่า ปัญหาอินเดีย-ปากีสถาน ยังคงเป็น "จุดระเบิด" ของสถานการณ์สงครามในเอเชียไมเปลี่ยนแปลง !

    บอมบ์บอมเบย์ ทดสอบภูมิคุ้มกัน สัมพันธ์อินเดีย-ปากีสถาน

    เหตุวินาศกรรมระเบิดต่อเนื่องในนครบอมเบย์ หรือชื่อที่มีการเรียกขานกันมาแต่ดั้งเดิมของชาวอินเดียว่า "มุมไบ" ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินของประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่สองของโลกอย่างอินเดียไปแล้วเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา จนมีผู้บริสุทธิ์ต้องสังเวยชีวิตไปถึง 50 ชีวิต และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนราว 150 คนนั้น น่าจะเป็นสิ่งทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและปากีสถาน สองชาติมหาอำนาจนิวเคลียร์ในภูมิภาคเอเชียใต้ที่เป็นปรปักษ์และกระทบกระทั่งกันมายาวนานได้ระดับหนึ่ง หลังจากที่ในระยะหลังๆ นี้บรรยากาศความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเริ่มมีพัฒนาการไปในทิศทางที่สร้างสรรค์มากขึ้น

    พื้นที่สองจุดใหญ่ๆ ที่ตกเป็นเป้าหมายของการลอบวางระเบิดครั้งนี้ จุดแรกเกิดขึ้นในบริเวณลานจอดรถของพื้นที่ที่เรียกกันว่า "ประตูแห่งอินเดีย" (Gate of India) อนุสรณ์สถานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เรียกได้ว่าเทียบเท่ากับ หอไอเฟล เมืองน้ำหอมแดนฝรั่งเศส และเทพีเสรีภาพของพญาอินทรีสหรัฐอเมริกา เพราะประตูแห่งอินเดียรูปทรงโค้งแห่งนี้แม้จะเป็นสัญลักษณ์ย้ำเตือนความทรงจำของอินเดียในฐานะเป็นอดีตอาณานิคมของสหราชอาณาจักร แต่ประตูโค้งแห่งนี้ก็ยังเป็นเสมือนสิ่งจารึกการได้คืนมาซึ่งเอกราชของชาวอินเดียเองด้วย เพราะเป็นจุดที่กองกำลังทหารอังกฤษชุดสุดท้ายได้ถอนกำลังออกไปจากอินเดีย ดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมอันเก่าแก่มายาวนาน

    จุดที่เป็นเป้าหมายสำคัญจุดที่สองคือบริเวณพื้นที่ "มุมบาเทวี" ซึ่งเป็นวัดฮินดูที่มีอายุมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18 ตั้งอยู่ในย่านสาเวรี บาซาร์ หรือ ตลาดอัญมณี ชาวอินเดียเชื่อกันว่ามุมบาเทวี เป็นเทพธิดาผู้พิทักษ์นครแห่งนี้ และชื่อของนครบอมเบย์ที่เจ้าอาณานิคมของอินเดียเรียกติดปากเช่นนั้น เป็นคำแผลงมาจาก "มุมไบ" ที่เป็นชื่อเดิมของเมืองนี้ ซึ่งชาวอินเดียเรียกขานกันตามพระนามของมุมบาเทวี เทพธิดาผู้พิทักษ์นคร

    พื้นที่เกิดเหตุสำคัญสองจุดนี้ มีลักษณะการก่อเหตุที่คล้ายคลึงกันคือ การวางระเบิดซุกไว้ในท้ายรถแท็กซี่ก่อนที่ระเบิดจะจุดชนวนขึ้นคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ แม้ทางการอินเดียจะระบุว่ายังไม่มีกลุ่มก่อการร้ายใดออกมาแสดงความรับผิดชอบ แต่ทางการอินเดียก็มีกลุ่มเป้าหมายที่ต้องสงสัยก่อเหตุรุนแรงครั้งนี้อยู่ในใจแล้วถึงสองกลุ่ม

    กลุ่มแรกคือ ขบวนการนักศึกษาอิสลามแห่งอินเดีย หรือ เอสไอเอ็มไอ ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษาชาวมุสลิมหัวรุนแรงที่มีการรวมตัวก่อตั้งขึ้นในรัฐอุตตระประเทศเมื่อปี 2520 ซึ่งได้ประกาศจิฮัด หรือ การทำสงครามศักดิ์สิทธิ์กับอินเดีย โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงดินแดนแห่งนี้ที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู ให้เป็นรัฐอิสลาม ซึ่งหลังจากเกิดเหตุวินาศกรรมสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายนปี 2544 เป็นต้นมา ทางการอินเดียได้ประกาศให้ขบวนการนี้เป็นกลุ่มนอกกฎหมาย พร้อมกับสั่งปิดที่ทำการและยึดทรัพย์สินทั้งหมด ขณะที่ นายชาฮิด บาดาร์ ประธานกลุ่มเอสไอเอ็มไอถูกจับกุมและอยู่ในระหว่างดำเนินคดีภายใต้รัฐบัญญัติว่าด้วยการป้องกันการก่อการร้ายของอินเดีย

    ส่วนกลุ่มต้องสงสัยกลุ่มที่สองคือกลุ่มลาชการ์ อี ไทบา กลุ่มกบฏมุสลิมหัวรุนแรงที่โปรปากีสถาน ซึ่งรบพุ่งกับกองกำลังอินเดียในแคว้นแคชเมียร์มาตั้งแต่ปี 2532 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการแบ่งแยกแคว้นแคชเมียร์เพื่อปกครองตนเองเป็นอิสระหรือให้รวมดินแดนแห่งความขัดแย้งดังกล่าวเข้าอยู่ภายใต้อาณัติของปากีสถาน เนื่องจากประชากรที่อาศัยอยู่ในแคว้นแคชเมียร์ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมซึ่งน่าจะเข้ากันได้ดีกับปากีสถานมากกว่า เพราะประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิมเหมือนกัน

    ทางฝ่ายตำรวจอินเดียได้ตั้งสมมติฐานในเหตุระเบิดครั้งนี้ไว้ประการหนึ่งว่ามีความเป็นไปได้ที่สองกลุ่มหัวรุนแรงนี้จะมีความเกี่ยวพันกัน โดยกลุ่มลาชการ์ อี ไทบา น่าจะเป็นฝ่ายจัดหาวัตถุระเบิดให้ โดยที่ฝ่ายเอสไอเอ็มไอซึ่งอยู่ในพื้นที่เป็นฝ่ายเลือกเป้าหมายและลงมือ

    นอกจากนี้ ยังได้มีการตั้งข้อสมมติฐานอีกประการหนึ่งว่าเหตุระเบิดครั้งนี้อาจเป็นผลสืบเนื่องจากการแก้แค้นต่างตอบแทนทางศาสนาระหว่างชาวฮินดูและชาวมุสลิม โดยกลุ่มผู้ก่อการน่าจะมีเป้าหมายโจมตีชาวฮินดูในตลาดอัญมณี เพราะพ่อค้าแม่ค้าอัญมณีในตลาดแห่งนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดู ทั้งนี้ เพื่อแก้แค้นการก่อเหตุจลาจลในรัฐคุตราชเมื่อปี 2545 ของชาวฮินดู ซึ่งในครั้งนั้นชาวมุสลิมตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีและมีชาวมุสลิมต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก

    เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นแน่นอนย่อมมีผลกระทบต่อสัมพันธภาพระหว่างอินเดียและปากีสถานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ไม่มากก็น้อย เพราะอินเดียเชื่อว่ากลุ่มกบฏหัวรุนแรงที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลอินเดียส่วนใหญ่มีฐานสนับสนุนมาจากปากีสถาน ซึ่งรวมถึงกลุ่มลาชการ์ อี ไทบา ที่อินเดียระบุว่าเป็นกลุ่มที่ก่อเหตุโจมตีรัฐสภาอินเดียเมื่อเดือนธันวาคมปี 2544 และนำไปสู่บรรยากาศความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดขึ้นในภูมิภาคเอเชียใต้

    แต่เมื่อราวต้นปีนี้ ผู้นำอินเดียและปากีสถานต่างแสดงท่าทีให้เห็นถึงความพยายามลดบรรยากาศตึงเครียดและฟื้นฟูสัมพันธ์อันดีระหว่างกันกลับคืนมา เริ่มจากนายกรัฐมนตรี อะตัล พิหารี วัจปายี แห่งอินเดีย กล่าวในรัฐสภาอินเดียว่าอินเดียและปากีสถานจะเริ่มฟื้นฟูกระบวนการสันติภาพระหว่างกันขึ้นมาใหม่ นับแต่นั้นมาอินเดียและปากีสถานก็ได้เริ่มมีการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ในจุดที่มีความอ่อนไหวน้อยอย่างเช่นด้านวัฒนธรรมระหว่างกันมากขึ้น เช่น การเปิดให้รถโดยสารข้ามพรมแดนระหว่างกันได้ เป็นต้น

    สำหรับเหตุรุนแรงครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้น เชื่อแน่ว่าทั้งสองฝ่ายคงไม่อยากให้กระบวนการสันติภาพระหว่างสองประเทศ ที่เพิ่งเริ่มต้นต้องถอยหลังเข้าคลอง แต่ภูมิคุ้มกันสัมพันธภาพอันดีระหว่างอินเดียและปากีสถาน จะมีความเข้มแข็งพอไม่ให้กระบวนการสันติภาพนี้มีอันต้องล่มลงไปอีกหรือไม่ คงต้องติดตามดูท่าทีของคู่พิพาทในเอเชียใต้นี้กันต่อไป
     
    อ้างอิง : สุรชาติ บำรุงสุข.2547. อินเดีย VS ปากีสถาน : จุดระเบิดแห่งเอเชีย!!!
    ที่มา อินเดีย VS ปากีสถาน : จุดระเบิดแห่งเอเชีย

    กองทัพเรือปากีสถานยิงขีปนาวุธ ตอร์ปิโดยั่วอินเดีย

    [​IMG]

    อิสลามาบัด (เอพี/รอยเตอร์ส) – สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กองทัพเรือปากีสถานทดสอบยิงขีปนาวุธและระเบิดตอปิโดในทะเลอาหรับวานนี้ โดยระดมเครื่องบิน เรือดำน้ำ และเรือรบจำนวนมากเข้าร่วมปฏิบัติการครั้งนี้

    อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่า ขีปนาวุธเหล่านี้สามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ได้หรือไม่ และก็ไม่มีการเปิดเผยพิสัยของขีปนาวุธ รายงานข่าวของเอเอฟพีบอกเพียงว่า การทดสอบในวันนี้ รวมถึงการทดสอบขีปนาวุธต่อต้านจรวดนำวิถีจากเรือรบเอฟ-22พี ที่เพิ่งได้รับมาจากจีนไม่นานมานี้ ขีปนาวุธจากอากาศสู่พื้นจากเครื่องบินพี-3ซี และขีปนาวุธจากพื้นสู่พื้นจากเรือดำน้ำรุ่นอากอสตา 90 บี ที่มีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศสด้วย

    ทั้งปากีสถานและอินเดียทดสอบระบบขีปนาวุธของตัวเอง โดยปกติแล้วจะแจ้งให้อีกฝ่ายทราบก่อนล่วงหน้าว่า ตามข้อตกลงทางการทูต แต่การทดสอบในวันนี้เกิดขึ้น ตามหลังแถลงการณ์ของกองทัพเรือปากีสถาน ซึ่งระบุว่า "ความสำเร็จในการทดสอบนี้เป็นการส่งสารอันชัดเจนต่อกองกำลังที่มีขีปนาวุธรูปแบบที่ชั่วร้าย"

    แถลงการณ์แบบนนี้เกิดขึ้นน้อยมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ขณะที่ปากีสถานและอินเดียพยายามดิ้นรนรักษากระบวนการเจรจาสันติภาพอันง่อนแง่นระหว่างกัน เมื่อเดือนที่แล้ว ทั้งสองประเทศจัดการหารือกันอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เกิดเหตุวินาศกรรมเมืองมุมไบของอินเดียในปี 2008 ซึ่งอินเดียโทษว่า เป็นฝีมือของกลุ่มนักรบก่อการร้าย ลัสคาร์ อี ไทบา ซึ่งมีฐานปฏิบัติการในปากีสถาน

    ที่มา - [​IMG] เมื่อ: 13 มี.ค.2010
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2010
  20. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ถ้าศึกนี้จะปะทุยาว ความลำบากยากจนของประชาชน โดยเฉพาะจังหวัดติดชายแดนพม่าจะตามมา

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ด่วน! พม่ายิงระเบิดเข้าฝั่งไทย-ผู้ว่าฯ ตากสั่งอพยพชาวบ้านวุ่น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=middle align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=middle align=left>8 พฤศจิกายน 2553 10:57 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=12 vAlign=bottom align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top align=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=160 align=center><TABLE border=0 cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=center>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=1 vAlign=middle width=165 align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=/images/linedot_vert3.gif width=4>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=7 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ตาก-พม่ายิงระเบิดข้ามเมยเข้าฝั่งไทย ที่เชิงสะพานมิตรภาพไทย-พม่า ทำคนไทยเจ็บ ผวจ.ตาก สั่งอพยพคนไทยออกจากพื้นที่ชายแดนและปิดร้านค้าตลาดริมเมยแล้ว ขณะที่ชาวพม่าหนีข้ามน้ำเข้าท่าเรือ 16

    รายงานข่าวจาก อ.แม่สอด จ.ตาก แจ้งว่า วันนี้ (8 พ.ย.)ได้มีกองกำลังจากฝั่งพม่าใช้อาวุธปืนหนักยิงเข้าข้ามมาฝั่งประเทศไทยหลายลูก ทำให้มีคนไทยได้รับบาดเจ็บ โดยกระสุนปืนได้ตกที่บริเวณเชิงสะพานมิตรภาพไทย-พม่า ข้างป้อมตำรวจ 407 และที่บริเวณหลังด่านศุลกากรแม่สอดอีกจำนวน 1 ลูก รวมทั้งตามท่าเรือขนส่งสินค้าริมแม่น้ำเมย ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้ส่งตัวผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลแม่สอด เรียบร้อยแล้วและล่าสุดได้มีการยิงปะทะกันด้วยอาวุธปืนเล็กยาวประจำกาย เสียงปืนดังเป็นระยะๆ และต่อเนื่อง

    นอกจากนี้ที่ท่าเรือขนส่งสินค้าท่า 16 ได้มีผู้อพยพชาวพม่าหลบหนีข้ามแม่น้ำเมย เข้ามาฝั่งไทยจำนวนมาก

    ด้านนายสามารถ ลอยฟ้า ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ได้สั่งปิดถนนเข้าชายแดนและอพยพคนไทยอกมาจากพื้นที่ชายแดน รวมทั้งพ่อค้าแม่ค้าตลาดริมเมย ได้ปิดร้านและอพยพออกจากพื้นที่แล้ว


    โดยได้มีการปิดถนนที่จะเดินทางเข้าไปยังชายแดนที่หน้าสนามบินแม่สอด และทุกเส้นทางเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับคนไทย พร้อมกันนั้นยังได้ปิดสำนักงานจัดหางาน และหน่วยงานราชการอื่นๆ รวมทั้งโรงเรียนต่างๆ ที่เปิดทำการที่ริมเมย

    พันเอกสุภโชค ธวัชพีระชัย ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหาราบที่ 4 แม่สอด ได้สั่งการให้ทหาร เพิ่มกำลังพลและอาวุธเข้าประจำการ ประจันหน้ากับกองกำลังในฝั่งพม่าที่ใต้สะพานมิตรภาพไทย-พม่า และทหารไทยได้มีการตั้งฐานอาวุธปืนหนัก ที่ฐานปฎิบัติการแห่งหนึ่ง เพื่อยิงตอบโต้หากเหตุการณ์บานปลายรุนแรงและทำให้เกิดผลเสียหายกับประชาชนคนไทย


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...