ช่วยบอกด้วยใครที่คิดผิด

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Igiko_L, 19 พฤศจิกายน 2010.

  1. Igiko_L

    Igiko_L เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,407
    ค่าพลัง:
    +2,836
    :boo: หนูจากบ้านไปเรียน และได้กลับบ้านช่วงระยะเวลาหนึ่ง ตอนเรียนได้ทำบุญใส่บาตร ที่หน้าหอพักทุกๆเช้า พระวัดป่า น่าเลื่อมใส นักเรียน และครู ไปทำบุญกันบ่อยๆ
    หนูกลับมาบ้าน ก็ตั้งใจจะใส่บาตรต่อ ข้างบ้านหัวเราะใส่หนู หนูไม่เข้าใจ(บ้านหนูกับข้างบ้าน ไม่ถูกกัน เพราะว่าบ้านหนูขายน้ำมันขวดมาก่อน บ้านเค้าซ่อมเครื่องเสียง กับทีวี)เห้นบ้านหนูขายดี ก็เลยขายบ้าง ต่อมาก็ขายแข่งกัน เรียกลูกค้า(แย่งลูกค้า)มีปัญหากัน พูดกระทบกันบ่อยมาก
    ลูกชายป้าข้างบ้าน มีเพื่อนเยอะ ทำให้ขายน้ำมันได้ดีกว่าบ้านหนู เพราะวัยรุ่นถึงวันทำงาน ที่ชอบเที่ยว กินเหล้า มีมากกว่า คนดีๆที่เติมน้ำมันบ้านหนู เพราะชอบกินเหล้า ตั้งวง เป็นทั้งบ้าน ตั้งแต่ป้า (แม่เค้า)ก็ชอบกินเบียร์ ลูกชายคนโตมีเมียก็เลยแยกไป แต่ตอนเช้าก็ยังมาทำงาน(เป็นช่างซ่อม)เป็นคนยุให้ขายน้ำมัน (บอกไม่ต้องสนใจใคร ขายตามแล้วลอกแบบ ตั้งแต่ที่วางขาย ราคา เพราะบ้านหนูทำขวดเล็กไปจนถึงขวดใหญ่ ที่ร้านอื่นไม่ทำ)ลูกชายอีกคนติดเที่ยว(ไม่มีปัญหากับใคร เมาอย่างเดียว เสียงดังหนวกหู) ลูกสาวก็มีลูกแล้ว ตั้งแต่เรียนม.ต้น คือพี่สาวคนนี้ ชอบแอบมาสูบบุหรี่ที่บ้านหนู ตั้งแต่ยังไม่มีสามี จนมีลูกก็ย้ายไปที่อื่นพอลูกสาวไม่อยู่ ป้าก็ไปเอาหลานสาวมาอยู่แทน ปากจัด แขวะหนูทุกวันเลย ตั้งแต่เรื่องหนูหน้าแก่ แกล้งเรียกหนูว่าป้าบ้าง(ทั้งๆที่อายุเท่ากัน) ชวนเพื่อนๆวงเหล้ามาเรียกหนูว่าป้าบ้าง(ทั้งๆที่เพื่อนเค้ากลุ่มนี้ บางคนอายุมากกว่าหนู มีสามีตั้งแต่เรียน ไม่จบม.3เลยตอนนี้ลูกเข้าเรียนป.1แล้ว มีลูกมีสามีทำตัวเหมือนคนแก่มีปัญหา เมาแล้วโว้ยวาย แขวะหนู ประจำ)ตอนแรกหนูจะเดินหนี แต่หลังๆ ไม่สนใจ อยากพูด พูดไป ไม่รับเดี๋ยวก็เข้าตัวเอง
    พอเมาแล้วก็เสียงดัง หนูก็พยายามบอกที่บ้านให้ปล่อยวาง เค้าทำอะไก็ได้อย่างนั้น ก็สงสารแม่ เพราะแม่ป่วยต้องหนวกหู เสียงดังทั้งวัน (แถวบ้าน เป็นห้องแถว ร้านอื่นๆ เค้าแค่มาเปิดขายของ ตอนเย็นก็กลับบ้าน แต่บ้านหนู ใช้เป้นที่พักด้วยคะ เลยมีแต่บ้านหนูต้องรำคาญ)
    เรื่องที่จะถามคือว่า หนูมารู้ที่หลังว่าเค้าหัวเราะเพราะ ชอบมีพระ เอาทีวี เครื่องเสียง(ทั้งเครื่อง วัด เครื่องส่วนตัว)มาซ่อม บางรูปขับเก๋ง(มาเอง)มาติดตั้งเครื่องเสียงในรถกยนต์เลย
    :'( หนูเห็นแล้ว ถามพี่ชายว่า พระดูทีวี ได้ด้วยเหรอ อือ หนูรับศีล8 วันพระ ทุกวันพระก็ยังไม่ดูทีวีเลยนะ พี่ชายก็ตอบว่าใช่ ศีล8 ยังห้ามเลย แล้วพระจะดูได้ยังไง ความรู้สึกหนูคือ แล้วหนูจะทำบุญกับใครละ???
    เทวดาท่านมาบอกว่า"ทำบุญกับคนก็ได้บุญ หากมีใจเป็นกุศล ทำกับพระคิดว่าทำกับพระพุทธองค ก็เหมือนได้ทำบุญกับพระพุทธองคแล้ว อีกอย่างท่านเป็นพระ โอกาสที่จะได้ธรรมแล้วกลับมา ย่อมมีมาก ทำไปเถอะ บำรุงพุทธศาสนา ดีแล้ว"
    พอกลับมา รร หนูคุยกับพี่เด็กวัดว่า อยากจะทำบุญ พี่เด็กวัดบอกว่า วัดป่าที่หนูไปทำบุญ พระรวยอยู่แล้ว แบบ เก็บรถยนต์ใช้ส่วนตัว แทบทุกรูป ไม่ต้องทำก็ได้ หนูสับสนมากคะ
    อยากให้พี่ๆเพื่อนๆ ท่านผู้รู้ช่วยบอกด้วยว่า เกิดอะไรขึ้น แล้วหนูทำถูกไหม หนูอยู่บ้านก็ยังใส่บาตรทุกวัน ข้างบ้านก็หัวเราะ บอกไม่ได้บุญ
    หนูคิดผิด หรือข้างบ้านคิดผิดค่ะ????
    ขอบคุณมากคะ:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2010
  2. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    การทำบุญแค่ใจเรามันสบาย มันเย็น สงบ อย่างนี้ก็ได้บุญแล้วครับ แต่ถ้าเป็นห่วงเรื่องอานิสงส์ก็ต้องดูว่า จิตใจเราบริสุทธิ์ไหม ผู้รับบริสุทธิ์ไหม ปัจจัยหรือวัตถุที่ให้บริสุทธิ์ไหม แต่ถ้าเราไม่เลื่อมใสในพระรูปนั้น มีความระแวงในวัตรปฏิบัติก็ให้เป็นสังฆทานเลยครับ คือให้โดยรวม สังฆทานนี่ไม่ได้หมายถึงถังสีเหลืองแบบนี้นะครับ แต่หมายถึงการให้ทานแด่สงฆ์โดยไม่เจาะจงว่ารูปนั้น พระพุทธองค์ยังทรงบอกว่าการที่จะดูว่าพระองค์ใดเป็นพระอรหันต์เป็นเรื่องยาก ดังนั้นให้ทำสังฆทานแทน การที่เราไม่เลื่อมใสในวัตรปฏิบัติมันเกิดขึ้นได้ เพราะพระถ้าไม่ปฏิบัติดี ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ปฏิบัติตรงแล้วก็เป็นที่พึ่งให้กับใครไม่ได้เลย แต่อย่าถึงกับไปปรามาสว่าร้ายอย่างเพื่อนบ้าน
     
  3. Jpan

    Jpan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +117
    การทำบุญ ใส่บาตร เป็นทานภายนอก เป็นการละความเห็นแก่ตัว เป็นกุศลใหญ่ และได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท ... แม้ยังไม่ถึงนิพพาน หรือหากยังต้องเกิดอีก ก็จักเป็นผู้ไม่ยากจน ..... จะเป็นผู้มีทรัพย์มาก

    ทำบุญ มิใช่ทำเอา ... ทำแล้วเบา จากความเห็นแก่ตัว ... ผู้นั้นคือผู้ไม่หลง ....

    ... ดอกบัวที่สวยงามเกิดจาก โคลนเน่าฉันใด

    ผู้ประพฤติธรรม ย่อม พิจารณาโลกธรรม ให้เห็น ... แล้วไม่ตอบโต้ ไม่หวั่นไหว ผู้นั้นได้ชื่อว่า เป็นพุทธแท้ (เป็นขันติบารมี) ... และกำลังปลูกดอกบัวภายใน ให้เกิดขึ้น อยู่ (ด้วยอภัยทาน : การมีเมตตาธรรม).... จงอภัยในความไม่รู้ของเขาเถิด ....


    ******** ส่วนการให้อภัยเป็นทาน เป็นทานภายใน ผู้ที่ทำได้แม้น้อย ก็ยังผลใหญ่ ... เป็นหนทางแห่งความไม่ประมาท เป็น สัมมาทิฏฐิ โดยแท้ ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่หลง และเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้ ... บำเพ็ญให้มาก ทำให้มาก ผู้นั้นจักเกิดปัญญา และพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ****

    ...... เพื่อความไม่ประมาท และความเจริญสมบูรณ์ แห่งปัญญา ขอให้ท่านสหธรรมิก โปรดทำทานทั้งภายนอกและภายใน ด้วยความเพียร ไปพร้อมกันเถิด สาธุ ......

    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงอธิบายในเรื่อง วิธีสร้างบุญบารมี ว่า อภัยทานนั้นเป็นทานที่สูงสุด สูงกว่าธรรมทานเสียอีก ตามเหตุผลดังนี้
    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
    ..... การให้ธรรมทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ "อภัยทาน" แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้อภัยทาน ก็คือการไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน เพราะเป็นการบำเพ็ญเพียรเพื่อละ "โทสกิเลส" และเป็นการเจริญ "เมตตาพรหมวิหารธรรม" อันเป็นพรหมวิหารข้อหนึ่งในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น อันพรหมวิหาร ๔ นั้น เป็นคุณธรรมที่เป็นองค์ธรรมของโยคีบุคคลที่บำเพ็ญฌานและวิปัสสนา ผู้ที่ทรงพรหมวิหาร ๔ ได้ย่อมเป็นผู้ทรงฌาน ซึ่งเมื่อเมตตาพรหมวิหารธรรมได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อใด ก็ย่อมละเสียได้ซึ่ง "พยาบาท" ผู้นั้นจึงจะสามารถให้อภัยทานได้ การให้อภัยทานจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและยากเย็น จึงจัดเป็นทานที่สูงกว่าการให้ทานทั้งปวง

    ......อย่างไรก็ดี การให้อภัยทาน แม้จะมากเพียงใด แม้จะชนะการให้ทานอื่นๆทั้งมวล ผลบุญนั้นก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า "ฝ่ายศีล" เพราะเป็นการบำเพ็ญบารมีคนละขั้นต่างกัน

    .......โกรธแล้วหายโกรธเอง กับโกรธแล้วหายโกรธเพราะให้อภัย ไม่เหมือนกัน โกรธแล้วหายโกรธเองเป็นเรื่องธรรมดา ทุกสิ่งเมื่อเกิดแล้วต้องดับ ไม่เป็นการบริหารจิตแต่อย่างใด แต่โกรธแล้วหายโกรธเพราะคิดให้อภัย เป็นการบริหารจิตโดยตรง จะเป็นการยกระดับของจิตให้สูงขึ้น ดีขึ้น มีค่าขึ้น




    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2010
  4. Igiko_L

    Igiko_L เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,407
    ค่าพลัง:
    +2,836
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2010
  5. Jpan

    Jpan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +117
    เป็นกำลังใจให้ครับ .... คิดซะว่า กรรมเหมือน ถ่มน้ำลายรดฟ้า แล้วมันจะตก ... ลงมาโดนคนถ่มเอง

    แต่ในขณะเดียวกัน หาก ... เราเคยทำกับเขามาก่อน ... ตั้งแต่ภพชาติไหนก็ไม่รู้ ล่ะ ... ซึ่งวิธีการเดียวที่จะให้มันจบคือ การไม่สืบต่อ ... หยุดที่เรา ถ้าเขายังทำอยู่ ก็แสดงว่าเขาเลือกที่จะทำอย่างนั้น ... ในกาลต่อไป เขาต้องได้รับมันเป็นอย่างน้อย และที่สำคัญ ... ในวัฏฏะ อันไม่รู้สิ้นของเขา ... ไม่มีเราอยู่ในนั้นแน่นอน เพราะเราไม่ได้เข้าร่วม ด้วยกาย วาจา ใจ ...​

    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
    ... คำภีร์ร้อยเล่ม มิเท่าหนึ่งวิปัสสนา ...

    ผมอยู่หอพัก มีสองนักศึกษา ผัวเมีย อาศัยอยู่ห้องติดกัน ... เขาเรียนคณะอะไรไม่สำคัญ ..ทุกเย็น จะได้ยินคำว่า ไอ้เฮี้ย .... อย่างโน้น ไอ้เฮี้ย ... อย่างนี้ แรกๆ รู้สึกโกรธ รำคาญ .... แต่ตอนนี้ รู้สึกธรรมดา เหมือนเดินผ่านบ้านที่เลี้ยงหมู แรกๆ ก็รู้สึกเหม็นขี้หมู ... แต่ผ่านบ่อยเข้า ก็ชินไปเอง ... ดังนั้นเมื่อเราต้องอยู่ แม้ได้ยินพวกเขาทั้งสอง ก็คิดซะว่าพวกเขากำลังสาธยายธรรม สอนเราว่า เสียงที่ทำให้โกรธเป็นอย่างไร ... และผลของการไม่โกรธตอบนั้น ดีอย่างไร แล้วระยะหลังๆเราก็รู้สึกสงบเองเมื่อได้ยินอีก ... นี่ก็เป็นวิปัสสนาอย่างหนึ่งนะ ​

    อันนี้อาจจะดูเหมือนว่า ใจเราจะเคยชินกับความชั่ว แต่ไม่ใช่นะ มันคนละอย่าง การเคยชินกับความชั่ว คือ เราทำชั่วไปกับเขาด้วย แต่นี่ เรารู้ ... และไม่ทำตาม ผลของกรรมของเราก็ไม่มี เพราะ เราไม่ได้เป็นผู้สร้างเหตุ แต่เมื่อใดเราคล้อยตามสิ่งที่เขาเป็นอยู่ เมื่อใด... นั่นแหละเราตกหลุมพลางของกรรมแล้ว

    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

    จำไว้เสมอว่า สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อในตน ..... เราเดินเข้าใกล้ความตายทุกเมื่อ ... ไม่มีเวลา เอาหูมารองขี้ปากใคร หรอก

    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2010
  6. กฐินหอม

    กฐินหอม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +256
    ...หลวงพี่ว่า ฝ่ายนั้นที่เจ้าของกระทู้กล่าวถึง น่าสงสารมากกว่าเจ้าของกระทู้อีกครับ จริงๆนะครับคิดแบบนี้จริงๆ
    ...เรื่องพระดูทีวีตอนบวชใหม่ๆก็ไม่เข้าใจ แต่ก้ได้ความว่าแล้วแต่คนๆหรือพระบางรูปไปนะครับบางท่านดูบ้างไม่ดูบ้าง ดูเป้นคติบ้าง หรือนานๆดูทีก้มี ส่วนตัวก็จะดูรายการมีสาระหน่อย ตอนบวชใหม่ๆนี่ไม่ได้ดูเลยครับ (คุยสะหน่อย55)
    ...ส่วนเรื่องทำบุญ ยังไงก็ได้บุญแน่นอน พระขับรถ ดูทีวี หรืออะไรก้แล้วแต่ไม่ต้องใส่ใจครับ รู้แล้วก็ปล่อยๆไปมุ่งเอาประโยชน์ส่วนตนที่เราจะพึงมีพึงได้ดีกว่า
    ...ขอให้ศรัทธาในพระศาสนาไม่ต้องใส่ใจตัวบุคคลนะครับ จะได้สบายใจ
     
  7. Igiko_L

    Igiko_L เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,407
    ค่าพลัง:
    +2,836
    :cool: ขอบคุณมากคะ ที่ให้กำลังใจ ให้ข้อคิดในการปฏิบัติ ขันติ
    หนูจะทำตามที่พี่แนะนำ ขอบคุณมากคะ
     
  8. Igiko_L

    Igiko_L เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,407
    ค่าพลัง:
    +2,836
    สาธุๆ ขอบพระคุณมากคะ ที่อธิบายให้เข้าใจ เพราะหนูเป้นผู้หญิง อาจจะเคยบวชชีพรามณ์ แต่ก็ไม่เคยรุว่าพระ อยู่แบบไหน
    หนูก็มองแบบนั้น พระท่านคงติดตามข่าว ดูรายการธรรมะ(คิดบวกไว้ก่อน)ก็เลย ยัง ใส่บาตร ไหว้พระ (ปกติอยู่ที่บ้าน มีพระเดินผ่าน ก็จะยกมือไหว้ อยู่กรุงเทพเจอพระ ไหว้ ท่านตกใจ อะคะ ^^)ลืมบอก ไปเจอพระ ในห้างคะ ^^
    หนูก็อยากเป็นส่วนหนึ่ง ที่จะทนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้อยู่นาน จนกว่า หนูจะถึงนิพพาน
    อนุโมทนา บุญคะ
     
  9. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    953
    ค่าพลัง:
    +3,165
    ทำบุญคือการสละ เอากิเลสของเราออก
     
  10. จิตปรุง

    จิตปรุง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +802
    ทำบุญละความเห็นแก่ตัว
    เราสบายใจก็เพียงพอ
     

แชร์หน้านี้

Loading...