หลวงปู่ภัททันตะ อาสภมหาเถระ ละสังขารแล้ว 26 พ.ย.53

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย แดนโลกธาตุ, 26 พฤศจิกายน 2010.

  1. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=text1 vAlign=top align=left height=20>[​IMG]

    หลวงปู่มหาภัททันตะ อาสภมหาเถระ
    อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยา
    วัดภัททันตะอาสภาราม ต.หนองปรือ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี
    มรณภาพแล้วเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 สิริอายุได้ 99 ปี และจะมีการสรงน้ำศพ ที่ศาลาการเปรียญ วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพ ในวันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลาประมาณ 13.00 น. จึงขอโอกาสแจ้งมาเพื่อโปรดทราบและไปร่วมพิธีเพื่อแสดงความกตัญญูและไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้ายโดยทั่วกัน


    สังเขปประวัติ

    หลวงพ่อดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระฯ พระมหาบูรพาจารย์แห่งวงศ์วิปัสนากรรมฐานแห่งยุคกึ่งกลางพุทธกาลนี้ มีนามเดิมว่า “หม่องขิ่น” ถือกำเนิดในตระกูล”ตวยเต้าจี้” ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูงของพม่า โยมบิดามีชื่อว่า “อุโพอ้าน” โยมมารดามีนามว่า “ต่อเปียว” ท่านเป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง 3 คน เกิดที่บ้านตำบลจวนละเหยียน อำเภอเยสะโจ จังหวัดปะคุกกู่ ประเทศพม่า เมื่อวันที่ 1 ฯ8 ปีกุน จุลศักราช

    1273 ตรงกับเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2454 เวลา 10.54 น.

    เมื่อท่านได้เจริญวัยจนมีอายุได้ 7 ปี โยมบิดามารดาจึงพร้อมใจนำท่านไปฝากให้เรียนหนังสือที่วัดจวนละเหยียนเหนือ ซึ่งมีพระภัททันตะปุญญมหาเถระเป็นเจ้าอาวาสและพระอาจารย์ ได้รับการศึกษาเริ่มต้นตั้งแต่ นโม พุทฺธาย สิทฺธ ตลอดไปจน ทศมหาชาดก ซึ่งเป็นวิชชาพื้นฐานการศึกษาพระพุทธศาสนาของเยาวชนพม่า ไปได้สักระยะหนึ่ง พระภัททันตะ ปุญญมหาเถระก็ถึงแก่มรณภาพ เด็กชายหม่องขิ่น เลยจำเป็นต้องย้ายที่เรียนไปที่วัดโชติการาม อำเภอสะโจ เมืองปะคุกกู่ โดยมีพระภัททันตะ ญาณมหาเถระเป็นพระ

    อาจารย์อนุศาสน์สั่งสอนสืบต่อมา



    เวลาผ่านไปจนเด็กชายหม่องขิ่น มีอายุได้ 15 ปี เมื่อปีพ.ศ. 2469 จึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดโชติการามนั่นเอง โดยมีท่านพระภัททันตะ ญาณมหาเถระ เจ้าอาวาสเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “อาสโภ” จากนั้น ท่านพระอาจารย์ก็ได้การอบรมสั่งสอนระเบียบวินัยข้อวัตรปฎิบัติต่างๆ ตลอดจนให้การศึกษาไวยกรณ์บาลีมหากัจจายน์ และพระอภิธรรมมัตถสังคหะอรรถกถา อันเป็นพื้นฐานการศึกษาพระบาลีพระไตรปิฏกของคณะสงฆ์พม่าเป็นลำดับมา

    กาลต่อมา เมื่อท่านพระภัททันตะ ญาณมหาเถระผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ได้พิจารณาแล้ว เห็นว่า อันสามเณรอาสโภรูปนี้ มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถที่จะศึกษาพระปริยัติธรรมชั้นสูงได้อย่างไม่ต้องสงสัย ท่านจึงได้อาสภสามเณรนี้ไปถวายตัวให้กับท่านพระภัททันตะ ปัญญามหาเถระ อัครมหาบัณฑิต ปัญจนิกายปารคู สะยาดอร์ ผู้เป็น”คณะปาโมกข์” ณ. “มหาวิสุตารามมหาวิทยาลัย” ซึ่งเป็นวิทยาลัยสงฆ์ของพม่า มีพระจากทั่วประเทศมาศึกษาบาลีนับเป็นจำนวนพันๆรูปเลยทีเดียว สามเณรอาสโภก็ได้ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างไม่ลดละเป็นการถาวร ที่มหาวิสุตารามหาวิทยาลัยนั้น โดยท่านได้ศึกษาพระคัมภีร์ชั้นสูงต่างๆ เช่น พระคัมภีร์อภิธานฉันปกรณะ อลังการะ รูปสิทธิ สัททนีติ พระคัมภีร์กังขาวิตรณีอรรถกถา และพระคัมภีร์อภิธัมมัตถวิภาวินีฏีกา จนแทงตลอดอย่างดียิ่งเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อปีพ.ศ.2473 อาสภสามเณร ซึ่งมีอายุได้ 20 ปีบริบูรณ์จึงได้กลับอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนอย่างสมภาคภูมิ ณ วัดจวนละเหยียน อ. เยสะโจ จังหวัดปะคุกกู่ ที่บ้านเกิดแห่งท่าน เมื่อ 17ฯ 8 ปีมะแม จุลศักราช 1293 ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 21 กรกฏาคม พ.ศ. 2473 โดยมีพระภัททันตะ ญาณมหาเถระเป็นพระอุปัชฌาย์ พระภัททันตะ อูเกลาสะมหาเถระ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระภัททันตะ อูปัญญามหาเถระ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาในทางพระพุทธศาสนาตามเดิมว่า “อาสโภ” จากนั้น พระอาสภะภิกขุ ก็ได้เดินทางกลับไปศึกษาพระปริยัติธรรมชั้นสูงที่มหาวิสุตารามมหาวิทยาลัย กับพระมหาเถระผู้ทรงคุณอย่างยอดเยี่ยม ระดับ”อัครมหาบัณฑิต”และ”อภิชมหารัฐคุรุ”เป็นหลายองค์ จนที่สุด พระภิกษุอาสโภก็ได้สำเร็จการศึกษาชั้น”ธัมมาจริยะ”ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดแห่งการศึกษาของคณะสงฆ์พม่า เมื่อปีพ.ศ. 2480 เมื่อท่านมีอายุได้ 27 ปีเท่านั้น


    แต่แม้พระอาสภภิกขุสังฆะเจ้า จะได้ผ่านการศึกษาพระปริยัติธรรมชั้นสูงมามากมายอย่างนี้ แต่พระภัททันตะ อาสภะ ธัมมาจริยะ ก็ยังไม่ประสงค์ที่จะหยุดศึกษาต่อแต่เพียงเท่านั้น แต่ท่านปรารถนาที่จะได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ความเป็นพหูสูตให้ยิ่งๆขึ้นไปอีก พระอาสภะ ธัมมาจริยะจึงได้ออกจากมหาวิสุตารามมหาวิทยาลัย ไปศึกษาธรรมะเพิ่มเติมจากพระมหาเถระผู้มีชื่อเสียงเกริกไกรในสมัยนั้นอีก อันมี
    1.พระคุณท่านภัททันตะ นารทมหาเถระ อัครมหาบัณฑิต ปัญจนิกายปารคู วัดทักขิณาราม นครมัณฑเลย์
    2. พระคุณท่านภัททันตะ โกญทัญญะมหาเถระ อัครมหาบัณฑิต วัดพญาจีใต้ กรุงย่างกุ้ง
    3.พระคุณท่านภัททันตะ นันทิมามหาเถระ อัครมหาบัณฑิต ปัญจนิกายปารคูสันจอง สะยาดอร์ วัดขิ่มมะกัน นครมัณฑเลย์
    4.พระคุณท่านภัททันตะ นันทิยมหาเถระ วัดตูมอง นครอมรปุระ ซึ่งมีสมญานามพิเศษว่า “พระอาจารย์ใหญ่สะยาดอร์ดัง “ญะหวา” (ทไวไลท์) เพราะท่านมีเทคนิคพิเศษในการสอนพระอภิธรรมอันลึกซึ้งใน”ความมืด”แห่งรัตติกาล โดยไม่ต้องใช้ไฟส่องสว่างและหนังสือหนังหามาประกอบการสอนแต่อย่างไรทั้งสิ้น เป็นการ”ถ่ายทอด”กันจาก”ใจ”ถึง”ใจ”โดยตรง เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
    5. พระคุณท่านภัททันตะวิมลมหาเถระ อัครมหาบัณฑิต วัดมงคลเก่า นครอมรปุระ ซึ่งท่านองค์นี้ มีสมญานามว่า “ท่านอาจารย์ใหญ่โมกุกสะยาดอร์ “ มีคุณวิเศษที่สามารถสอนพระพุทธวจนะได้อย่างแม่นยำและถูกต้องถ่องแท้ อีกทั้งท่านยังเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง ซึ่งเมื่อท่านภัททันตะ วิมลมหาเถระได้มรณภาพลง ก็ได้ปรากฏเหตุการณ์ปาฏิหาริย์เป็นหลายประการ สร้างความอัศจรรย์แก่มหาชนทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง

    ท่านพระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ ได้ใช้เวลาศึกษาความรู้พิเศษเพิ่มเติมจากพระคณาจารย์ผู้ทรงธรรมวิเศษยอดเยี่ยมเห็นปานนี้ถึง 3 ปี จึงได้เดินทางกลับคืนมาสู่มหาวิสุตารามมหาวิทยาลัย บรรดาพระมหาเถระ คณะปาโมกข์ฝ่ายคันถธุระแห่งมหาวิทยาลัย เมื่อได้ทราบความเป็นมาเป็นไปของท่านอาสภเถระ ธัมมาจริยะแล้ว ก็มีความยินดีพอใจอนุโมทนาเป็นอย่างมาก จึงมีมติเป็นเอกฉันท์แต่งตั้งท่านให้เป็น”คณะวาจกะสะยาดอร์” คือเป็น”พระคณาจารย์ชั้นผู้ใหญ่”ประจำมหาวิทยาลัย เพื่อให้การอนุศาสน์สั่งสอนพระภิกษุสามเณรโดยทั่วไปตั้งแต่ปีพ.ศ.2483 เรื่อยมา ซึ่งทั้งมหาวิทยาลัยมหาวิสุตารามนี้ มีพระอาจารย์ใหญ่ระดับ”คณะวาจกะ”เพียง”7”องค์เท่านั้น

    “สู่เส้นทางวิปัสสนา”


    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#000000 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=350>

    ท่านพระอาจารย์ภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ คณะวาจกะสะยาดอร์ ได้บำเพ็ญองค์เป็นพุทธสาวกชั้นเยี่ยม โดยการสั่งสอนพระพุทธธรรมแก่พระภิกขุสังฆะทั้งหลาย อันเป็นการธำรง”พระปริยัติศาสนา”ให้คงอยู่มาเป็นเวลาช้านาน ประมาณ กว่า 1 ทศวรรษ จนกระทั่งปีพ.ศ. 2493 เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ท่านพระอาจารย์ภัททันตะ อาสภเถระฯ ได้หักเหจาก”อาจารย์บอกธรรม”มาเป็น”วิปัสสนาจารย์”โดยสมบูรณ์ เมื่อท่านได้มีโอกาสพบกับพระภัททันตะ คันธมหาเถระ อัครมหาบัณฑิต ผู้มีเกียรติคุณสูงเด่นในวิชาการชั้นสูง อันเป็นที่ยอมรับของมหาชนทั้งหลายโดยทั่วไป โดยเมื่อท่านได้สนทนากับท่าน”คันธมหาเถระ”พอสมควรแล้ว ท่านพระคันธมหาเถระ ก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งส่งให้ พร้อมกับสั่งกำชับว่า “จงอ่านให้ได้” ซึ่งพระอาสภเถระเมื่อได้ลองอ่านดู ก็พบว่า หนังสือนั้นมีชื่อว่า “แนวปฏิบัติวิปัสสนา” ซึ่งรจนาโดย”พระอาจารย์ภัททันตะโสภณมหาเถระ อัครมหาบัณฑิต” หรือ”พระอาจารย์มหาสี สะยาดอร์”


    หมายเหตุ,ท่าน”พระมหาสี สะยาดอ” สุดยอดพระวิปัสนาจารย์แห่ง



    </TD><TD vAlign=top width=200>[​IMG]</B>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></B>​


    เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ องค์นี้ นับเป็นพระ ผู้แตกฉานในพระวิปัสนากรรมฐานอย่างแจ่มแจ้งแทงตลอดอย่างยิ่ง จนได้รับเกียรติสูงสุดให้เป็น”ปุจฉกะ”(ผู้ถาม)ในการกระทำสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งที่ 6 ของโลก ที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ เมื่อปีพ.ศ. 2496 โดยทำหน้าที่เดียวกับ”พระมหากัสสปะเถระ”ที่ทำหน้าที่ซักถามพระวินัยแก่”พระอุบาลีเถระ”ในคราวสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งแรกนั่นเลยเทียว..!!!!!


    และเมื่อพระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ อ่าน”แนวทางปฏิบัติวิปัสสนา”ที่เขียนโดยท่านพระอาจารย์มหาสี สะยาดอร์จบ ท่านอาสภเถระ ก็บังเกิดความอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งว่า


    “ในสมัยปัจจุบันทุกวันนี้ การปฏิบัติวิปัสสาที่ถูกต้องและได้ผลจริงยังมีอยู่อีกหรือนี่..?????”



    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#000000 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="33.33%">[​IMG]



    </TD><TD vAlign=top width=1></B>



    </TD><TD vAlign=top width=349>และ “เมื่อปฏิบัติวิปัสสนาแล้ว วิปัสสนาญาณจักปรากฏแก่คนในยุคปัจจุบันนี้ได้จริงๆละหรือ.????” และด้วยวิสัยแห่งผู้ใฝ่รู้ ท่านพระอาจารย์ภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ พระผู้สำเร็จ”ปริยัติธรรม”ชั้นสูงสุดแห่งพม่า จึงพลันตัดสินใจจะเข้าบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อ”พิสูจน์”ให้รู้แจ้งเห็นจริงกันด้วยตนเองไปเลยทีเดียว เริ่มแรก ท่านจึงเดินทางไปสำนักปฏิบัติพระกรรมฐาน ”วัดสวนลน” จังหวัดเมียนฉั่น เพื่อเข้าไปขอกรรมฐานกับท่านพระอาจารย์ภัททันตะ กวิมหาเถระ ปธานกัมมัฏฐานมหาเถระ แล้วเริ่มตั้งอกตั้งใจปฏิบัติในทันทีทันใดถึง 45 วันเต็มๆ ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยัง “วัดมหาสี” ตำบลเชตโข่น เมืองสวยะโบ่ ซึ่งเป็นสำนักของท่านพระอาจารย์มหาสี สะยาดอร์ ผู้รจนา</B>




    หนังสือ”แนวปฏิบัติวิปัสสนา”โดยตรง ซึ่งเมื่อท่านพระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ คณะวาจกะสะยาดอร์ไปถึง ก็ลงมือปฏิบัติพระกรรมฐานในทันทีไม่รอรีใดๆ โดยมีท่านพระอาจารย์ภัททันตะ โสภณมหาเถระ อัครมหาบัณฑิต(พระมหาสี สะยาดอร์ )และท่านพระอาจารย์ภัททันตะ สวยะเจดีย์ สะยาดอร์ อัครมหาบัณฑิต




    </TD></TR></TBODY></TABLE></B>




    เป็นพระวิปัสสนาจารย์ผู้บอกพระกรรมฐาน ด้วยความเข้มงวดกวดขันเป็นอย่างยิ่ง โดยเมื่อพระภัททันตะ อาสภเถระ ฯ ได้ปฏิบัติไปๆ ก็ให้อัศจรรย์ใจในผลของการบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานเพิ่มมากยิ่งขึ้นทุกวัน และที่สุด ก็ได้”บรรลุ”ถึงผลสมดังความมุ่งหมาย วิจิกิจฉาความลังเลสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานใดๆที่เคยค้างคาใจมาแต่กาลก่อน ก็ล้วนปลาสนาการหายไปจนหมดสิ้น การเป็นที่น่าอนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่งที่สุดเลยทีเดียว....



    “สืบสายธรรมแท้จากพระอรหันต์ครั้งพุทธกาล”

    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#000000 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=350>มหาเหตุที่สำคัญอย่างยิ่งยวดประการหนึ่ง ซึ่งทำให้ท่านพระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ คณะวาจกะ สะยาดอร์ ได้บรรลุธรรมเบื้องสูงดังกล่าวมานั้น ก็เห็นจะเป็นการที่ท่าน ได้มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่”ถูกต้องร่องรอย”ตาม”พระพุทธวจนะ”แห่งองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่าง”แท้จริง”นั้นเอง
    เหตุดังกล่าวย่อมปรากฏชัดว่า อันแนวทางการปฏิบัติวิปัสสนาที่ท่านพระอาจารย์มหาสี สะยาดอร์ได้สอนนั้น เป็นวิธีการสอนวิปัสสนาที่ใช้สืบทอดกันมาเป็นเวลาช้านาน โดยสืบวิปัสสนาวงศ์มาแต่องค์”พระอรหันต์”ผู้เป็นสัทธิวิหาริก(ลูกศิษย์) ของท่าน”พระมหาโมคคัลลีบุตรสังฆวุฒาจารย์” ที่พระเจ้าอโศกมหาราช ได้อาราธนามาประดิษฐานบวรพระพุทธศาสนา เผยแผ่พระพุทธธรรมยังสุวรรณภูมิประเทศเมื่อ 2000 กว่าปีที่ แล้วอย่างแท้

    “ความผิดเพี้ยน”หรือ”คลาดเคลื่อน”จากหลักธรรมที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนไว้ ซึ่งไม่ปรากฏแต่อย่างใด นี่คือความสำคัญอย่างเอก และเป็นอานิสงส์โดยตรงของการที่ชนชาวพม่า มีความศรัทธามั่นคงใน”พระพุทธ”และ”พระธรรม”เป็นยอดทั้งสิ้น

    </TD><TD vAlign=top width=200>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    โอกาสที่”สัทธรรมปฏิรูป”หรือ”ธรรมะปลอม” ที่ไม่ว่าจะเกิดจากการ”หลงนิมิต”หรือ”กรรมฐานเพี้ยน”เพราะถูกกิเลสหลอกให้”เห็นผิดเป็นชอบ” หรือเห็น”น้ำตาลเป็นเกลือ”หรือ”เกลือเป็นน้ำตาล” จึงยากที่สุดจักสอดแทรกเข้ามาแทนที่พระพุทธธรรมอันพิสุทธิ์ได้ นี้แล จึงก่อให้เกิดเป็นมหาคุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่สุด ต่อทั้งชนชาวพม่าเองและพุทธศาสนิกชนประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง ที่อาจจะยังพอ”ยึดถือ”และ”พึ่งพาอาศัย” ได้บ้าง เมื่อต้องการศึกษา”ของจริงของแท้” ที่ไม่ใช่เรื่อง”ฝันในฝัน”กลางคืนดึกๆ หรือ กลางวันแสกๆ ที่มี”ที่สุดแห่งการปฎิบัติ”ก็คือการ”บริจาคเงิน”เพื่อแลกกับ”โลกีย์”หรือ”กามสุข” (ลาภ ,ยศ,สรรเสริญ)แบบ”โลกๆ” แทนที่จะสอนคนให้”หลุดพ้น”จากวัฏฏะอย่างสิ้นเชิงตามรอยบาทแห่งพระพุทธองค์ เหมือนอย่างบางสำนัก บางวัด ในบางประเทศนิยมทำกันแต่อย่างไรทั้งสิ้น

    และก็ด้วยอานิสงส์ดังว่านี้เอง “ประเทศไทย”ของเรา จึงพลอยได้รับอานิสงส์พิเศษสุด จากความมั่นคงในพุทธธรรมของชาวพม่า เมื่อ “พระพิมลธรรม” (อาจ อาสภมหาเถระ) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ กรุงเทพมหานคร (ที่ต่อมาได้รับโปรดเกล้าสถาปนาให้เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่”สมเด็จพระพุฒาจารย์ ) ซึ่งเมื่อปีพ.ศ.2495 ท่านมีตำแหน่งเป็น”สังฆมนตรี” ว่าการองค์การปกครอง ได้เกิดมหากุศลจิตที่ประสงค์จะให้เกิดการบำเพ็ญวิปัสสนาที่”ถูกต้อง”ขึ้นในประเทศไทย และเมื่อท่านพระพิมลธรรมได้พิจารณาด้วยจิตใจที่เป็น”กลาง”อย่างยิ่งแล้ว พบว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ประเทศพม่านั้น มีความ”ถูกต้องแม่นยำ”และ”ไม่ผิดเพี้ยน”จากพระพุทธวจนะ เพราะเหตุที่สืบสายมาโดยตรงจากพระอรหันต์ผู้เป็นศิษย์ใน”พระโมคคัลลีบุตรอรหันตเถระ”สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชอย่างแท้จริง สมควรที่จะยึดถือเป็นแบบอย่างได้อย่างมั่นใจ สมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ อาสภมหาเถระ) หรือ”พระพิมลธรรม” ในสมัยนั้น จึงได้ส่ง”ศิษย์เอก”ท่านหนึ่งของท่าน คือ” พระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ” เปรียญธรรม 9 ประโยค (ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์สูงขึ้นมาเรื่อยๆจนที่สุดได้เป็นที่”พระเทพสิทธิมุนี” พระวิปัสสนาจารย์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังกลางกรุงเทพมหานครในเวลาต่อมา ซึ่งมีจิตใจฝักใฝ่ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างยิ่ง ให้ไปเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่”สำนักวิปัสสนาสาสนยิตสา” ที่ฯพณฯ อูนุ อดีตนายกรัฐมนตรีพม่าในสมัยนั้นได้สร้างขึ้นที่เมืองย่างกุ้ง โดยได้ฝากให้อยู่ในความดูแลของท่านพระอาจารย์โสภณมหาเถระ หรือ”ท่านพระอาจารย์มหาสี สะยาดอร์” ซึ่งเป็นเจ้าสำนักใหญ่อยู่ในขณะนั้น ซึ่งพระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ ก็ได้ตั้งใจเร่งความเพียรในการปฏิบัติธรรมอย่างดียิ่ง โดยท่านพระอาจารย์มหาสี สะยาดอร์ ก็ได้มอบหมายให้
    ”พระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ” ศิษย์เอกของท่านซึ่ง”บรรลุธรรม”มาแต่ก่อนเรียบร้อยแล้ว คอย”ดูแล”และ”สอบอารมณ์”ท่านพระมหาโชดก แทนท่านซึ่งมีภารกิจแห่งความเป็นเจ้าสำนักมากมาย ทำให้ไม่อาจจะมาคอยควบคุมและสอบอารมณ์พระกรรมฐานได้ทุกวัน ด้วยเหตุนี้ ท่านพระอาจารย์ภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ จึงได้เป็นเสมือนหนึ่งเป็น”พระพี่เลี้ยง”ในท่านเจ้าคุณ”พระเทพสิทธิมุนี” หรือ”พระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ”ไปโดยปริยาย
    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#000000 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=200>[​IMG]

    </TD><TD vAlign=top width=1>

    </TD><TD vAlign=top width=349>จำเนียรกาลแห่งการปฏิบัติธรรมพระกรรมฐานในสำนักสาสยิตสาของพระมหาโชดก ญาณสิทฺธิผ่านไปเพียง 3 เดือน ท่านพระมหาโชดกก็ได้”สำเร็จวิปัสสนา”สมดังความมุ่งหมาย เป็นที่น่าอนุโมทนาสาธุการอย่างยิ่ง ท่านพระมหาโชดกจึงเตรียมเดินทางกลับมายังประเทศไทย ท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรมจึงได้ทำเรื่องไปยัง”สภาการพระพุทธศาสนาแห่งพม่า”ขอให้ส่งพระวิปัสสนาจารย์ผู้มีความเชี่ยวชาญมาสอนวิปัสสนากรรมฐานในประเทศไทยด้วย ซึ่งทางสภาการพระพุทธศาสนาก็ได้มอบหมายให้ท่านพระอาจารย์มหาสี สะยาดอร์เป็นผู้คัดเลือก ผลก็ปรากฏว่า ท่านได้เจาะจงเลือก”พระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ”ให้รับภาระหน้าที่อันสำคัญนี้ โดยสั่งกำชับไว้ด้วยว่า “จงอย่าขัดข้องหรือปฏิเสธเลย” ด้วยเหตุนี้ ท่านพระอาจารย์ภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ ผู้ทรงภูมิรู้แห่งวิปัสสนาวิธีจากลุ่มแม่น้ำอิระวดี จึงมีอันได้เดินทางจากปิตุภาค มาตุภูมิเดิม มาเป็นพระอาจารย์บอกพระกรรมฐานอยู่ที่คณะ 5 วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2596 เป็นต้นมา

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    “พระมหารัตนวิปัสสนาจารย์แห่งยุคกึ่งพุทธศาสนยุกาล”

    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#000000 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=2>ก็เมื่อท่านพระอาจารย์ภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ ได้เดินทางมาบอกพระกรรมฐานที่ประเทศไทยเป็นการถาวรตามคำบัญชาของพระอาจารย์มหาสี สะยาดอร์ ผู้เป็นพระมหาบูรพาจารย์แล้ว ท่านก็ได้ร่วมกับพระมหาโชดก ญาณสิทธิ ทำการเผยแพร่วิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ถูกต้องร่องรอยตามพระพุทธวจนะในพระไตรปิฏกและตามแนวแห่งปฐมอรหันต์ผู้มาประดิษฐานพระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิเมื่อ 2 พันกว่าปีก่อน เพื่อสนองพระคุณพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างทุ่มเทและตั้งอกตั้งใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งก็ได้มีพระภิกษุสามเณรตลอดจนบุคคลทุกระดับชั้น ทุกสาขาวิชาชีพ สนใจศรัทธามาขอเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นจำนวนมาก จนเป็นที่”ปรากฏผล”และ”บรรลุธรรม”จากการปฏิบัติแนวทางที่ถูกต้องนี้ตามควรแก่บุรพวาสนาแห่งตนมากมาย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    ที่มีชื่อเสียงเกียรติคุณสูงส่งและโดดเด่นเป็นพิเศษ ก็มีอาทิเช่น
    1. สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี พระราชมารดาแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน http://www.gmwebsite.com/Webboard/Topic.asp?TopicID=Topic-080308142424564
    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#000000 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="25%">[​IMG]

    </TD><TD vAlign=top width="25%">[​IMG]

    </TD><TD vAlign=top width="25%">[​IMG]

    </TD><TD vAlign=top width="25%">[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    หมายเหตุ , สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งทรงมีอัธยาสัยใฝ่ธรรมมาแต่ดั้งเดิม ก็ได้เคยเสด็จมาทรงเจริญพระวิปัสสนากรรมฐาน กับท่านพระอาจารย์ภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ และท่านเจ้าคุณโชดก ญาณสิทฺธิ ที่คณะ 5 วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ กรุงเทพมหานคร ด้วยพระราชศรัทธาอย่างเปี่ยมล้น เมื่อปีพ.ศ. 2498 จนเป็นที่รับรู้กันว่า สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้ทรง”บรรลุธรรม” ชั้นสูงแล้ว คุณแห่งพระวิปัสสนาที่ทรงสำเร็จ ก็ยิ่งส่งเสริมให้พระองค์ทรงเป็น”บริสุทธิเทพ”ยิ่งกว่า”เทพ”ใดๆ สมกับที่ทรงสถิตสถาพรอยู่เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม เป็นทั้ง”ศักดิ์”และ”ศรี”แห่งบ้านแห่งเมืองไทยนี้ทั้งหมดแล้วอย่างแท้จริง
    2. พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัล ) วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี พระวิปัสสนาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในยุคนี้ มีผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและพระพุทธศาสนามากมาย อีกทั้งยังเคยเป็น”ศิษย์ใกล้ชิด”ของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำมาแต่ก่อน และ”รู้เห็น”การที่หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ มา”แก้กรรมฐาน”กับท่านพระอาจารย์ภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ และท่านเจ้าคุณโชดก ที่วัดมหาธาตุด้วยองค์เองอีกด้วย
    3. พระราชอุทัยกวี(พุฒ) วัดมณีสถิตย์ อ. เมือง จ.อุทัยธานี พระอริยคณาจารย์องค์สำคัญผู้มีชื่อเสียงเกียรติคุณและเป็นที่เคารพนับถือของชาวอุทัยธานีอย่างกว้างขวางในยุคร่วมสมัยนี้
    4. พระสุธรรมญาณเถระ (ครูบาอินทจักรรักษา) วัดน้ำบ่อหลวง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่
    หมายเหตุ, ครูบาอินทจักรรักษานี้ เป็น”พระพี่ชาย”แท้ๆของหลวงพ่อพระพุทธบาทตากผ้า อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ของพระอริยสงฆ์องค์สำคัญอีกองค์หนึ่งของอ.สันป่าตอง ซึ่งก็คือ “หลวงปู่ครูบาเจ้าบุญปั๋น ธัมมปัญโญ” พระอรหันตเจ้า แห่งวัดร้องขุ้ม ด้วย ซึ่งอาจจนับได้ว่า หลวงปู่ครูบาเจ้าบุญปั๋นนี้ เป็น”หลานศิษย์”ของสำนักกรรมฐาน วัดมหาธาตุ ที่มี”หลวงพ่อภัททันตะ อาสภเถระฯ” เป็น”อาจารย์ใหญ่”ก็ว่าได้ไม่ผิดเลย
    5. พระสุพรหมญาณเถระ (ครูบาพรหมา พรหมจักโก) วัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน
    หมายเหตุ, พระอริยเจ้าองค์สำคัญที่สุดองค์หนึ่งแห่งภาคหนึ่ง ถึงขนาดที่”ครูบาเจ้าศรีวิไชย นักบุญแห่งล้านนาไทย”ยังต้อง”ขอดูตัว” ซึ่งทรง”อภิญญา”อันยิ่งใหญ่ และทรงอิทธิจิตอันแก่กล้าถึงขนาดสามารถ”เหยียบศิลาแลงทั้งแท่งให้เป็นรอย”เหมือนหนึ่งเหยียบลงในดินเลนที่อ่อนนุ่มได้เป็นมหัศจรรย์ (ยังปรากฏรอยเท้าในแผ่นหินเป็นหลักฐานอยู่ที่หลังวัดพระพุทธบาทตากผ้าจนถึงทุกวันนี้) ก็เคยมาเรียนพระกรรมฐานที่คณะ 5 วัดมหาธาตุ กับท่านหลวงพ่อภัททันตะ อาสภเถระฯ และท่านเจ้าคุณโชดก ญาณสิทฺธิ ในครั้งหนึ่งด้วย
    6. พระครูวรวุฒิคุณ (หลวงปู่ครูบาอิน อินโท )วัดฟ้าหลั่ง กิ่งอ.ดอยหล่อ จ. เชียงใหม่ พระอริยเจ้าอาวุโสสายเหนือผู้บรรลุคุณธรรมสูงสุด และอิทธิฤทธิ์บุญฤทธิ์อย่างยอดยิ่ง ที่แม้แต่หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ. เชียงดาว จ.เชียงใหม่ พระอริยเจ้าสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ก็ยังให้ความเคารพยกย่องเป็นพิเศษ ก็เคยลงมาฝึกกรรมฐานกับหลวงพ่อภัททันตะ อาสภเถระ ที่คณะ 5 วัดมหาธาตุ เช่นเดียวกัน
    7. ”พระเทพมงคลมุนี”หรือที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางที่สุดทั่วไปในนาม ”หลวงพ่อสด จันทสโร”แห่งวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ผู้สร้าง”พระของขวัญ วัดปากน้ำ”อันบันลือลั่นที่สุดนั่นแล


    หมายเหตุ , การที่หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ต้นตำรับ”วิชชาธรรมกาย”อันโด่งดัง ได้มา”แก้กรรมฐาน” ตามแนว”สติปัฏฐาน”ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริงกับพระอาจารย์ภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ และท่านเจ้าคุณโชดก ญาณสิทฺธิ นี้ เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว”จริง” มีหลักฐานทั้ง”วัตถุ”และ”บุคคล”ชั้นที่ 1 (ภาษากฏหมาย) ที่”เจ้าตัว”ได้จดบันทึกไว้เอง” หรือ”รู้เห็นทันเหตุการณ์ด้วยตนเอง”ยืนยันไว้อย่าง”หนาแน่น”ที่สุดทั้งสิ้น
    1. ก็คือ “จดหมายเปิดผนึกพร้อมรูปถ่ายลายเซ็นรับรอง” ที่หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ได้เขียนและนำมามอบถวายไว้ที่คณะ 5 วัดมหาธาตุด้วยองค์เอง
    2. “คำบอกเล่า”ของ “พระธรรมสิงหบุราจารย์”หรือ “หลวงพ่อจรัล ฐิตธัมโม” พระวิปัสสนาจารย์ชื่อดัง ก้องฟ้าเมืองไทย แห่งวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ซึ่งท่านได้เคยเป็น”ศิษย์ใกล้ชิด”ของหลวงพ่อสด และ”อยู่ในเหตุการณ์”ตั้งแต่ต้นจนอวสานทั้งหมด และได้เคย”เล่า”เรื่องราวที่มีผลโดยตรงต่อ”ความมั่นคง”ของ”พระพุทธธรรม”และ”บวรพระพุทธศาสนา”โดยองค์รวมนี้ทั้งโดยการ”เทศน์”และ”ตีพิมพ์”เป็นหนังสือไว้เป็นหลักฐานในหลายที่หลายแห่ง เป็นหลายครั้งหลายครา ซึ่งจะขออนุญาตอัญเชิญมาถ่ายทอดให้ได้รับทราบกันทั่วไปในโอกาสต่อไป ​

    </TD></TR><TR><TD class=text1>"เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT) </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=10 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" bgColor=#3399cc border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#f9f9f9><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="100%"><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE height="100%" cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center bgColor=#cacaec border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center bgColor=#f9f9f9 border=0><TBODY><TR><TD class=text2 align=left>IP : 183.89.33.xxx | เมื่อ: 25 พฤศจิกายน 2553 เวลา: 20:43:15 น. </TD><TD align=right width="20%" height=17><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width=220 border=0><TBODY><TR class=text1><TD class=text2 onclick="MM_openBrWindow('Option_ReportDelete.asp?MessageID=MSG-101125204357485','','width=370,height=150')" align=right>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=text1 vAlign=top align=left height=20>หมายเหตุ ,ทราบมาว่า หลวงพ่อภัททันตะ อาสภมหาเถระ ได้มรณภาพด้วยอาการสงบ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 สิริอายุได้ 99 ปี และจะมีการสรงน้ำศพ ที่ศาลาการเปรียญ วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพ ในวันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลาประมาณ 13.00 น. จึงขอโอกาสแจ้งมาเพื่อโปรดทราบและไปร่วมพิธีเพื่อแสดงความกตัญญูและไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้ายโดยทั่วกัน </TD></TR><TR><TD class=text1>"เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT) </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2010
  2. nantapong

    nantapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    913
    ค่าพลัง:
    +2,154
    กราบน้อมส่งหลวงปู่สู่แดนพระนิพพานครับ
     
  3. kosit25

    kosit25 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +438
    กราบอาลัยและน้อมนำส่งหลวงปู่สู่แดนนิพพานครับ
     
  4. ฤาษีท้ายเรือ

    ฤาษีท้ายเรือ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +1,991
  5. aekcompany

    aekcompany เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +105
    ขอกราบอาลัยหลวงปู่ด้วยจิตเคารพและศรัทธาครับ
     
  6. goldbell

    goldbell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +1,340
    กราบอาลัยและน้อมนำส่งหลวงปู่สู่เมืองแก้วแดนพระนิพพานครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  7. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    กราบวันทาน้อมไหว้สาครูอาจารย์เฒ้าผู้แจ้งเหตุแห่งทุกข์ ผู้บรรลุธรรมอันเลิศ เป็นผู้ละแล้วซึ่งการกระทำอันเป็นดั่งวิสัยปุถุชน เป็นผู้พ้นแล้วจากห่วงอันร้ายกาจ อันฉุดคร่าเหล่าสรรพสัตว์ให้หลงจมอยู่ในกองแห่งทุกข์

    อันเกล้านี้ แม้กำเนิดในวงศ์แห่งอรัญญวาสี แต่ก็เคยได้ไปฝึกหัดกรรมฐานตามรูปแบบแห่งองค์ครูบาอาจารย์เฒ้าอยู่พักใหญ่ร่วมสี่ปี ในระยะที่ศึกษาพระปริยัติธรรมที่จุฬาลงกรณ์ ได้รับความอิ่มเอมเกษมอยู่ในธรรมนั้นตามระดับสติแลปัญญาตน

    จึงน้อมเคารพองค์ครูเฒ้าเป็นครูอาจารย์ ยกไว้แล้วเหนือหัวแห่งข้าน้อยนี้แลหนอ

    ขอน้อมส่งองค์ท่านไปสู่สถานอันควรแก่ธรรมอันองค์ท่านได้ถึงแล้วนั้นแล ด้วยความเคารพยิ่งแท้ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทานากับคุณธรรมแห่งครูผู้เฒ้าด้วยเศียรเกล้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2010
  8. huayhik

    huayhik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    181
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,131
    ขอน้อมก้มลงกราบหลวงปู่อย่างสูงยิ่งครับ
     
  9. Santajitto

    Santajitto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2010
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +455
    กระผมขอกราบมนัสการองค์หลวงปู่มหาภัททันตะ อาสภมหาเถระ และขอน้อมสักการะองค์หลวงปู่ ด้วย กาย วาจา ใจ อย่างยิ่งยวด ขอน้อมส่งดวงวิญญาณขององค์หลวงปู่ สู่แดนนิพพาน ...
    กราบอนุโมทนาสาธุกาล ขอรับ.
    พุทธัง วันทามิ
    ธัมมัง วันทามิ
    สังฆัง วันทามิ
     
  10. Lek2010

    Lek2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    8,925
    ค่าพลัง:
    +42,467
    กราบพระอาจารย์ใหญ่หลวงปู่มหาภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยา และน้อมจิตส่งท่านด้วยสู่แดนนิพพาน สาธุ
     
  11. greenice

    greenice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    760
    ค่าพลัง:
    +1,390
    ขอร่วมน้อมส่งดวงพระวิญญาณของท่านวิปัสนาจารย์ และจดจำคุณความดีของท่านไว้ชั่วลูกหลาน
     
  12. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    หลวงปู่มหาภัททันตะ อาสภมหาเถระ
    กระผมขอน้อมสักการะองค์หลวงปู่
    ด้วย กาย วาจา ใจ อย่างยิ่งยวด
    ขอน้อมส่งดวงวิญญาณขององค์หลวงปู่
    สู่แดนนิพพาน ...
     
  13. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
  14. คณโฑ

    คณโฑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +1,625
    กราบน้อมส่งพระอาจารย์ด้วยความอาลัย :'(
     
  15. เพชรกร

    เพชรกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    291
    ค่าพลัง:
    +1,260
    สาธุ กราบเเทบเท้าหลวงปู่สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างครับ
    สำหรับกรรมฐานสายนี้ครับผมจะปฏิบัติจนเห็นธรรมครับ
     
  16. บัวเกี๋ยง

    บัวเกี๋ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    549
    ค่าพลัง:
    +431
    ขอกราบแทบเท้าหลวงปู่อาลัยแด่ปู่สู่แดนนิพพานดังปราถนา
     
  17. I WILL D

    I WILL D เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +771
    กราบพระอาจารย์ใหญ่หลวงปู่มหาภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยา และน้อมจิตส่งท่านด้วยสู่แดนนิพพาน สาธุ
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  18. pagorn

    pagorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    768
    ค่าพลัง:
    +2,848
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสะ
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทะวาทะเยนะกะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะเมถะเมภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต

    กราบน้อมส่ง ดร.หลวงปู่ใหญ่อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยา มหาภัททันตะ อาสภมหาเถระ

    สู่แดนนิพพานเจ้าค่ะ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 พฤศจิกายน 2010
  19. Laputa

    Laputa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +212
    กราบนมัสการองค์หลวงปู่ ครับ
     
  20. พอชูเดช

    พอชูเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,285
    ค่าพลัง:
    +4,339
    สาธุครับ

    -กราบนมัสการองค์หลวงปู่มาด้วยความเคารพครับ

    สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...