ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,778
    ค่าพลัง:
    +16,090
    <TABLE style="BORDER-RIGHT: #1d0900 2px solid; PADDING-RIGHT: 10px; BORDER-TOP: #1d0900 2px solid; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-BOTTOM: 10px; BORDER-LEFT: #1d0900 2px solid; PADDING-TOP: 10px; BORDER-BOTTOM: #1d0900 2px solid" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=700 border=0><TBODY><TR><TD class=content colSpan=2>ปรัชญาดีๆจากมด
    </TD></TR><TR><TD class=content vAlign=top align=middle width=650 colSpan=2>

    <TABLE width=845><TBODY><TR><TD vAlign=top>
    ปรัชญาดีๆ จากมด
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE width=677><TBODY><TR><TD align=middle width=669>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top height=22>ปรัชญาที่ 1 มดไม่เคยละความพยายาม หากมันมุ่งหน้าไปทางทิศใด แล้วเกิดอุปสรรค
    ถูกปิดกั้นหนทาง มันจะพยายามหาทางเดินทางอื่น มันจะได้ขึ้นไต่ลงไต่ไปรอบๆ
    มันจะมองหาหนทางอื่นเสมอ

    ข้อคิด : จงอย่าละความพยายามในการหาหนทางไปสู่สิ่งที่หมายมาด

    ปรัชญาที่ 2 มดคิดถึงฤดูหนาวตลอดฤดูร้อน มันไม่เคยรักสบายจนคิดเพียงว่าคิมหันต์ฤดู
    จะคงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น มันจึงพยายามเก็บสะสมเสบียงไว้สำหรับเหมันต์
    ตลอดฤดูคิมหันต์หรรษา

    ข้อคิด : จงตะหนักถึงความเป็นจริง และเตรียมรับกับเหตุการณ์ในอนาคต

    ปรัชญาที่ 3 มดคิดถึงฤดูร้อนตลอดฤดูหนาวท่ามกลางความหนาวเหน็บแห่งเหมันต์
    มันจะเตือนตัวเองว่า "ความลำบากจะอยู่เพียงไม่นาน แล้วเราก็จะพ้นจากสภาวะเช่นนี้"
    เมื่อวันที่แสงแห่งความอบอุ่นแรกสาดส่อง มันจะออกมาเริงร่า
    หากอากาศกลับกลายเป็นหนาวอีกครั้ง มันจะเข้าไปในโพรงอีกครั้ง
    และออกมารับความอบอุ่นในวันอากาศดีโดยทันใด

    ข้อคิด : จงมองทุกสิ่งในเชิงบวกตลอดเวลา

    ปรัชญาที่ 4 ทุ่มเททุกสิ่งเท่าที่สามารถ มดสามารถเก็บเกี่ยวเสบียง
    ตลอดฤดูร้อนเพื่อเตรียมพร้อมฤดูหนาวให้มากเท่าที่มันจะทำได้

    ข้อคิด : จงพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเต็มกำลัง

    สรุป : 1)อย่ายอมแพ้ 2)มองไปข้างหน้า 3)มองโลกในแง่ดี 4)ทำเต็มความสามารถ


    ที่มา : forward mail
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    http://www.puttawet.com/index.php?l...=1&Category=puttawetcom&thispage=2&No=1385360
     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,778
    ค่าพลัง:
    +16,090
    <TABLE style="BORDER-RIGHT: #1d0900 2px solid; PADDING-RIGHT: 10px; BORDER-TOP: #1d0900 2px solid; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-BOTTOM: 10px; BORDER-LEFT: #1d0900 2px solid; PADDING-TOP: 10px; BORDER-BOTTOM: #1d0900 2px solid" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=700 border=0><TBODY><TR><TD class=content colSpan=2>10วิธีทำให้คนอื่นชื่นชอบคุณ


    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD class=content vAlign=top align=middle width=650 colSpan=2>

    10วิธีทำให้คนอื่นชื่นชอบคุณ<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    1. จำชื่อเขาให้ได้
    ถ้ายังจำชื่อใครต่อใครไม่ได้ หรือจำผิดจำถูก แสดงว่าคุณไม่ใคร่สนใจไยดีหรือให้ความสำคัญในตัวเขานัก คุณรู้ไหมว่า ชื่อคนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความรู้สึกของคนอย่างมากมาย รีบจำชื่อเขาให้ได้ และเรียกให้ถูกนะคะ<O:p></O:p>

    2. รู้จักทักทาย
    การทักทายใครต่อใครก่อน เป็นความน่ารักอย่างหนึ่ง สะท้อนให้เห็นความมีมิตรจิตมิตรใจ ทำให้ผู้ถูกทักทายรู้สึกดีว่าได้รับความใส่ใจ มีคนให้ความสำคัญ เราจะจำชื่อคนให้ได้ไปทำไมกันคะ ถ้าจำได้แล้วไม่รู้จักทักทายกัน?<O:p></O:p>

    3. วางตัวสบายๆ ได้หรือเปล่า
    จงเป็นคนที่วางตัวสบายๆ เสมอ เพื่อผู้อื่นจะได้ไม่รู้สึกเครียดเมื่ออยู่ใกล้ๆ คุณโปรดเป็นกันเอง อย่าถือเนื้อถือตัว อย่าเจ้ายศเจ้าอย่าง เพราะมันจะน่ารำคาญ น่าเกลียดน่ากลัว มากกว่าน่าเข้าใกล้<O:p></O:p>

    4. มีนิสัยง่ายๆ
    นิสัยง่ายๆ เป็นคนละเรื่องกับมักง่าย หากคุณเป็นคนง่ายๆ มีความยืดหยุ่นสูง และรู้จักผ่อนปรนอารมณ์ของคุณก็มักจะคงที่ ไว้ใจได้ ทำนายได้ ไม่แปรปรวนจนยากแก่การควบคุมหรือไว้ใจ คนง่ายๆ มักยอมรับและเข้าใจได้ แม้กับคนที่น่ารำคาญที่สุด ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้กับคนที่อารมณ์คงที่ ยืดหยุ่น และถือสาใครต่อใครน้อยมาก เพราะอะไรคะ เพราะว่าบางครั้ง เราก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเราเองมีอะไรที่น่ารำคาญบ้าง ง่ายๆ วางใจ ไม่ถือสากันนี่ละ ดีที่สุด<O:p></O:p>

    5. อย่าอวดตัวเอง
    จงระวัง อย่าแสดงว่าคุณรู้อะไรๆ ไปหมดเสียทุกเรื่อง ไม่มีใครอยากจะชอบพอกับคนที่ฉลาดไปเสียทุกเรื่องหรอก บางเรื่องเขาก็อยากฉลาดบ้างเหมือนกัน ดังนั้นโปรดวางตัวตามธรรมชาติ (คือมีทั้งเรื่องที่รู้และไม่รู้) ถ่อมตน และสุภาพตามกาลเทศะจะดีกว่า<O:p></O:p>

    6. จงมีนิสัยร่าเริง
    เพื่อคนทั้งหลายจะได้ชอบอยู่ใกล้ และ “ติด” ในความร่าเริงที่คุณมี แล้วคุณจะได้รับความรู้สึกดีๆ ได้เรียนรู้ในสิ่งดีๆ จากคนเหล่านี้ เมื่อคบค้าสมาคมด้วย<O:p></O:p>

    7. จงพยายามแก้ไขความเข้าใจผิด
    คุณอาจเคยมองใครในแง่ร้ายๆ ไปบ้าง คุณอาจเคยถือสาการกระทำครั้งโน้นครั้งนี้ของเขา หากคุณมีเวลา จงพยายามแก้ไขความเข้าใจผิดหรือความถือสาที่เคยมี รวมทั้งที่กำลังมีอยู่ให้หมดไป มิตรภาพไม่อาจก่อเกิดหรืองอกงามได้ ท่ามกลางความระแวงแคลงใจ จงขจัดความขุ่นข้องหมองใจ ความไม่ชอบใจ และความเจ็บใจให้หมด แล้วคุณจะเป็นคนน่ารักที่ไม่มีใครผูกใจเจ็บ<O:p></O:p>

    8. ทิ้งมันไป…นิสัยเสียๆ
    บางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่า เรามีนิสัยอะไรที่เป็นข้อบกพร่องอยู่ในตัวบ้าง การเงี่ยหูฟังจากคนรอบข้าง จะช่วยให้เรารู้ เมื่อเรารู้แล้ว เรามีหน้าที่ต้องกำจัดนิสัยที่ทำให้คนอื่นตั้งเป็นข้อรังเกียจออกไป แม้ว่านิสัยบางอย่างนั้น อาจมีอยู่หรือทำไปโดยที่เราไม่ได้รู้ตัวมาตลอดก็ตาม<O:p></O:p>

    9. จงหัดชอบคนอื่นบ้าง
    น่าประหลาด… คนบางคนเกลียดใครต่อใครได้ไวมาก ลองหัดชอบคนอื่นจนกลายเป็นนิสัยดีไหมคะ ชอบที่เขาเป็นอย่างนั้น ชอบที่เขาคิดอย่างนี้ ชอบในสิ่งที่เขาพูดจา ฯลฯ พึงท่องคาถาประจำใจเอาไว้ให้ตลอดเภิดว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยพบกับบุคคลที่ข้าพเจ้าไม่รู้สึกชอบเลย”<O:p></O:p>

    10. ชมเชยให้เป็น
    อย่าละทิ้งโอกาสที่จะกล่าวคำชมเชย เมื่อใครคนใดคนหนึ่งใกล้ๆ ตัวคุณ ได้กระทำในสิ่งที่ดี เป็นแบบอยางต่อผู้อื่น หรือทำอะไรได้สำเร็จสักอย่างหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน ก็ต้องรู้จักแสดงความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ ในความทุกข์ร้อนและความผิดหวังของพวกเขาด้วย พูดง่ายๆ ได้ว่า หัดเป็นคนมีหัวใจซะบ้าง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. redboony

    redboony เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +173
    วันนี้ ได้ร่วมทำบุญกับมูลนิธิสงฆ์อาพาธ เป็นจำนวน £40 ค่ะ<!-- google_ad_section_end -->
     
  4. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    908
    ค่าพลัง:
    +4,280
    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]
     
  5. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    โมทนาสาธุทุกประการครับ
     
  6. นายเฉลิมพล

    นายเฉลิมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +460
    วันนี้ 16/12/10 10:17 ผมได้โอนเงินเข้าบัญชีทุนนิธิสงฆ์อาพาธเลขที่ 3481232459 จำนวน 500 บาทครับ

    โมทนาบุญทุกประการครับ
     
  7. kratium

    kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +3,670
    เมื่อวานนี้ 16 ธันวาคม 2553 เวลา 17.00 น. โอนเงินร่วมทำบุญกับทุนนิธิฯ จำนวน 600 บาทค่ะ ในนาม ณรงค์ เพ็งลาภ และ สุชาดาค่ะ ขออนุโมทนาสาธุ กับทุกท่านค่ะ
     
  8. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    วันที่ 17/12/10 เวลา 17:49 น. ครอบครัวผมได้ทำการโอนเงินร่วมทำบุญกับทุนนิธิ ฯ ประจำเดือน ธ.ค 53 จำนวน 500 บาทเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,778
    ค่าพลัง:
    +16,090

    ขอขอบคุณทุกๆ ท่าน ข้างต้น ที่ได้บริจาคปัจจัยช่วยสงฆ์อาพาธโดยบัญชีของทุนนิธิฯ นี้ และพร้อมนี้ขอสวัสดีปีใหม่ 2554 ล่วงหน้าด้วยครับ...

    [​IMG]



     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,778
    ค่าพลัง:
    +16,090
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="200"><tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> <tr align="left"> <td valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="694"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top">
    [​IMG]

    ก.ไก่ เป็นสัตว์ตื่นเช้าที่สุด เลย ให้มาเป็นอักษร ตัวแรก เพื่อ เตือนให้คนไทย ขยันขันแข็ง

    ข.ไข่ เป็นดอกผลของ ไก่ แต่จะมีความเปราะบาง ต้อง ถนถถนองให้ดีดี อย่าปล่อยทิ้งละเลยสังคม

    ฃ.ฃวด เป็นวิถีชีวิตของคนไทยที่ เตือนไว้ว่า แม้จะดื่มกิน ให้มีสติไว้ มิฉะนั้น อาจมีสิ่งใด แตกหักได้

    ค.ควาย ฅ. ฅน เป็นวิถีชีวิต ของคนไทย การอยู่ร่วมกัน ระหว่าง ฅน และธรรมชาติ
    โดยให้ ฅน มาทีหลัง ควาย คือ โง่ มาก่อนฉลาด อย่า อวด ฉลาด หาก ยัง ไม่รู้จัก โง่ ก่อน

    ฆ.ระฆัง ให้หมั่นประชุมเป็นนิตย์ อย่าได้ ละเลย การพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น

    ง.งู ต้องกล้าคิดกล้าทำกล้าแสดงความคิดเห็น

    จ.จาน ต้องรู้จัก การอาสาสเจีอจาน เข้าทำนอง จ.จานใช้ดี

    ฉ.ฉิ่งตีดัง ช.ช้าง วิ่งหนี ให้รู้จักการใช้การทำงานเล็ก ๆ ให้เกิดผลกระทบต่อสังคม ในวงกว้าง
    โดยไม่ต้องคิดการณ์ใหญ่

    ซ.โซ่ ล่ามที หาก สังคมเตลิด จากการกระทำใดใด ให้รู้จักยั้บยั้งเอาไว้ ด้วย ขนบธรรมเนีบมบ้าง

    ฌ.เฌอ คู่กัน ให้รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ระหว่าง คน และธรรมชาติ

    ญ.หญิงโสภา ฑ.มณโฑ หน้าขาว บอกใบ้ให้เห็นว่า สตรี เป็นเพศที่สวยงาม และต้องเอาใจใส่ให้มาก
    อย่าได้ละเลยลืมเลือน

    ฏ.ชฏาสวมพลัน เป็นแง่คิดให้เห็นถึง ยศฐาบรรดาศักดิ์ ว่า ไม่จีรัง ครับ คล้าย ๆ กับหัวโขน

    ฎ.ปฏัก และ ฐ.ฐาน เป็นอักษร คู่กัน ที่จะทำงานอะไร ที่ฉับไว เที่ยงตรง
    ต้องมีรากฐาน หรือมีเหตุผลรองรับอย่างชัดเจนมั้นคง

    ฒ.ผู้เฒ่าเดินย่อง เป็นการสะท้อน ว่า ผู้หลักผู้ใหญ่จะทำอะไรต้องระมัดระวัง ให้ถี่ถ้วน อย่างโผงผาง

    ณ.เณรไม่มอง ด.เด็ก ต้องนิมนต์ เป็นอักษรคู่กัน แทนการเปรียบเทียบ ๒ สถาบัน ระหว่างศาสนา และ ฆาราวาส ว่า
    เมื่อพระท่านมองข้ามสิ่งใด ละเลยสิ่งใด ต้อง ช่วยกันเตือนได้ ไม่ใช่ละเลยไปหมด

    ต.หลังตุง ถ.ถุงแบกหาม เป็นอักษรคู่เช่นกัน ที่เปรียบว่า ทั้งหมด มีหน้าที่ของตัว และต้องทำให้ดีทีสุด
    ตามสภาพ ที่มีและเป็นอยู่

    ท.ทหารอดทน นี่ชัดเจน ว่า แทน ข้าราชการ ว่า ต้องมีน้ำอดน้ำทน ทำงานไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เพื่อชาติ

    ธ.ธง คนนิยม เป็นภาพสะท้อนให้คนรักชาติบ้านเมืองครับ ให้เห็นแก่ประโยชน์ของชาติอันดับแรกเลย

    ภ.สำเภากางใบ สะท้อนว่า หากจะค้าขายไกล ๆ ต้องพัฒนาศักยภาพของตนเองให้สอดรับกับ สถานการณ์ต่าง ๆ

    ร. ล. ว. เป็นอักษรชุด ๓ ตัว เรียง ที่มาสะท้อน ถึงวิถี ชีวิต ของคนไทยมี่ จะมีส่วนเกี่ยวข้อง กับ ธรรมชาติ
    น้ำ สัตว์ และการฝีมือ ที่งดงาม เป็นเอกลักษณ์ ของชาติ

    ษ.หนวดยาว ศ.ศาลา ส.เสือดาวคะนอง สามสอ นี้ เป็นภาคตัวแทนของ อุปนิสัยใจคอของคนไทยว่า รักสงบ(ษ.)
    โอบอ้อมอารีย์(ศ.) แต่ ใจนักเลง (ส.)

    อ.อ่างเนืองนอง เป็นสัญญลักษณ์ ย้ำว่าคนไทย ต้อง มีจิตคิดเพื่อคนอื่นเสมอ ก่อนคิดเพื่อตัว

    ฬ.จุฬาท่าผยอง สะท้อนว่า ริจะเป็นผู้ปกครอง ริจะอยู่เหนือ คนอื่น ต้อง ต้านทานอุปสรรคนานาได้
    คล้ายกับว่าวจะขึ้นสูงต้องต้านแรงลมได้

    ฮ.นกฮูกนั้น สะท้อนว่า คนไทย ขยัน ครับ ตั้งแต่เช้า (ไก่) ยันค่ำ(นกฮูก) มีสัตว์ที่ตื่น อยู่ตลอดเวลา​






    ชมรมคุณครูพุทธศาสนา

    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,778
    ค่าพลัง:
    +16,090
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td align="left" height="30" width="78%">เรื่อง: เพราะศรัทธาจึง...สะสมพระเครื่อง ดร.นิรชราภา ทองธรรมชาติ</td> <td align="right" width="22%">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td colspan="2" class="line">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td colspan="2">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td colspan="2" class="message" align="left">
    [​IMG]

    เพราะศรัทธาจึง...สะสมพระเครื่อง ดร.นิรชราภา ทองธรรมชาติ
    "วันว่างของครอบครัวทองธรรมชาติจะต้องไปร่วมกันทำบุญ สร้างพระประธาน สร้างวัด มีความคิดว่าอยากให้วัดเป็นศูนย์รวมจิตใจให้กับชุมชน ส่วนหนึ่งก็เชื่อว่าจะทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง แต่ไม่หวังว่าผลบุญจะตามไปในชาติหน้า" นี่เป็นความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างวัดสร้างบุญของ ดร.จูน นิรชราภา ทองธรรมชาติ บุตรสาวของประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชื่อดัง ศาสตราจารย์ ดร.กระมล ทองธรรมชาติ ปัจจุบันรั้งตำแหน่ง รองผู้อำนวยการพัฒนาธุรกิจ สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ SIPA
    "วันว่างของครอบครัวทองธรรมชาติจะต้องไปร่วมกันทำบุญ สร้างพระประธาน สร้างวัด มีความคิดว่าอยากให้วัดเป็นศูนย์รวมจิตใจให้กับชุมชน ส่วนหนึ่งก็เชื่อว่าจะทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง แต่ไม่หวังว่าผลบุญจะตามไปในชาติหน้า"
    นี่เป็นความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างวัดสร้างบุญของ ดร.จูน นิรชราภา ทองธรรมชาติ บุตรสาวของประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชื่อดัง ศาสตราจารย์ ดร.กระมล ทองธรรมชาติ ปัจจุบันรั้งตำแหน่ง รองผู้อำนวยการพัฒนาธุรกิจ สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ SIPA
    ดร.นิรชราภา เล่าว่า ชีวิตถูกฝังการทำบุญมาตั้งแต่เป็นเด็ก เนื่องจากครอบครัวจะพาไปทำบุญในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นประจำ จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็ได้สนทนาธรรมกับพระอาจารย์หลายท่าน อาทิ วัดร่องดู่ทองธรรมชาติ อ.เมือง จ.เชียงราย ที่ทางครอบครัวได้ไปร่วมสร้างวัดกับชาวบ้าน หลวงปู่เทวิน จันทปัญโญ ก็จะสอนธรรมะให้เข้าใจอย่างง่ายๆ ว่า คนเราเมื่อคิดโกรธเกลียดใคร หรือเราโมโหใครก็ต้องรู้จักการปล่อยวาง เพราะคนเราอยู่ในโลกมนุษย์มีทั้งคนรักคนที่เกลียดเรา รวมทั้งความโลภโกรธหลง เป็นข้อคิดที่ทำให้เราได้รู้จักตนเอง
    นอกจากได้ศึกษาธรรมะกับหลวงปู่เทวินแล้ว ยังได้ไปปฏิบัติธรรมกับ หลวงปู่พุทธอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม กับเพื่อน โดยท่านกล่าวเอาไว้ว่า วัดควรเป็นผู้นำ ทางจิตวิญญาณและเป็นที่พึ่งของสังคม ได้จริงในปัจจุบั นองค์กรสงฆ์ไม่ค่อยให้อะไรแก่สังคมเท่าที่ควร สังคมจึงอ่อนแอ พระสงฆ์เองก็อ่อนแอเพราะหวังพึ่งชาวบ้าน พระที่วัดอ้อน้อยทำงาน ก็เพื่อต้องการเสนอแนวคิดว่า พุทธศาสนาสามารถนำมา ประยุกต์ใช้กับสังคม เป็นที่พึ่งแก่สังคมได้ ไม่ใช่จบอยู่ที่พระไตรปิฏก หรืออยู่ในวัดขณะ ที่คนข้างนอกวัดกำลังทุกข์เข็ญ
    เธอ เล่าต่อว่า ชีวิตที่ผ่านการปฏิบัติธรรมแล้ว ทำให้มองเห็นว่าชีวิตเรามีการเปลี่ยนแปลงจิตใจสงบเยือกเย็นขึ้นกว่าเดิม จากเมื่อก่อนอารมณ์จะร้อนโมโหง่าย ดังนั้น เมื่อคนเรามีความทุกข์ก็จะทำให้เครียด หรือบางคนก็คิดมาก แต่ถ้าคนเราคิดเสียว่าความทุกข์ที่เราเจอนั้น เป็นช่วงจังหวะชีวิตที่ต้องประสบ ขณะเดียวกันคนเราต้องยอมรับว่าชีวิตดำเนินอยู่นี้คงหลีกหนี้ความสุขและความ ทุกข์ไปไม่พ้น ทั้งสองอย่างเราคงพบพานตลอดเวลา
    "รักโลภโกรธหลงเป็นธรรมดาของชีวิตมนุษย์ที่ยังคงมีอยู่ แค่เราไม่ถือเป็นสาระรู้จักจับวาง ปล่อยวางมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ถึงเพื่อนแต่ละคนอื่นๆ ได้ชีวิตเราก็จะมีความสุข ถึงแม้จะมีคนไม่ชอบเรา ถ้าเราอยู่เฉยๆ ให้สิ่งดีๆ กลับคืนเขาไป อย่างน้อยก็เชื่อว่า เราเองจะต้องมีสิ่งดีๆ ตอบแทน เวลาที่เราให้ก็อย่าไปหวังผลตอบแทนอะไร เพียงแค่เราคิดว่า เราให้ก็มีความสุขแล้ว ทุกวันนี้คนที่เป็นทุกข์ก็เพราะเกิดจากความอยากได้อยากมี ตรงนี้มันก็ทำให้คนเรามีกิเลสไม่จบสิ้น ไม่รู้จักการประมาณตน" ดร.จูน กล่าว พร้อมกับบอกด้วยว่า
    ใครทำดีก็ย่อมได้ดี ใครทำชั่วก็ได้สิ่งไม่ดีตอบแทน ตรงนี้ตระหนักอยู่ว่า คนเราก็ควรทำความดีเอาไว้ เพราะความดีเหล่านั้นก็จะเป็นภูมิคุ้มกันเราให้ดำเนินชีวิตไปด้วยความ ปลอดภัย กรรมดีที่เราทำก็จะคอยป้องกันภัยต่างๆ ให้กับเราได้
    อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชีวิตที่ผ่านมาของ ดร.จูน จะไม่โลดโผนเท่าใดนัก แต่ก็เกือบตายมาแล้วครั้งหนึ่ง เธอเล่าให้ฟังว่า
    เหตุเกิดขึ้นช่วงเรียนอยู่ปี ๑ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างเดินทางกลับบ้านก็เลยขอคนขับรถว่าจะขอขับรถเอง พอวันที่สองพยายามที่หัดขับรถให้ได้ เป็นจังหวะที่รถต้องเลี้ยว ไม่รู้ว่าความไม่เคยชินมากกว่า เป็นเหตุให้หน้ารถพุ่งชนกำแพงอย่างแรง จนทำให้ด้านหน้าของรถบี้ยุบเข้ามายังตัวรถ ความรู้สึกตรงนั้นงงกลัวไปเลย แต่นับว่าโชคดีที่ตัวเองไม่เป็นอะไรเลย
    ไม่รู้ว่าปาฏิหาริย์มีจริงหรือไม่เราไม่สามารถรู้ได้ เพราะวันนั้นแขวน พระนางพญา ติดตัว และความเป็นผู้หญิงเก่งในสังคมที่ทันสมัยกลับเป็นคนชอบเรื่องการสะสมพระ เครื่อง ถือเป็นแปลกสำหรับเพื่อนๆ
    สำหรับพระเครื่องที่ ดร.จูน สะสมส่วนใหญ่จะเป็นพระที่สร้างใหม่จากวัดต่างๆ ที่ให้มาเป็นที่ระลึก อาทิ พระกริ่ง ๙๐ ปีสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศ พระกริ่ง พระศรีสวรรค์มิ่งมงคล จ.นครสวรรค์ ปี ๒๕๓๕ หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง ครูบาดวงดี วัดท่าจำปี หลวงปู่แหวน ปี ๒๕๒๗ หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม จ.สิงห์บุรี หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี พระยอดธง พระสมเด็จพระสังฆราช ปี ๒๕๒๙ พระสมเด็จ พระผงสุพรรณ หลวงปู่ขาว และพระสังกัจจายน์ ฯลฯ
    ส่วนที่มาของการสะสมพระเครื่องนั้น ดร.จูน บอกว่า ก็มาจากการศรัทธาในพระพุทธศาสนา มองว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่บ้านนอกจากตากับยายก็เป็นคนที่สะสมพระเครื่องเหมือนกัน พอมาถึงรุ่นพ่อกับแม่ (ชูใจ ทองธรรมชาติ) ก็มีการสะสมพระเครื่องสืบต่อกันมา ทำให้เราเองเกิดมีความชอบ การสะสมพระเครื่องยังทำให้จิตใจร่มเย็บสงบสุขดี ซึ่งพระเครื่องแต่ละองค์ที่สะสมมานั้นมีความหมายแตกต่างกันไป เช่น พระสังกัจจายน์เป็นพระแห่งความโชคดีเงินทองไหลมาเทมา พระสมเด็จเป็นพระแห่งความเมตตา และพระนางพญาก็เป็นพระที่จะสร้างบารมีให้กับผู้หญิง
    "ส่วนตัวแล้วมองว่า พระเครื่องกับผู้หญิงก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่คิดว่าจะมีความแตกต่างจากผู้ชาย ที่ชอบสะสมพระเครื่อง เพราะที่เราสะสมพระเครื่องก็เพื่อเป็นพุทธบูชา เป็นมงคลกับชีวิต ไม่ใช่สะสมในเชิงพุทธพาณิชย์ แต่เป็นการสะสมที่เกิดจากความศรัทธา เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ความสุขที่ได้สะสม ทำให้ชีวิตเป็นมงคล แต่ไม่ได้แขวนพระเพื่อหวังจะให้เกิดปาฏิหาริย์ใดๆ เพราะเชื่อว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นได้ก็จากความดีของเราเอง" ดร.จูน กล่าวทิ้งท้าย






    </td></tr></tbody></table>
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,778
    ค่าพลัง:
    +16,090

    หลวงปู่ดู่กับพระเครื่องที่ท่านอธิษฐานจิต


    [​IMG]




    เมื่อลำดับภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีต ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับปฏิปทาของ”หลวงปู่ดู่” กับพระเครื่องที่ท่านอธิษฐานจิต สิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนอย่างหนึ่งก็คือ
    ท่านกำลังสร้างสิ่งที่จะเป็น "เครื่องมือ" ในการสร้างความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติสมาธิภาวนา

    แม้ท่านจะกล่าวว่า

    "ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล" ก็ตาม
    แต่ในขณะเดียวกันท่านก็ไม่ให้ไปลุ่มหลงหรือยึดติดเสียจนละเลยเป้าหมายสำคัญของแต่ละชีวิต นั่นก็คือการพัฒนาให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

    วันหนึ่ง เพื่อนคนหนึ่งของข้าพเจ้า* ไปเช่าวัตถุมงคลที่ท่านอธิษฐานจิตให้กับทางวัดสะแก จำนวนมากกว่า 20 ชิ้น แล้วเอามาให้ท่านอธิษฐานจิตซ้ำอีก ครั้งนั้น ข้าพเจ้าและเพื่อนต้องสะดุ้งด้วยถ้อยคำที่พูดค่อนข้างดังของท่านว่า

    "แกจะเอาไปขายหรือ พระของข้าน่ะ ทำ (ปฏิบัติ) ให้จริง องค์เดียวก็พอแล้ว"

    ในทางตรงกันข้าม เพื่อนของข้าพเจ้าอีกคนหนึ่ง เป็นคนที่ไม่สะสมวัตถุมงคลเอาเสียเลย มีก็แต่พระที่หลวงปู่มอบให้กับมือเท่านั้น

    จน วันหนึ่งทางวัดกำลังนำวัตถุมงคลรุ่นหนึ่งในหลาย ๆ รุ่นที่หลวงปู่เมตตาอธิษฐานจิตให้ ออกมาให้เช่าบูชา แต่ด้วยความที่เพื่อนคนนี้มิได้ใส่ใจในเรื่องวัตถุมงคล จึงไม่ได้ขวนขวายไปเช่าที่หลังวัด หลวงปู่จึงเอ่ยกับเขาว่า

    "ถ้าข้าเป็นแก ข้าจะไปบูชาเอาไว้สักองค์สององค์นะ"

    ข้อ สังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ เวลามีคนมาถามหาเพื่อจะขอบูชาพระเครื่องจากท่าน ท่านก็จะบอกว่าไม่มี ฉันไม่ได้ทำ พระเป็นของวัด ไปเช่าที่หลังวัดโน่น

    ท่านเคยบอกให้ข้าพเจ้าฟังว่าท่านมีหน้าที่เสกพระเท่านั้น เสกแล้วก็แล้วกัน เรื่อง (จำหน่าย) พระ เป็นเรื่องของทางวัด ถือเป็นของสงฆ์ทั้งหมด

    หลวงปู่เคยพูดติดตลกว่า

    พระที่ท่านอธิษฐานจิต แม้จะไม่เป็นที่หนึ่ง แต่ก็ไม่เป็นรองใคร”

    ท่านเคยเตือนให้ระวังรักษาพระของท่านว่า

    "...ใครเขาจะทำ (อธิษฐาน) ให้เหมือนอย่างที่ข้าทำ พระที่ข้าทำ แกจงรักษาให้ดี..."

    แต่ มีเหตุการณ์ที่สำคัญมากที่เกิดกับเพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่ง ซึ่งมีฐานะไม่สู้ดีนัก เขาได้แต่ชื่นชมพระเครื่องที่บรรดาเพื่อน ๆ ไปหาเช่ากันมา แต่ตัวเองก็ไม่มีสตางค์จะไปเช่า

    ค่ำ คืนหนึ่ง ขณะที่เขานั่งอยู่ในห้องพระเพียงลำพัง นึกน้อยใจในวาสนาบารมีของตัวเอง แล้วบ่นต่อหน้ารูปหลวงปู่ที่บูชาอยู่เบื้องหน้าว่า ลูกอยากได้พระเครื่องของหลวงปู่เหลือเกิน
    ทำยังไงลูกจึงจะมีวาสนามีพระเครื่องรุ่นที่เขานิยมกันบ้าง เพราะลูกไม่มีเงิน หลังจากรำพึงรำพันแล้วเขาก็นั่งสมาธิ

    และ แล้วสิ่งอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นกับเขา เมื่ออยู่ ๆ ปีติก็เกิดขึ้นท่วมท้นกายใจของเขา เขาเห็นแสงสว่างโพล่งไปหมด แล้วก็เห็นนิมิตองค์พระ พร้อมกับเสียงพูดว่า...

    "ข้าให้พระกับแก เป็นพระเก่าพระแท้"



    [​IMG]

    เพื่อนผู้นี้ร้องไห้ออกมามาก เขาเข้าใจในทันทีว่า พระเก่าพระแท้ที่หลวงปู่ตั้งใจให้เขาก็คือ "การปฏิบัติธรรม" นั่นเอง... เพราะ

    "พระสติ - พระปัญญา"
    อันเป็นผลจากการปฏิบัติธรรมเท่านั้นถึงจะเป็นที่พึ่งที่เที่ยงแท้กว่าพระภายนอก ดังนั้น จึงไม่เป็นปัญหาอีกแล้ว
    เพราะแม้จะไม่มีพระเครื่องของท่าน แต่เขาก็ภูมิใจที่หลวงปู่มอบพระที่มีค่าสูงสุดแก่เขาแล้ว...
    ทั้งยังเป็นพระที่ใคร ๆ จะมาแย่งชิงเอาไปจากเขามิได้เลย และจะอยู่กับเขาตลอดไป ตราบเท่าที่เขาไม่ละทิ้งการปฏิบัติ
    หมายเหตุ..*ลูกศิษย์ท่านหนึ่งของหลวงปู่ดู่
    ขอขอบคุณบทความจาก นวรัตน์ดอทคอม...


    ok-nation.net
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,778
    ค่าพลัง:
    +16,090
    เสียงนี้มีอานุภาพแผ่ไปได้อนันตจักรวาล

    [​IMG]




    พุทธมนต์นั้นใครสวดก็ตาม จะเป็นกิจวัตรของพระสงฆ์เช้า-เย็น
    หรือชาวพุทธทุกคนสวดพุทธคุณ....
    .
    หรือระลึกในใจ มีอานุภาพแผ่ไปได้หมื่นจักรวาล
    พูดสวดออกเสียงพอฟังได้ มีอานุภาพแผ่ไปได้แสนจักรวาล
    สวดมนต์เช้า-เย็นธรรมดา มีอานุภาพแผ่ไปได้แสนโกฏิจักรวาล
    สวดเต็มเสียง สุดกู่ มีอานุภาพแผ่ไปได้อนันตจักรวาล

    ...แม้สัตว์ที่อาศัยอยู่ในสามภพ และที่สุดอเวจีมหานรกยังได้รับความสุขเมื่อแว่ว.....
    .....เสียงพุทธมนต์ผ่านลงไปถึง ชั่วขณะหนึ่งครู่หนึ่ง ดีกว่าหาความสุขไม่ได้เลยตลอดกาล...




    [​IMG]




    ......นี้คืออานิสงส์ของพุทธมนต์.....


    @พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต




    http://www.oknation.net



     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,778
    ค่าพลัง:
    +16,090
    นึก รู้ ลม ต้นทางแห่งพระนิพพานโดยแท้...

    อานาปานสติภาวนามัย พระอาจารย์ลี ธัมมธโร



    เนื่องในวันออกพรรษา คาบใบลานผ่านลานพระขอนำคำอรรถาธิบายถึงความสำคัญของ อานาปานสติภาวนามัย ที่ พระอาจารย์ลี ธัมมธโร วัดอโศการาม ได้เรียบเรียงไว้มาเสนอ...
    โดย...ภัทระ คำพิทักษ์


    หมายเหตุ : เนื่องจากวันที่ 23 ต.ค.เป็นวันออกพรรษา ซึ่งจะเป็นช่วงที่พุทธศาสนิกชนจะได้ประกอบบุญกฐิน แต่นอกจากทำบุญทำทานแล้ว บุญที่ได้มากที่สุดคือ บุญจากการปฏิบัติภาวนาก็เป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นจึงขอนำคำอรรถาธิบายถึงความสำคัญของ อานาปานสติภาวนามัย ที่ พระอาจารย์ลี ธัมมธโร วัดอโศการาม ได้เรียบเรียงไว้จาก "ตามที่ได้สังเกตปฏิบัติมา" และ ท่านได้เรียบเรียงไว้เพื่อเป็นหลักปฏิบัติในทางสมาธิภาวนา มาเสนอดังนี้



    ขอท่านพุทธบริษัทอย่าได้สงสัยลังเลไปเอาอย่างโน้นอย่างนี้ให้ยุ่งไป ขอให้ตั้งใจจริงๆ จับเอาลมหายใจแหล่งนี้จนให้ถึงที่สุดแห่งลม ต่อจากนั้นก็จะเข้าสู่วิปัสสนาญาณ ก็จะลุล่วงเข้าถึงนามธรรมคือ จิตเมื่อถึงที่สุด พุทธก็เกิด นั้นแลจะเป็นผู้เข้าถึงคุณธรรมที่แน่นอนคือ ปล่อยลมตามสภาแห่งลม ปล่อยจิตตามสภาพแห่งจิต ผลประโยชน์ในการปฏิบัติก็จะเป็นที่สมหวังของท่านทีเดียว โดยไม่ต้องสงสัย
    จริงอยู่ธรรมดาจิตใจของคนเรา ถ้าไม่ดัดแปลงแก้ไขแล้ว ย่อมตกไปในอารมณ์ที่ทุกข์ที่ชั่ว ฉะนั้นผู้หวังความสุขให้แก่ตนที่มีหลักแหล่ง ก็ควรจะต้องหาธรรมะมาฝึกตน
    คนเราถ้าไม่มีธรรมะในใจ ไม่มีสมาธิเป็นที่อยู่แล้ว ก็เท่ากับคนที่ไม่มีบ้านอยู่ฉะนั้น ธรรมดาคนที่ไม่มีบ้านอยู่ย่อมได้รับความทุกข์ตลอดกาล แดด ลม ฝน และละอองธุลีต่างๆ ย่อมเปรอะเปื้อนบุคคลชนิดนั้น เพราะไม่มีเครื่องกั้นปิดบัง คนที่ฝึกหัดสมาธิเท่ากับสร้างบ้านให้ตนอยู่
    ขณิกสมาธิ ก็เท่ากับบ้านที่มีหลังคามุงด้วยจาก
    อุปจารสมาธิ ก็เท่ากับบ้านที่มุงด้วยกระเบื้อง
    อัปปนาสมาธิ เท่ากับตึก

    [​IMG]
    เมื่อเป็นเช่นนี้ถ้าท่านมีทรัพย์ท่านก็จะเก็บไว้ได้อย่างปลอดภัย ทรัพย์เหล่านั้นก็มิได้บังคับใจท่านให้ไปนอนเฝ้านั่งเฝ้าทนทุกข์ต่างๆ เหมือนคนมีทรัพย์ที่ไม่มีบ้านเก็บ ต้องไปนอนตากแดดตากฝนเฝ้าทรัพย์อยู่กลางแจ้งฉะนั้น ถึงกระนั้นทรัพย์เหล่านั้นก็ยังไม่ได้รับความปลอดภัยแน่นหนา ในด้านพระศาสนาก็ฉันนั้น
    ในที่ไม่มีสมาธิ ไปแสวงหาความดีในทางอื่น ปล่อยจิตใจให้เที่ยวไปในสัญญาอารมณ์ต่างๆ แม้จะเป็นอารมณ์ที่ดีก็ตาม ก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นผู้ปลอดภัยอยู่นั้นเอง เปรียบเหมือนคนมีทรัพย์มาก เช่น ทองเพชรนิลจินดาต่างๆ เมื่อน้อมนำมาประดับร่างกายแล้วเที่ยวเร่ร่อนไปในสถานที่ต่างๆ ย่อมไม่ปลอดภัย อาจถึงแก่ความตายด้วยทรัพย์ของตนเองนั้นก็ได้ นี้ฉันใด จิตของพุทธบริษัท เมื่อไม่ได้รับอบรมในทางภาวนาเพื่อสร้างความสงบขึ้นในตนแล้ว แม้ความดีที่ตนทำได้ก็เสื่อมง่าย เพราะยังไม่เก็บเข้าฝังในดวงจิตดวงใจของตนจริงๆ
    ถ้าใครฝึกหัดปฏิบัติอบรมจิตของตนให้ได้รับความสงบระงับ ก็เท่ากับเก็บทรัพย์ ของตนเข้าไว้ในตู้ในหีบฉะนั้น
    เหตุนั้น คนเราโดยมากทำดีจึงไม่ได้ผลดี เพราะปล่อยใจของตัวให้เป็นไปด้วยอำนาจแห่งอารมณ์ต่างๆ อารมณ์เหล่านั้นย่อมเป็นข้าศึกศัตรู บางครั้งอาจที่จะทำให้ความดีที่มีอยู่แล้วเสื่อมไปก็ได้ เปรียบเหมือนดอกไม้ที่กำลังบาน ถ้ามีลมและแมลงต่างๆ มารบกวนเข้าแล้วอาจจะไม่มีโอกาสเกิดลูกเกิดผลขึ้นได้
    ดอกไม้นั้นได้แก่มรรคจิต (จิตสงบ)
    ส่วนผลไม้นั้นได้แก่ผลจิต (ความสุข)
    เมื่อมีมรรคจิต ผลจิตประจำใจของตัวอยู่อย่างนี้ ก็มีโอกาสจะได้รับความดี ซึ่งพุทธบริษัททั้งหลายปรารถนาอยู่ คือ สารธรรม
    ความดีอย่างอื่นนั้นก็เปรียบเหมือนยอดไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ต้นไม้

    ถ้าเราไม่ได้อบรมทางจิตใจ เราก็จะได้รับความดีเสมอส่วนภายนอกนั้น หากภายในจิตเป็นของบริสุทธิ์ดี ภายนอกก็ย่อมดีไปตามกันหมด เช่น มือเราสะอาด เมื่อเราจับสิ่งใด ของเหล่านั้นก็ไม่เลอะ แต่ถ้ามือเราสกปรก แม้จะไปจับผ้าที่สะอาด ผ้านั้นก็พลอยให้เสียไป ด้วยอำนาจแห่งความเปื้อนเปรอะของมือฉะนั้น เมื่อจิตเศร้าหมองเสียอย่างเดียวมันเศร้าหมองไปหมดทั้งสิ้น
    แม้ทำความดี ความดีนั้นก็ยังเศร้าหมองอยู่ เพราะอำนาจสูงสุดในโลกที่ดี จะชั่ว จะสุข จะทุกข์ ทั้งมวล มันสำเร็จอยู่ที่จิตใจอันเดียวเท่านั้น



    จิตใจนี้เท่ากับพระเจ้าองค์หนึ่ง ทุกข์ สุข ดี ชั่ว ล้วนสำเร็จมาจากดวงจิตนั้น ควรจะสมมติเรียกได้ว่าพระเจ้าสร้างโลกได้องค์หนึ่งเหมือนกัน เพราะโลกจะตั้งอยู่ได้ด้วยสันติก็ด้วยอำนาจแห่งจิตใจนี้เอง โลกที่จะอันตรธานสูญไปก็ด้วยอำนาจแห่งจิตใจนี้เอง

    ฉะนั้น จึงควรที่จะอบรมส่วนสำคัญของโลกทั่วๆ ไป คือ จิตให้เป็นสมาธิ เพื่อให้เป็นหลักทรัพย์ไว้ในใจ คือ สมาธิ อันเป็นเครื่องสะสมไว้ซึ่งธาตุต่างๆ ที่เรียกว่า กุศลธาตุ คือความดี เมื่อธาตุเหล่านี้ได้ผสมกันถูกส่วนดีแล้ว ก็จะเป็นกำลังของท่าน เพื่อเป็นเครื่องทำลายซึ่งข้าศึกศัตรูต่างๆ กล่าวคือ กิเลส และบาปธรรมทั้งปวง
    ท่านมีปัญญาที่ได้ศึกษาไว้แล้ว ฉลาดรอบรู้ในทางโลกและทางธรรม ในทางดีและทางชั่ว ปัญญาของท่านเหล่านั้นก็เท่ากับดินระเบิด แต่ท่านมิได้อัดเข้าไปในลูกกระสุน คือ สมาธิ จิต ดินระเบิดของท่านนั้นเก็บไว้นานมันจะขึ้น และขึ้นราไปถ้าท่านเผลอ ไฟร่วงใส่ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ครอบงำแล้วขณะใดมันก็จะไหม้ดินระเบิดของท่าน แล้วมันก็จะลามถึงตัวท่านนั่นเอง



    ฉะนั้น ให้รีบอัดเข้าไปไว้ในลูกกระสุนหรือลูกระเบิดนั้นเสีย ถึงคราวข้าศึกศัตรูมารุกรานเข้าเมื่อไร ก็จะวางหรือยังซึ่งระเบิดเหล่านั้น เพื่อสังหารศัตรูคือความชั่วได้ในทันที

    ผู้ฝึกหัดสมาธิย่อมได้ที่พึ่งของตน
    สมาธิเปรียบเหมือนป้อมหรือหลุมเพลาะ
    ปัญญาเปรียบเหมือนอาวุธ
    ทำสมาธิเปรียบเหมือนอัดดินเข้าในกระสุน หรือฝังตัวอยู่ในป้อม
    ฉะนั้น สมาธินี้เป็นสิ่งสำคัญและมีคุณานิสงส์มากทีเดียว ศีลอันเป็นเบื้องต้นแห่งมรรคก็ไม่ค่อยจะยากเท่าไรนัก ปัญญาอันเป็นเบื้องปลายแห่งมรรคก็ไม่ค่อยยากเท่าไหร่นัก ส่วนสมาธิอันเป็นท่ามกลางแห่งมรรคต้องพยายามหน่อย เพราะเป็นการบังคับปรับปรุงกันในด้านจิตใจ
    จริงอยู่การทำสมาธินั้น เปรียบเหมือนปักเสาสะพานกลางแม่น้ำย่อมเป็นสิ่งลำบาก แต่เมื่อปักลงได้แล้วย่อมเป็นประโยชน์แก่ศีลและปัญญา ศีลนั้นเหมือนปักเสาสะพานในฝั่งนี้ ปัญญาเหมือนปักเสาสะพานข้างโน้น แต่ถ้าเสากลางคือ “สมาธิ” ท่านไม่ปักแล้วท่านจะทอดสะพานข้ามแม่น้ำ คือ โอฆะสงสารไปได้อย่างไร


    พุทธบริษัททั้ง 4 ผู้จะเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยถูกต้องแล้ว มีหนทางช่องเดียวเท่านั้น คือ ภาวนา
    เมื่อภาวนาจนจิตสงบเป็นสมาธิได้แล้ว ย่อมเกิดปัญญา

    ปัญญาในที่นี้ไม่ใช่ปัญญาธรรมดา ปัญญาที่เกิดขึ้นเฉพาะในการทำจิต เช่น ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ
    ญาณ ทั้ง 3 นี้ย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติในทางจิตใจ เรียกว่า ญาณจักขุ คือ ตาใจ ส่วนพุทธบริษัทเหล่าใด ที่ยังศึกษาวิชาอยู่ในทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ระคนกันอยู่ ก็เท่ากับศึกษาวิชาอยู่กับพวกครูทั้งหก ยังไม่สามารถ ที่จะรู้แจ้งเห็นจริงได้ดังพระพุทธเจ้าที่ไปเรียนวิชาอยู่กับครูทั้งหก ก็ไม่สามารถจะตรัสรู้ธรรมได้ พระองค์จึงได้หวนมาระลึกในทางจิตใจ ได้ดำเนินปฏิบัติไปด้วยลำพังพระองค์เอง ด้วยการตั้งสติกำหนดอานาปาน์ฯ เป็นเบื้องต้นจนได้บรรลุถึงที่สุด
    พุทธบริษัททั้งหลายเมื่อยังแสวงหาวิชาอยู่ในทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เท่ากับศึกษาวิชาอยู่กับพวกครูทั้งหก
    ฉะนั้น ตราบใดมาตั้งใจระลึกถึงลมหายใจของตน ซึ่งมีปรากฏอยู่ทุกรูปทุกนาม จนกว่าจิตสงบลงเป็นสมาธินั่นแล จะมีโอกาสได้พบของจริง คือ พุทธะ คนบางพวกยังเข้าใจไปต่างๆ อยู่ เช่น เข้าใจว่าสมาธิไม่ต้องทำ ทำปัญญาเลยทีเดียว เรียกว่าปัญญาวิมุติ การเข้าใจเช่นนี้ ไม่ถูกความจริง ปัญญาวิมุติกับเจโตวิมุติสองประการนี้ ย่อมมีสมาธิเป็นรากฐานจึงเป็นไปได้ต่างกันแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้น
    คือ ลักษณะของปัญญาวิมุตินั้น ครั้งแรกต้องมีการไตร่ตรองพินิจพิจารณาเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ เสียก่อน จิตจึงค่อยสงบ เมื่อจิตสงบแล้วเกิดวิปัสสนาญาณขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง จนรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมทั้ง 4 นี้ เป็นลักษณะของปัญญาวิมุติ
    ส่วนเจโตวิมุตินั้น ไม่ต้องมีการพินิจพิจารณาเท่าไรนัก เป็นแต่ข่มจิตให้สงบลงไปถ่ายเดียว จนกว่าเป็นอัปปนาสมาธิ วิปัสสนาสมาธิ วิปัสสนาญาณก็จะบังเกิดขึ้นในที่นั้น และได้รู้เห็นจริงตามความเป็นจริง
    ที่เรียกว่า เจโตวิมุติ คือ ได้เจริญสมาธิก่อนแล้ว จึงค่อยเกิดปัญญาภายหลัง
    วิมุติทั้งสองมีความหมายต่างกันดังนี้
    ปัญญาอันใดที่พุทธบริษัทได้ศึกษาเล่าเรียนรอบรู้ในพุทธวจนะพร้อมทั้งอรรถ และพยัญชนะโดยสมบูรณ์แล้ว ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความรู้อันกว้างขวาง สามารถที่จะชี้แจงอรรถาธิบายในข้ออรรถข้อธรรมได้โดยเรียบร้อยชัดเจน แต่ไม่บำเพ็ญสมาธิ ให้เกิดมีขึ้นในตน ก็เปรียบประหนึ่ง บุคคลที่ขับขี่เครื่องบินไปในอากาศ สามารถจะมองเห็นเมฆและเดือนดาวได้โดยชัดเจน แต่เครื่องบินที่ตนขับขี่อยู่นั้นได้เที่ยวเร่ร่อนไปในอากาศจนลืมสนามที่จะ ร่อนลง ก็น่าลำบากใจอยู่
    ถ้าร่อนขึ้นไปข้างบนก็จะหมดอากาศหายใจ มัวแต่ร่อนไปร่อนมาอยู่ น้ำมันอันเป็นเชื้อเพลิง ก็จะหมดสิ้นไป ในที่สุดก็เผ่นลงมาด้วยอำนาจแห่งความหมดกำลังของตน เผ่นลงมาบนเขา เผ่นลงมาในป่า เผ่นลงในทะเล ซึ่งไม่ใช่สนามบินย่อมได้รับโทษ เช่น คนบางพวกที่มีความรู้สูง แต่มีความประพฤติเหมือนคนป่าคนดง คนเขาคนทะเล ซึ่งเป็นชาวประมงอย่างนี้ก็มี นี่ก็เพราะว่าเพลินอยู่ในอากาศ
    นักปราชญ์บัณฑิตผู้ติดอยู่ในความรู้ ความคิดความเห็นของตัวว่าเป็นของสูงอยู่แล้ว ไม่ก่อสร้างบำเพ็ญสมาธิให้เกิดขึ้น ถือเสียว่าสมาธิเป็นขั้นต่ำ ควรเจริญปัญญาวิมุติทีเดียว ย่อมจะได้รับโทษ เหมือนคนขับขี่เครื่องบิน ที่ร่อนอยู่ในอากาศไม่แลเห็นสนามฉะนั้น
    ผู้บำเพ็ญสมาธิก็เท่ากับเป็นผู้สร้างสนามบินไว้อย่างดี เมื่อมีปัญญาก็จะถึงวิมุติอันปลอดภัย อีกนัยหนึ่ง เช่นเดียวกับคนเดินทาง ย่อมเดินขาเดียวไม่ได้ฉะนั้น แต่จะหนักไปในทางใด ก็สุดแท้แต่นิสัยวาสนาของบุคคลผู้นั้นต่างหาก
    ฉะนั้น พุทธบริษัทควรจะบำเพ็ญในศีล สมาธิ และปัญญา ให้ครบถ้วนจึงจะเป็นผู้สมบูรณ์ในการนับถือพระพุทธศาสนา มิฉะนั้นจะเรียกว่าเป็นผู้รู้อริยสัจจ์ 4 ได้อย่างไร เช่น มรรค ก็ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญาจึงจะเรียกว่ามรรคสัจจ์ เมื่อไม่ทำให้เกิดขึ้นในตน ก็ย่อมไม่รู้ เมื่อไม่รู้จะละได้อย่างไร โดยมากธรรมดาคนเรามักชอบแต่ผลไม่ชอบเหตุ เช่น ต้องการความดีความบริสุทธิ์ แต่เหตุแห่งความดี ความบริสุทธิ์ไม่ทำให้สมบูรณ์ก็ย่อมจนกันเรื่อยไป
    ตัวอย่างในทางโลก คนที่ชอบเงิน แต่ไม่ชอบทำงาน คนเช่นนั้นจะเป็นพลเมืองที่ดีมีทรัพย์ได้ที่ไหน เมื่อความจนบังคับแล้วย่อมทำทุจริตโจรกรรมได้ ฉันใด พุทธบริษัทไม่ชอบเหตุแต่มุ่งผล ก็ย่อมจนอยู่ร่ำไปเช่นนั้น เมื่อใจจนแล้วย่อมแสวงหาความมืดในทางอื่น เช่น โลภ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ซึ่งเป็นอามิสอยู่ในโลก มันย่อมเป็นไปทั้งที่รู้ๆ นั่นแหละ
    นี่ก็เพราะไม่รู้จริง รู้ไม่จริง ก็คือทำไม่จริงนั่นเอง
    มรรคสัจจ์ซึ่งเป็นของจริงนั้นย่อมมีอยู่ตามธรรมดา ศีลก็มีจริง สมาธิก็มีจริง ปัญญามีจริง วิมุติก็มีจริง แต่คนเราไม่จริงจึงไม่เห็นของจริง บำเพ็ญศีลก็ไม่จริง สมาธิก็ไม่จริง ปัญญาก็ไม่จริง เมื่อเราทำไม่จริง ก็ได้ของไม่จริง จะได้ของเทียมของปลอมกันเท่านั้น เมื่อใช้ของเทียมของปลอมย่อมได้รับโทษ
    ฉะนั้น พวกเราควรที่จะต้องแสดงความจริงให้ปรากฏขึ้นในใจของตนเอง
    เมื่อความจริงปรากฏก็จะได้ดื่มรสของธรรม รสของธรรมย่อมชนะรสของโลกทั้งหมด


    อานาปานสติภาวนามัย พระอาจารย์ลี ธัมมธโร
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,778
    ค่าพลัง:
    +16,090
    วันนี้โชคดีได้อ่านเจอบทความที่ดีบทความหนึ่งในโพสท์ทูเดย์ ที่ลูกผู้หญิงจากบ้านนอกถิ่นแดนอีสานใต้ท่านหนึ่ง ท่านเล่าให้กลุ่มบุคคลที่ได้ร่วมทำบุญกับท่านได้ฟังว่า ท่านมาจากบ้านนอกตั้งแต่ ป.6 เข้ามาอยู่ในเมืองกรุง แต่ท่านก็ได้ตั้งใจเรียนและตั้งใจทำบุญมาตลอด จวบจนปัจจุบัน ท่านนี้ได้เรียนจบปริญญาตรีและทำงานอยู่ในบริษัทการบินไทย โดยที่ผู้เขียนเรื่องนี้เล่าให้ฟังว่า ได้เห็นผู้มีบุญท่านนี้แล้วนึกนิยมชมชอบมาก เพราะเธอมีลักษณะที่ดู "ผู้ดี" มากๆ ไม่มีเค้ารางแห่งอดีตเหลืออยู่เลย อีกทั้งกิริยาของท่านนี้ มีกิริยามารยาทที่นิ่มนวล จับตาจับใจของผู้ร่วมบุญหลายคน จนผู้ร่วมกิจกรรมในงานบุญนั้นอดไม่ได้ที่ต้องเข้าไปสนทนาปราศรัยกับเธอ ในการเขียนบทความครั้งนี้ มีสาระสำคัญหลายอย่างมาก เช่นเรื่องวิธีการทำทานของท่าน ท่านจะใช้วิธีของท่านฟ้าหญิงองค์ใหญ่ที่เคยสอนว่าให้ทำทานทุกวันโดยการหยอดใส่กระปุกไว้วันละ 10 บาท เช่น อยากทำบุญวันเกิดให้พ่อ หยอด 10 บาท หรือนึกอยากทำบุญให้แม่ก็หยอด 10 บาท นึกอยากทำบุญกับวัดนั้นก็ 10 บาท วัดนี้ ก็ 10 บาท ทำทุกวัน อาจจะวันหลายๆ ครั้ง หลายโอกาส หนักเข้าก็ยกทั้งกระปุกที่เต็มแล้ว ไปทำบุญที่วัดใดวัดหนึ่งโดยการถวายทั้งกระปุก ซึ่งเป็นการลดความตระหนี่ถี่เหนียวได้ดีที่สุด และไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปที่ต่างๆ ด้วย แต่สุดท้ายที่ทำให้ชีวิตท่านนี้ไม่ตกต่ำก็คือคำอธิษฐานของท่าน ผมเห็นว่า คำอธิษฐานนี้ดี มีประโยชน์ ไม่ต้องอ้อมค้อม ผมจึงขอนำมาลงให้นำไปใช้กันครับ คำอธิษฐานของท่านมีดังนี้

    "ขอให้ชีวิตพบแต่สิ่งดีๆ มีแต่ความสุขความเจริญก้าวหน้าสูงยิ่งๆ ขึ้นไป อย่าได้พบกับความตกต่ำลำบากใดๆ ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า...เทอญ"

    ซึ่งจะคล้ายๆ กับของหลวงปู่ดู่ที่ท่านเคยบอกไว้สำหรับคำอธิษฐานในการทำบุญทุกครั้งก็คือ

    "ขอให้พบแต่สิ่งที่ดีๆ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ หรือจนกว่าจะถึงซึ่งฝั่งพระนิพพาน...เทอญ"

    ส่วนของพี่ใหญ่ของทุนนิธิฯ บอกว่า

    "ขอให้ข้าพเจ้าได้เจริญด้วยมนุษย์สมบัติอันประกอบด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง 4 ประการ และมีความก้าวหน้าในพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ..."

    ก็เลือกเอาครับ งกมากก็เอามาตัดต่อเอาเองอย่างผม คือเอาของพี่ใหญ่ต่อด้วยของหลวงปู่ดู่ครับ แต่พอมาเจอวันนี้คำอธิษฐานของผู้มีบุญข้างต้นที่ประกอบด้วยวิธีทำทานของท่านนั้น สุดยอดจริงๆ ....ขอฝากไว้ให้คิดและลองปฏิบัติกันเพื่อเอาบุญเอากุศล และรับรองไม่มีขาดทุนครับ

    [​IMG]



     
  16. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=createdate vAlign=top colSpan=2>ความหมายของคำว่า จตุรพิธพรชัย หลายท่านอาจทราบแล้ว
    เผื่อว่าบางท่านอาจจะยังไม่ทราบผมก็นำมาลงไว้เผื่อครับ


    </TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2>
    จตุรพิธพรชัย คือ พรที่จะทำให้เกิดความสวัสดีมีชัย ๔ ประการ เป็นพรที่พระสงฆ์ให้แก่ชาวบ้านเป็นปกติหลังจากทำบุญแล้ว พร ๔ ประการนี้ คือ
    ๑ . อายุ คือ ให้มีอายุยืน มีชีวิตที่ดี
    ๒ . วรรณะ คือ ให้มีความสวยงาม มีชื่อเสียงเกียรติยศ
    ๓ . สุขะ คือ ให้มีความสุขกายสบายใจมีความสะดวก
    ๔ . พละ คือ ให้มีกำลังกายกำลังใจกำลังทรัพย์ มีพวกพ้องบริวาร
    พร ๔ ประการนี้เป็นพรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ จึงถือว่าศักดิ์สิทธิ์ แน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัดต่อเพิ่มเติม พระสงฆ์ใช้มาเป็นพันปีแล้ว

    ขอขอบคุณ
    kalyanamitra

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2010
  17. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ปัญญาวุฒิ กเร เตเต ทินโนวาเท นมามิหัง

    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมเหล่านั้น ผู้ให้โอวาท ผู้ทำให้ปัญญาเจริญ
    ข้าพเจ้าขอกราบไหว้ครูอาจารย์เหล่านั้นด้วยความเคารพ
    -----------------------------------------------------------------------------------------------------
    .......รูปเหล่านี้ได้ถ่ายไว้เมื่อเดือน 14พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เป็นรูปของเหล่าลูกศิษย์ของ อ.ประถม อาจสาคร
    ได้เข้าไปเยี่ยม คารวะและพบปะสังสรรค์กันที่บ้าน อ.ประถม ซึ่งตอนนี้ท่านก็ชรามากแล้วแต่ปู่ประถม
    ยังแข็งแรงดี
    .......อาหารการกินก็กินกันแบบอิ่มหนำสำราญกันทุกคนมีมากจนกินไม่หมดต้องห่อกลับบ้านอีก :cool:
    อาหารที่กินกันวันนี้ก็ได้มาจากพี่ ๆ หลายท่านก็ได้นำอาหารมาจากบ้านเอามาเลี้ยง
    อีกทั้งขนมหวาน ผลไม้ และมีขนมจีบกับซาลาเปาเจ้าเก่าซึ่งพี่ก้อนบอกว่ากินมาตั้งแต่เด็กแล้ว
    Confirm ว่าอร่อยมาก (deejai)

    [​IMG]

    [​IMG]

    รูปปู่ประถมและลูกศิษย์ขณะกำลังนั่งชมการชกของ Manny Pacquiao

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    เมื่อพี่ ๆ น้อง ๆ ได้มาพบปะกันต่างก็มีเรื่องราวมากมาย ทั้งประสบการณ์ที่ได้พบเจอมาแต่ละกลุ่ม ๆ

    [​IMG]

    [​IMG]

    มีเสียงหัวเราะเฮฮากันเป็นระยะ ๆ และบางช่วงก็ตั้งใจฟังกันอย่างสงบ (พี่วุฒิ ตั้งใจสงบมากไปหน่อย :d)

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    ทางกลุ่มลูกศิษย์ได้รวบรวมเงินกันเพื่อมอบให้เป็นค่าอาหารและมอบให้ปู่เอาไว้ใช้ แต่ปู่บอก ให้เอาเข้าทุนนิธิ ฯ หมด
    ก็ขอให้โมทนาบุญกันด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ

    [​IMG]

    และก็ได้มอบกระเช้าอาหารเพื่อสุขภาพให้ปู่ได้ทานเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงยิ่งขึ้น

    [​IMG]

    และในตอนท้ายปู่ประถมก็ได้แจกผ้าซึ่งผ่านการอธิษฐานจิตจาก "หลวงปู่เครา" ให้กับทุก ๆ คนครับ

    [​IMG]

    ได้ยินได้ฟังเลยนำมาฝากกัน

    ในตอนท้ายพี่เสือได้ถามพี่ก้อนว่า
    ผ้าถุงแม่เราสามารถแขวนคอเสมอกันกับพระได้หรือเปล่า
    พี่ก้อนได้ตอบว่าสมัยก่อนเค้าพันหัวออกรบกันเลยนะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 003.jpg
      003.jpg
      ขนาดไฟล์:
      222.2 KB
      เปิดดู:
      1,550
    • 005.jpg
      005.jpg
      ขนาดไฟล์:
      262.8 KB
      เปิดดู:
      1,405
    • 004.jpg
      004.jpg
      ขนาดไฟล์:
      224.3 KB
      เปิดดู:
      1,468
    • 002.jpg
      002.jpg
      ขนาดไฟล์:
      283.3 KB
      เปิดดู:
      1,575
    • 001.jpg
      001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      257.4 KB
      เปิดดู:
      1,535
    • DSC00669.jpg
      DSC00669.jpg
      ขนาดไฟล์:
      165.8 KB
      เปิดดู:
      1,505
    • DSC00677.jpg
      DSC00677.jpg
      ขนาดไฟล์:
      186.5 KB
      เปิดดู:
      1,517
    • DSC00660.jpg
      DSC00660.jpg
      ขนาดไฟล์:
      192.7 KB
      เปิดดู:
      1,549
    • DSC00698.jpg
      DSC00698.jpg
      ขนาดไฟล์:
      160.9 KB
      เปิดดู:
      1,394
    • DSC00699.jpg
      DSC00699.jpg
      ขนาดไฟล์:
      221.1 KB
      เปิดดู:
      74
    • DSC00700.jpg
      DSC00700.jpg
      ขนาดไฟล์:
      181.3 KB
      เปิดดู:
      1,431
    • DSC00702.jpg
      DSC00702.jpg
      ขนาดไฟล์:
      167.9 KB
      เปิดดู:
      1,391
    • DSC00706.jpg
      DSC00706.jpg
      ขนาดไฟล์:
      187.3 KB
      เปิดดู:
      83
    • DSC00729.jpg
      DSC00729.jpg
      ขนาดไฟล์:
      150.8 KB
      เปิดดู:
      1,457
    • DSC00738.jpg
      DSC00738.jpg
      ขนาดไฟล์:
      185.5 KB
      เปิดดู:
      1,423
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2010
  18. channarong_wo

    channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    วันนี้ซักประมาณ 11.30 น. คุณพี่ อภิวัฒน์ คงปรีชา ได้โอนตังทำบุญประจำเดือนเข้าไป 1200 บาท ขออนุโมทนาบุญกับท่านพี่ด้วยนะครับ
    ขอบุญนี้ที่ได้ทำ ส่งผลให้ คุณพ่อ คุณแม่ ตลอดจนครอบครัว ทั้งของพี่เองและบุคคลรอบข้างที่ได้ร่วมอนุโมทนากันมา จงมีสุขภาพกาย สุขภาพจิต
    ที่แข็งแรง สมบูรณ์ด้วย จตุรพิธพรชัย ขอความสำเร็จจงบังเกิดแก่พี่นะครับ
    โมทนาบุญด้วยครับ
     
  19. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    908
    ค่าพลัง:
    +4,280

    [​IMG]

    คุณพันวฤทธิ์ ประธานทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร น้อมถวายเครื่อง ฟอกอากาศแด่หลวงปู่เครา ที่ สำนักสงฆ์ถ้ำระฆังทองฯ ณ หุบเขาพระตรัยลักษณ์

    [​IMG]

    รูปยิ้มพิมพ์ใจที่หลวงปู่เมตตาให้ทางคณะฯได้ถ่ายไว้บูชา


    กราบขอบพระคุณและโมทนาในบุญของ คุณณรงค์ เพ็งลาภ และ คุณสุชาดา (กระเทียม) ในครั้งนี้ด้วยครับและเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ที่ผ่านมาทางคณะกรรมการทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ได้เดินทางไปกราบเยี่ยมและร่วมทำบุญกับหลวงปู่เคราที่ สำนักสงฆ์ถ้ำระฆังทองฯ ณ หุบเขาพระตรัยลักษณ์ พร้อมกันนี้ก็ได้นำเครื่องฟอกอากาศที่ทาง คุณณรงค์ เพ็งลาภ และ คุณสุชาดา (กระเทียม) ได้น้อมถวายหลวงปู่ไว้เมื่อวันทำบุญประจำเดือนที่ รพ.สงฆ์ ที่ 28 พ.ย. 53 ไปถวายให้หลวงปู่ตามความประสงค์เรียบร้อยแล้ว ก็ขอให้ทุกท่านได้ร่วมน้อมโมทนาบุญในครั้งนี้โดยทั่วกันนะครับ

    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ
    โมทนา สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2010
  20. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    908
    ค่าพลัง:
    +4,280


    [​IMG]
    Uploaded with ImageShack.us


    [​IMG]


    พระสมเด็จวังหน้าพิมพ์ใหญ่และสวย ลงรักปิดทองหนา และผ่านการตรวจทางจิตทุกองค์แล้ว บรรจุในซองกำมะหยี่สีแดงสด ที่ทางทุนนิธิฯจะแจกให้ฟรีในวันอาทิตย์ที่ 26 ธ.ค. 53 ซึ่งเป็นวันทำกิจกรรมสุดท้ายประจำปี 2553 และเป็นวันครบรอบใหม่ในการทำบุญก่อตั้งทุนนิธิฯ มาครบ 3 ปีครับ


    [​IMG]

    ส่วนอันนี้เป็น พระพิมพ์พระโลกอุดรกรุแรกหรือที่เรียกว่ากรุเก่า ไม่ได้แจกนะครับเป็นสมบัติส่วนตัวที่ใช้เวลาหลายปีศึกษาและเก็บสะสม เพื่อเอาไว้เป็นแนวทางให้ท่านที่ต้องการเรียนรู้หรือศึกษาพระกรุพระโลกอุดรได้ดูได้ส่องจับต้ององค์จริงเพื่อเป็นวิทยาทานครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...