*_________* บุญบาป ไม่มีจริงนะเกิดใหม่ก็ไม่มีจริง

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย 000000000, 7 มกราคม 2011.

  1. 000000000

    000000000 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +17
    ที่มันแปลกคือว่าเวลาที่ คนเราสมองผิดปกติจิตก็หายไป เราถึงอยากทราบว่าระหว่างที่สมองผิดปกติวิญาณ ทำไมถึงไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย
    คืออย่างนี้นะค๊ะเขาทดลองในคนที่สมองดีจิตดีเขาบอกว่าวิญาณเขารับรู้ตาทิพย์
    แต่วันนึงเขาป่วยสมองพิการ ทำการรักษามา 10 ปีเขาหายเป็นปกติแต่เขาบอกว่าเหมือนจิตเขาหายไปในขณะที่สมองผิดปกติ ซึ่งมันขัดแย้งกับการมีอยู่ของวิญาณนะค๊ะ สมองดับ
    ไป 10 ปี ถ้ามีวิญาณก็ไม่น่าดับไป 10 ปี นะคะ

    เรื่องวัตถุในจักรวาลมันมีเยอะจริงๆนะค๊ะ
    แต่มันมีเหตุผลของมันนะค๊ะเช่น จักรวาลเราเป็นปติสสาร
    ถ้าเราไปจักรวาลที่เป็น สสาร เราจะหายสาปสูนค่ะ
    ทีนี้ถ้าวิณาณคนมีจริงๆมันต้องมีเหตุผลในการดำรงอยู่นะค๊ะ
    เพราะเท่าที่ดูมาเหตุผลของการดำรงอยู่ของวิณาณนี่มีแค่เสสพความรู้สึกจากสมองเท่านั้น
    และยิ่งน่าแปลกถ้าสมองเสียหายวิณาณไม่สามารถทำงานได้ บุคคลิกภาพหายไปไหน
    วิญาณจำเป็นต้องหยุดรับรู้ตามสมองหรือคะ ถ้าวิญาณมีจริงแม๊สมองผิดปกติการรับรู้ของจิตใยขณะนั้นน่าจะมีอยู่นี่ค๊ะ
    แต่ในการทดลองพบว่า คนที่สมองพิการ จิตใจเขาไม่ทำงานนะค๊ะ
    เช่น ไฟลวกก็บอกสบาย ดังนั้นมันจึงเหมือนกับว่าทุกอย่างผูกมัดกับสมองมากๆ
    วิญาณไม่มีความจำเป็นในการดำรงอยู่นะค๊ะถ้ามันไม่มีเหตุที่จำเป็นค่ะทีนี้เราก็อยากทราบว่าวิญาณมีความจำเป็นอะไรที่ต้องมีอยู่ค๊ะ ในเมื่อเวลาสมองทำงานไม่ได้ จิตจะหายไปในขณะนั้นซึ่งมันไม่น่ามีความเกีั่ยวพันกันนะคะ
     
  2. 000000000

    000000000 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +17
    แล้วถ้าสมตติว่าวิญาณมีจริงๆอย่างที่ท่านบอกมานะค๊ะแล้ววิญาณของคนน่าจะอยู่ส่วนไหนของร่างกายค๊ะแล้ววิญาณกำลังหลับไหลในขณะที่เราดำเนินชีวิตไปหรือไม่ค๊ะ
     
  3. 000000000

    000000000 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +17
    งั้นถ้าเราสรุปว่าวิญาณมีจริงๆ อย่างนั้นเราจะสา่มารถคงเอกลักส่วนตัวของเราไปใช้ในชาติหน้าได้ไหมค๊ะเช่นพวกรสนิยม
    หรือความผิดปกติยกตัวอย่างเช่นบางคนมีรสนิยม มีความต้องการทางเพศกับกางเกงกีฟาเท่านั้น
    และเขาไม่มีอารมเพศกับคนเขาก็ไม่มีลูก และแก่ตายไป อันนี้เรียกเอกลักเอกสิทเฉพาะตัวของเขาแน่ๆในชาติที่ผ่านมา ซึ่งวิญาณน่าจะมีความเกี่ยวข้องการเอกลักเขา ถ้าเขาตายไปเกิดใหม่เขามีโอกาศจะเป็นแบบเดิมหรือไม่ค๊ะเช่นเกิดมาแล้วก็อาจ จะมีเอกลักชองกางเกงกีฟาเหมือนชาติที่แล้วนะค่ะ
    เรียกว่าเอกสิทของเขา
     
  4. มีบ้านแต่ไร้กุญแจ

    มีบ้านแต่ไร้กุญแจ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +59
    พอมาถึงตอนนี้ เข้าใจชัดเจนกว่าเดิมแล้ว ในอุปมาเรื่อง บัว๔เหล่า

    ปล.คนที่ตาบอดแต่กำเนิด เราย่อมบอกให้เขารู้ นึกภาพไม่ได้หรอก ว่าสีขาว สีดำ และ สีเทา ต่างกันยังไง ต่อให้อธิบายแค่ไหนก็ตาม (อันนี้พูดลอยๆนะ ไม่ได้ว่าใคร ผู้ใดเดือดร้อนก็ขออภัยใน ณ ที่นี้นะครับ)
     
  5. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    เมื่อทุกๆเครือข่ายของจิตวิญญาณกลับไปรวมกัน สิ่งนั้นเรียกว่า the one (เรียกแบบนี้ เพราะมันไม่มีชื่อ)

    สิ่งมีชีวิตทุกชนิด มีร่างกาย ที่จำกัดการทำงานของ จิตวิญญาณ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเราต้องมาเล่นบทละครของชาติภพ .. ว่าถ้าเรามีขีดจำกัดแค่นี้ จะเป็นเช่นไร ???

    สมองไม่ทำงาน .. การรับรู้ความรู้สึก มันหายไป ก็ถูกต้องแล้วนี่คะ ??? >,<

    แต่ถามหน่อยว่า .. คนที่บอกว่า สมองเขาไม่ทำงานเนี่ย ??? เขาฝันไหม ??

    แล้วพวกคุณรู้ได้อย่างไร ว่าเขา ฝัน หรือ ไม่ฝัน ??

    รู้มั้ย ??? mamboo เป็นคนที่ศึกษาเรื่องความฝันมาอย่างช่ำชอง

    นับแต่เสี้ยววินาทีแรกที่เรา หลับ เราก็จะเริ่ม ฝัน .. จิตมันเริ่มเคลื่อนออกจากการทำงานของร่างกายแล้ว ..

    ในความฝัน เราสามารถสัมผัสสิ่งต่างๆ เรารู้สึกเจ็บ รู้สึกหิว ดวงตาของเรา เป็นได้ทั้งกล้องจุลทรรศน์และกล้องโทรทัศน์

    พวกเราทุกคน ฝันตั้งแต่เสี้ยววินาทีแรกที่หลับ แต่... มนุษย์เราจำความฝันไม่ได้ จำได้เฉพาะตอนใกล้ๆจะตื่น.. เพราะสมองส่วนที่ทำหน้าที่จดจำมันพักผ่อนอยู่ แล้วมันเพิ่งจะเริ่มกลับมาทำงานตอนเรากำลังจะตื่น

    mamboo เคยโดนยาสลบ(ตอนที่ต้องผ่าตัด มีอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ) คุณหมอฉีดยาสลบ ..

    ตอนโดนยาสลบ .. มันไม่เหมือนตอนฝัน .. ตอนเราฝัน จิตเราเคลื่อนออกจากกายแล้วไปสร้างโลกความฝันขึ้น(โลกความฝันเป็น subset ของโลกความเป็นจริงหลากมิตินะคะ ^^)

    แต่ตอนโดนยาสลบ .. จิตเรามันไม่ได้เคลื่อนออกจากกาย ยาสลบแค่ไประงับความรู้สึกทางร่างกาย มันไม่เหมือนตอนฝัน ..

    ตอนนั้น mamboo มองเห็นทุกอย่าง(อย่างไม่มีสติ) เป็นสีขาว

    มันเหมือนเป็นกำแพงสีขาวๆ .. แปลกที่มันไม่ไปสร้างโลกความฝันเหมือนตอนเราหลับ มันไม่สร้างสีสันอะไรเลย มันเป็น ขาวๆโพลนๆไปรอบๆตัว .. และที่แปลกที่สุดคือ .. ตอนที่โดนยาสลบ เราไม่รู้สึกว่า เราเป็นคนหรืออะไรเลย(ความฝันยังรู้สึกว่าเป็นคน จำชื่อตัวเองได้ .. ) แต่ตอนโดนยาสลบ มันเหมือนกับ จิตเป็นแค่ตัวรู้ .. ไม่ได้เป็นคนหรือเป็นอะไรทั้งสิ้น ไม่มีสีสันเลยรอบๆตัว

    ตอนตื่นจากยาสลบ งงมากๆ >< งงว่าเราเป็นอะไร(ไม่ใช่เป็นใครนะ, เป็นอะไร ?) พอมองเห็นหลอดไฟบนเพดานห้องผ่าตัด พวกจิตสำนึกมาเริ่มกลับมา ค่อยรู้ว่า นั่น คือ หลอดไฟ

    พูดง่ายๆ ตอนฟื้นจากยาสลบ มันเหมือนเด็กทารกเกิดใหม่อ่ะ .. จำชื่อตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตัวเองเป็นอะไร (เป็นมนุษย์โลกอ่ะ --') แต่ไม่ถึง 1 นาที ความจำต่างๆก็เริ่มกลับมา..

    นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับ mamboo มากๆๆๆๆๆๆๆๆ อิอิ ^^

    ---------

    กลับมาที่เรื่อง คนที่สมองทำงานผิดปกติ หรือสมองไม่ทำงาน 10 ปี ..

    ช่วง 10 ปีที่สมองไม่ทำงาน .. แล้วเจ้าตัวเขาบอกว่า .. เหมือนจิตมันหายไป --'

    mamboo ว่าข้อมูลมันน้อยไปนิดอ่ะนะ(เลยทำให้ งงคำถาม --')

    10 ปีนี้.. ที่สมองของเขาไม่ทำงาน .. แต่เขาไม่ได้ตายนิ่ >< จิตของเขามันก็ต้องทำงานไปตามขั้นตอนของร่างกาย .. แล้ว 10 ปีนี้ เขาฝันไหม ?? แล้วสมองส่วนที่ทำหน้าที่ ความจำ มันทำงานไหม ??

    มันต้องเอาละเอียดๆเลยนะคะ ^^

    แต่เริ่ม งง ว่า .. น้อง 00000..(zeroes) คำถามคืออะไร อิอิ ^^

    ขอโทษที ร่ายมาซะยาว ไม่รู้ตอบตรงคำถามไหมนะ ?? อิอิ ^_^
     
  6. ผู้รู้แจ้ง

    ผู้รู้แจ้ง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +42
    เราจะตอบความจริงให้ละกัน มนุษย์ทั้งหลาย...

    เรื่องแรก...บาปกรรมมีจริงไหม...

    พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมา...เอามีดพร้าสักอัน...ไปฟันหัวแม่ตัวเองดู...

    ถ้าคุณรู้สึกมีความสุข...อิ่มเอิบ...เบิกบานใจ...แล้วรู้สึกสนุกกับการหลบหนีตำรวจ...

    ถ้าคุณรู้สึกแบบนี้ได้ตลอดชีวิต...บาปกรรมไม่มีจริง...

    สรุปให้ละกัน...บาปหรือบุญ...อยู่ในใจ...อยากได้สิ่งใด...ก็ทำเอา...เลือกเอง...


    เรื่องที่สอง...ทำไมมนุษย์ไม่รู้เรื่องจักรวาลเลย...

    เปรียบเทียบว่าโลกคือหินปะการัง1ก้อนที่อยู่ในมหาสมุทร มนุษย์คือแบคทีเรียตัวหนึ่งที่อยู่ในหินปะการังนั้น...คำถามคือ...

    แบคทีเรียตัวนั้นจะรู้ไหมว่ามีหินกี่ก้อนในมหาสมุทร...มหาสมุทรใหญ่แค่ไหน...เหนือมหาสมุทรมีอะไร...หรือจะรู้ไหมว่าตนเองอยู่ในดาวที่เรียกว่าโลก...และอีกเป็นแสนล้านคำถามที่แบคทีเรียไม่สามารถตอบได้...เพราะว่ายังเป็นเพียงแค่แบคทีเรีย...
    อีกกี่แสนล้านปี กว่าที่แบคทีเรียนั้นจะวิวัฒน์ตนเอง จนกลายมาเป็นมนุษย์...กว่าจะรู้จักโลก

    สรุป...อย่าพยายามแสดงความรู้เลย...เหล่าแบคทีเรียทั้งหลาย...เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อ...ไม่ได้ใช้สมองของความเป็นมนุษย์คิดกัน...นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลก...ก็เป็นเพียงแบคทีเรีย 1 ตัวในหินปะการังเท่านั้น...หากอยากรู้จริงๆ...เกิดชาติหน้าในภพภูมิที่สูงขึ้น...เดี๋ยวจะเข้าใจเอง...

    มิได้ว่าใครนะครับ...ข้าพเจ้าก็เป็นแบคทีเรียเช่นกัน...
     
  7. Izen

    Izen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +48
    โฮ่ๆ สมัครมาใหม่

    ทำไมนักวิทฯ เขาไม่ลองตายดูสักคนล่ะ จะได้มาบอกพวกที่เหลือ ว่าเป็นยังไง

    บุญบาป มีจริงหรือไม่ เืชื่อว่ามี แต่ไม่รู้ว่ามีจริงไหม

    ถ้าเราไม่เชื่อเรื่องนี้ เราก็ไม่ต้องทำบุญ ไม่ต้องทำความดี เวลาเราตายไป ก็ไม่ต้องบอกญาติพี่น้องให้สวด3วัน ให้ฝังให้หนอนกินไปเลย ไม่ต้องทำบุญให้ เพราะไม่เชื่อ บาปบุญ

    แต่ผมเชื่อเรื่อง ทำดีแล้วได้ดี อย่างมงายในบางเรื่อง

    วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ทุกสิ่ง หลายเรื่องที่นักวิทฯ ยังพิสูจน์ไม่ได้ แล้วโมเมไปเองก็มี

    คนเรามีขีดจำกัดทางความรู้ ไม่ใช่รู้ไปทุกสิ่ง

    เชื่อในสิ่งที่เ็ห็นกับตัวแล้วกันนะ


    หากเชื่อในหลักวิทฯ ต้องพิสูจน์ มาลองอ่านข่าวนี้กัน

    นักวิทยาศาสตร์รัสเซียไขปริศนา "โลกปรภพ" อยู่ที่ไหน

    โลกปรภพในความเชื่อของชาวพุทธ เป็นที่อยู่ของดวงวิญญาณ ซึ่งเดิมเชื่อว่าเป็นดินแดนสวรรค์ ทั้ง 16 ชั้นฟ้า แต่ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์เป็นผู้ให้คำตอบ ดินแดนปรภพ ไม่ใช่สวรรค์ เป็นดินแดนที่มีแต่ความสงบสุข ไร้ทุกข์ ไร้กังวล

    นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ชาวโปแลนด์ เบอร์นาร์ด ชิมลิตต์ แห่งสถาบันเฟิร์สต์ สเปซ ไซน์ โพลีเทคนิค แห่งกรุงกลาสโกว์ กล่าว ยืนยันว่า จากการเฝ้าสังเกตการณ์และตรวจ ชั้นบรรยากาศอย่างละเอียด เรามั่นใจว่าดวงดาว เอ็มโอเอ-192 บี (MOA-192 b) ซึ่งตั้งอยู่ใน กลุ่ม ดาวแคปริคอน (ม้ามีหัวเป็นคน ราศีที่ 9 จาก 12 ราศี) ซึ่งอยู่ห่างจากดาวโลก ราว 3,000 ปีแสง

    คือแดนสวรรค์ที่สิงสถิตของ ดวงวิญญาณ หรือที่ชาวพุทธเรียกว่า ดินแดน "ปรภพ"

    “เรานำข้อมูลที่เก็บมาได้ โดยเฉพาะ ข้อมูลชั้นบรรยากาศ บอกให้รู้ถึงร่องรอยสิ่งมีชีวิต อาศัย
    อยู่บนดาวดวงนั้น 2 กรณี”

    “ประการแรก เราตรวจพบสัญลักษณ์พลังงานไฟฟ้าระดับต่ำ ซึ่งเป็นไปได้ว่าไฟฟ้าเกิดจากพายุ
    ฟ้าคะนอง หรือเกิดจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าก็ได้”

    “ประการที่ 2 เราตรวจพบคล้าย เป็นดินแดนที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่มี รูปแบบต่างไปจาก
    คน บริเวณขั้วโลกเหนือ ของดวงดาว MUA-192 b”

    “ชั้นบรรยากาศดวงดาวแห่งนี้ แตกต่างไปจากชั้นบรรยากาศของโลก สิ่งที่น่าตระหนก เราพบ
    ว่ามีก๊าซคาร์บอน- ไดออกไซด์ เกิดขึ้นในปริมาณสูงมาก พอ ๆ กับการพบไอน้ำระเหยขึ้นมาในชั้นบรรยากาศ”

    “ทั้ง 2 ประการนี้ ล้วนเป็นร่องรอย ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง นับเป็นการค้นพบครั้ง ยิ่งใหญ่ใน
    ประวัติศาสตร์ดาราศาสตร์ ที่ได้พบ ร่องรอยว่าดาว MOA อาจเป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต ที่มีอารยธรรมสูง”

    ขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญด้าน วิปัสสนาอธิบายว่าสิ่งมีชีวิตดังกล่าว หากเป็น ดวงวิญญาณ ก็
    ย่อมมีลักษณะเป็นกายทิพย์ (ขณะมีชีวิตอยู่บนโลก กายทิพย์ อาศัยอยู่ใน กายหยาบ)

    ทั้งนี้ตั้งแต่การเริ่มต้นศึกษาวิจัยกลุ่มดาวที่อยู่ห่างจากโลก 3,000 ปีแสง เมื่อหลายปีก่อน ทีม
    งานนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ เบอร์นาร์ด ชิมมิตต์ พบว่ามีกลุ่มดาวกลุ่มหนึ่งมีชั้นบรรยากาศแตกต่างไปจากโลก
    โดยสิ้นเชิง นับแต่นั้นมาได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ทางไกลแรงสูง คอยติดตามความเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด

    ต่อมาได้ประสานงานกับโรงการ “พลังโทรจิต” ที่ยูเครน (เดิมเป็นสหภาพ หนึ่งของรัสเซีย
    ปัจจุบันแยกตัวเป็นอิสระ) ซึ่งรัฐบาลสหภาพรัสเซีย ตั้งโครงการขึ้น ในยุคสงครามเย็น

    โครงการลับสุดยอดพลังโทรจิต ทางไกล ตั้งขึ้นบนข้อสมมติฐานว่าเมื่อคนเราฝึกฝนทางจิตจนแก่กล้า จนสามารถ ถอดดวงจิตออกจากร่างกาย ได้แล้ว ก็สามารถท่องจักรวาลไป ที่ไหนก็ได้ โดยมีความเร็วเหนือกว่า ความเร็วของแสง

    โครงการนี้มีหน่วยงานข่าวกรอง รัสเซีย หรือเคจีบี. เป็นเจ้าภาพ โดยรับคัดเลือก ผู้มีพลังจิตสูงมาแต่กำเนิดมาฝึกเพิ่ม ต่อมา ได้สร้างผลงานดีเด่น เมื่อครั้งเครื่องบินรบ มิก.29 ฟอกซ์ แบท ของรัสเซียตกที่โคลัมเบียทั้งเคจีบี.และซีไอเอ.ต่างแย่งชิงเพื่อไปถึงซากมิ ก.29ก่อนอีกฝ่าย เพราะ มิก.29 ในยุคนั้นคือ เครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิดทรงอานุภาพที่สุด

    ซีไอเอ. ใช้พิกัดจากดาวเทียมจารกรรม แต่เคจีบี.ใช้นักพลังจิตตามโครงการโทรจิตทางไกล แผ่พลังจิตตามหาซากเครื่องบิน

    ปรากฏว่าหน่วยข่าวกรองรัสเซีย ไปถึงซากเครื่องบินก่อน ขณะที่ฝ่ายสหรัฐรู้ว่า ตกอยู่ในหุบเขา แต่ไม่อาจเจาะจงได้ เป็นที่ จุดใด

    หลังจากรัสเซียประสบความ สำเร็จจากโครงการนี้ รัฐบาลสหรัฐ โดย ซีไอเอ. ก็ได้ตั้งแผนงานโทรจิตทางไกล ขึ้นมาเช่นกัน แต่พัฒนาได้ไม่ทันรัสเซีย

    เมื่อนักวิทยาศาสตร์โปแลนด์ ไป ประสานงานไปยังรัฐบาลยูเครน ขอตัวนัก พลังจิตมาช่วย เพื่อถอดดวงจิตเดินทางไปยัง ดวงดาว MOA-192 b

    วิธีส่งพลังจิตเดินทางไกล คือการ นั่งเข้าสมาธิให้พลังจิต เดินทางไปยังจุดหมาย ปลายทางที่กำหนด

    ผู้รู้อธิบายตรงนี้ว่า คือการทำ วิปัสสนากรรมฐาน จนกระทั่งเกิดฌานชั้นสูง ระดับอภิญญาฌาน ดวงจิตจึงถอดออกจากร่างได้ และดวงจิตที่ถูกถอดออกจากกายหยาบนี่เอง เรียกกันว่า “กายทิพย์”

    การเข้าฌานโดยนักพลังจิตยูเครน ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง แสดงว่าใช้เวลาไปกลับ ดวงดาว MOA แค่ชั่วโมงกว่า ๆ เท่านั้น แต่หากนักวิทยาศาสตร์โลกสามารถสร้่าง ยานอวกาศมีความเร็วเท่าความเร็วของแสงได้ ยานลำนั้นใช้เวลาเดินทางถึง 3,000 ปี จึงจะเดินทางถึงดวงดาว MOA ได้ (ระยะทาง 1 ปีแสง = 10 ล้านกิโลเ้มตร)

    นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ เบอร์นาร์ด เปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ผลการส่งพลังจิต ได้พบกับถิ่นฐานของสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ มีเคหะสถานบ้านเรือนเหมือนชาวโลก แต่สร้างในรูปทรงต่างกันโดยสิ้นเชิง

    “ผู้ถอดดวงจิตยืนยันว่า เขาได้ พบกับสิ่งมีชีวิตที่มีใบหน้ารูปร่างเหมือนกับ คนที่เขา่รู้จักด้วย ไม่ใช่จำได้แค่คนเดียว แต่จำได้หลายคน”

    “ตรงนี้เป็นข้อมูลสำคัญที่ทำให้ โครงการวิจัยของเราสามารถสรุปได้ว่า คนบางคนเมื่อตายไปแล้ว ดวงวิญญาณของ พวกเขาเดินทางมาอยู่ที่นี่”

    “เพื่อความมั่นใจ เราให้ผู้ส่งพลังจิต อย่างน้อย 3 คน ตรวจสอบหลายครั้งจนมั่นใจ ว่า เขาจำได้ว่าคนที่เขาพบเห็นในดวงดาว เอ็มโอเอ.จริง ๆ ไม่ได้ผิดตัวแต่อย่างใด”

    “เขายืนยันว่าเขาพบนักเต้นบัลเล่ต์ ผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเขาชื่นชอบมาก ขณะที่ เปิดการแสดงที่โรงละครกรุงมอสโคว์ ต่อมา นักบัลเล่ต์ผู้นี้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน ได้ไม่นาน เขาได้ถอดจิต แล้วไปพบกันที่นั่น”

    “ไม่มีการพูดคุยกับผู้ที่อยู่บนดาว เอ็มโอเอ. กับพลังจิตที่ส่งออกไปจากโลก เพราะ ผู้ที่อยู่ที่นั่น มองไม่เห็นพลังจิต” นักดาราศาสตร์ เบอร์นาร์ดกล่าว

    โครงการได้ทดลองนำภาพ คนตายจำนวน 43 คน ให้นักพลังจิตดู ว่าพบใครบ้างที่โน่น ปรากฏว่านักพลังจิต 2 คน จำได้ 3 คน

    “ภาพใบหน้าที่เราเอาไปให้เลือกดู ล้วนเป็นคนตายในช่วงเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ ตรงนี้เป็นอีกข้อมูลยืนยันว่าดวงวิญญาณ เดินทางด้วยความเร็วพอ ๆ กับพลังจิต”

    “นักพลังจิตที่ส่งพลังจิตไปสำรวจ ดวงดาวเอ็มโอเอ. อธิบายว่าไม่ได้มีความเหมือน กับแดนสวรรค์ ตามภาพวาดตามผนังโบสถ์ แต่อย่างใด ไม่มีกลุ่มเมฆ ไม่มีนางฟ้า เทพ สวรรค์ หรือถนนปูลาดด้วยทองคำ”

    “ภาพลักษณ์ดินแดนปรภพ เหมือนเมืองเล็ก ๆ อยู่ตามภูธร ไม่มีรถยนต์ ไม่มีเครื่องจักร ผู้คนอยู่อย่างสงบสุข”

    “ผู้อยู่ที่นั่นล้วนมีสุขภาพดี ปรากฏตัว เป็นอย่างไรก็อยู่เช่นนั้ตลอดไป ไม่มีความแก่เฒ่า ไม่มีอาการเจ็บป่วย ไม่มีการต่อสู้ ไม่มีสงคราม”

    “ไม่มีเด็กเกิดใหม่ พบเห็นผู้คน หน้าใหม่เดินออกจากอาคารขนาดใหญ่ เหมือน ศูนย์รับส่ง เหมือนศูนย์กลางรอรับดวงวิญญาณ มาจุติที่นี่” ดร.เซอร์ไก อูซนิดอฟ ผู้อำนวยการ โครงการโทรจิตทางไกลแห่งยูเครนกล่าว

    “ในโลกของเราอาจมีกลไก ธรรมชาติที่เรายังค้นหาไม่พบ ทำหน้าที่เป็น ภาคส่งดวงวิญญาณไปยังดาวดาวต่าง ๆ ทั่วทั้งจักรวาล ไม่จำเพาะเจาะจงที่ดวงดาว เอ็มโอเอ. เท่านั้น”

    ดร.เซอร์ไกกล่าวอีกว่า “มีนักวิจัย บางคนบอกกับผมว่ามีอยู่ทฤษฎีหนึ่ง ที่เป็น ไปได้สูง เกี่ยวกับพลังชีวภาพ (bioenergy) ซึ่งในร่างกายคนทุกคนมีพลังงานนี้ จะปรากฏ ออกมาเมื่อคนกำลังจะตาย ทำหน้าที่เป็นแรงส่ง ดวงวิญญาณไปยังดวงดาวต่าง ๆ”

    แล้วแรงส่ง “พลังชีวภาพ” จะ เลือกส่งดวงวิญญาณหรือกายทิพย์ไปยัง ดวงดาวใกล้ไกลโดยอาศัยเหตุปัจจัย อะไร? พระนักวิปัสสนา ผู้ได้ฌานมาบ้าง แล้ว ต่างรู้ดีว่า...ล้วนมีบาปบุญคุณโทษเป็น ตัวกำหนดนั่นเอง

    Credit : plak.nokroo.com

    ---------------------------------------------------

    เขาใช้อะไรพิสูจน์ถึงได้คิดว่าเป็นแบบนั้น จิตเหรอ หรือเขาเห็นกับตาตัวเอง หรือกล้องดูดาวเขาส่องเห็น

    ผมก็ไม่ได้เชื่อใคร ผมเชื่อตัวเอง^^
     
  8. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    บางทีเรื่องพวกนี้ รู้ไปมันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ในด้านการพัฒนาจิตใจมากหรอกนะคะ --'(ไม่งั้น เขาจะกำหนดมาให้เราลืมอดีตชาติทำไม --') เขาให้สนใจ ปัจจุบันมากกว่า..

    แต่เล่าแบบ .. ตรงๆ ไม่ร่ายยาวแระ เริ่มง่วงแล้วค่ะ อิอิ ^^

    จิต กับ วิญญาณ เป็นคนละอย่างกันค่ะ ^^

    จิตเนี่ย ก็คล้ายๆ ตัวรู้ .. วิญญาณ ก็คล้ายๆคลังข้อมูล วัตถุทุกๆสิ่งในโลกและในเอกภพ ล้วนมีวิญญาณนะคะ ^^ ไม่ใช่แค่สัตว์ มีทั้ง สัตว์ ก้อนหิน ดิน ทราย พืช ฯลฯ มีวิญญาณหมด .. (ไม่เชื่อ ลองอยู่เงียบๆ แล้วสั่งให้ลมพัดสิ่ ^^ mamboo เคยทำมาแระ)

    แต่จิตอ่ะ คือตัวรู้ .. พวกเราคือตัวรู้ ที่เป็นเครื่อข่ายย่อยของจิตวิญญาณเครือข่ายใหญ่ๆ .. วิญญาณที่มากับจิตของเรา ที่รวมเรียกว่าจิตวิญญาณ ในร่างกายมนุษย์นี้ บรรจุข้อมูลมาแล้วว่า ให้ดำเนินไปในแบบที่มนุษย์ต้องเป็น

    ในวิญญาณ มีข้อมูลบรรจุอยู่มากมายมหาศาล .. ทุกๆข้อมูลเลยแหละ.. จากทุกภพทุกชาติ และข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นจริงทุกๆอย่าง

    แต่จิตของเรา เป็นตัวดำเนินชีวิตนี้ ให้เป็นไปในทุกๆขณะปัจจุบัน นะคะ ^^

    --------

    ส่วนเรื่อง เอกลักษณ์ หรือบุคลิกของคนๆนั้น จะเป็นเหมือนเดิม ก็ต่อเมื่อ ชาติภพนั้นๆเกี่ยวข้องกัน ..

    บางชาติภพไม่เกี่ยวข้องกันเลยก็มี เช่น .. ชาติที่คุณเกิดเป็นมนุษย์ต่างดาว คุณก็จะมีบุคลิกเหมือนชาติภพที่เป็นมนุษย์อยู่เพียงน้อยนิด

    แต่จิตวิญญาณมีความเป็นเอกลักษณ์และทุกๆชาติภพ ก็มีความเป็นเอกลักษณ์ในตัวมันเองค่ะ ^^

    ----

    เล่าเท่านี้ก่อน mamboo เล่าไปเล่ามา เริ่ม .. สับสนว่า กำลังเล่าอะไรอยู่ อิอิ ^^

    การที่เราจะครองเอกลักษณ์และบุคลิกลักษณะไปทุกๆชาติภพ มันไม่มีประโยชน์ และไม่มีความหมายเลย

    เราควรมีหลายๆบุคลิกและหลายๆรสนิยมในแต่ละชาติภพนะคะ --'

    พอเล่าไปเล่ามา เลยรู้สึกว่า ไม่เกิดประโยชน์

    เพราะ .. ถ้าชาติภพนั้นๆ มีบุคลิกเหมือนอีกชาติภพหนึ่ง แล้วยังไง ??? ><

    หรือถ้าไม่เหมือน แล้วยังไง ?? ><

    โทษที --' หลังๆเริ่ม.. ใช้วาจาไม่สุภาพค่ะ 555+ ^^

    จบแล้วค่ะ ^^
     
  9. fang_aee

    fang_aee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +123
    ผมไม่เชื่อนักวิทยาศาสตร์ครับ
    ผมเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า
    ไอ้นักวิทยาศาสตร์ มันก็หาเหตุผลของมันมารองรับความคิดของมันนะแหละ
    บุญกรรม วิญญาณ และชาติต่อๆ ไป
    ผมยังชื่อในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ครับ
     
  10. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +3,882
    ณขณะจิตใดที่วางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนและโลกเสียแล้วเพราะความดับไปไม่เหลือของอวิชชา ตัณหา อุปปาทาน หลังจากขณะจิตนั้นจนสิ้นอายุขัย การกระทำกรรมใดๆของพระอรหันต์ขีณาสพนั้นจะเป็นสมุทเฉท
    ส่วนมนุษย์ขี้เหม็นทั้งหลายเหมือนผมและเจ้าของกระทู้ที่ยังมีอวิชชา ตัณหาและอุปปาทานในกมลสันดานอยู่นั้น ถึงแม้ว่าอาจจะได้เห็นปรมัตต์สัจจะแล้วว่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาแต่ก็ยังไม่พ้นไปจากระบบกรรม เพราะแค่รู้แต่วางตัวตนลงเสียสิ้นไม่ได้ จึงยังเป็นทาสของโลกอยู่ บาปและบุญย่อมเกิดขึ้นตามกุศลจิตและอกุศจิตที่ยังติดข้องอยู่ในโลกนี้อยู่
    ปรมัตถ์ธรรมเป็นจริงได้กับผู้ที่ลงมือปฏิบัติเพื่อการละวางสังโยชณ์10ไปเป็นขั้นๆ ไม่มีทางเป็นไปได้กับทัพพีทีไม่รู้รสแกงหรือใบลานเปล่าแต่อย่างใด
    ต่อให้รู้แค่ไหนแต่ไม่ทำก็ไม่ได้รับผล
    การข้ามห้วงน้ำจะเป็นไปได้กับผู้ลงแรงว่ายเท่านั้น
     
  11. blackky

    blackky Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2009
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +27
    สิ่งที่เห็นจากตาเนื้อมันไม่ใช่ของจริงทั้งหมดนิครับ ก็รู้กันอยู่ เอาแค่แสงจากดวงอาทิตย์มีใครเห็นเป็น7 สีบ้าง สัตว์บ้างชนิดเห็นแสงจากดวงอาทิตย์เป็นสีน้ำเงินด้วยซ้ำ
    แต่เรื่องบุญบาปก็ยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ คือสมมุติเราไปต่อยคนอื่น ถามว่าเขาจะชกเรากลับมาไหม(อย่าตอบกวนนะ) ตามปรกติเขาก็ชกเรากลับมา ถูกไหมครับ
    ไม่ต้องมีทฤษฏี วิจัยไรกันมากมาย คนทำผิดก็ย่อมรับผิด ในโลกปัจจุบันก็เห็นกันอยู่
    ถึงแม้เขาจะเลี่ยงให้ตัวไม่ผิด สุดท้ายเขาก็อยู่แบบไม่มีความสุข เราก็เห็นตามประวัติผ่านตากันมามากแล้วยังไม่เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมอีกหรือ
     
  12. phrasantamano

    phrasantamano Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +53
    วันนี้มีข้าวกินเพราะอะไร? ตอบ เพราะเมื่อวานทำงานหาเงินเอาไว้ซื้อข้าวกิน
    พรุ่งนี้จะมีข้าวกินไหม? ตอบ ถ้าวันนี้หาเงินมาเพิ่มอีกก็ไม่อด แถมยังจะเลือกกินได้อีก
    ........................ในทางกลับกัน
    ถ้าเมื่อวานไม่ทำงานหาเงินเก็บไว้ วันนี้จะมีกินไหม?
    เมื่อวานก็ไม่ทำงานวันนี้ก็ไม่หาเงิน พรุ่งนี้จะมีอิ่มไหม?
    ...การทำงานคือ " เหตุ "
    ....มีข้าวกินคือ " ผล "
    คิดว่าตัวเองเกิดมาเป็น "คน" เพราะอะไร? ทำไมไม่ไปเกิดเป็นสัตว์ (ซึ่งมีมากกว่าคนหลาย ๆ เท่า)
     
  13. มาตรมณี

    มาตรมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +555
    ถ้าสมมติสิ่งที่กำลังถกกันในกระทู้นี้ เป็น "ข้อสอบ" คณิตศาสตร์ข้อหนึ่ง ที่ต้องหาผลลัพธ์ที่ถูกต้องมาเป็นคำตอบสำหรับข้อสอบนี้ และมนุษย์ทุกคนในโลกหรือจักรวาลนี้เป็น "นักเรียน" ที่ต้องทำข้อสอบเพื่อวัดผล ผลการทดสอบน่าจะถูกแบ่งเป็นอย่างนี้

    ๑. นักเรียนที่ทำข้อสอบได้ และหาผลลัพธ์หรือคำตอบที่ถูกต้องพบ (ซึ่งมีอยู่มากมายสำหรับผู้ที่ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองอย่างจริงจัง และพบคำตอบด้วยตนเองอย่างชัดเจนแท้จริง) จัดว่าเป็นนักเรียนที่เข้าใจทฤษฎี และสามารถใช้ทฤษฎีที่เรียนนั้นแก้สมการหาคำตอบที่ถูกต้องได้

    ๒. นักเรียนที่ลงมือทำข้อสอบแล้ว ยังคำนวณหาผลลัพธ์หรือคำตอบที่ถูกต้องไม่ได้ หากแต่กำลังทำความเข้าใจและศึกษาทฤษฎีเพิ่มเติมอยู่ เพราะต้องการหาคำตอบที่ถูกต้องให้ได้ และไม่คิดว่าทฤษฎีผิด เนื่องจากเห็นตัวอย่างของนักเรียนอื่นๆ ที่สอบผ่านและหาคำตอบที่ถูกต้องได้ มีอยู่มากมาย

    ๓. นักเรียนที่ทำข้อสอบไม่ได้ หาผลลัพธ์หรือคำตอบที่ถูกต้องไม่ได้ คำนวณไม่ออก เพราะไม่เข้าใจทฤษฎีที่ต้องใช้ในการแก้โจทย์นี้ จึงบอกกับตัวเองหรือผู้อื่นว่า "โจทย์หรือข้อสอบข้อนี้ผิด" หรือไม่ก็บอกว่า "ครูออกข้อสอบผิด"

    เราเป็น "นักเรียน" ประเภทไหน ???
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2011
  14. มาตรมณี

    มาตรมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +555
    ฉันใด ฉันนั้น "แบคทีเรีย ๔ ตัว" จะเชื่อได้อย่างไรว่าจริง มีใครบันทึกไว้เป็นหลักฐานเมื่อล้านปีที่ผ่านมา น่าจะเป็นเพียงค่า "ประมาณการ" ย้อนหลังมิใช่ฤา?

    ในขณะที่สิ่งที่ทุกคนกำลังถกกันในกระทู้นี้นั้น มีบันทึกไว้เป็นหลักฐาน คือ "พระไตรปิฎก"

    เรื่องอย่างนี้เป็น "ปัจจัตตัง" ท่านว่าไว้ว่าอย่าถกกันในเรื่อง "อจิณไตย"
     
  15. มาพบพระ

    มาพบพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    643
    ค่าพลัง:
    +1,973
    กินแบบฝรั่ง ใช้ความรู้อย่างฝรั่ง คิดแบบโลกตะวันตก ย่อมได้ความรู้แบบชาวโลกตะวันตก
    กินแบบพุทธ ใช้ความรู้อย่างพุทธ คิดแบบโลกตะวันออก ย่อมได้ความรู้แบบชาวพุทธ การตามดูรู้เห็นด้วยตนเองย่อมดีกว่าเชื่อโดยการกล่าวอ้างของผู้อื่น ทางเดินของการเรียนรู้เกิดจากการฟัง การปฏิบัติ และการสังเคราะห์ทบทวน เราได้เดินตามทางนี้แล้วหรือยัง หากเรายังไม่ได้เดินตามเส้นทางนี้ ขึ้นชื่อว่าขาดปัญญาตามเส้นทางแห่งพุทธ
     
  16. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    ปัญหาที่ ๙ ถามถึงความมากกว่ากันแห่งบาปและบุญ<TABLE width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>“ ข้าแต่พระนาคเสน บุญและบาปข้างไหนมากกว่ากัน ? ”
    “ ขอถวายพระพร บุญมากกว่าบาป บาปน้อยกว่า ”
    “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ทำไมจึงว่าบุญมากกว่า บาปน้อยกว่า? ”
    “ ขอถวายพร บุคคลทำบาปแล้วย่อมร้อนใจในภายหลังว่า เราได้ทำบาปไว้แล้วเพราะเหตุนั้นบาปก็ไม่ได้มากขึ้น ส่วนบุญเมื่อบุคคลทำเข้าแล้วไม่เดือดร้อนในภายหลัง มีแต่เกิดปราโมทย์ ปีติ ใจสงบมีความสุข จิตเป็นสมาธิ เพราะฉะนั้น บุญจึงมากขึ้น ดังมีบุรุษผู้มีมือมีเท้าขาดแล้ว ได้บูชาพระด้วยดอกบัวเพียงกำเดียว ก็จักได้เสวยผลถึง ๙๑ กัปด้วยเหตุนี้แหละ จึงว่าบุญมากกว่า ขอถวายพระพร”
    “ ชอบแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR width="90%">[​IMG] ปัญหาที่ ๑๐ ถามถึงการทำบาปแห่งผู้รู้กับผู้ไม่รู้
    <TABLE width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>“ ข้าแต่พระนาคเสน สมมุติว่ามีคน ๒ คน คนหนึ่งรู้จักบาป อีกคนหนึ่งไม่รู้จัก แต่กระทำบาปด้วยกันทั้งสองคน ข้างไหนจะได้บาปมากกว่ากัน ? ”
    “ ขอถวายพระพร ข้างไม่รู้จักได้บาปมากกว่า ”
    “ ข้าแต่พระนาคเสน ราชบุตรของโยมหรือราชมหาอำมาตย์คนใดรู้ แต่ทำผิดลงไปโยมลงโทษแก่ผู้นั้นเป็นทวีคูณ ”
    “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร...คือสมมุติว่ามีคน ๒ คน จับก้อนเหล็กแดงเหมือนกัน คนหนึ่งรู้ว่าเป็นก้อนเหล็กแดง อีกคนหนึ่งไม่รู้ คนไหนจะจับแรงกว่ากัน ? ”
    “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คนไม่รู้จับแรงกว่า ”
    “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ไม่รู้บาปได้บาปมากกว่า”
    “ ชอบแล้ว พระนาคเสน ”
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. 000000000

    000000000 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +17
    คนนี้ไม่สู้ค่ะ 白衣男发狂暴打电梯乘客http:t.sina.com.cnyeyujiangzhi - 视频 - 优酷视频 - 在线观看





    แต่ที่น่าจะเป็นไปได้เนี่ย วิญาณกับคนนี่ทำงานแบบสวิทหรือเปล่าค๊ะ
    เช่นตอนเป็นคน สวิท ถูกปิดสวิทไม่ให้ วิญาณ ทำงาน
    สมองทำงาน 100~% แต่วิญาณก็ยังอยู่ในตัวคนสักที่นึงแบบเฉยๆแม๊คนนั้นจะเป็นบ้าก็ตาม ก็ปล่อยสมองผิดปกติไปโดยวิญาณไม่แทรกการทำงานของสมอง
    พอคนเราตายร่างกายหยุดทำงาน สวิทโหมดคนปิดลง ทั้งหมด
    สมองหยุดทำงาน และ สวิท วิญาณ จะเปิด
    วิญาณจะกลับมาทำงานแล้วออกจากร่างไปรอเกิดใหม่แบบนี้พอจะจริงไหมคะ
     
  18. 000000000

    000000000 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +17
    คืออย่างนี้นะค๊ะ เขาบอกว่าวิญาณน่าจะอยู่ในตัวคน บางคนเขาทดลองอย่างนี้เลยนะค๊ะ
    เขาทดลองใช้อุปกรณ์ หาวิญาณในตัวคนซึ่งเขาบอกว่าไม่พบ
    แต่ดิฉันคิดว่า อุปกรณ์ หาวิญาณ ไม่น่าจะใช้งานได้จริง
    ถ้าหากเราคิดว่าวิญาณอยู่ในมิติ ที่ต่างจากเราในเมื่ออยู่คนละมิติเครื่องมือไม่น่าจะจับการทำงานในมิติปกติได้นะค๊ะ

    แต่ มีอยู่อย่างนะค๊ะถ้าตอนที่คนเราเกิดแรกๆกระบวนการนี้สำคัญ
    ปกติ คนที่มีสามธิจะเห็นสิ่งต่างๆได้ดีกว่าคนปกตินะค๊ะ
    น่าจะตรวจจับกระแสวิญาณขณะที่มาเข้าร่างทารกในท้องแม่ได้ไหมค๊ะ หมายถึงช่วงแรกของชีวิตที่เกิดในท้องมารดา น่าจะเป็นช่วงสำคัญมาก ที่วิญาณฝังตัวในร่างทารก
    และกำลังจะสลับสวิทการทำงาน ระหว่างโหมดวิญาณกับโหมดสมองคนปกติหรือเปล่าคะ
    ถ้าเราใช้สมาธิดูจะเห็นกระบวนการไหมค๊ะ
     
  19. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    ปัญหาที่ ๓ ถามที่ดับปัญญา

    “ ข้าแต่พระนาคเสน ญาณ เกิดแก่ผู้ใด ปัญญา เกิดแก่ผู้นั้นหรือ ?
    “ เกิด…มหาราชะ คือ ญาณ เกิดแก่ผู้ใด ปัญญา ก็เกิดแก่ผู้นั้น”
    “ ข้าแต่พระนาคเสน สิ่งใดเป็นญาณสิ่งนั้นหรือเป็นปัญญา? ”
    “ ถูกแล้ว…มหาราชะ คือสิ่งใดเป็นญาณก็สิ่งนั้นแหละเป็นปัญญา”
    “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ญาณได้เกิดแก่ผู้ใดปัญญานั้นได้เกิดแก่ผู้นั้น ผู้นั้นหลงหรือไม่หลง ? ”
    “ มหาราชะ ผู้มีปัญญาหลงในบางสิ่งบางอย่าง ไม่หลงในบางสิ่งบางอย่าง”
    “ หลงในสิ่งไหน ไม่หลงในสิ่งไหน ? ”
    “ ขอถวายพระพร หลงในศิลปะที่ไม่ชำนาญก็มี ในทิศที่ไม่เคยไปก็มี ในชื่อหรือสถานที่ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังก็มี ”
    “ อ๋อ…แล้วไม่หลงในอะไร พระผู้เป็นเจ้า ? ”
    “ ไม่หลงในสิ่งที่ตนรู้แล้วว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ”
    “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ก็โมหะ คือความหลงของผู้นั้นไปอยู่ที่ไหนล่ะ? ”
    “ มหาราชะ พอ ญาณ เกิดแล้ว โมหะ คือความหลงก็ดับไปในญาณนั้นเอง”
    “ ขอนิมนต์อุปมาเถิด ”

    อุปมาผู้จุดประทีป

    “ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่ง จุดประทีปเข้าไปในเรือนที่มืด ในขณะนั้นความมืดก็ดับไป แสงสว่างก็ปรากฏขึ้น ฉันใด เมื่อ ญาณ เกิดขึ้นแล้ว โมหะ ก็ดับไปในที่นั้น ฉันนั้นแหละ”
    “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ก็ปัญญานั้นเล่า…ไปอยู่ที่ไหน? ”
    “ มหาราชะ ปัญญา ทำหน้าที่ของตนแล้วก็ดับไปในที่นั้นเอง สิ่งใดที่ทำด้วยปัญญานั้นว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งนั้นไม่ดับ ”
    “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้แล้วว่า ปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วก็ดับไป แต่สิ่งใดที่ทำด้วยปัญญานั้นว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งนั้นไม่ดับ ดังนี้ ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอุปมาด้วย”

    อุปมาการเขียนเลข

    “ มหาราชะ เหมือนอย่างว่า บุรุษผู้ใดรู้หนึ่ง อยากดูตัวเลขในกลางคืน จัดแจงให้จุดประทีปขึ้นเขียนเลข เมื่อประทีปดับแล้วเลขก็ยังไม่หายไป ข้อนี้มีอุปมา ฉันใด ปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วดับไป แต่สิ่งที่รู้ด้วยปัญญาว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้น มิได้ดับไป ฉันนั้น ”
    ” ขอพระผู้เป็นเจ้าอุปมาให้ยิ่งขึ้น ”

    อุปมาโอ่งน้ำ

    “ ขอถวายพระพร เปรียบประดุจพวกมนุษย์ในชนบทตะวันออก จัดตั้งโอ่งน้ำไว้ ๕ โอ่งข้างประตู เพื่อดับไฟที่จะไหม้เรือน เมื่อไฟไหม้เรือนแล้ว โอ่งน้ำ ๕ โอ่งนั้นเขาก็นำไปเก็บไว้ในละแวกบ้าน ไฟก็ดับไป ชาวบ้านคิดหรือไม่ว่า เราจักต้องทำสิ่งที่จำเป็นด้วยโอ่งน้ำเหล่านั้นอีก? ”
    “ ไม่คิด พระผู้เป็นเจ้า เพราะไม่มีความจำเป็นกับโอ่งน้ำเหล่านั้นอีกแล้ว ด้วยว่าไฟก็ดับแล้วเขาจึงนำไปเก็บไว้อย่างนั้น ”
    “ มหาราชะ ควรเห็น อินทรีย์ ๕ มีศรัทธาเป็นต้นว่า เปรียบเหมือนกับโอ่งน้ำทั้ง ๕ พระโยคาวจรเปรียบเหมือนชาวบ้าน กิเลสเปรียบเหมือนไฟ กิเลสดับไปด้วยอินทรีย์ ๕ เปรียบเหมือนกับไฟดับไปด้วยน้ำทั้ง ๕ โอ่งนั้น กิเลสที่ดับไปแล้วย่อมไม่เกิดขึ้นอีก ฉันใด เมื่อปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วก็ดับไป แต่สิ่งที่รู้ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นมิได้ดับไป ฉันนั้น ”
    “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”

    อุปมารากยา

    “ มหาราชะเปรียบปานประหนึ่งว่าแพทย์ผู้ถือเอารากยา ๕ รากไปหาคนไข้ บดรากยาทั้ง ๕ นั้น แล้วละลายน้ำให้คนไข้ดื่ม โรคนั้นก็หายไปด้วยรากยาทั้ง ๕ รากนั้น แพทย์นั้นคิดหรือไม่ว่า เราจักต้องทำกิจที่ควรทำด้วยรากยาเหล่านั้นอีก ? ”
    “ ไม่คิด พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ มหาราชะ รากยาทั้ง ๕ นั้น เหมือน อินทรีย์ ๕ มีศรัทธาเป็นต้น แพทย์นั้นเหมือนพระโยคาวจร ความเจ็บไข้เหมือนกิเลส บุรุษผู้เจ็บไข้เหมือนปุถุชน ไข้หายไปด้วยยาทั้ง ๕ รากนั้นแล้ว ผู้เจ็บไข้นั้น ก็หายโรค ฉันใด เมื่อกิเลสออกไปด้วยอินทรีย์ ๕ แล้วกิเลสก็ไม่เกิดอีก อย่างนี้แหละ มหาบพิตรชื่อว่าปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วดับไป แต่สิ่งนั้นหามิได้ดับไป ฉันนั้น ”
    “ นิมนต์อุปมาให้ยิ่งกว่านี้อีก ”

    อุปมาผู้ถือลูกธน

    “ มหาราชะ เหมือนกับบุรุษผู้จะเข้าสู่สงคราม ถือเอาลูกธนู ๕ ลูก แล้วเข้าสู่สงคราม เพื่อต่อสู้กับข้าศึก เขาเข้าสู่สงครามแล้วก็ยิงลูกธนูไป ข้าศึกก็แตกพ่ายไป บุรุษนั้นคิดหรือไม่ว่า เราจักต้องทำกิจด้วยลูกธนูเหล่านั้นอีก ? ”
    “ ไม่คิด พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ มหาราชะ ควรเห็น อินทรีย์ ๕ เหมือนลูกธนูทั้ง ๕ พระโยคาวจรเหมือนกับผู้เข้าสู่สงคราม กิเลสเหมือนกับข้าศึก กิเลสแตกหักไปเหมือนกับข้าศึกพ่ายแพ้กิเลสดับไปแล้ว ไม่เกิดขึ้นอีกอย่างนี้แหละ มหาบพิตร ชื่อว่าปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วดับไป แต่สิ่งที่รู้ด้วยปัญญาว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นหามิได้ดับไป ขอถวายพระพร”
    “ แก้ดีแล้ว พระนาคเสน ”

    <HR width="90%">
     
  20. 000000000

    000000000 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +17
    แบคทีเรีย ๔ ตัว เขาบอกว่าพบ dna เก่าที่สุดของ แบคทีเรีย
    มันมี dna ที่ซ้ำมากๆ น่าจะมีประมาณ 4 ตัวค่ะอาจมากกว่านั้นก็ได้
    ประมาณ 4-20ตัวนะค๊ะ เขาคำนวนจากขนาดดาวน้ำค่ะ เพราะดาวน้ำต้องมีขนาด
    เกือบเท่าโลกนะค๊ะมันถึงจะมี แบคทีเรีย ปนมาได้แต่น้อยมากๆ
    คาดว่ามันมากับดาวน้ำแข็งขนาดเกือบเท่าโลกที่มาตกใส่โลกค่ะ
    และโลกเราก็มีน้ำพร้อม แบคทีเรียจำนวนน้อยๆ ยุคนั้นน่าจะเป็นยุคที่ดวงจันอยู่ใกล้โลกมากกว่าทุกวันนี้ 25 เท่านะค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...