เกี่ยวกับจริต..(วิตกจริต) ขอคำแนะนำหน่อยค่ะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Unstable, 29 มกราคม 2011.

  1. Unstable

    Unstable สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +0
    หนูเป็นคนวิตกจริต(อย่างเห็นได้ชัด) เป็นพวกพูดมาก ขี้สงสัยมาก ฟุ้งซ่าน คิดได้ตลอดทั้งวี่ทั้งวัน แล้วก็จับประเด็นไม่ได้ว่าคิดอะไรบ้าง แถมมองโลกในแง่ร้าย ขี้ระแวง ไม่มีความสุข หนูสงสัยตั้งแต่จำความได้ว่าเกิดมาทำไม ก็เลยถูกพ่อพาเข้าหาศาสนาพุทธเลย หนูได้กัมมัฏฐานแบบอานาปานสติมา ฝึกครั้งแรกก็ตอน ป.5 ปฏิบัติทุกวัน(แบบงงๆ)อยู่ช่วงหนึ่งแล้วก็เลิก เริ่มปฏิบัติอีกทีตอนอยู่ ม.1 (ปัจจุบัน) แต่นานๆปฏิบัติที ก็ยังไม่เห็นว่าจะปฏิบัติคืบหน้าอะไรเลย ท้อใจมากๆ ก็เลยลองมาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับคนที่มีจริตเป็นวิตกจริต

    แต่ผิดคาด ยิ่งอ่านยิ่งน้อยใจ เพราะดูเหมือนวิตกจริตจะมีข้อมูลน้อยมาก บ้างก็บอกว่าคนจริตนี้เป็นคนมีบาปกรรมมาก ยิ่งบั่นทอนจิตใจเลยค่ะ เพราะหนูกรรมมากหรอ ถึงปฏิบัติไม่คืบหน้าเลย

    อีกอย่าง อาจเป็นเพราะหนูเป็นคนหัวแข็ง ดื้อมาก(รู้ตัว) หนูชอบยึดถือความคิดตัวเองเป็นหลัก นับถือสิ่งที่ตัวเองศรัทธาเป็นหลัก ใครบอกขัดแย้งหน่อย ความคิดหนูจะต่อต้านทันที ประมาณว่าชอบคิดว่าตัวเองถูก คนที่คิดไม่เหมือนผิด ..นิสัยแย่มากเลยใช่มั้ยคะ หนูรู้ตัวแต่แก้ไม่ได้สักที เพราะหนูคิดอย่างนี้หรือเปล่าถึงทำอะไรไม่ได้ดี ปฏิบัติไม่คืบหน้า ยังไงก็ขอคำแนะนำด้วยนะคะ

    อ้อ เกือบลืม อีกประการหนึ่งคือหนูเป็นพวกขี้เกียจค่ะ..
    ตั้งแต่ที่เล่ามายังไม่เห็นข้อดีของตัวเองเลย.. มืดแปดด้าน ไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆ ขอคำแนะนำด้วยนะคะ...
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    เป็น อาการของ นิวรณ์ ที่กำเริบในใจ
    นิวรณ์ คือ จิตใจที่ว้าวุ่น

    ที่ฟุ้งซ่าน เพราะจิตไม่สงบ เมื่อจิตไม่สงบ จิตก็สอดส่ายไปสัมผัส กับ สิ่งรอบด้าน

    เมื่อสัมผัสกับสิ่งรอบด้าน ก็เกิด อารมณ์ชอบ หรือ ไม่ชอบ ได้ง่าย

    เมื่อเกิดชอบ ก็ถวิลหา ฟุ้งซ่านวกวนแต่เรื่องที่ชอบ
    เมื่อไม่ชอบก็เกิดโทสะ
    เมื่อโทสะเกิด ก็คิดมาก ฟุ้งซ่านไป ครุ่นคิดอยู่แต่กับเรื่องที่ผ่านมาแล้วบ้าง ยังไม่ถึงบ้าง

    ทีนี้ พอจิตใจไปสัมผัสกับเรื่องภายนอกได้ง่าย เพราะเคยชิน เวลาใครแย้งหน่อย ก็โมโหง่าย

    จนกลายเป็นความเคยชิน

    เมื่อฟุ้งมากเข้าก็ หมดแรง หมดแรง ก็ง่วง ก็ขี้เกียจ อยากจะทำแต่เรื่องสบายๆ เรื่องที่ชอบ

    พอหนักๆ เข้าไป ก็วนเวียนวกวน สับสน ลังเล

    และ มันจะมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่รู้จัก มีสติ เอาน้ำมาดับไฟในใจ

    ด้วยการ ฝึกนิสัย ไม่ให้คล้อยตามความไม่ดี ให้มีสติ อย่าไปคว้าเรื่องต่างๆ มาทำให้จิตใจ เกิดอารมณ์

    ให้วางๆ ไปบ้าง และต้องทำเป็นนิสัย ทวน กระแสที่เคยทำตามกิเลสอยู่เป็นประจำ

    หากรากมันฝังมานาน ตั้งแต่เด็ก ก็ต้องทวนกระแสไปนานหน่อย

    บางคน จะเอาให้ได้ดังใจ มันจะไปได้อย่างไร ภายในวันสองวัน ในเมื่อมันสะสมมาหลายปี หลายชาติ

    พอไม่ได้ดังใจ ก็หงุดหงิด พลอยพาล ไปเสียอีก กลายเป็นว่า ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร กิเลสเอาไปเป็นทาสต่อไป


    สรุป

    มีสติ ฝืน ในสิ่งไม่ดี นิสัยไม่ดีให้บ่อย
    อดทน ทำไปเรื่อยๆ
    ทำดีในสิ่งที่พอทำได้ให้มาก ฝืนในสิ่งที่มีกำลังพอฝืนได้ให้บ่อยๆ
    เจริญสติ ให้อยู่กับปัจจุบันของ กาย ให้มากๆ
     
  3. somjeedz

    somjeedz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +433
    นิสัยน้องคล้ายๆพี่เลยค่ะเป็นพวกวิตกจริต ฟุ้งๆคิดมากคิดเยอะแยะ พูดมากกังวลนั่นนี้โน่นทั้งๆที่มันยังไม่มีไรเกิดขึ้น ดื้อมากๆๆๆๆๆๆขวางโลกมากกกกกด้วย
    พี่ก็ไม่รู้จะแนะนำยังไงนะค่ะเพราะพี่เองก็ยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรงูๆปลาๆ

    แต่พี่ก็ปฏิบัติมาเรื่อยๆสวดมนต์ไหว้พระทำสมาธิเรื่อยๆบ่อยๆแล้วอะไรในตัวเราหลายๆอย่างก็จะมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นค่ะ พยายามตามอารมณ์ให้ทัน
    คืออย่างน้อยน้องก็รู้ตัวนะค่ะว่าตัวเองขี้เกียจ ดังนั้นเมื่อรู้แล้วต้องพยายามทำค่ะ
    พี่เองก็ขี้เกียจเหมือนกันแต่ก็พยายามจะไม่ขี้เกียจนะ ทำบ่อยๆเข้าไว้เดี๋ยวก็จะดีขึ้นเองค่ะ

    พี่ยึดคำสอนของหลวงปู่ดู่ว่า

    ".....เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว ให้รีบพากันปฏิบัติ"

    "สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คือ กรรม"

    "คนดีน่ะ เขาไม่ตีใคร"

    "ของดีอยู่ที่ตัวเราหมั่นทำ(ปฏิบัติ)เข้าไว้"

    "ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต"

    "อย่าลืมตัวตาย"

    "ให้หมั่นพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"

    "ที่แกปฏิบัติอยู่ให้รู้ไว้ว่าไม่ใช่เพื่อข้า แต่เพื่อตัวแกเอง"

    "ตราบใดก็ตามที่แกยังไม่เห็นความดีในตัว ก็ไม่นับว่าแกรู้จักข้า
    แต่ถ้าเมื่อใดที่เริ่มเห็นความดีในตัวเองแล้ว
    เมื่อนั้น ข้าว่าแกรู้จักข้าดีขึ้นแล้ว"

    "บุญนั้นหมั่นทำไว้ปฏิบัติไว้ คนไหนที่เขาว่าทำได้ดีได้เห็นอะไรก็ตาม
    โมทนาไปเลยไม่มีเสียมีแต่ได้ อย่าไปขัดเขา"

    "หมั่นทำเข้าไว้...ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต
    ...ของดีอยู่ที่ตัวเรา ของไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเรา"

    "ปฏิบัติแล้ว โลภ โกรธ หลง แกลดน้อยลงหรือเปล่าล่ะ ถ้าลดลงข้าว่าแกใช้ได้"

    "นั่งไปเถอะ สว่างก็ได้บุญ มืดก็ได้บุญ"

    "โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม"

    "ธรรมนั้น อยู่ฟากตาย"

    "ผู้ปฏิบัติต้องหมั่นตามดูจิต รักษาจิต"

    "ตัวตายน่ะ ตัวสำเร็จ"

    "นิพพาน อยู่ฟากตาย"

    "ถ้าไม่เอา(ปฏิบัติ) เป็นเถ้าเสียดีกว่า"

    "เรื่องของคนอื่น เราไปแก้เขาไม่ได้ ที่แก้ได้คือตัวเรา แก้ข้างนอกเป็นเรื่องโลก แต่แก้ที่ตัวเรานี่เป็นเรื่องธรรม"

    "เชื่อไหมหละ ถ้าเราเชื่อจริง ทำจริง มันก็เป็นของจริง ของจริงมีอยู่ แต่เรามันไม่เชื่อจริง จึงไม่เห็นของจริง"

    "ติดวัตถุมงคล ยังดีกว่าที่จะให้ไปติดวัตถุอัปมงคล"

    "เอาของจริงดีกว่า พุทธังฯ ธัมมังฯ สังฆังฯ สรณัง คัจฉามิ นี่แหละของแท้"

    "ของจริง ต้องหมั่นทำ"

    "ถ้าแกเกลียดกิเลสเหมือนหมาเน่า หรือของบูดเน่าก็ดี ให้เกลียดให้ได้อย่างนั้น"

    "ข้าไม่มีอะไรให้แก
    (ธรรม)ที่สอนไปนั้นแหละ ให้รักษาเท่าชีวิต"

    "แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก
    แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็ยังคิดถึงแก"

    "หมั่นทำเข้าไว้ พระท่านคอยจะช่วยเราอยู่แล้ว แล้วเราได้ช่วยเหลือตัวเองก่อนหรือยัง"

    "ปฏิบัติธรรมตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เป็นหนุ่ม เป็นสาวนี่แหละดี เพราะเมื่อแก่เฒ่าไปแล้ว จะนั่งก็โอย จะลุกก็โอย หากจะรอไว้ให้แก่เสียก่อน แล้วจึงค่อยปฏิบัติ ก็เหมือนคนที่คิดจะหัดว่ายน้ำเอาตอนที่แพใกล้จะแตก มันจะไม่ทันการณ์"

    "ถ้ามันไม่ดีหรือไม่ได้พบความจริงก็ให้มันตาย ถ้ามันไม่ตายก็ให้มันดี หรือได้พบกับความจริง"

    "แกจะรู้เหรอว่า แกจะตายเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าแกเดินออกไปจากกุฏิข้าแล้ว อาจถูกงูกัดตายเสียกลางทางก่อนไปจับปลา จับกุ้ง ก็ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อตอนนี้แกยังไม่ได้ทำบาปกรรมอะไร ยังไง ๆ ก็ให้มีศีลไว้ก่อน ถึงจะมีศีลขาดก็ยังดีกว่าไม่มีศีล"

    "ครูอาจารย์ดี ๆ แม้จะมีอยู่มาก แต่สำคัญที่ตัวแกต้องปฏิบัติให้จริง สอนตัวเองให้มากนั่นแหละจึงจะดี"

    "คนเราทุกวันนี้ โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม เรามัวพากันยุ่งอยู่กับโลกจนเหมือนลิงติดตัง เรื่องของโลก เรื่องเละ ๆ เรื่องไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้จะต้องแก้ไขที่ตัวเราเอง ตนของตนเตือนด้วยตนเอง"

    "ขยันก็ให้ทำ ขี้เกียจก็ให้ทำ ถ้าวันไหนยังกินข้าวอยู่ก็ต้องทำ วันไหนเลิกกินข้าวแล้ว นั่นแหละ จึงค่อยเลิกทำ"

    "ภาวนาได้เห็นแสงสว่างเท่าปลายหัวไม้ขีด ชั่วประเดี๋ยวเดียว เท่าช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ยังมีอานิสงส์มากกว่าตัดบาตรจนขันลงหินทะลุ"

    "หมั่นทำเข้าไว้ หมั่นทำเข้าไว้ ต่อไปจะได้เป็นที่พึ่งภายหน้า"

    นะโมโพธิสัตโต พรหมปัญโญ
    นะโมโพธิสัตโต พรหมปัญโญ
    นะโมโพธิสัตโต พรหมปัญโญ
     
  4. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คำถามที่ถามว่าเกิดมาทำไม ผมก็เคยถามตัวเอง

    แล้วคำถามที่ว่าเกิดมาทำไม ทำไมต้องมาเกิด เกิดมาเพื่ออะไร

    ผมถามตัวเองมาตลอด แต่ตอนนี้รู้คำตอบแล้ว

    โดยปกติแล้ว"วิตกจริต"ก็ต้องอานาปานสติ แต่ที่เธอไม่คืบหน้า

    คงเพราะอยากให้ได้เร็วๆ และ ก็ไม่ค่อยปฎิบัติด้วย เลยไปกันใหญ่

    ถ้าหากชอบคิดก็เฝ้าดูความคิดแต่ต้องไม่คิดตามจะทำได้ไหม

    เฝ้าดูไปเรื่อยๆ แล้วคำถามที่ว่าเกิดมาทำไม คำตอบอยู่ในนั้นครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  5. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    ผมก็เคยเป็นนะแบบที่คุณว่ามา คิดได้ตลอดเวลา มองโลกในแง่ร้าย
    คิดไปเรื่อยหยุดคิดไม่ได้เลยแม้แต่ซัก 10 วินาที กลางคืนก็นอนไม่
    หลับ แล้วก็คิดอยู่ตลอดว่าเราเกิดมาทำไม แต่ตอนนี้ผมเจอแล้ว ผม
    อยากจะบอกว่าคุณมีธรรมชาติช่างสงสัย แต่คุณไม่เคยเจอกับสิ่งที่มัน
    ตอบความสงสัยของคุณได้เลย ถึงมีคนอื่นพยายามที่จะอธิบายให้คุณ
    ฟัง คุณก็ไม่พอใจกับคำตอบ แล้วคุณก็รู้ด้วยว่าถามไปอย่างไรก็ไม่ได้
    คำตอบอยู่ดี ผมเข้าใจนะหลายๆ คนที่เป็นแบบ ถามอะไรก็ตอบว่าทำ
    ต่อไป อย่าสงสัย ไม่ต้องสนใจนั่นนี่ เป็นคำตอบที่คนชอบคำอธิบาย
    ไม่มีทางพอใจ ผมยกตัวอย่างผมนะเมื่อก่อนคิดอยู่เสมอว่าทำไมคน
    นั้นต้องแบบนั้น คนนี้ถึงเป็นแบบนี้ ทำไมไม่ทำอย่างนั้น อย่างนี้ สงสัย
    อยุ่ตลอดความคิดในหัวมันสงสัยตลอด แต่พอผมได้อ่านหนังสือเล่ม
    หนึ่ง ผมกลับได้รับคำตอบสำหรับทุกคำถามที่ผมต้องการ จนผมไม่สง
    สัยอีกต่อไป ผมกลายเป็นคนที่ไม่คิดอะไรเลยเป็นเวลานานๆ ได้อย่าง
    ม่น่าเชื่อ สิ้นสงสัยและพบความสงบสุข ผมแนะนำว่าคุณลองหาสมุด
    เล่มหนึ่ง แล้วเขียนความคิดทั้งหมดของคุณลงไปในสมุดเล่มนั้น มีหัว
    ข้ออย่างเช่น
    ทำไมเขาถึงไม่.. แล้วคุณก็เขียนระบายความคิดทั้งหมดของคุณลงไป
    ทำไมทุกคนถึง...แล้วคุณก็เขียนระบายความคิดทั้งหมดของคุณลงไป
    คุณจะแปลกใจว่าในหัวคุณมันมีเรื่องราวมากมายพอจะเขียนเป็นพ็อค
    เก็ตบุ๊คได้เลย ผมเห็นว่าคุณต้องลองเห็นความคิดตัวเองบ้าง อย่าปล่อย
    ให้มันผ่านไป ถ้าคุณมีเรื่องสงสัยแล้วคิดว่าคนอื่นคงตอบให้คุณพอใจไม่
    ได้ก็ลองถามผมดู เพราะผมผ่านมาก่อน การทำสมาธิผมแนะนำกสิณ นะ
    เพราะคุณมีปัญหาในการโฟกัสกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คุณต้องหัดที่จะคิด
    เรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยไม่นอกเรื่องก่อนที่จะคุณจะหัดไม่คิดเรื่องอะไรเลย
    เอาใจช่วยนะเพราะผมรู้ว่าคนที่เข้าใจคุณนะมีไม่มากหรอก
     
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    ผมเห็นด้วย ว่า คุณ รู้ตัว รู้ว่าเป็นคนอย่างไร รู้ครบถ้วน ละเอียดดีด้วย สมกับ
    ความที่เป็นคน วิตกจริต ติดครุ่นคิดพิจารณา....ซึ่ง บางเรื่อง มันก็หันมาพิจารณา
    ตนแล้ว

    แต่.......( ขอ ตะ ไว้ก่อน เดี่ยวต่อตอนท้าย )

    เราเป็นอย่างไร คุณรู้ตัวว่าเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะยังไง ข้อ ห้ามข้อแรกที่พระพุทธองค์
    จะตรัสบอกคือ "อย่าตำหนิ" ตัวเองเด็ดขาด

    หากจะตำหนิ ให้ใช้"ศีล" เป็นเสมือนสิ่งภายนอกเข้ามาตำหนิ แต่อย่าได้เข้าใจ
    ว่าตัวเองเป็นผู้มีศีล( หรือกำลังเป็นผู้กล่าวตำหนิ) ให้ทำใจเสมือนว่า "ศีล"
    เป็นใครสักคนหนึ่งที่ไม่ใช่คุณ ท่านกำลังมองมายังคุณแล้วกล่าวตำหนิ

    เหตุผลที่ว่า อย่าทำตัว หรือ ตั้งตัวตำหนิตัวเอง เพราะ คุณจะหลงกลของ"ขันธมาร"
    ที่จะมาสรุปข้อความ ให้คุณหมายจดจำ หมายจะเป็น หมายว่าเป็น สืบเนื่องการเป็น
    (มารมันจะ เอาภพ เอาการงาน บางอย่างมาล่อ ให้คุณทำอยู่อย่างนั้น สำคัญอยู่
    อย่างนั้น เราก็เผลอเพลินไปกับ การเป็น การอยู่ แบบนั้นๆ ไปสักระยะ ก่อนจะ งง!!
    แล้ว กูต้องทำไรต่อ กูเกิดเพื่ออะไร มันวนเวียน เสียเวลาไปตั้งนาน กว่าจะมาเอะใจ
    หาทางพัฒนาที่ถูกต้องใหม่ )

    ซึ่งแน่นอนว่า หากตำหนิตัวเอง สิ่งที่ได้คือ การหยุดยั้ง หรือ การท้อใจที่จะหยุด
    ปรารภความเพียร แล้วก็จะเผลอตอกย้ำกับตัวเองว่า "เพราะหนูคิดอย่างนี้หรือเปล่า
    ถึงทำอะไรไม่ได้ดี ปฏิบัติไม่คืบหน้า" เนียะ "ขันธมาร" หลอกคุณอยู่

    * * * * *

    มาดูกันว่า คุณทำดีได้แค่ไหน แล้ว พลาดนี่ พลาดตรงไหน

    การที่คุณระบุ พฤติกรรมต่างๆ นานา ของคุณได้ อันนี้ คือ "ทำได้ดี"

    แต่...(ตรงที่ตะไว้ ขอพูดตรงนี้แหละ) แต่มันพลาดตรงที่ คุณนำมาใช้ไม่เป็น

    การที่เราสามารถรู้ สิ่งที่เราเป็น ได้อย่างละเอียดละออ เราต้องเอาสิ่งที่เรารู้
    นั้นนำมาใช้

    การนำมาใช้ คือ เห็นพฤติกรรมเหล่านั้น ในปัจจุบัน ขณะ เท่านั้น

    ตรงนี้ไง ที่พลาด เพราะ การรู้จักตน คุณอาศัยการเห็นในอดีต แล้วเผลอ
    สรุปไปว่า รู้จักตัวดีหมดแล้ว เนี่ยะ เขาเรียกว่า "ชิงสุกก่อนห่าม"

    ถ้าเราจะไม่ชิงสุกก่อนห่าม เราจะต้อง เอาพฤติกรรมใดๆที่เรารู้ว่าเราเป็น
    มาพิจารณาลงในปัจจุบัน เน้นการเห็นพฤติกรรม "เฉพาะหน้า"

    คำว่า เฉพาะหน้า แปลเป็นบาลีได้คำว่า ปฏิบัติ

    ดังนั้น ทำไมคุณจำแนกได้ว่า ไม่ก้าวหน้า ก็เพราะ คุณไปสำคัญว่ารู้จักตัวเองดีแล้ว

    แต่ที่จริงเปล่า คุณรู้จักแต่ตัวเองในอดีตที่ผ่านไปแล้วทั้งสิ้น คุณลืมดูพฤติกรรมใน
    ปัจจุบันขณะ"เฉพาะหน้า"ไป ......การปฏิบัติมันก็เลยไม่ได้ขึ้นไง

    ตำรา เขาไม่ได้ ชี้ผิด เพียง แต่คุณอ่านแล้วรีบสรุปว่า รู้แล้ว เร็วจนเกินไป ลืม
    เดินหน้าปฏิบัติ เน้นเห็นตามความเป็นจริง ลงในกายในใจลงเป็นปัจจุบัน ด้วยจิต
    ใจตั้งมั่นเป็นกลาง (ไม่เพลินอยู่กับการตำหนิตัวเอง ซึ่งจะโดน ขันธมาร เล่นละคร
    หลอก)

    ตำราเขาว่า ให้คุณใช้ "อานาปานสติ" นั้นแหละ ครับ ทำอานาปานสติ ต่อไปได้เลย

    เพราะ คุณทำอานาปานสติ นั้นแหละ ถึงได้ จำแนกพฤติกรรมในตน ออกมาได้ตั้งเยอะ

    แค่แจกแจงพฤติกรรมได้ตั้งเยอะนี่ อันนี้ก็ชื่อว่า เป็นปุถุชนชั้นดีแล้ว คือ เป็นปุถุชน
    ที่ไม่ใช่แค่สดับธรรมไปวันๆ สามารถมองย้อนมาที่จิตตนได้แล้ว (จะต่างกับ ปุถุชน
    ไม่เคยสดับ ปุถุชนที่ไม่เคยสดับ จะมองพวกมองย้อนดูพฤติกรรมตนว่า บ้า ว่าฝุ้งซ่าน
    แต่จริงๆเราปฏิบัติธรรมอยู่ต่างหาก)

    ต้องทำอย่างไรต่อไป

    1. ก็ใช้ อานาปานสติ เป็นเครื่องอยู่ (อันนี้ ถึงเป็น อรหันต์แล้ว ท่านก็ใช้เป็นวิหารธรรมอยู่นะ เพียงแต่
    ท่านใช้เพื่ออยู่สุขในปัจจุบัน ไม่ได้ใช้เพื่อคอยสอดส่องพฤติจิตเหมือนคนกำลังศึกษาอีกต่อไป --ไม่สิ้นลมหายใจไม่เลิกนะ )
    2. ไม่ต้องจำแนกพฤติกรรมตนให้ปริเฉทไปมากกว่านี้ เอาเฉพาะที่ วิจัยได้แล้ว มีเท่าไหร่ก็เท่านั้น
    3. เอาพฤติจิตที่อ่านได้จากข้อ 2. นั้น รู้ลงในกายในใจลงเป็นปัจจุบัน เน้นการเห็นเฉพาะ
    หน้า เป็นพอ
    4. เห็นพฤติกรรมเฉพาะหน้าได้เมื่อไหร่ นั้นแหละ ปฏิบัติ แล้ว ก้าวหน้าแล้ว แต่ต้องก้าว
    หน้าไปเรื่อยๆ ดูเนืองๆ ด้วยความตั้งมั่นเป็นกลางต่อการเห็น ไม่ต้องไปตำหนิตัวเอง

    * * * *

    การประเมินผล

    o. ให้เอาศีล สมาทานศีล รับศีลมาจากท่านผู้มีศีล ด้วยการน้อมศรัทธาไป แล้ว
    กระทำไว้ในใจว่า กำลังมีผู้ทรงศีลตำหนิคุณ แต่อย่าได้เผลอตัวสำคัญตนว่าเป็น
    ผู้ทรงศีลคนนั้นๆเด็ดขาด ต้องแยกแยะใจให้ออก ว่ากำลังหยิบยืมศีลของท่าน ไม่ใช่
    ปล้นศีลของท่าน ให้ดี หยิบยืมของพระพุทธองค์เลย เวลาตำหนินี่ ให้วางใจเหมือน
    พระพุทธองค์กำลังกล่าว แต่อย่าเผลอตัวว่าตัวเองเป็นพระพุทธองค์ แค่นี้เอง ไม่ยาก
    หรอก

    เว้นแต่ คุณจะมั่นใจได้ว่า "ศีลเราบริสุทธิแล้ว ศีลเราบริสุทธิแล้ว ศีลเราบริสุทธิแล้ว"
    จนเกิดความสุขในศีลที่เรามีแล้ว แบบนี้ ค่อยใช้ศีลที่มาจากตนตำหนิตัวเอง หากคุณ
    มีศีลจริง คุณจะไม่ตำหนิตนเพื่อกดข่มตัวเองหลอก มีแต่ตำหนิเพื่อก่อ ตำหนิอย่างมี
    ตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง มี"ศีลและธรรม"ในตนเป็นที่พึ่งนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2011
  7. ตอไม้

    ตอไม้ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    315
    ค่าพลัง:
    +82
    ครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอนมา ลองหาโหลดของพระเดชพระคุณท่านพ่อฤาษีลิงดำวัดท่าซุงดูนะขอรับ มีวิตกจริตด้วยดีมากๆขอรับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    อยู่ที่ใจเราว่าเราจะเอาดีหรือเปล่า ถ้าตั้งใจจริงเรารู้ว่าอะไรที่เป็นข้อบกพร่องเราก็รู้อยู่แล้วนี่ เราก้อย่าไปคล้อยตามกิเลสมันสิ เช่น กิเลสมันบอกว่าตอนนี้หน้าหนาว อย่าอาบน้ำนะ รู้ไหมหน้าหนาวพี่อาบน้ำตามปกติวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น น้องก้ต้องปฏิเสธกิเลสมันไปสิว่าฉันจะอาบ แล้วก้ลงมือปฏิบัติไป พยายามตั้งจิตใจให้เป็นกุศล แล้วศึกษาและลงมือปฏิบัติ ตั้งใจว่าชาตินี้ฉันจะเอาดีให้ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม สักวันหนึ่งฉันจะชนะในสงครามภพชาติให้ได้ พี่กล่าวเกินไปป่าว อย่างพี่ ปรารถนาพุทะภูมิ เคยเปลี่ยนศาสนาบ่อยจะตายไป เคยนับถือมาศาสนาอื่นๆด้วย เคยเป็นคนไม่มีศาสนาด้วย เคยกราบศาสดาของศาสนาอื่นด้วย เพื่อหรือเพราะอะไร เพื่อแสวงหาธรรมะ แสวงหาทางดับทุกข์ คือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย บางครั้งธรรมะในพระพุทธศาสนาให้คำตอบหรือให้ความสมหวังพี่ไม่ได้ พี่ก็ดำริออก กลายเป็นคนไม่มีศาสนา เคยกราบพระรัตนตรัยก่อนนอน มีหลายคืนที่ไม่ได้กราบ เพราะอะไร เพราะใจพี่ยังมีกิเลสอยู่ สติปัญญาพี่ยังด้อยอยู่ น้องอย่าเอาอย่างพี่ การที่น้องเป้นคนช่างสงสัยก็ใช้ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์ ดับความสงสัยด้วยปัญญา มีสติ เจริญในทานศีลภาวนา เป็นอย่างไรเชิญศึกษาเอาในแบบเถิด ที่กล่าวมาคืออย่าไปยึดมั่นถือมั่นในความคิดหรืออุปนิสสัยอย่างนั้น เมื่อรู้ตัวก็เป็นคนใหม่เสีย เป็นคนดีของคุณพ่อคุณแม่คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย เป็นต้น คบเพื่อนดี มีอะไรสงสัยก็ถามคุณครู สนทนาธรรมกับพระคุณเจ้า อ่านหนังสือธรรมะ แล้วลงมือปฏิบัติ เช่นการทำสมาธิ คืออานาปานสติกำหนดลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก เป็นต้น หวังว่าข้อความคงเป็นประโยชน์บ้างนะครับ ถุกใจไม่ถุกใจอย่างไรโพสต์แย้งได้.....พี่ว่าน
     
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    แล้วถ้ากิเลสของผมบอกว่า ตอนนี้หน้าหนาว อาบน้ำอุ่นวันละ 2 ครั้งหละ
    แบบนี้ ต้องฝืนเปล่าครับ
     
  10. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +3,592
    [​IMG]

    ศึกษายาก ปฏิบัติยาก วิเคราห์ยาก สังเคราะห์ยาก
    จริตมี 2 สุจริต มีสัมมาทิฐิตั้ง และ ทุจริต มีมิจฉาทิฐิตั้ง ผลของจริต ก็ต่างกันใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2011
  11. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    อ้าวๆ! ทักทายมาก็ทักตอบไป ยินดีในธรรมครับ คิดอะไรก้ดีงามก็ใจเป็นกุศลก็งดงาม ถ้าอาบน้ำอุ่นก้ต้องหนาวหลังจากออกจากห้องน้ำ!
     
  12. ฟ้าทมิฬ

    ฟ้าทมิฬ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +24
    เป็นเหมือนกันครับ เรื่องของคิดมาก ฟุ้งซ่าน นั่งสมาธิไปเถอะครับ พุทโธๆ เดี๋ยวก็ดีเอง มีพระท่านสอนผมมาว่า เรื่องของจิตมันเป็นเืรื่องที่ผูกมาหลายภพหลายชาติ จะให้นั่งสมาธิ ภาวนา พุทโธๆ แค่เดือนสองเดือน ปีสองปี แล้วมันจะแก้ได้หมดไม่มีทาง มันจะค่อยๆดีขึ้นมาเอง ให้อดทนทำไปเถอะครับ ส่วนบาปกรรมมาก ? สนไปทำไมละครับชาตินี้เราทำดีแล้วสักวันเดี๋ยวเราก็ได้ดีเอง ไม่ต้องไปสนปากคนหรอกครับ ว่าบาปกรรมมาก

    ปล.เมื่อก่อนผมเป็นเหมือนคุณทุกอย่างเลยครับ ดื้อ ขี้เกียจ คิดมาก ฟุ้งซ่าน อยากก้าวหน้า อยากเห็นนู่นเห็นนี่
     

แชร์หน้านี้

Loading...