กองทัพนาคา นักรบแห่งวารี

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย โยเดียร์, 27 มกราคม 2011.

  1. Ricky

    Ricky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +682
    จริงๆถ้าคุณพิจารณาจากไม่กี่ชาติ หรือแค่ว่าชาตินี้เท่านั้น คุณก็จะยังไม่รู้แน่ชัดหรอกครับว่าอะไรเป็นเหตุว่าทำให้ต้องเกิดเป็นอะไร และนั่นคือที่มาของกูญแจดอกที่ 1 ครับ (ดอกอีกแล้วครับคุณอัคคิมุข)
    กล่าวคือ เรื่องของกฏแห่งกรรมมันจะสั่งสมมาเรื่อยๆ บ้างกลับมาเร็ว บ้างกลับมาช้า เพราะฉะนั้นบุพกรรมที่ส่งผลให้เกิดเป็นนาคอาจจะเกิดไว แต่บุพกรรมที่ทำให้เกิดบุพกรรมที่เกิดเป็นนาคอาจจะสั่งสมกันมานานหลายร้อยล้านชาติแล้วก็ได้วนเวียนทบต้นทบดอก หมุนวนไปเรื่อยๆ เป็นไงครับ กุญแจดอกที่ 1+2 (บอกแบบง่ายๆทีเดียวไปเลย น่าจะเข้าใจกันทุกๆคนนะครับ^^) (กุญแจดอกที่ 2 ไปดูของพี่นาคน้อยได้เลยครับ)

    ***แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณยังมีตัวเลือกนะครับ ที่ว่าจะเดินทางสายกลางโดยที่ไม่ทำกรรมเพิ่มครับ


    *** ผมขอพิจารณา กุญแจดอกที่ 2 เพิ่มจากของพี่นาคน้อยอีกหน่อยนะครับ เพราะมันยังมีส่วนเสริมอีกหน่อยครับ ตรงที่ว่าของพี่นาคน้อยนั้นได้พิจารณาจากเหตุภายนอกเท่านั้น แต่ถ้าลองพิจารณาตัวเหตุเพิ่มกล่าวคือ เพราะเรามีขันธ์5 อันเป็นเหตุให้เกิดสิ่งต่างๆ อารมณ์ต่างๆทั้งที่เป็นกุศลก็ดี เป็นอกุศลก็ดี ย่อมเกิดจากตัวเราเองทั้งนั้น ใช่ว่าคนอื่นมาบอกให้เราโกรธแล้วเราก็โกรธ(ลองดูพระอรหันต์เป็นตัวอย่างนะครับ จะได้เห็นตัวอย่างง่ายขึ้น) แต่เป็นเพราะขันธ์5 ของเราทำงานสั่งว่า เราต้องโกรธ จำว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เราต้องโกรธ ปรุงแต่งว่า เราต้องโกรธ ซึ่งมันก็เป็นเช่นนี้แล
     
  2. Ricky

    Ricky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +682
    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าคุณพิจารณาตามเหตุการเกิดตามที่พี่หญิงทิพย์ได้กล่าวไว้ด้วยคำเมือง^^
    คุณก็จะสามารถนำมาพิจารณาจนได้คำตอบว่า เหตุการเกิดนั้นมีกุศลหรือกรรมมากกว่ากัน ย่อมไม่สามารถบอกได้ เพราะบางท่านเกิดเพราะบุญ บางท่านเกิดเพราะกรรม บางท่านเกิดเพราะสัญญา บางท่านเกิดเพราะต้องการสร้างบารมี ซึ่งเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการเกิดเหล่านี้ของแต่ละท่านย่อมต้องพิจารณาต่อไปอีก (กุญแจดอกที่ 1+2)

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นท่านเหล่านี้ยังไม่พ้นกรรมนะครับ ไม่ว่าจะอยู่สวรรค์ชั้นฟ้าไหนๆก็ตามย่อมสามารถสร้างกรรมได้ ถึงวันนี้จะไม่สร้าง แต่วันหน้าย่อมต้องสร้างแน่นอน ตราบใดที่ยังไม่หลุดพ้นจากอำนาจกิเลสได้ ท่านเหล่านั้นย่อมต้องสร้างเวรสร้างกรรม บ้างก็สร้างกรรมเพราะกิเลสเป็นตัวควบคุม บ้างก็สร้างเพื่อหาทางง่ายๆที่จะทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น บ้างก็ทำเพื่อเอาตัวรอด แล้วก็วนเวียนตายแล้วก็เกิดไปเรื่อยๆไม่จบไม่สิ้น ถ้าท่านเหล่านี้ไม่มีธรรมเปรียบดั่งแสงเทียนในวันที่มืดมิด คอยส่องแสงนำทางให้พ้นจากสภาวะที่สิ้นไร้หนทางออกเช่นนี้ คิดดูว่าจะเป็นอย่างไร
     
  3. Ricky

    Ricky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +682
    เหมือนตะกี้มันจะแว๊บขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง แต่ลืมไปแล้ว เอาแค่นี้ก็คงจะเพียงพอแล้วนะครับ

    ***เรื่องของเหตุ เน้นพิจารณาตนเองนะครับ มิฉะนั้นแล้วจะเป็นการส่งจิตออกนอก ซึ่งจะทำให้กิเลสมันเกิดขึ้นได้ง่ายครับ แล้วมันจะไม่ดีสำหรับตัวคุณเองครับ^^

    ด้วยรักและปราถนาดีครับ^^
     
  4. Ricky

    Ricky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +682
    บุญกุศลที่กระผมได้แสดงธรรมขอให้บังเกิดมีแก่เหล่านาคา นาคี ทุกๆท่านนะครับ

    สัพเพ นาคา สัพพา นาคี
     
  5. โยเดียร์

    โยเดียร์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +15
    นี่ผมฟลุคตอบถูกด้วย แบบนี้ฉลองกันดีกว่าครับ จัดโต๊ะจีนเลยดีกว่าซักครึ่งโต๊ะประหยัดตัง รออ่านนะท่าน Ricky
     
  6. Pompaka

    Pompaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    380
    ค่าพลัง:
    +351
    โอยยยย...ความรู้ท่วมหัวกันไปหมดแล้วววว

    ว่าแต่ เอาตัวรอดกันได้รึยังล่ะคับท่าน อิๆ
     
  7. Ricky

    Ricky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +682
    ยังไม่พ้นกรรมเลยครับท่าน ^^
     
  8. ม่อนดอยด์

    ม่อนดอยด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +349
    จะไปว่าจะอั้นจะอี้ .. ตั๋วข้าเจ้าก่อยังเอาตั๋วมะรอดเลยเน้อเจ้า... อิอิ
    อนุโมทนาสาธุ เน้อเจ้า อ้ายบ่าว Ricky ขอบคุณจั๊ดนัก สำหรับ
    ดอก1 ดอก2 และ รวมดอก
    บ่าวหน้อยอัคคิมุข จะไปดีลืมเอา ดอกมารวมๆกัน ตวยเน้อ อ้ายยย
    อิอิ ^^​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 กุมภาพันธ์ 2011
  9. Ricky

    Ricky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +682
    ธรรมเหล่านี้ สามารถล่วงรู้ได้ด้วยโยนิโสนะครับ ลองปฏิบัติ พิจารณาธรรมกันไปเรื่อยๆครับ แล้วท่านจะเห็นธรรมเหล่านี้เอง
     
  10. Ricky

    Ricky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +682
    .....บ่เป็นหยังเจ๊า....
     
  11. Pompaka

    Pompaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    380
    ค่าพลัง:
    +351
    ถ้าเป็นจะอั้น เปิ้นโดน หลายดอก แต้ๆล่ะกา


    แล้วเปิ้นจะยะจะไดพ่อง น่าเอ็นดูแต้ๆล่ะพ่อนายเอ๋ย
     
  12. ม่อนดอยด์

    ม่อนดอยด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +349
    อู้จะอี้คนใต้เปิ้นฮ้องว่า ทองแดง เน้ออ้ายเน้อ อิอิ สนใจเข้าคอร์ทอู้กำเมืองกะหญิงทิพย์ ก่อเจ้า มะกึดสตังค์ แต่กิ๋นข้าวลำเน้อ อิอิ

    ปายนอนเเระ ฝันดีคร่าทุกๆคน
    :z1​
     
  13. Pompaka

    Pompaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    380
    ค่าพลัง:
    +351
    ป๊าดๆๆ....อีหยังมันคือเป็นจังซั่น !!!

    ข่อยล่ะงึด อีหลีตั๊วะ
     
  14. โยเดียร์

    โยเดียร์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +15
    <CENTER>พรหมในร่างมนุษย์(2)

    ตอน ปลดปล่อยวิญญาณทุกขเวทนา
    [​IMG]

    </CENTER>


    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>สวัสดีจ้ะ น้องโยเดียร์

    มาเล่าต่อนะ
    หลังจากได้เจอกับพระแม่มหากาลีแล้ว ก็ได้ล่วงรู้ถึงองค์ที่ปกปักรักษามาตลอด ทั้งๆ ที่ตัวเองก็พอรู้อยู่บ้าง แต่ไม่แน่ใจ คิดว่าเราเป็นบ้า หมกมุ่นเรื่องลึกลับมากไป ไม่กล้าบอกไม่กล้าเล่า เกรงผู้ฟังจะว่าเราวิปลาศ ท่านสถิตย์อยู่ที่กลางกระหม่อมของเรา ติดตามเราทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าจะไปเกิดภพภูมิใด ทำให้มีญาณหยั่งรู้ หรือลางสังหรณ์ที่แม่นยำ มีบารมีที่ไม่ต้องอธิษฐานใช้ หากผู้ใดคิดดี ปรารถนาดีต่อเราโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เขาเหล่านั้นก็จะพบเจอแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต หรือแม้กระทั่งถ้าผู้ใดทุกข์ด้วยเรื่องต่างๆ แล้วมาเล่าให้ฟัง เมื่อได้รับฟังเรื่องราวต่างๆ แล้วคิดอยากช่วยเหลือ พอเวลาผ่านไปไม่นาน ปัญหาต่างๆ ของคนนั้นก็จะคลี่คลายไปเองอย่างอัศจรรย์

    จากการได้สัมผัสพูดคุยกับแม่ย่าในทุกวันที่ท่านยังอยู่บนโลกมนุษย์ จะคุยเรื่องธรรมะมากกว่า ได้ทำพิธีกรรมต่างๆ เป็นพิธีกรรมที่มีอัศจรรย์เกิดขึ้นทุกครั้ง และทุกครั้งจะต้องมีพระยานาคมาร่วมเป็นสักขีพยาน ทุกคนที่เข้าร่วมพิธีจะมีพระยานาคมาเลื้อยบนร่างกาย รู้จากภาพถ่ายโทรศัพท์มือถือนะ

    ท่านบอกว่า มีภาระกิจลงมาเพื่อคัดเลือกอรหันต์ทั้ง 9 ถอนคุณไสย ถอนขันธ์ และปลดปล่อยวิญญาณทุกขเวทนา ท่านได้เลือกอรหันต์ทั้ง 9 จากผู้ที่มาพบท่านเพื่อให้ท่านช่วยเหลือ อรหันต์ของท่านที่คัดเลือกได้ครบทั้ง 9 นั้น ล้วนเคยมีภพภูมิมาจากพระยานาคทั้งสิ้น และมีเทพชั้นสูงปกปักรักษาทั้งสิ้น อีกทั้งยังเคยเกิดร่วมภพร่วมชาติกันมาก่อน แต่มีภูมิธรรมแตกต่างกัน ไม่เท่ากัน

    ที่นี้จะเล่าเรื่องการปลดปล่อยวิญญาณทุกขเวทนา ครั้งที่ 1 กันนะ (ทำไมต้องครั้งที่ 1 ก็มี 2 ครั้งนะซิ)

    สถานที่ที่จะไปเป็นวัดแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ที่อำเภอบางพลี หรือก็คือ วัดบางพลีใหญ่ ที่เป็นที่ประดิษฐานองค์หลวงพ่อโตที่ศักดิ์สิทธิ์ และวัดบางพลีน้อย ที่ประดิษฐานพระนอนที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดสมุทรปราการ วัดแห่งนี้ พี่เคยไปกับเพื่อน 2 คน แล้วก็ไม่อยากไปอีก เพราะรู้สึกอึดอัดมาก เหมือนมีดวงวิญญาณอาศัยอยู่หนาแน่น ติดตามเราทุกก้าวย่าง จนเราหายใจแทบไม่ออก ก็เลยอธิษฐานจิตไว้ว่า ขณะนี้เรายังมีบารมีไม่พอและยังไม่รู้วิธีที่จะช่วยเหลือได้ แต่วันหนึ่งข้างหน้าจะมีผู้มีบุญมาปลดปล่อยพวกท่าน ให้อดทนรอไปก่อน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอธิษฐานอย่างนั้น

    วันหนึ่งที่คณะที่ถูกเลือก 6 คน รวมทั้งสังขารของแม่ย่า นัดหมายกันไปทำบุญที่วัดบางพลีใหญ่ เหตุเพราะสังขารอยากจะไป เราพากันไปแต่เช้า โดยใช้รถของเพื่อนอีกคน เมื่อไปถึงก็เข้าไปไหว้หลวงพ่อโตในโบสถ์ พร้อมทั้งปิดทอง การปิดทองพระก็มีความหมายนะ ต้องปิดให้ถูกต้อง ถูกที่ถูกทาง ขณะนั้น แม่ย่าได้ผ่านร่างของสังขาร มาบอกวิธีปิดทองหลวงพ่อโต โดยให้ปิดที่ปลายนิ้วชี้ข้างซ้าย ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าพุทธลักษณะขององค์หลวงพ่อโต เป็นปางมารวิชัย อธิษฐานขอให้ประสบความสำเร็จ แล้วก็ไปปิดทองหลวงพ่อโสธร โดยปิดทองที่กลางฝ่าเท้า เพื่อให้มีความก้าวหน้า และองค์ที่ 3 คือหลวงพ่อวัดบ้านแหลม ปางอุ้มบาตร องค์นี้ต้องปิดที่บาตร พร้อมทั้งโยนเงินเหรียญลงไปในบาตรให้เกิดเสียงดัง ขอความอุดมสมบูรณ์ และอีกหนึ่งแผ่นปิดที่กลางหลังองค์พระเพื่ออัดพลังให้บังเกิดผลเร็วขึ้น หลังจากปิดทองพระเสร็จแล้ว ก็ชวนกันไปวัดบางพลีน้อย เพื่อปิดทองพระนอน อยากจะปฏิเสธมากๆ เลยในเวลานั้น เมื่อนึกถึงความอึดอัด หายใจไม่ออก แต่ทุกคนก็ลงความเห็นว่าไหนๆ ก็มากันแล้ว และหาเวลามาได้ยากมาก เพราะทุกคนต้องทำงาน ก็ไปซะหน่อยจะเป็นไร ตกลงก็พากันไปต่อ เพราะอยู่ห่างกันไม่เท่าไหร่ เมื่อไปถึงวัดบางพลีน้อย ด้านหน้าจะมีศาลพระยานาคองค์สีดำ หน้ากลัวมาก มีบ่อน้ำขนาดใหญ่อยู่ในวัด ขุดไว้โดยเฉพาะเลย น่าจะเป็นทางขึ้นลงของพระยานาค แต่ทั้งบริเวณวัดนี้ไม่มีธรณีเลย (ไม่มีดินเลย) เราก็บ่นว่าหายใจไม่ออก รีบๆ ปิดทองนะ แล้วรีบออกไป ก็พากันเดินไปที่ประดิษฐานองค์พระนอน ระหว่างทางเดินจะเห็นช่องใส่กระดูกคนตายข้างกำแพงวัด เต็มไปหมด หันไปตรงไหนก็เจอ พอไปถึงก็ซื้อดอกไม้ธูปเทียนทอง จุดธูปจุดเทียนไหว้ด้านนอก เข้าไปด้านในปิดทององค์พระเสร็จแล้ว หันไปเป็นป้ายเชิญชวนให้ปิดทองหัวใจพระ แล้วมีลูกศรชี้ทางให้ไปตามทางนั้น ระหว่างทางเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งนั่งรับสังฆทาน เราก็มองแต่ไม่ได้สนใจ ใจจดจ่ออยู่ที่จุดหมายคือหัวใจพระ เพราะอึดอัดมาก เมื่อไปถึงเป็นช่องทางเข้า มีแม่ชีแก่ๆ อยู่ที่ตู้วัตถุมงคล แม่ชีเหลือบมองพวกเราแล้วยิ้มให้ มีบันไดเดินขึ้นไป 3 ชั้น บันไดก็แคบๆ ชันๆ ชั้นล่างเป็นที่อยู่พระสงฆ์ที่ตรงกับช่องเมรุเผาศพ ชั้นที่ 2 เป็นนรกภูมิ มีภาพภูติผี ปีศาจ เปรต อสุรกาย บนฝาผนัง และห้องขุดนรกสีแดงฉาน ชั้นที่ 3 มีภาพพระอริยะบนฝาผนัง และเป็นที่บรรจุหัวใจพระ แต่ละคนทำไมเดินขึ้นมาช้าจังเลย รู้สึกหนักๆ หน่วงๆ เหมือนกัน แต่ไม่พูด เพื่อนคนที่ตัวเล็กที่สุด บอกว่าขึ้นไม่ไหว ตัวมันหนักมากเลย บางคนรู้สึกหน้ามืด อยากจะอาเจียน เราก็ช่วยกันดึง ช่วยกันดันจนขึ้นไปถึงห้องหัวใจพระ เอ้าแล้วทำไมไม่รีบปิดทองหล่ะ ทุกคนรอ รอแม่ย่ามาบอกวิธี แล้วแม่ย่าก็บอกให้ปิดทองโดยไล่จากก้นบึ้งหัวใจ ไปจนถึงปลายขั้วหัวใจที่ชี้ไปทางเศียรพระ ทั้งหมด 5 แผ่น พอปิดจนหมด การอธิษฐานปิดทองหัวใจพระเพื่อลบความมืดบอดในก้นบึ้งของหัวใจให้หมดไป พวกเราทุกคนตัวเบาหวิว ทำไมไม่หนักเหมือนตอนขึ้นมาเลย แล้วก็พากันกลับ ที่นี้โล่งแล้ว ดีใจจัง เพื่อนๆ ต่างแยกย้ายกันกลับไปทำงาน ส่วนเราขาใหญ่ไม่ไปทำงานซะงั้น ตามแม่ย่ากลับไปตำหนัก นั่งรอเวลาที่บนสวรรค์กำลังนับและคัดแยกดวงวิญญาณที่ถูกปลดปล่อย ทีแรกพี่ก็ไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ทำในวันนี้คือการปลดปล่อยดวงวิญญาณทุกขเวทนา แต่มีผู้รู้อยู่ 2 คน คือสังขารแม่ย่ากับลูกศิษย์อีกคน

    เมื่อถามแม่ย่าว่าทำไมทุกคนถึงตัวหนัก บ่นกันมาตลอดทางขากลับ ต่างเล่าว่าตัวหนักมาก หายใจไม่ออก แม่ย่าบอกว่าดวงวิญญาณเหล่านั้น เค้าแย่งกันเกาะเราขึ้นไป แล้วเพราะอะไรถึงปลดปล่อยได้ ก็เพราะผู้ที่สร้างสองวัดนี้มีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่ปลดปล่อยวิญญาณ โดยนิ้วชี้ของหลวงพ่อโตจะชี้มาทางเศียรพระนอน และปลายเศียรของพระนอนจะชี้ขึ้นบนฟ้า หมายถึงสวรรค์ และแล้วก็ถึงเวลาประกาศผล ของผู้ที่ปลดปล่อยดวงวิญญาณทุกขเวทนาได้มากที่สุด คือสังขารของแม่ย่า 7 แสนกว่าดวง พี่ก็เลยถามว่า รู้ได้อย่างไรว่าดวงวิญญาณไหนใครเป็นผู้ปลดปล่อย เพราะดวงวิญญาณที่ถูกปลดปล่อยครั้งนี้รวมกันแล้วหลักล้านดวง มีวิธีแยกแยะอย่างไร ท่านบอกว่าทุกคนมีออร่าที่สีแตกต่างกัน วิธีแยกแยะจากสีออร่าที่ติดไปกับดวงวิญญาณเหล่านั้น สีออร่าของพี่เป็นสีม่วง สวยงามมาก อันนี้แม่ย่าบอกนะ รู้สึกท่านจะภาคภูมิใจเมื่อเอ่ยถึงสีออร่าของพี่ วันนี้แค่นี้ก่อนนะ แล้วจะมาเล่าครั้งที่ 2 ให้ฟัง มีอะไรน่าตื่นเต้นกว่ามากเลย

    สวัสดีจ้ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2011
  15. โยเดียร์

    โยเดียร์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +15
    แด่นางผู้เป็นที่รัก แม่หญิงของพี่

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=FS0KW-U4nJU]YouTube - ครวญถึงเจ้า - สุนทราภรณ์[/ame]​
     
  16. โยเดียร์

    โยเดียร์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +15
    เรื่องแปลกๆก่อนลงบทความนี้ครับ คือคอมโนตบุ๊คผมปรกติไม่เคยดับเลย แต่ตอนไปเอาบทความนี้มาคอมดับไปถึง5รอบ ตอนรอบแรกๆคิดว่าคอมคงเป็นอะไรไวรัสหรอ แต่รอบที่4เริ่มคิดว่าทำไมบวกกับอารมณ์ไม่ค่อยจะดีเอาซะเลยพอรอบที่5เป็นอีก เลยยกมือไหว้ขอเอามาลง เท่านั้นทุกอย่างก็จบ
    เจ้าแม่กาลี

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=FMgNlmaKhbM&feature=player_embedded"]YouTube - Devi Bhajan (Mere Man Ke Andh Tamas)[/ame]​


    [​IMG]

    พระแม่อุมา (ปารพตี หรือ กาลีทุรคา)

    เทวีแห่งความการุณย์ เทวีแห่งสันติ เทวีผู้ปราบอสูร คุณไสย มนต์ดำ

    (ภาคพระแม่กาลีและพระแม่ทุรคา)



    <CENTER>พระนามที่ปรากฏในคัมภีร์ต่าง ๆ อาทิ พระนางเหมวดี พระนางสยามา พระจัณฑิกา พระไภรพี พระชคินมาตา พระแม่อุมายังมีอีกหลายภาคด้วยกัน เช่นภาคหนึ่งซึ่งเป็นภาคที่พระแม่อุมา ไม่ได้มีความสวยงามหมดจดงดงามดั่งภาคอื่น ๆ แต่ในภาคของพระแม่กาลี นี้พระนางเป็นเทวีที่มีผิวพรรณดำสนิท มีวรกายอ้วนใหญ่ปล่อยผม สยายยาว ประบ่ามิได้รวบขึ้นรัดเกล้าไว้ พระแม่กาลี มี ๑๐ แขน มีอาวุธร้ายถืออยู่ในทั้ง ๑๐ มือนั้น และที่ริมฝีปากยังมีเลือดไหลหยดเป็นทางยาว และประดับเครื่องแต่งองค์อาภรณ์ไปด้วยสังวาลสายที่ร้อยไว้ด้วยมือ คนที่ตัดมาจากการฆ่าอีกทั้งยังมีงูตัวใหญ่ร้อยคาดองค์ดั่งสังวาลเช่นกัน มือหนึ่งใน ๑๐ มือของเจ้าแม่กาลีนี้ได้ถือหัวกระโหลกบ้าง </CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>พระแม่กาลี ได้แบ่งภาคจากการบำเพ็ญตบะของ พระอุมาเทวี (พระแม่อุมา)</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>โดยทรงมีจุดประสงค์เพื่อปราบอสูรตนหนึ่ง นามว่า อสูรทารุณ</CENTER>
    ความเป็นมามีอยู่ว่า อสูรทารุณนี้แม้ว่าจะถูกฆ่าสักกี่ครั้งก็ไม่มีวันตาย แล้วที่สำคัญกว่านั้นเมื่อเลือดตกลงพื้นเมื่อใดก็จะทวีขึ้นเรื่อยไปไม่หมดสิ้น ความที่คิดว่ามีอิทธิฤทธิ์มากมาย ฆ่าไม่ตาย จึงทำให้อสูรทารุณเกิดฮึกเหิมในความเก่งกาจของตน จึงนำอิทธิฤทธิ์ ความเก่งกาจมาใช้ในการกลั่นแกล้ง รังแกผู้คน เทวดาทั่วไป สุดท้ายก็คิดจะครอยครองโลกทั้งสาม เมื่อเป็นดังนี้แล้วเหล่าเทวดา นางฟ้า ผู้ทรงศีลทั้งมวล จึงต้องนำเรื่องเข้าเฝ้าพระอิศวร เพื่อหาทางปราบอสูรตนนี้ เหล่าเทวดาทั้งหลาย เมื่อได้ฟังสรรพคุณของอสูร ก็ไม่มีใครกล้าอาสาออกไปสู้รบเลย




    จนในที่สุด องค์พระศรีมหาอุมาเทวี เทพสตรีแห่งสวรรค์ ได้มีความประสงค์ที่จะออกปราบศัตรูร้าย ซึ่งพระองค์ได้ขอพรขอบารมีต่อองค์พระศิวะผู้เป็นเจ้า เพื่อให้ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ แล้วจึงเสด็จเพื่อบำเพ็ญตบะทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ ให้มีฤทธิ์อำนาจปราบศัตรูร้ายได้ โดยได้กระทำพิธีในอุทยานเขตแดนป่าหิมพานต์ โดยพระศรีมหาอุมาเทวีได้ทรงมอบหมายให้องค์ขันทกุมาร (หรือ พระสกันทะ ซึ่งเป็นโอรสอีกองค์หนึ่งของพระศิวะและพระแม่อุมาเทวี) รับหน้าที่ดูแลไม่ให้ใครย่างกรายเข้าไปในพิธีได้โดยเด็ดขาด

    เมื่อเวลาผ่านไป พระศิวะ จึงเสด็จเข้าไปในอุทยานเพื่อให้รู้แน่ว่าเกิดเหตุใดขึ้น พระองค์ก็พบพระขันทกุมาร จึงสอบถามพระขันทกุมารว่าพระอุมาเทวีอยู่ที่ใด จะขอเข้าพบ พระขันทกุมารได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวตอบไป ด้วยความที่ทรงได้รับคำสั่งจากพระอุมาเทวีก่อนเข้าบำเพ็ญตบะ ว่าห้ามมิให้ใครผู้ใดย่างกรายเข้าสู่บริวณพิธีโดยเด็ดขาด จึงไม่สามารถให้พระศิวะผ่านเข้าไปในพิธีได้



    <CENTER></CENTER><CENTER></CENTER>เมื่อเป็นดังนั้นจึงเกิดการโต้เถียงขึ้น เลยเถิดถึงการปะทะกำลังกัน!! เหตุการณ์ผ่านไปไม่น่านนักก็ถึงเวลาที่พระแม่อุมาเทวีบำเพ็ญตบะเสร็จ จึงได้เสด็จออกมา แต่สิ่งที่ปรากฎกลายเป็นรูปกายที่เปลี่ยนไปจากเดิม เป็นพระแม่กาลี!! โดยองค์พระขันทกุมารเมื่อเห็นพระแม่กาลีก็ทรงทราบได้ว่านี่คือพระมารดาของตนเมื่อพระแม่อุมาได้ฟังคำจากพระขันทกุมารว่า พระศิวะไม่มีความเกรงใจและจะผ่านเข้าไปในพิธีให้ได้ จึงได้เกิดอาการโมโห ตาถลนออกนอกเบ้า หน้าตาดุดัน แลบลิ้นยาวน่าเกลียดน่ากลัว ทำปากแบะกว้างเห็นเขี้ยวโง้ว มีเลือดไหลจากมุมปากและตามมือและลำตัว ส่งกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่ว ตรงเข้าหาพระศิวะทันทีด้วยความโมโห เมื่อพระศิวะเห็นถึงกับผงะ ตกใจหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต พระแม่กาลีก็ทรงไล่ตามเรื่อยจนพระศิวะทรงพ้นจากเขตอุทยานไป พระแม่กาลีจึงย้อนกลับไปหาพระขันทกุมาร ด้วยเห็นถึงความซื่อสัตว์ จงรักภักดี ไม่ยอมผิดคำสัตย์ที่พระองค์ทรงมอบหมายให้ถึงแม้นว่าจะเป็นพระบิดาของตนก็ตาม เหตุการณ์นี้จึงเป็นที่พอพระทัยแก่พระแม่กาลีเป็นอย่างยิ่งจากนั้น พระแม่กาลีจึงรีบเสด็จออกจากอุทยาน เพื่อตามล่าสังหารอสูรทารุณ ซึ่งไม่นานพระแม่กาลีก็ได้เผชิญหน้ากับอสูรทารุณ


    [​IMG]

    <CENTER></CENTER>
    ด้วยฤทธิอำนาจของทั้ง 2 ฝ่าย การต่อสู้ที่ยาวนานจึงเกิดขึ้น ด้วยร่างกายที่แข็งแรงของพระแม่กาลีการต่อสู้จึงดำเนินไป และเป็นจังหวะที่พระแม่ทรงใช้ดาบฟันคอสูรขาด แต่แล้วเลือดของอสูรก็หยดลงพื้นแผ่นดินกลับกลายเป็นการกลับคืนชีวิตของอสูรร้ายตนนี้โดยไม่ว่าจะฆ่าฟันกี่ครั้งเลือดหยุดสู่พื้นก็บกลับเป็นอสูรเพิ่มทวีเรื่อยๆ เมื่อเป็นดังนี้ต่อไปคงไม่มีวันฆ่าอสูรตนนี้ให้ตายเป็นแน่ พระแม่กาลีจึงคิดกลอุบายเพื่อเอาชัยชนะในครั้งนี้ให้ได้ โดยการตัดหัวอสูรพร้อมทั้งทรงดูดกินเลือดอสูรก่อนที่เลือดจะตกลงสู่พื้น เมื่อกินจนกระทั่งหมดสิ้นแล้วรูปกายของพระแม่กาลีถึงกับพุงกางด้วยความอิ่ม ในมือนั้นถือหัวของอสูรที่ตัดร้อยเป็นพวงไว้จนที่สุดของที่สุด อสูรตนนั้นจึงสิ้นฤทธิ์ลงเพราะไม่มีหยดเลือดหยดลงพื้นแล้วจึงสิ้นสุดลงเพียงนี้





    <CENTER></CENTER>ด้วยความดีพระทัยในการได้รับชัยชนะในครั้งนี้ พระแม่กาลีจึงทรงเต้นรำอย่างสำราญฤทัยที่สุด จนลืมพระองค์ไป ทรงยกเท้าขึ้นสูงหมายจะกระทืบลงบนพื้นโลก เหล่าเทวดาทั้งหลายเห็นแล้วก็กลัวว่าพระแม่กาลีจะกระทืบลงบนพื้นโลกเป็นแน่ จึงเข้าเฝ้าพระอิศวรเพื่อหาทางแก้ไขโดยทันการณ์ แล้วพระอิศวรจึงทรงตระหนักได้ว่าพระแม่กาลีที่รูปกายน่าเกลียดนั้นแท้จริงแล้ว ก็คือพระศรีมหาอุมาเทวี พระมเหสีแห่งพระองค์นั้นเอง เมื่อเป็นดังนี้พระแม่กาลีก็ย่อมต้องคิดตรงกับพระองค์เป็นแน่ว่าแท้จริงแล้วพระแม่กาลีก็ต้องทรงเกรงใจ และจดจำพระองค์ได้บ้างเป็นแน่ และแล้วพระอิศวรจึงเสด็จไปพบพระแม่กาลีและทรงลงไปนอนขวางพื้นโลกไว้ ในขณะที่พระแม่กาลีกำลังดีใจพร้อมจะกระทืบเท้าลงก็พรันต้องชะงักเมื่อมองเห็นพระอิศวรผู้สวามีลงไปนอนขวางแทนอยู่ พระแม่กาลีทรงมีความเกรงใจต่อพระอิศวรผู้เป็นสวามีอย่างที่สุดจึงไม่กล้ากระทืบลงพระอุระ และหยุดการกระทำนั้นลง เหล่าเทวดาทั้งหลายทั้งมวลจึงยกย่องพระอิศวรและแม่กาลี พากันศรัทธาในพระองค์ยิ่งขั้นจากการปราบอสูรร้ายและการแก้ไขเหตุการณ์ในครั้งนี้




    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER>
    เจ้าแม่กาลี มีอำนาจฤทธิ์ในการปราบปรามสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง




    มีเทวานุภาพอันแรงกล้า สร้างความวิบัติแก่เหล่าอสูรอย่างรุนแรง เด็ดขาด แฝงเร้นไว้ซึ่งความน่ากลัว

    ผู้บูชาพระแม่กาลีอย่างถูกต้องและเคร่งครัด พระแม่จะประทานความแข็งแกร่ง ความกล้าหาญ และอำนาจเหนือผู้อื่น

    พระแม่กาลี ยังมีพลังอำนาจในการขจัดคุณไสย ลบล้างไสยเวทย์ด้านมืด

    หากบุคคลใดถูกกระทำทางไสยศาสตร์ เมื่อผู้นั้นได้สวดบูชาอ้อนวอนต่อพระองค์ท่านแล้ว
    พระองค์ท่านก็มักให้พร ขจัดสิ่งอาถรรพ์ชั่วร้ายให้มลายหายไป




    <CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER>

    การบูชาพระแม่กาลี
    </CENTER>แท่น หิ้ง หรือ โต๊ะบูชา ขององค์พระแม่กาลี ควรปูด้วย ผ้าสีแดงก่อน แล้วค่อยประดิษฐานรูปภาพหรือเทวรูปลงไป หากประดิษฐานในศาลหรือเทวาลัย ควรทาสีเทวาลัยด้านในให้เป็นสีแดงหรือสีดำ กระถางธูป ถ้าทาสีแดงหรือดำได้ก็ยิ่งดี



    ตามตำราโบราณกล่าวไว้ว่า การบูชาพระแม่กาลี น้ำสีแดง ถือเป็นสิ่งสำคัญมากๆ (ใช้น้ำสมุนไพรสีแดงหรือน้ำหวานสีแดง) เนื่องจากสีแดงคือสีแห่งพลังที่มีการเคลื่อนไหว เป็นสีแห่งการกำเนิด มีความเร่าร้อน เป็นสีแห่งชีวิตที่สดใส ตลอดจนเปรียบได้ดั่งโลหิตของอสูรร้าย ซึ่งเป็นสิ่งที่จะต้องนำมาถวายสังเวยแด่พระแม่กาลี ยังมีขนมที่ควรถวาย ถ้าหา ขนมสีแดง ได้ก็ดี หรือ ขนมลาดูป (ลัทดู) ขนมโมทกะ ที่ถวายพระพิฆเนศ ตลอดจน ดอกไม้สีแดง ทุกชนิด (ดอกกุหลาบแดง หรือดอกชบาแดง ก็จัดหาได้สะดวกในเมืองไทย)

    ธูปหอม ธูปแขกสีดำ กำยานหอม การบูร น้ำมันหอมระเหย

    การอารตีหริอบูชาไฟ พระแม่กาลีทรงโปรดมาก วิธีการบูชาไฟ นำการบูรจุดไฟใส่ภาชนะหรือมะพร้าวห้าวผ่าครึ่งซีก(มะพร้าวแก่) ใส่ใบพลูเขียว ๓ ใบ (ใบพลูเหลืองไม่สามารถ นำมา บูชาพระนางได้) เด็ดเอาก้านใบออก แล้วจุดการบูรจากนั้นนำไฟวนสามรอบตรงหน้าพระพักต์พระองค์เป็นการขอพรบูชาไฟเพื่อการเผาผลาญสิ่งอัปมงคล




    <CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>คาถาบูชาพระแม่กาลี</CENTER><CENTER></CENTER>
    โอม เจ มาตา กีฯ (แม่อุมา) 3 จบ



    โอม เจ มาตา กาลีฯ (แม่กาลี) 3 จบ
    โอม ศรี ทรุคา เจ นะ มะ ฮาฯ (แม่ทุรคา) 3 จบ
    โอม สตี เยมาตา กาลีฯ (แม่กาลี) 3 จบ
    โอม หรีม ครีม ทูม ทุรคา ชัยนมัสฯ 3




    <CENTER></CENTER><CENTER>
    มีหลายบท เลือกสวดบทใดบทหนึ่ง (หรือสวดทั้งหมด)</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>"ก่อนการสวดบูชาพระแม่กาลีจะต้องสวดมนต์ต่อพระพิฆเนศก่อนเสมอ "</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>คาถาพระพิฆเนศ</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>โอม ศรี คเณศายะ นะมะฮา</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>คาถาบูชาพระแม่กาลี</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>
    </CENTER>1. โอม กาลี มา (3 จบ)

    2. โอม เจ มาตา กาลี

    3. โอม สตี เยมาตา กาลี

    4. โอม มหาศักติ กาลี มาตา

    5. โอม ชยะ ศรี มหากาลี มาตา

    6. โอม มหากาลี นมัส

    7. โอม ชยะตี มังคลากาลี ภัทรกาลี กะปาลินี

    ทุรกา ศะมา ศิวาธาตรี สวาฮา สวาธา นโม สะตุเต

    8. โอม ตัสสะ ปาระพะตี กาลีทุรคา ปิยังมะมะ

    ทุติยัมปิ ตัสสะ ปาระพะตี กาลีทุรคา ปิยังมะมะ

    ตะติยัมปิ ตัสสะ ปาระพะตี กาลีทุรคา ปิยังมะมะ

    (คาถาบูชาทั้งพระแม่อุมา พระแม่กาลี พระแม่ทุรคา)


    9. โอม ชยะตี มหากาลี ชยะตี อาธยะ กาลี มาตา

    ชยะรูปะ ประจัญทิกา มหากาลิกะ เทวี

    ชยะตี รักตาสะนะ เราทะระมุขี รุทะรานี

    อริ โศนิตขะไประ ภะระนี ขัททะคะ ธรณี ศุจี ปาณนี ฯ






    <CENTER>
    </CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2011
  17. กังหันลม

    กังหันลม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +693
    อืม

    อ่านกระทู้แล้วรู้สึกจะครึกครื้นดีนะครับ

    หากว่าแต่ละบทความกลั่นกรองจากจิตที่เมตตา

    แม้ว่าเราทั้งหลายจะยังไม่สามารถถอดถอนเอาอาสวะครื่องหมักดองออกจากใจได้ทั้งหมด

    แต่ว่าด้วยมนสิการที่แยบคายทำซ้ำแล้วซ้ำอีก

    ก็จะสามารถทราบได้ว่าสิ่งที่กำลังนำเสนอนั้นเป็นอย่างไร

    กุศลที่เกิดจากสัมมาทิฏฐิย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มากที่สุดเพราะจะนำเอาเราทั้งหลายออกจากทุกข์ได้ เหตุที่พระอริยเจ้าทั้งหลายมีบุญมากนั่นก็เพราะเกิดจากการที่ท่านหล่านั้นมีความเห็นที่ถูกต้องอยู่อย่างเต็มภูมิของตน

    เราจึงควรพิจารณาโดยแยบคายก่อนนำเสนอสิ่งใดๆ

    ว่านำมาซึ่งความเห็นที่ถูกตรงนำมาซึ่งการหลุดออกจากทุกข์โดยชอบตามมรรควิธีของพระบรมศาสดาเจ้าหรือไม่

    อนุโมทนากับกุศลเจตนาของทุกท่านครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 654.jpg
      654.jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.3 KB
      เปิดดู:
      153
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2011
  18. jirat12182

    jirat12182 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +97
    เจริญสุข เหล่านาคา นาคี ทั้งหลาย....จาก นาคาที่ทั้งเก่าและแก่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3.7 KB
      เปิดดู:
      1,033
  19. โยเดียร์

    โยเดียร์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +15
    <CENTER>พรหมในร่างมนุษย์(3)

    ตอน ปลดปล่อยวิญญาณทุกขเวทนา

    </CENTER>
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>สวัสดีจ้ะ น้องโยเดียร์

    เรื่องที่เล่าเมื่อวานนี้ เป็นเรื่องเหลือเชื่อ จึงไม่อยากให้เอาไปลงนะ เดี๋ยวจะกลายเป็นอวดอุตริฯ แต่ถ้าน้องโยเดียร์ ต้องการสร้างบารมีเพิ่ม สามารถทำตามได้เลยนะ เพราะเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ ถ้ามีเวลาลองไปปิดทองพระที่วัดบางพลีใหญ่ และบางพลีน้อยดูนะ ต้องไปทั้ง 2 วัดเลย แล้วลองสังเกตุดูนะว่าวัดพระนอน เมื่อเข้าไปในวัดแล้ว จะรู้สึกตัวหนัก หายใจไม่ออกจริงหรือเปล่า? แต่ก็น่าจะบางเบาแล้วนะ เพราะปลดปล่อยไปเป็นประมาณ 100 กว่าล้านดวงฯ แล้ว ก็ผ่านมา 3 ปีแล้วนะ

    แม่ย่าบอกว่าผู้ที่ปลดปล่อยวิญญาณทุกขเวทนานี้ ถือว่ามีบุญบารมีมาก (บารมีทางลัด) ส่วนใหญ่ชาวพุทธจะนึกถึงแต่บุญสร้างถาวรวัตถุ สร้างพระ ถือศีลปฏิบัติธรรม แต่ไม่ค่อยนึกถึงหรือไม่ได้นึกถึงวิญญาณทุกขเวทนาเลย

    รู้มั้ย ระหว่างทางที่ดวงวิญาณต่างๆ ที่ตายก่อนกำหนด ยังคงเวียนว่ายอยู่ตรงที่ตนเองตายอยู่ ได้รับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส อดอยากยากแค้น จากวิญญาณเร่ร่อน จากเหล่ามารร้าย ไม่มีผู้ใดยื่นมือมาช่วยเหลือเลย น่าสงสารมาก

    วิญญาณทุกขเวทนาที่พี่พูดถึงนี้ หมายถึง
    1. ดวงวิญญาณที่ตายก่อนกำหนด หรือเรียกว่าหายโหง
    2. ดวงวิญญาณที่ถูกกักขังจากผู้ใช้มนต์ดำ นั่นแหละ
    ไม่น่าเชื่อว่าในยุคไอที ยังมีเรื่องแบบนี้อยู่อีก แต่ก็เป็นไปแล้ว
     
  20. โยเดียร์

    โยเดียร์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +15
    พี่สาว ขอโทษด้วยผมไม่ทันมีเวลาอ่านเลย เอาลงไปซะแล้วครับพึ่งมาอ่านเจอจะเอาออกตอนนี้คงไม่ทันแล้ว ขออภัยขอให้เป้นวิทยาธานแล้วกันนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...