พุทธทำนายปลอม ? (หรือเปล่า)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย karan20, 21 มีนาคม 2011.

  1. hesoyammos

    hesoyammos สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ผมขอเชื่อไว้ก่อนล่ะครับเพราะทุกสิ่งทุกอย่างในปัจจุบันก็เสื่อมลงทุกทีโดยเฉพาะใจคนสมัยนี้เสื่อมลงทุกวััน
     
  2. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,443
    ค่าพลัง:
    +1,770
    รัชกาลที่ ๑. ทำนายว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์
    รัชกาลที่ ๒. ทำนายว่า รู้จักธรรม
    รัชกาลที่ ๓. ทำนายว่า จำต้องคิด
    รัชกาลที่ ๔. ทำนายว่า สนิทธรรม
    รัชกาลที่ ๕. ทำนายว่า จำแขนขาด
    รัชกาลที่ ๖. ทำนายว่า ราษฎร์ราชาโจร
    รัชกาลที่ ๗. ทำนายว่า นั่งทนทุกข์
    รัชกาลที่ ๘. ทำนายว่า ยุคทมิฬ
    รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว
    รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล

    ส่วนนี้ผมเชื่อ แต่ผมไม่เชื่อตามที่เขาตีความหมายกันนะครับ
    ความหมายที่ผมตีออกมาถ้าเผยแพร่ไป สงสัย จะ ผิดกฏหมายครับ
     
  3. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    คำทำนายท่านหลายๆอย่างก็อาจจะเกิดขึ้นแล้วในหลายๆอย่าง และที่ท่านทำนายไว้ก็อาจเป็นการเปรียบเทียบหรือป่าว แต่ช่วงนี้ก็ร้อนๆหนาวๆนะครับทั้งสงคราม ทั้งภาคใต้ ภัยต่างๆนาๆ ทั้งคนเราเองก็ไม่ไว้ใจกันและกันฆ่ากันเป็นผักเป็นปลา เด็กทุกวันนี้ก็เริ่มแสบขึ้นทุกวัน เด็กหลังห้องนิยมมากกว่าเด็กเรียนหน้าห้อง ส่วนกลุ่มคนที่เชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาก็จะอยู่เป็นกระจุก ตามสถานธรรมต่างๆ แล้วภัยพิบัติบางอย่างอาจเลื่อนหรือลบล้างด้วยเงื่อนไขบางอย่างได้หรือป่าว ผมเห็นมีช่วงนึงพระอริยเจ้าเริ่มเข้าสู่นิพพานทีละองค์สององค์ ผมก็ว่าแปลกๆอยู่หรืออาจจะเป็นไปตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ที่แน่ขอให้ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท มีธรรม มีความสุขและไม่เบียดเบียนชีวิตกันและกัน เอาแรงของมิตร ของการยิ้ม ของความรักเพื่อนมนุษย์ ความเมตตา ความสุข ความคิดดี ทำดี พูดดี รักกัน เค้าไม่ยิ้มให้เรา เราก็ยิ้มให้ใครก่อน ผมเชื่อว่าพลังบวกหรือพลังแห่งความดี ช่วยได้ และมันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ความสุขกลับมาสู่โลก ที่สำคัญอยากให้รักธรรมชาติกันมากกว่านี้ช่วยกันรักษา มากกว่าการทำลาย มากกว่าการอยากได้ธรรมชาติมาเป็นของตน ดูปากช่องสิครับธรรมชาติดีดี ตอนนี้โดนจับจองหมด นักการเมืองบางคน ผู้มีสีบางคนถึงกบัสร้างบนภูเขาเลย เอาธรรมชาตไว้เป็นของตัวเอง ไถป่าทำรีสอร์ท ทำพื้นที่ธุรกิจหมดเลย เสียดายจังธรรมชาติของทุกคน คนได้ครอบครองคนเดียว แต่คนโดนผลกระทบเป็นล้าน ช่วยกันรักษา ช่วยกันสงวนหน่อยนะคร้าบ ก่อนที่จะไม่เหลือป่า จะเหลือแต่ป่าคอนกรีต ถ้าถึงเวลานั้นต้นตะขบแค่ต้นเดียวราคาคงเป็นล้านๆ เห็นค่ามันหน่อยนะต้นไม้ใหญ่ๆอ่ะ ไถหมดแล้วรุกขเทวดาท่านจะไปอยู่ไหน ป่าหายหทดพระจะไปธุดงค์ที่ไหน ปากช่องนี่ดงพญาไฟ พระท่านธุดงค์มาตั้งแต่สมัยไหน หลวงปู่โตยังไปที่นั่นเหลือไว้ให้พระได้ธุดงค์กันบ้างอย่าสักแต่ระเบิดภูเขา เอามาทำปูน เหลือไว้ให้เป็นบ้านของนก หนู กบ เขียด บ้าง ก่อนที่ลูกหลาจะไม่ได้เห็นป่า ก่อนที่จะไม่ป่าไม้คอยซับน้ำ......ท่อระบายน้ำอ่ะ ซับน้ำไม่ดีเท่าป่าหรอกครับ

    ขอระบายซะเลย โลกเป็นอย่างนี้เพราะมนุษย์นี่ล่ะ
     
  4. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379

    “พุทธทำนาย” อันหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักและมักถูกกล่าวถึงคือ
    พุทธทำนายที่ปรากฏอยู่ในอรรถกถาพระไตรปิฎก
    มหาสุบินนิมิตชาดก เอกนิบาตชาดก ขุททกนิกาย
    ซึ่งเป็นเรื่องเล่าถึงสมัยที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงทำนายพระสุบิน(ความฝัน)
    ให้พระเจ้าปเสนทิโกศล มีจำนวน 16 ข้อ



    พุทธทำนายตรงนี้บางท่านอาจตั้งแง่ว่าไม่ใช่ 'พุทธพจน์' หรือไม่ใช่ 'พุทธวัจนะ'
    และตั้งแง่ว่าถ้าไม่ใช่พุทธพจน์ก็เป็นอันว่าเชื่อถือไม่ได้


    ขอยกข้อความบางตอนจาก มรว.เสริม ศุขสวัสดิ์ (เจ้าของบ้าน ซอยสายลม)
    พระไตรปิฏกมีการแต่งเติมจริงหรือ(ค้นคว้าโดยมรว.เสริม ศุขสวัสดิ์)
    http://www.watkoh.com/forum/index.php?topic=3497.0;wap2
    เว็บบอร์ดพลังจิต : พระไตรปิฏกมีการแต่งเติมจริงหรือ(ค้นคว้าโดยมรว.เสริม ศุขสวัสดิ์)


    คำถาม : พระไตรปิฎกมีการแต่งเติม ?
    คำตอบ : นั่นเป็นเรื่อง ที่คนรุ่นหลังสันนิษฐานเอาเอง ไม่ใช่ว่ารู้มาจริง ๆ ว่าเป็นเช่นนั้น
    ถ้ารู้จริง จะต้องตอบได้ว่า ตรงไหนแต่งใหม่ ใครเป็นคนแต่ง แต่งตั้งแต่เมื่อใด เช่นนี้ เป็นต้น
    พระ พุทธศานาในเมืองไทยเป็นลัทธิเถรวาท หรือหีนยาน ยึดมั่นตามคำสั่งสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า

    การแก้พระบัญญัติ หมายถึง ล้มเลิกไป ไม่ใช่บัญญัติ ขึ้นใหม่
    การบัญญัติขึ้นใหม่ หรือ การแต่งขึ้นใหม่นี้ ค้านกับ "วิญญาณ" ของลัทธิหีนยาน
    นอกจากนั้นยังเป็นการผิดที่เรียกว่า "กล่าวตู่พระพุทธเจ้า" ด้วย
    การกล่าวตู่นี้ย่อมร่วมไปถึง อธรรมวาที ซึ่งจะยกเฉพาะที่สำคัญมากล่าว คือ

    พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้ นำมากล่าวว่า ตรัสไว้
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ นำมากล่าวว่า ไม่ได้ตรัสไว้
    พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ นำมากล่าวว่า ไม่ได้บัญญัติไว้
    พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ นำมากล่าวว่า ทรงบัญญัติไว้

    กรรมนี้ใครทำเข้าในพระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่ม 5 หน้า 312 ฝ่ายอธรรมวาที
    เล่ม 6 หน้า 371 กล่าวว่า เป็นเหตุ แห่งการวิวาท และเป็นรากแห่งอกุศล
    เล่ม 7 หน้า 171 กล่าวว่า เป็นเหตุแห่งสังฆเภท (โทษของการสังฆเภท คือ ปาราชิก)
    เล่ม 12 หน้า 216 "เธอกล่าวตู่เรา ขุดตนเอง และประสบบาป มิใช่บุญ เป็นอันมากด้วย
    ทิฐิอันลามก อันตนถือเอาชั่ว แล้วกรรมนั้นแลจักมีแก่เธอ เพื่อไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน"

    พูดง่าย ๆ คือ ตกนรก
    พระที่ท่านบวชตลอดชีวิต ด้วยความเลื่อมใส (ในสมัยโบราณ) ท่านหวังพระนิพพาน
    ท่านย่อมไม่อยากตกนรกแน่นอน โดยเฉพาะในลัทธิหีนยานด้วย พูดตามภาษาปัจจุบันแล้ว
    การที่พระภิกษุเหล่านี้จะมีเจตนาดัดแปลงแต่งเติมพระไตรปิฎกนั้นไม่มีทาง
    (นอกจากเราจะคิดลงโทษท่านไปเอง)

    เรื่องหญ้าปากคอกที่น่าจะมองเห็นเพิ่มเติม จากที่กล่าวมาแล้วก็คือ
    การตกแต่ง ดัดแปลง พระไตรปิฎก นั้นคือ การพูดโกหกผิดศีลข้อ 5 (มุสาวาทาเวรมณี) อย่างตรงเป๋ง

    ลองคิดดูต่อไปการแก้พระไตรปิฎกนั้นไม่ใช่ใครอยากจะแก้ ก็แก้เอาตามใจ
    แต่ต้องแก้ในการทำสังคายนา ซึ่งมีพระภิกษุชั้นเยี่ยมนับร้อยรูปประชุมกัน
    ทำและเห็นพ้องต้องกันเป็นเอกฉันท์ เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็จะเห็นได้ชัดว่า
    การที่พระชั้นดีมายอมร่วมกัน ทำผิดศีล มุสาวาท
    โดยไม่มีองค์ไหนค้านเลย แม้แต่องค์เดียวนั้นเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อทีเดียว

    เหตุผลประการที่สำคัญที่เรามักจะหาว่าพวกพระแก้ไขดัดแปลงพระไตรปิฎก
    ก็คงจะมีว่าแก้เพื่อผลประโยชน์ของพวกพระเอง
    ซึ่งศัพท์ทางพระท่านเรียกว่า "เพื่อลาภสักการะ" นั่นเอง
    ข้อนี้ก็เป็นความเห็นที่ เอาโทษไปใส่ให้ท่านอีกเช่นกัน
    เพราะพระชั้นสูง (ขนาดที่ได้รับนิมนต์ ไปทำสังคายนา) นั้นย่อมมีความรู้ว่า
    พระบัญญัติบทปาราชิก (ขาดจากความเป็นพระ) สองข้อ (ใน 4 ข้อ )
    คือ อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีอยู่จริง และการลักขโมยนั้นมีฐานมาจากการกระทำ
    เพื่อเหตุแห่งท้องทั้งสิ้น ทรงสรัสว่า เหตุใดพวกเธอจึง... เพื่อสาเหตุแห่งท้องเล่า

    และทรงประณามว่า การกระทำ เพื่อสาเหตุแห่งท้องนั้น มีค่าเท่ากับเป็นมหาโจรปล้นชาวบ้าน
    การที่พระชั้นสูงจำนวนเป็นร้อย ๆ รูป ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจจะทำการแก้ไขแต่งเติมพระไตรปิฎก
    เพื่อเห็นแก่ลาภสักการะ (สาเหตุที่ทรงบัญญัติให้เป็นปราชิก) โดยพร้อมเพรียงกันนั้น
    เราย่อมทราบอยู่เองว่า น่าจะเป็นไปได้ หรือน่าจะเป็นไปไม่ได้

    คำถาม : ถึงไม่มีการแก้ไขดัดแปลงโดยเจตนา
    ความคลาดเคลื่อนโดยธรรมชาติก็ควรจะมีอยู่เพราะมนุษย์ย่อมไม่สามารถจำได้ถี่ถ้วนเช่นนั้น

    คำตอบ : ยอมรับว่าความคลาดเคลื่อนย่อมมีอยู่บ้างแต่ไม่ควรจะคลาดเคลื่อนในใจความหรือหลักสำคัญ

    ข้อสันนิษฐาน อย่างหนึ่งที่ว่าต้องสืบต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยการทรงจำก็คือ "สมัยนั้น ยังไม่มีตัวหนังสือใช้"
    ข้อสันนิษฐานนี้ เป็นไปได้อย่างมากในความคิดของนักปราชญ์สมัยนี้
    แต่ก็เป็นข้อสันนิษฐานที่ผิด เพราะความจริงในสมัยนั้น มีตัวหนังสือใช้อยู่แล้ว

    เล่ม 9 หน้า 95 " สมัยนั้นแล อัมพัฏฐมานพศิษย์ของพราหมณ์ โปกขรสาติ เป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท
    พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกตุภะ พร้อมทั้งประเภท อักษร มีคัมภีร์อิติหาสเป็นที่ 5 "
    เล่ม 3 หน้า 247 "เรียนหนังสือ 1 เรียนวิชาท่องจำ 1 เรียนวิชา เพื่อประสงค์คุ้มครองตัว 1 ไม่ต้องอาบัติ"

    ดังนั้นจึงควรสรุปได้ว่า สมัยนั้นคนท่องจำได้เก่งกว่าสมัยนี้มาก
    ซึ่งตรงกับหลายแห่งในพระไตรปิฎก ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงกำชับให้จำพระธรรมไว้เสมอ
    และทรงสรรเสริญ ผู้สามารถทรงจำพระธรรมด้วย
    เล่ม 11 หน้า 328 "เธอได้สดับแล้วมาก ทรงไว้แล้วคล่องปาก ตามเพ่งด้วยใจ แทงตลอดดี ด้วยความเห็น"
    เล่ม 13 หน้า 422 "จงทรงจำธรรมเจดีย์ไว้" เช่นนี้มีอยู่ตลอดทาง
    เล่ม 7 หน้า 245 "ดูกร อุบาลี อนึ่ง ภิกษุผู้เป็นโจทก์ ปรารถนาจะโจษผู้อื่นพึงพิจารณาอย่างนี้ว่า
    เราเป็นพหูสูตทรงสุตะเป็นที่สั่งสมสุตะหรือหนอธรรมเหล่าใดนั้น ไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด
    ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง
    ธรรมเห็นปานนั้น เป็นธรรมอันเราสดับมาก ทรงไว้คล่องปากขึ้นใจ แทงตลอดดีแล้วด้วยปัญญา ธรรมนี้มีแก่เราหรือไม่"

    พยานบุคคลในเรื่องความจำนี้ คือ ท่านพระอานนท์ จำได้หมด 84,000 พระธรรมขันธ์
    (และองค์อื่นที่ไม่ได้บ่งไว้ ก็คงจะจำได้เป็นธรรมดา)

    เล่ม 5 หน้า 30 กล่าวถึงพระโสณะสวดพระสูตรทั้งหลาย อันมีอยู่ในอัฏฐวรรค จนหมดสิ้นในคืนเดียว
    พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า บวชมาได้กี่พรรษา
    ทูลตอบว่า บวชพระมาพรรษาเดียว ดังนี้เป็นต้น

    เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ก็ควรจะนึกออกถึงความจริงที่เห็นได้ชัดแจ้งข้อหนึ่งว่า
    พระสูตรที่ท่องจำกันนี้ ไม่ใช่มารวบรวมจารึกลงใหม่ในภายหลัง อันนั้นเป็นผลจากการค้นคว้า
    สอบสวนหากแต่ได้มีอยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่

    เล่ม 19 หน้า 461 "ดูกรธรรมทินนะ เพราะฉะนั้นแหละ ท่านทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
    พระสูตรเหล่าใด ที่พระตถาคต ตรัสไว้ แล้วอันลึกซึ้ง มีเนื้อความอันลึกเป็นโลกุตตระ
    ประกอบด้วยความว่าง เราจักเข้าถึง พระสูตร เหล่านั้นตลอดกาลเป็นนิตย์อยู่"

    เล่ม 21 หน้า 53 "เราได้กล่าวแล้วใน ปุณณกปัญหาปรายนวรรค"
    ข้อนี้ทำให้ตีความ ได้ต่อไปว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแล้ว
    ก็จะมีผู้ทำหน้าที่ร้อยกรองขึ้นเป็นพระสูตรร้อยกรองเสร็จแล้ว จึงบรรยายถวายต่อพระพุทธเจ้า (เพื่อทรงตรวจสอบ ? )
    ซึ่งเมื่อทรงฟังแล้วก็อาจทรงเปล่ง พระอุทาน คือ พระคาถาสรุปอีกทีหนึ่ง เช่นตัวอย่าง
    เล่ม 25 หน้า 171 ตอนจบของอุปาทานสูตร (เช่นเดียวกับในอีกหลายพระสูตร)

    " ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว ทรงเปล่งอุทานในขณะนั้นว่า......"
    นอกจากนั้นยังมีการตั้งชื่อด้วย

    เล่ม 14 หน้า 153 พระอานนท์ทูลถามว่า ธรรมบรรยายนี้ชื่อไรพุทธเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "เพราะเหตุนั้นแล เธอจงจำธรรมบรรยายนี้ไว้ว่าชื่อ พหุธาตุกบ้าง จตุปริวัฏฏบ้าง
    ว่าชื่อ ธรรมทาสบ้าง ว่าชื่อ อมตทุนทุภีบ้าง ว่าชื่อ อนุตตรสังคามวิชัยบ้าง"


    คำถาม : เขากล่าวว่า พระไตรปิฎก ไม่ใช่พุทธวัจนะทั้งหมด
    คำตอบ : ข้อนี้เป็นความจริง เพราะเขียนไว้เป็นทำนองบันทึกเหตุการณ์ เทวดาพูดก็มี พราหมณ์พูดก็มี
    พระเจ้าแผ่นดินพูดก็มี จะว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้าตรัสทั้งหมดก็ถูก
    แต่เป็นการพูดชนิดเล่นคำ คือ จงใจพูดเช่นนั้นเพื่อให้เกิดความรู้สึกว่า ธรรมะที่เราเรียนกันนี้ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าสอน
    ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง ความจริงในพระไตรปิฎกบ่งชัดว่า คำพูดอันไหน ใครเป็นคนพูด
    สำหรับด้านพระธรรมแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสเองทั้งหมด ยกเว้นบางกรณีทรงสั่งให้ ท่านพระสารีบุตรบ้าง ท่านมหากัจจายนะบ้าง
    เป็นผู้แสดงธรรม หรือในบางสูตร พระสาวกเป็นผู้แสดงธรรมให้ภิกษุอื่นฟังก็มี
    (ซึ่งจะเอาไปพูดว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้แสดงเองก็พูดไม่ผิด แต่เรียกว่า พูดอย่างโกง ๆ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2011
  5. rehacked

    rehacked เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,191
    ค่าพลัง:
    +8,013
    บางคนเขายังไม่เชื่อเรื่องพระพุทธเจ้าเลย หลายคนก็ดูถูกเรื่องพุทธคุณ
     
  6. 3y3

    3y3 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +6
    ใกล้แล้วครับ พระอาทิตย์ดวงที่สอง ใกล้โผล่แล้ว
     
  7. ramazet

    ramazet สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +4
    ใช้หลักกาลามสูตรครับ

    กาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตติยสูตร หรือเกสปุตตสูตร ก็มี

    กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่

    อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
    อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
    อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
    อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
    อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
    อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
    อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
    อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
    อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
    อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
     
  8. worrapod saensree

    worrapod saensree เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +310
    "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต"

    อนุโมทนาสาธุ.................

    เป็นกระทู้ที่ดีมาก ๆ กระทู้หนึ่ง เปิดประเด็นเชื่อมโยงได้หลากหลายดีครับ

    อนุโมทนากับทุกท่านครับ

    ....................................
     
  9. เพชรกร

    เพชรกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    291
    ค่าพลัง:
    +1,260
    การเเก้พระไตรปิฏกเป็นไปไม่ได้เลยด้วยเหตุผลหลายอย่างเเต่ขี้เกียจตอบใครมีปัญญาก็คิดเองพ้นเองสบายไป ใครยังอยู่ในตมก็เรื่องของคนนั่นล่ะกัน
    เอาให้ข้อหนึ่งสงสารพวกในตม
    ไปศึกษาภาษาบาลีมาให้ดีจะรู้ว่าการเเก้ บาลี เเทบเป็นไปไม่ได้เพระไวยากรณ์มันเฉพาะเเต่ในข้อ อรรถกถา ไม่เเน่อาจเพื้ยนหรือเปล่าไม่รู้เเต่ผมไม่ดูที่ อรรถกถา จะดูเเต่ บาลี ชัวร์ที่สุด
     
  10. CHOTIYA

    CHOTIYA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +359
    ฟังหูไว้หู เท่าที่สัมผัสมาด้วยหูและตาเห็นแต่แอบอ้างทั้งนั้น ของกูก็พุทธทำนาย แต่ไม่ปรากฏว่ามีหลักฐานใดๆ ไม่ว่าในพระไตรปิฏกในฝ่าเถรวาท มหายาน วัชรยานหรือคัมภีร์ของพุทธนิกายใดๆ นี่ก็เกิดเรื่องตอแหลบัดซบลือกันกระฉ่อน พระอาทิตย์จะดับ ไตรภูมิจะเปิดประตูถึงกัน สัตว์นรกจะมาเอาคน ต่อมาเปลี่ยนไปตามกระแสญี่ปุ่น น้ำจะท่วมภาคกลาง น้ำจะสูงเท่าภูเขาทอง เทือกเขาตะนาวศรีจะยุบภูเขาไฟจะโผล่มา๔ลูก ในวันที่๑๗ มีค.๕๔ ภาคกลางจะจมหมด คนระดับปริญญาหลายคนกลัวตายตะเกียกตะกายไปอาศัยหลบที่สำนักกลับมาไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มากระจายข่าวให้ขายที่ ขาย บ้านไปซื้อที่ดินที่สำนักอยู่จะพ้นภัย เลยติดตามเข้าไปดูในเวปของเขา โถ่เอ๊ย ทีมงานเก่า ของสมีเขียว ยันตระ ทั้งนั้นสงสารและสมเภช ผู้ที่หลงเชื่อโดยไม่มีการวิเคราะห์วิจัยพิจรนา ถูกเขาหลอกอีกแล้ว
     
  11. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,358
    ค่าพลัง:
    +1,088
    เตรียมรับกรรม....4444
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=-D0AbbolKMo]YouTube - กรรม ร็อคเคสตร้า.wmv[/ame]
     
  12. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,358
    ค่าพลัง:
    +1,088
    แทนความห่วงใย....4444
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=xz7xAJT22DU]YouTube - แทนความห่วงใย(ดิโอฬาร โปรเจ็คท์)[/ame]
     
  13. makotokub

    makotokub เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +242
    ฟุ้งซ่าน และเสียเวลามากไปรึเปล่าครับเนี่ย..พระพุทธวัจนะส่วนใหญ่ตรัสถึงวิธี และการปฏิบัิติให้พ้นซึ่งทุกข์หลุดพ้นจากสังสารวัฏ แม้อาจกล่าวเรื่องการวิบัติของโลกก็ไม่มากนัก เพราะท่านเองก็คงเห็นว่ามันไม่ได้สำคัญที่ว่าโลกจะแตกเมื่อไหร่ แต่เราจะหลุดพ้นได้อย่างไรตะหาก...จับนั่นมาผสมนี่ วัตถุประสงค์คืออะไรคับเนี่ย คือต้องการให้เชื่อว่าโลกจะแตกจริงๆ หรือคับ แล้วต่อยอดอะไรได้บ้างล่ะคับ...พระพุทธองค์ทรงแนะให้เราไ่ม่ประมาทและปฏิบัติธรรมทุกลมหายใจอยู่แล้ว โลกจะแตกเมื่อไหร่..ผมว่าช่างมันเถอะครับ
     
  14. ชั

    ชั Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2011
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +48
    โลกเรามันมีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน..เหมือนเรานั้นหละครับ...อย่าไปสนใจมันเลย...สนใจเรื่องตัวเราดีกว่าครับ...ถ้าจะจากภพนี้...แล้วจะไปต่อภพใหนอีก..นั้นหละปัญหาของทุกท่าน..ไม่ใช่มาวิตกเรื่องไม่เป็นเรื่อง...
     
  15. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    การโกหกแล้วทำให้ตนไม่เดือดร้อนและคนอื่นหมู่คณะได้ดิบได้ดีทางธรรม ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากโกหกไปแล้วทำตนและคนอื่นให้เดือดร้อน นานมากเท่าไหร่กินวงกว้างมากขึ้น ชาวโลกเขาจะเดือดร้อน

    ก็เห็นๆอยู่ว่าโกหก
     
  16. hackyz

    hackyz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2010
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +243
    ทุกอย่างนั้นเกิดแต่แต่ปัจจัยใช่ไหมครับ
    ถึงโลกจะแตก เราจะตาย แต่ถ้าถึงพร้อมด้วยบุญแล้วคงไม่ต้องกลัวหรอกครับ
    อยู่หรือตายก็จิตดวงเดิมนี่แหละ
    ถ้ากระผมพูดผิดขออภัยอย่างสูง
     
  17. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379


    ฟุ้งซ่าน และเสียเวลามากไปรึเปล่าครับ
    ผมอาจฟุ้งซ่าน เสียเวลามากด้วย กว่าจะรวบรวมข้อมูลต่างๆ
    แต่นั่นเป็นประโยชน์เท่าที่กำลังของผมจะทำได้
    อาจมีประโยชน์ต่อคนอื่น
    ขออภัยที่การกระทำของผมทำให้ท่านเดือดร้อนใจ

    แม้อาจกล่าวเรื่องการวิบัติของโลกก็ไม่มากนัก เพราะท่านเองก็คงเห็นว่ามันไม่ได้สำคัญที่ว่าโลกจะแตกเมื่อไหร่ แต่เราจะหลุดพ้นได้อย่างไรตะ
    เห็นด้วยกับท่านครับ เชื่อว่าหลายคนที่มีปัญญาก็เร่งรัดตัวเองในการปฏิบัติธรรม

    จับนั่นมาผสมนี่ วัตถุประสงค์คืออะไรคับเนี่ย
    ผมเรียกว่ารวบรวมค้นคว้า วิเคราะห์
    หากท่านได้อ่านข้อมูลทั้งหมดอย่างครบถ้วน
    น่าจะทราบวัตถุประสงค์แล้ว ลองอ่านตรงสรุปตอนท้ายดูซิครับ

    คือต้องการให้เชื่อว่าโลกจะแตกจริงๆ หรือคับ แล้วต่อยอดอะไรได้บ้างล่ะคับ...
    ลองย้อนกลับไปอ่านดูครับ ชี้แจงไว้แล้ว ลองอ่านสรุปของผมตอนท้ายดู

    พระพุทธองค์ทรงแนะให้เราไ่ม่ประมาทและปฏิบัติธรรมทุกลมหายใจอยู่แล้ว โลกจะแตกเมื่อไหร่..ผมว่าช่างมันเถอะครับ
    สิ่งที่ผมก็กำลังทำอยู่ก็คือการเตือนทุกคนอยู่นี่ไงล่ะครับว่าอย่าประมาท
     
  18. 9ศักดา9

    9ศักดา9 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2011
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +3
    บทความดี ให้ความรู้
    ขอบคุณมากครับ
     
  19. เมเฆนทร์

    เมเฆนทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +59
    จริงๆแล้ว
    ตถาคตเจ้า
    ตรัสเรื่องราวต่างๆไว้ในพระไตรปิฎก
    แบบครบสมบูรณ์แล้วน่ะครับ
    ท่านประกาศธรรมต่างๆ
    ไว้แบบครบถ้วนทั้ง เบื้องต้น ท่ามกลาง และบั้นปลาย


    ตรัสธรรมที่เกี่ยวกับ
    การกำเนิดโลก
    การกำเนิดจักวาล
    การแตกตัวของดวงอาทิตย์
    การกำเนิดมนุษย์
    สภาพของสังคมมนุษย์ในแต่ละยุค


    โดยเฉพาะ
    ในยุคปัจจุบันนี้
    และในยุคกาลอนาคตที่จะเกิดขึ้น
    ท่านก็ตรัสไว้ละเอียดในจักกวัตติสูตร



    เรื่องพุทธทำนาย
    ผมเห็นด้วยในส่วนของภัยภิบัติ
    เมื่อจิตมนุษย์ต่ำลง
    ภัยภิบัติก็จะมาทำลายล้างโลกมนุษย์ใบนี้
    รุนแรงที่สุดก็คือ ดวงอาทิตย์แตกออกเป็น 7 ดวง
    โลกใบนี้จะมีแต่เปลวไฟ ผงขี้เท้า
    ไม่มีสิ่งที่มีชีวิตรอดเหลืออยู่เลย
    เปลวไฟลุกสูงถึงพรหมโลก

    แต่กาลเวลาข้างหน้าที่จะถึง
    ดวงอาทิตย์แตก 7 ดวงยังไม่เกิดครับ



    ในจักกวัตติสูตร
    ตถาคตเจ้าตรัสถึงเรื่อง
    คนจะอายุสั้นลง
    เมื่อชายสิบขวบหญิงห้าขวบได้เสียเป็นเมียผัว
    จะเกิดยุคมิคคสัญญีเกิดขึ้น
    เป็นช่วงเวลาของสัตถันตรกัปป์


    และช่วงเวลาจากนี้ไป
    จนกว่าจะถึง
    ยุคมิคคสัญญี
    ไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ
    ไม่มีจักรพรรดิที่ชื่อ......ธรรมมิกราชครับ


    พระพุทธองค์มิได้กล่าวเรื่องนี้ไว้เลย


    หากจะมีจักรพรรดิ์
    เกิดขึ้นในยุคนี้
    ก็เป็นบารมีของสันตดุสิตบรมมหาโพธิสัตว์
    หรือเจ้าชายสิทธัตถะเอง
    เป็นบารมีของท่านเอง
    แต่ในความเป็นจริง
    ท่านบารมีเต็มแล้ว
    เลยตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ท่านมิได้ลงมาจุติเพื่อเป็นแค่มหาจักรพรรดิ์



    .................................................

    จุดข้อสังเกตุ
    ในพุทธทำนายส่วนใหญ่
    นอกจากทำนายเรื่องภัยภิบัติแล้ว
    ยังมีติ่งนึง............ที่ติดมาแทบทุกฉบับ
    ก้คือ....ได้มีการระบุว่าจะมีมหาจักรพรรดิ์เกิดขึ้นในยุคนี้ นามว่า"ธรรมมิกราช".....แทบทุกฉบับ


    .................................................



    อย่าลืมนะครับ
    เรื่องการอุบัติ.....มหาจักรพรรดิ์......
    ในแต่ละยุค
    มันเป็นเรื่องพิเศษของยุคนั้นๆ ในกาลนั้นๆ
    และ การเกิดของมหาจักรพรรดิ์ส่วนใหญ่
    เกิดขึ้นในคราวที่อายุมนุษย์ยืนมากๆเป็นหลายหมื่นปีแล้ว



    เป็นไปไม่ได้เลย
    ที่มหาจักรพรรดิ์.....จะมาเกิดในกลียุคที่อายุมนุษย์
    มีอายุยืนไม่ถึง 100 ปี เช่นในกาลปัจจุบันนี้
    แก้ว 7 ประการอันเป็นสมบัติของมหาจักรพรรดิ์
    เกิดขึ้นไม่ได้แน่นอน....ในยุคที่จิตมนุษย์ตกต่ำลงเพียงนี้


    เมื่อการเกิดขึ้นของมหาจักรพรรดิ์
    เป็นเรื่องพิเศษในแต่ละยุค
    เป็นกรรมวิสัยใหญ่ของโพธิสัตว์ดวงใดดวงหนึ่งจะลงมาเล่น
    เมื่อเป็นกาลพิเศษ.....ตถาคตเจ้าต้องตรัสไว้
    แต่ในความเป็นจริง
    ตถาคตเจ้าไม่ได้ตรัสเรื่อง ธรรมมิกราชมหาจักรพรรดิ์ไว้เลย

    มีแต่ตรัสไว้เรื่อง
    มิคคสัญญี
    สัตถันตรกัปป์
    และ
    สังขจักรพรรดิ์จะอุบัติขึ้นเมื่อ อายุมนุษย์ยืนถึง 80000 ปีแล้ว
    และในยุคนี้เองเป็นยุคที่พิเศษมากๆ
    นอกจากจะมีสังขจักรพรรดิ์มาอุบัติในเมืองเกตุมวดีแล้ว
    อชิตะบรมมหาโพธิสัตว์เจ้า.....จะลงมาเกิดในเมืองแห่งสังขจักรพรรดิ์ และ ท่านจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปนามว่า.......เมตไตรโย


    เรื่องราวตั้งแต่ปัจจุบันกาล
    จนถึงอนาคตกาล
    พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้เพียงเท่านี้
    ในความเป็นไปของสังคมมนุษย์ในยุคนี้และในยุคข้างหน้า
    โปรดอ่านรายละเอียดในจักรวัตติสูตร
    ที่ข้าพเจ้าได้ลงไว้ด้วย
    พึงเป็นข้อมูลที่จะได้ศึกษาและบอกต่อกับบุคคลอื่นๆต่อไป



    ................................................

    แต่ในความเป็นจริง
    หลายสำนักปฏิบัติ
    ทั่วประเทศไทย
    ล้วนต่างรอคอยการอุบัติ
    ของธรรมมิกราชจักรพรรดิ์กันทั้งสิ้น



    มันเป็นเกมส์
    ของพวกที่อกหัก
    อกหัก.....อันเนื่องมาจากที่
    สันตดุสิตบรมมหาโพธิสัตว์
    ลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านามว่า.....พุทธโคดม

    บางพวกที่ทำใจไม่ได้
    ถึงขั้นปล่อยข่าวว่า
    ตถาคตเจ้ามาแย่งดอกบัวของเมตไตรโย


    ข่าวปล่อยแบบปัญญาอ่อนเยี่ยงนี้อย่าหลงเชื่อ


    ตอนนี้
    เกมส์ข้างบนรุนแรงมาก
    จะเกิดการปรับยุค.....เข้าสู่ยุคเมตไตรโย
    ใครพวกใหน..........เมื่อไม่ใช่และไม่เข้าร่องเข้ารอย
    ก็จะถูกระบบกรรมวิสัยของเมตไตรโย
    ปรับไปอยู่อีกสถานที่หนึ่งตามระดับจิตของที่ยังมืดอยู่


    กรรมในระบบวิสัยของเมตไตรโยจะเริ่มปรับเอาเฉพาะระดับจิตที่เป็นสัมมาทิฐิจริงๆและมีเหตุปัจจัยที่จะต้องบรรลุธรรมในยุคของท่าน กรรมดีจะพาบุคคลเหล่านี้ลงมาเวียนว่ายตายเกิดในยุคหน้า
    ส่วนพวกที่จิตชั่วมีแต่มิจฉาทิฐิอยู่เต็มหัวใจ
    ก็จะถูกปรับลงไปอยู่ข้างล่าง
    รอจนกว่าจะพ้นยุคเมตไตรโยแล้ว
    ถึงจะได้ขึ้นมาเล่นต่อ



    ..................................................

    ธรรมมิกราชมหาจักรพรรดิ์
    มันเป็นเพียงเกมส์ของกลุ่มพวกที่อกหักในยุคตถาคตเจ้าเท่านั้น
    อย่างมงายเชื่อเรื่องเหล่านี้ครับ

    ปฏิบัติธรรมแบบตรงต่อสัจจธรรมดีกว่า
    รอดอยู่แล้ว


    ....................................................


    ........................................

    จักกวัตติสูตรบางส่วน.....ที่เกี่ยวข้อง ณ กาลเวลานี้และในกาลเวลาข้างหน้าที่จะเกิดขึ้น
    ตถาคตเจ้าใช้อนาคตังสญาณแห่งความเป็นพุทธวิสัยท่านได้ทำนายไว้ดังที่ปรากฏมาในพระไตรปิฏกนี้








    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหากษัตริย์ไม่<O:p</O:p
    พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงแก่ความแพร่หลาย<O:p</O:p
    เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อ<O:p</O:p
    อทินนาทานถึงความแพร่หลาย ศัสตราก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึงความ<O:p</O:p
    แพร่หลาย ปาณาติบาตถึงความแพร่หลาย เมื่อปาณาติบาตถึงความแพร่หลาย<O:p</O:p
    มุสาวาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความแพร่หลาย ปิสุณาวาจาก็ได้<O:p</O:p
    ถึงความแพร่หลาย เมื่อปิสุณาวาจาถึงความแพร่หลาย กาเมสุมิจฉาจารก็ได้ถึงความ<O:p</O:p
    แพร่หลาย เมื่อกาเมสุมิจฉาจารถึงความแพร่หลาย ธรรม ๒ ประการคือ ผรุสวาจา<O:p</O:p
    และสัมผัปปลาปะก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๒ ประการถึงความแพร่หลาย<O:p</O:p
    อภิชฌาและพยาบาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออภิชฌาและพยาบาทถึงความ<O:p</O:p
    แพร่หลาย มิจฉาทิฐิก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมิจฉาทิฐิถึงความแพร่หลาย<O:p</O:p
    ธรรม ๓ ประการคือ อธรรมราคะ วิสมโลภ มิจฉาธรรม ก็ได้ถึงความแพร่หลาย<O:p</O:p
    @(๑) ความกำหนัดในฐานะอันไม่ชอบธรรม (๒) ความโลภไม่เลือก (๓) ความ<O:p</O:p
    @กำหนัดด้วยอำนาจความพอใจผิดธรรมดา<O:p</O:p
    เมื่อธรรม ๓ ประการถึงความแพร่หลาย ธรรมเหล่านี้ คือ ความไม่ปฏิบัติชอบใน<O:p</O:p
    มารดา ความไม่ปฏิบัติชอบในบิดา ความไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ ความไม่ปฏิบัติ<O:p</O:p
    ชอบในพราหมณ์ ความไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ก็ได้ถึงความแพร่หลาย<O:p</O:p
    เมื่อธรรมเหล่านี้ถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้<O:p</O:p
    วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อสัตว์เหล่านั้นเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะ<O:p</O:p
    บ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๒๕๐ ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๑๐๐ ปี ฯ<O:p</O:p
    [๔๖]ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักมีสมัยที่มนุษย์เหล่านี้มีบุตรอายุ ๑๐ ปี ใน<O:p</O:p
    เมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี เด็กหญิงมีอายุ ๕ ปี จักสมควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุ<O:p</O:p
    ทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี รสเหล่านี้คือเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง<O:p</O:p
    น้ำอ้อย และเกลือ จักอันตรธานไปสิ้น ดูกรภิกษุทั้งหลายในเมื่อมนุษย์ มีอายุ<O:p</O:p
    ๑๐ ปี หญ้ากับแก้<SUP>๑-</SUP>จักเป็นอาหารอย่างดี ดูกรภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือนข้าวสุก<O:p</O:p
    ข้าวสาลีระคนกับเนื้อสัตว์ จักเป็นอาหารอย่างดี ในบัดนี้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย<O:p</O:p
    ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี หญ้ากับแก้ก็จักเป็นอาหารอย่างดี ฉันนั้นเหมือนกัน<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี กุศลกรรมบถ ๑๐ จักอันตรธานไปหมด<O:p</O:p
    สิ้น อกุศลกรรมบถ ๑๐ จักรุ่งเรืองเหลือเกิน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ<O:p</O:p
    ๑๐ ปี แม้แต่ชื่อว่ากุศลก็จักไม่มี และคนทำกุศลจักมีแต่ไหน ดูกรภิกษุทั้งหลาย<O:p</O:p
    ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี คนทั้งหลายจักไม่ปฏิบัติชอบในมารดา จักไม่ปฏิบัติ<O:p</O:p
    ชอบในบิดา จักไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ จักไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ จักไม่<O:p</O:p
    ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล เขาเหล่านั้นก็จักได้รับการบูชา และ<O:p</O:p
    ได้รับการสรรเสริญ เหมือนคนปฏิบัติชอบในมารดา ปฏิบัติชอบในบิดา ปฏิบัติ<O:p</O:p
    ชอบในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ใน<O:p</O:p
    ตระกูล ในบัดนี้ ฯ<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี เขาจักไม่มีจิตคิดเคารพ<O:p</O:p
    ยำเกรงว่า นี่แม่ นี่น้า นี่พ่อ นี่อา นี่ป้า นี่ภรรยาของอาจารย์ หรือว่านี่ภรรยา<O:p</O:p
    ของท่านที่เคารพทั้งหลาย สัตว์โลกจักถึงความสมสู่ปะปนกันหมด เปรียบเหมือน<O:p</O:p
    แพะ ไก่ สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ<O:p</O:p
    ๑๐ ปี สัตว์เหล่านั้นต่างก็จักเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความ<O:p</O:p
    คิดจะฆ่าอย่างแรงกล้าในกันและกัน มารดากับบุตรก็ดี บุตรกับมารดาก็ดี บิดากับ<O:p</O:p
    บุตรก็ดี บุตรกับบิดาก็ดี พี่ชายกับน้องหญิงก็ดี น้องหญิงกับพี่ชายก็ดี จักเกิดความ<O:p</O:p
    อาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่ากันอย่างแรงกล้า นายพราน<O:p</O:p
    เนื้อเห็นเนื้อเข้าเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่า<O:p</O:p
    อย่างแรงกล้าฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ<O:p</O:p
    [๔๗]ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี จักมีสัตถันตรกัป<O:p</O:p
    สิ้น ๗ วัน มนุษย์เหล่านั้นจักกลับได้ความสำคัญกันเองว่าเป็นเนื้อ ศัสตราทั้ง<O:p</O:p
    หลายอันคมจักปรากฏมีในมือของพวกเขา พวกเขาจะฆ่ากันเองด้วยศัสตราอันคม<O:p</O:p
    นั้นโดยสำคัญว่า นี้เนื้อ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้น บางพวกมี<O:p</O:p
    ความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราอย่าฆ่าใครๆ และใครๆ ก็อย่าฆ่าเรา อย่ากระนั้น<O:p</O:p
    เลย เราควรเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ หรือซอกเขา มีรากไม้<O:p</O:p
    และผลไม้ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ เขาพากันเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้<O:p</O:p
    ระหว่างเกาะหรือซอกเขา มีรากไม้และผลไม้ ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ตลอด<O:p</O:p
    ๗ วัน เมื่อล่วง ๗ วันไป เขาพากันออกจากป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ<O:p</O:p
    ซอกเขา แล้วต่างสวมกอดกันและกัน จักขับร้องดีใจอย่างเหลือเกินในที่ประชุม<O:p</O:p
    ว่า สัตว์ผู้เจริญ เราพบเห็นกันแล้ว ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือๆ ฯ<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น สัตว์เหล่านั้น จักมีความคิดอย่างนี้ว่า เรา<O:p</O:p
    ถึงความสิ้นญาติอย่างใหญ่เห็นปานนี้ เหตุเพราะสมาทานธรรมที่เป็นอกุศล อย่ากระ<O:p</O:p
    นั้นเลยเราควรทำกุศล ควรทำกุศลอะไร เราควรงดเว้นปาณาติบาต ควรสมาทาน<O:p</O:p
    กุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เขาจักงดเว้นจากปาณาติบาต จักสมาทานกุศล<O:p</O:p
    ธรรมนี้แล้วประพฤติ เพราะเหตุที่สมาทานกุศลธรรม เขาจักเจริญด้วยอายุบ้าง<O:p</O:p
    จักเจริญด้วยวรรณะบ้าง เมื่อเขาเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง บุตร<O:p</O:p
    ของมนุษย์ทั้งหลายที่มีอายุ ๑๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐ ปี ฯ<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นสัตว์เหล่านั้นจักมีความคิดอย่างนี้ว่า เรา<O:p</O:p
    เจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง เพราะเหตุที่สมาทานกุศลธรรม อย่า<O:p</O:p
    กระนั้นเลย เราควรทำกุศลยิ่งๆ ขึ้นไป ควรทำกุศลอะไร เราควรงดเว้นจาก<O:p</O:p
    อทินนาทาน ควรงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร ควรงดเว้นจากปิสุณาวาจา ควรงดเว้น<O:p</O:p
    จากผรุสวาจา ควรงดเว้นจากสัมผัปปลาปะ ควรละอภิชฌา ควรละพยาบาท<O:p</O:p
    ควรละมิจฉาทิฐิ ควรละธรรม ๓ ประการ คืออธรรมราคะ วิสมโลภ มิจฉาธรรม<O:p</O:p
    อย่ากระนั้นเลยเราควรปฏิบัติชอบในมารดา ควรปฏิบัติชอบในบิดา ควรปฏิบัติชอบ<O:p</O:p
    ในสมณะ ควรปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ควรประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ใน<O:p</O:p
    ตระกูล ควรสมาทานกุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เขาเหล่านั้นจักปฏิบัติชอบในมารดา<O:p</O:p
    ปฏิบัติชอบในบิดา ปฏิบัติชอบในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติ<O:p</O:p
    อ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล จักสมาทานกุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เพราะ<O:p</O:p
    เหตุที่สมาทานกุศลธรรมเหล่านั้น เขาเหล่านั้นจักเจริญด้วยอายุบ้าง จักเจริญด้วย<O:p</O:p
    วรรณะบ้าง เมื่อเขาเหล่านั้นเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง บุตรของคน<O:p</O:p
    ผู้มีอายุ ๒๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐ ปี จักมีอายุ<O:p</O:p
    เจริญขึ้นถึง ๘๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๘๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๑๖๐ ปี บุตร<O:p</O:p
    ของคนผู้มีอายุ ๑๖๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๓๒๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๓๒๐ ปี<O:p</O:p
    จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๖๔๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๖๔๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง<O:p</O:p
    ,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔,๐๐๐ ปี บุตร<O:p</O:p
    ของคนผู้มีอายุ ๔,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๘,๐๐๐ ปี บุตรของคนมีอายุ<O:p</O:p
    ,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี<O:p</O:p
    จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญ<O:p</O:p
    ขึ้นถึง ๘๐,๐๐๐ ปี ฯ<O:p</O:p
    [๔๘]ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เด็กหญิงมี<O:p</O:p
    อายุ ๕๐๐ ปี จึงจักสมควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ<O:p</O:p
    ๘๐,๐๐๐ ปี จักเกิดมีอาพาธ ๓ อย่าง คือ ความอยากกิน ๑ ความไม่อยากกิน ๑<O:p</O:p
    ความแก่ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้จัก<O:p</O:pมั่งคั่งและรุ่งเรือง มีบ้านนิคมและราชธานีพอชั่วไก่บินตก ดูกรภิกษุทั้งหลาย<O:p</O:p
    ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้ประหนึ่งว่าอเวจีนรก จักยัดเยียดไป<O:p</O:p
    ด้วยผู้คนทั้งหลาย เปรียบเหมือนป่าไม้อ้อ หรือป่าสาลพฤกษ์ฉะนั้น ฯ<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เมืองพาราณสีนี้ จัก<O:p</O:p
    เป็นราชธานีมีนามว่า เกตุมดี เป็นเมืองที่มั่งคั่งและรุ่งเรืองมีพลเมืองมาก มีผู้คน<O:p</O:p
    คับคั่ง และมีอาหารสมบูรณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี<O:p</O:p
    ในชมพูทวีปนี้จักมีเมือง ๘๔,๐๐๐ เมือง มีเกตุมดีราชธานีเป็นประมุข ฯ<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี จักมีพระเจ้าจักร-<O:p</O:p
    *พรรดิ์ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขะ ทรงอุบัติขึ้น ณ เกตุมดีราชธานี เป็นผู้ทรง<O:p</O:p
    ธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต<O:p</O:p
    ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือจักรแก้ว ๑<O:p</O:p
    ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ แก้วมณี ๑ นางแก้ว ๑ คฤหบดีแก้ว ๑ ปริณายกแก้วเป็น<O:p</O:p
    ที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์<O:p</O:p
    สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรมมิต้องใช้อาชญา มิต้อง<O:p</O:p
    ใช้ศัสตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต ฯ<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรง<O:p</O:p
    พระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เอง<O:p</O:p
    โดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี<O:p</O:p
    ฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้<O:p</O:p
    เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้<O:p</O:p
    เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ไปดีแล้ว รู้แจ้ง<O:p</O:p
    โลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์<O:p</O:p
    ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระผู้มีพระภาคพระนามว่า<O:p</O:p
    เมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้<O:p</O:p
    แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณ-<O:p</O:p
    *พราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก<O:p</O:p
    มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้ว สอนหมู่สัตว์<O:p</O:p
    พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามอยู่ พระผู้มีพระภาคพระนามว่า<O:p</O:p
    เมตไตรย์พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งาม<O:p</O:p
    ในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์<O:p</O:p
    บริบูรณ์สิ้นเชิงเหมือนตถาคตในบัดนี้ แสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง<O:p</O:p
    งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์<O:p</O:p
    บริบูรณ์สิ้นเชิง พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหาร<O:p</O:p
    ภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ฉะนั้น ฯ<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พระเจ้าสังขะจักทรงให้ยกขึ้นซึ่งปราสาทที่<O:p</O:p
    พระเจ้ามหาปนาทะทรงสร้างไว้ แล้วประทับอยู่ แล้วจักทรงสละ จักทรงบำเพ็ญ<O:p</O:p
    ทาน แก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจกทั้งหลาย จัก<O:p</O:p
    ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกจากเรือน ทรง<O:p</O:p
    ผนวชเป็นบรรพชิต ในสำนักของพระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย์อรหันต-<O:p</O:p
    *สัมมาสัมพุทธเจ้า ท้าวเธอทรงผนวชอย่างนี้แล้ว ทรงปลีกพระองค์อยู่แต่ผู้เดียว<O:p</O:p
    ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว ไม่ช้านักก็จักทรงทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์<O:p</O:p
    อันยอดเยี่ยมที่กุลบุตรทั้งหลาย พากันออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ<O:p</O:p
    ต้องการ อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เอง ใน<O:p</O:p
    ทิฐธรรมเทียว เข้าถึงอยู่ ฯ<O:p</O:p
    [๔๙]ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง<O:p</O:p
    อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มี<O:p</O:p
    ธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ อย่างไรเล่า ฯ<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่<O:p</O:p
    มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา<O:p</O:p
    ทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก<O:p</O:p
    เสียได้ ฯ<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มี<O:p</O:p
    ความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม<O:p</O:p
    ทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก<O:p</O:p
    เสียได้ ฯ<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่<O:p</O:p
    พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่อย่างนี้แล ฯ<O:p</O:p
    [๕๐]ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวไปในโคจร ซึ่งเป็นวิสัย<O:p</O:p
    อันสืบมาจากบิดาของตน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายเที่ยวไปในโคจร<O:p</O:p
    ซึ่งเป็นวิสัยอันสืบมาจากบิดาของตน จักเจริญทั้งด้วยอายุ จักเจริญทั้งด้วยวรรณะ<O:p</O:p
    จักเจริญทั้งด้วยสุข จักเจริญทั้งด้วยโภคะ จักเจริญทั้งด้วยพละ ฯ<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องอายุของภิกษุ มีอธิบายอย่างไร ดูกรภิกษุ<O:p</O:p
    ทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เจริญอิทธิบาทประกอบด้วยฉันทะสมาธิปธาน<O:p</O:p
    สังขาร เจริญอิทธิบาทประกอบด้วยวิริยะสมาธิปธานสังขาร เจริญอิทธิบาท<O:p</O:p
    ประกอบด้วยจิตตสมาธิปธานสังขาร เจริญอิทธิบาทประกอบด้วยวิมังสาสมาธิปธาน<O:p</O:p
    สังขาร เธอนั้น เพราะเจริญอิทธิบาท ๔ เหล่านี้ เพราะกระทำให้มากซึ่งอิทธิบาท<O:p</O:p
    ๔ เหล่านี้ เมื่อปรารถนาก็พึงตั้งอยู่ได้ถึงกัป ๑ หรือเกินกว่ากัป ๑ ดูกรภิกษุ<O:p</O:p
    ทั้งหลาย นี้แลเป็นอธิบายในเรื่องอายุของภิกษุ ฯ<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องวรรณะของภิกษุ มีอธิบายอย่างไร ดูกรภิกษุ<O:p</O:p
    ทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในพระปาติโมกข์<O:p</O:p
    ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทาน<O:p</O:p
    ศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นอธิบายในเรื่องวรรณะ<O:p</O:p
    ของภิกษุ ฯ<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องสุขของภิกษุ มีอธิบายอย่างไร ดูกรภิกษุ<O:p</O:p
    ทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุ<O:p</O:p
    ปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข เกิดแก่วิเวกอยู่ บรรลุทุติยฌาน มี<O:p</O:p
    ความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป<O:p</O:p
    ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มี<O:p</O:p
    สัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะ<O:p</O:p
    ทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข บรรลุ<O:p</O:p
    จตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ<O:p</O:p
    ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นอธิบายใน<O:p</O:p
    เรื่องสุขของภิกษุ ฯ<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องโภคะของภิกษุ มีอธิบายอย่างไร ดูกรภิกษุ<O:p</O:p
    ทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ มีจิตประกอบด้วยเมตตาแผ่ไปตลอดทิศ ๑ อยู่<O:p</O:p
    ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง<O:p</O:p
    เบื้องขวาง ด้วยจิตประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณ<O:p</O:p
    มิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุก<O:p</O:p
    สถาน ด้วยมีจิตประกอบด้วยกรุณา แผ่ไปตลอดทิศ ๑ อยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓<O:p</O:p
    ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ด้วยจิต<O:p</O:p
    ประกอบด้วยกรุณาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มี<O:p</O:p
    ความเบียดเบียน แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยมีจิต<O:p</O:p
    ประกอบด้วยมุทิตา แผ่ไปตลอดทิศ ๑ อยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือน<O:p</O:p
    กัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ด้วยจิตประกอบด้วยมุทิตา<O:p</O:p
    อันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่<O:p</O:p
    ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยมีจิตประกอบด้วยอุเบกขา<O:p</O:p
    แผ่ไปตลอดทิศ ๑ อยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้ง<O:p</O:p
    เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ด้วยจิตประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ ถึงความ<O:p</O:p
    เป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่ไปตลอดโลก<O:p</O:p
    ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นอธิบายในเรื่องโภคะ<O:p</O:p
    ของภิกษุ ฯ<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องพละของภิกษุ มีอธิบายอย่างไร ดูกรภิกษุ<O:p</O:p
    ทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ อันหา<O:p</O:p
    อาสวะมิได้ เพราะอาสวะสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในทิฐธรรมเทียว<O:p</O:p
    เข้าถึงอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นอธิบายในเรื่องพละของภิกษุ ฯ<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นแม้กำลังสักอย่างหนึ่งอื่น อันข่มได้<O:p</O:p
    แสนยาก เหมือนกำลังของมารนี้เลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุญนี้จะเจริญขึ้นได้<O:p</O:p
    อย่างนี้ เพราะเหตุถือมั่นกุศลธรรมทั้งหลาย ฯ<O:p</O:p
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นยินดีชื่นชม<O:p</O:p
    พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วดังนี้แล ฯ<O:p</O:p

    จบ จักกวัตติสูตร ที่ ๓<O:p</O:p
     
  20. อัสติสะ

    อัสติสะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +392
    พุทธทำนายที่แท้จริง ก็คือ
    มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑
     

แชร์หน้านี้

Loading...