'กาลามสูตร' กับความเชื่อเรื่องภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย karan20, 29 มีนาคม 2011.

  1. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    [FONT=&quot]'กาลามสูตร' กับความเชื่อเรื่องภัยพิบัติ[/FONT]
    [FONT=&quot]บ่อยครั้งที่การโต้แย้งเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องภัยพิบัตินั้นมักดำเนินมาถึงจุดที่มีการนำ 'กาลามสูตร' ขึ้นมาอ้าง [/FONT]
    [FONT=&quot]ผู้ที่อ้างก็มักนำมาอ้างเพื่อหักล้างในทำนองว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]พวกที่เชื่อเรื่องภัยพิบัติโลกนั้นเป็นพวกงมงาย หลอกง่าย ไร้ปัญญา ต่างๆนานาอะไรทำนองนั้น[/FONT]



    ติดตามทาง Facebook กาขาว

    [FONT=&quot]--------------------------------------------------------------------------------------------[/FONT]


    [FONT=&quot]ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับที่มาของการเกิดภัยพิบัติและการเตรียมการ

    [/FONT]
    คลิกที่นี่...สารคดี 2011 : 100 วันแห่งความหายนะ

    คลิกที่นี่...สติและการตัดสินใจแก้ปัญหาในยามเกิดภัยพิบัติ

    [/COLOR]คลิกที่นี่...การเตรียม 'ใจ' รับภัยพิบัติ (ในวัฏฏะอันน่าสงสาร)

    คลิกที่นี่...ทำไมผู้รอดจากภัยพิบัติจึงเรียกว่าเป็นผู้มีความดี

    คลิกที่นี่...ปากกาตรวจสอบกระแสไฟฟ้ารั่วในบริเวณที่น้ำท่วม[/B][/SIZE]

    คลิกที่นี่...มาม่าเกลี้ยง น้ำดื่มขาด มีเงินก็ซื้อไม่ได้ยามเกิดภัยพิบัติ

    คลิกที่นี่...ภัยพิบัติกับคนดีชื่อ 'ตัน' และพระโสดาบันชื่อ 'อนาถบิณฑิกะ'

    คลิกที่นี่...รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2011
  2. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    [FONT=&quot]ข้อความบางส่วนของคุณ 'ดังตฤณ' [/FONT]เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องภัยพิบัติ
    [FONT=&quot]จาก ธรรมะใกล้ตัว - ธรรมะใกล้ตัว
    [/FONT]และ http://www.oknation.net/blog/print.php?id=697477

    [FONT=&quot]ข้อความมีดังนี้..... (ตัวเลข 1 , 2 , 3 , 3.1 , 3.2 ผมผู้ตั้งกระทู้ได้ใส่เพิ่มลงไปเพื่อง่ายต่อการอ้างอิง)[/FONT]

    [FONT=&quot]ตอนนี้คนในโลกมีอยู่สามพวก[/FONT]

    [FONT=&quot]1. พวกแรกยืนกรานกระต่ายขาเดียวไม่เชื่อเรื่องโลกแตก[/FONT]
    [FONT=&quot]แม้กระทั่งเกิดภัยพิบัติขึ้นถี่ๆที่โน่นที่นี่ในช่วงหลังแต่เมื่อยังมาไม่ถึงตัว[/FONT]
    [FONT=&quot]ก็จะยังคงย้ำคิดย้ำพูดอยู่ว่าไม่มีอะไรหรอก ทุกอย่างจะเหมือนเดิม[/FONT]
    [FONT=&quot]กลุ่มนี้จะปฏิเสธทุกสิ่ง เสียงแข็งว่าไม่ต้องเตรียมตัว ไม่ต้องเตรียมใจ[/FONT]
    [FONT=&quot]แถมไปด่าคนที่เขาอยากรับรู้ความจริงเพื่อเตรียมตัว หาว่าโง่งมงายหรือเป็นกระต่ายตื่นตูม[/FONT]

    [FONT=&quot]2. พวกที่สองเชื่อเรื่องโลกแตกมากเกินไป [/FONT]
    [FONT=&quot] ไม่ว่าเกิดข่าวร้ายที่ไหน[/FONT][FONT=&quot]ก็เอามาผสมกันจนกลายเป็นจินตนาการหลอนไปหมด[/FONT]
    [FONT=&quot]คล้ายทุกอย่างจะจบสิ้นในไม่กี่วันข้างหน้า[/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่เป็นอันทำอะไร เตรียมตัวเตรียมใจไม่ถูก เอาแต่หดหู่เศร้าหมองกัน[/FONT]
    [FONT=&quot]แม้ใครจะพยายามอธิบายว่าโลกจะยังไม่แตก[/FONT]
    [FONT=&quot]มีแต่การเปลี่ยนแปลงที่อาจไม่ร้ายแรงอย่างที่คิด ก็จะปิดกั้น ไม่รับฟังใดๆทั้งสิ้น[/FONT]
    [FONT=&quot]ปักใจยึดอยู่กับความสิ้นหวังท่าเดียว[/FONT]


    [FONT=&quot]3. พวกสุดท้ายคือยอมรับว่าตัวเองรู้อะไรบ้าง ไม่รู้อะไรบ้าง[/FONT]
    [FONT=&quot]พวกนี้ยังแบ่งย่อยออกไปได้อีก คือ[/FONT]
    [FONT=&quot]3.1 อยากศึกษาหาข้อเท็จจริงเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจ[/FONT]
    [FONT=&quot]3.2 กับไม่ได้อยากค้นคว้าอะไรเพิ่มเติม เพราะรู้สึกว่าตัวก็พร้อม ใจก็พร้อมจะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งอยู่แล้ว[/FONT]

    [FONT=&quot]คนพวกสุดท้ายนี้ [/FONT][FONT=&quot]([/FONT][FONT=&quot]พวกที่ 3[/FONT][FONT=&quot])[/FONT][FONT=&quot] ถ้ามีความเป็นนักวิทยาศาสตร์เสียหน่อย [/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่มีใจเอียงไปทางเชื่อสุดโต่งด้านใดด้านหนึ่งไว้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง[/FONT]
    [FONT=&quot]กับทั้งขยันค้นคว้าหาความจริงมานานพอ[/FONT]
    [FONT=&quot]ก็น่าจะเป็นประโยชน์ในการกลับมาบอกต่อแก่เพื่อนๆได้เป็นอย่างดี[/FONT]

    [FONT=&quot]------- จบส่วนที่คัดลอกมา -------[/FONT]

    [FONT=&quot]ถึงตรงนี้พวกเราอาจลองมาสำรวจตัวเองดูว่าเราเป็นพวกไหน.......[/FONT]
    [FONT=&quot]ผมเชื่อว่าคนในเว็บแห่งนี้ โดยเฉพาะแฟนประจำขาเก่าและขาใหม่ คงจะเป็นประเภท 3.1 เป็นส่วนใหญ่[/FONT][FONT=&quot]
    คืออยากศึกษาหาข้อเท็จจริง...เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจ[/FONT]


    [FONT=&quot]ส่วนประเภท 3.2 นั้น อาจแวะเวียนเข้ามาอ่านบ้าง และทิ้งข้อความไว้ประมาณว่า [/FONT]
    [FONT=&quot]“[/FONT][FONT=&quot]อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด[/FONT][FONT=&quot]” ( [/FONT][FONT=&quot]และอะไรอื่นๆ อีกมากมาย แต่สรุปได้ ประมาณนี้[/FONT][FONT=&quot] )

    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2011
  3. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    [FONT=&quot]ดูเหมือนว่าฝ่ายที่ไม่เชื่อเรื่องภัยพิบัติโลกนั้น เกือบจะผูกขาดยึดเอา 'กาลามสูตร' มาเป็นข้ออ้างเวลาจะโต้แย้งกับฝ่ายที่เชื่อ
    เรียกว่าแทบจะเป็นท่าไม้ตายกันเลยทีเดียว เป็นข้อโต้แย้งที่ดูฉลาดและเท่ห์มากๆ
    บางทีมีผลทำให้คนที่เตือนเรื่องภัยพิบัติบางคนออกอาการจุก ไม่อยากพูดไม่อยากเตือนใครอีกต่อไปได้เหมือนกัน [/FONT]


    [FONT=&quot]อันที่จริงเราลองมามองกันในอีกมุมดีกว่า[/FONT]

    [FONT=&quot]ความเชื่อเรื่องภัยพิบัตินั้น มีอยู่ 2 กลุ่มที่โต้แย้งกันคือ [/FONT]
    [FONT=&quot]1. [/FONT]
    [FONT=&quot]กลุ่มที่ [/FONT][FONT=&quot]เชื่อว่า[/FONT][FONT=&quot]จะเกิดภัยพิบัติ[/FONT]
    [FONT=&quot]2. [/FONT]
    [FONT=&quot]กลุ่มที่ [/FONT][FONT=&quot]เชื่อว่า[/FONT][FONT=&quot]จะไม่เกิดภัยพิบัติ[/FONT]

    [FONT=&quot]ถ้ามองในมุมแบบนี้เราจะเห็นชัดเจนขึ้นว่า สุดท้ายแล้วพวกเราต่างก็มีความเชื่อเป็นของตน
    ไม่ว่าจะเป็น 'ความ[/FONT]
    [FONT=&quot]เชื่อว่า[/FONT][FONT=&quot]จะเกิดภัยพิบัติ' หรือ[/FONT] [FONT=&quot]'[/FONT][FONT=&quot]ความเชื่อว่[/FONT][FONT=&quot]า[/FONT][FONT=&quot]จะไม่เกิดภัยพิบัติ[/FONT]'
    ต่างก็ล้วนเป็น 'ความเชื่อ' ด้วยกันทั้งคู่ และเราไม่ควรด่วนเชื่อก่อนที่จะได้พิสูจน์ไตร่ตรอง


    [FONT=&quot]อันที่จริงแล้วทั้ง 2 กลุ่มนี้ควร ยึดหลักกาลามสูตรพอๆกัน [/FONT]
    เราไม่ควรด่วนเชื่อว่า [FONT=&quot]จะเกิดภัยพิบัติ ในทางกลับกัน[/FONT] เราก็ไม่ควรด่วนเชื่อว่า [FONT=&quot]จะไม่เกิดภัยพิบัติ[/FONT]



    [FONT=&quot]โดยเฉพาะกลุ่มที่ [/FONT][FONT=&quot]เชื่อว่า[/FONT][FONT=&quot]จะไม่เกิดภัยพิบัตินั้น [/FONT]
    [FONT=&quot]ถึงเวลานี้แล้วต้องทำการบ้านให้มากกว่านี้
    เพื่อหาข้อมูลจากทั้งทางศาสนา ทางวิทยาศาสตร์ และความเป็นจริงต่างๆ ออกมายืนยันความเชื่อของตน
    ไม่ใช่พูดอย่างเลื่อนลอยว่า [/FONT][FONT=&quot]“เชื่อว่าจะไม่เกิดภัยพิบัติ” หรือที่มักนิยมพูดกันว่า “ ไม่เชื่อว่าจะเกิดภัยพิบัติ” นั่นเอง[/FONT]


    [FONT=&quot]กลุ่มที่ เชื่อว่าจะไม่เกิดภัยพิบัตินั้น[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อถึงเวลานี้ซึ่งปรากกฎเหตุการณ์และข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
    ตลอดจนคำเตือนจากศาสนาต่างๆ คำเตือนคำทำนายจากพระสงฆ์หลายๆท่านแล้ว [/FONT]
    [FONT=&quot]ต้องถือว่าฝ่ายที่[/FONT][FONT=&quot]เชื่อว่า[/FONT][FONT=&quot]จะไม่เกิดภัยพิบัตินั้นยังมีหลักฐานข้อมูลสนับสนุนที่ค่อนข้างอ่อนมากๆ[/FONT]
    [FONT=&quot]เหลือแต่แค่เพียงข้อโต้แย้งเดิมคือ การยกเอาหลักกาลามสูตรมาแย้ง
    ต่อจากนั้นก็มักตามมาด้วยความเชื่อในทำนองคิดเอาเอง พูดไปตามความเห็นของตน [/FONT]

    [FONT=&quot]กาลามสูตรนั้นเป็นพระสูตรที่ให้อิสระในด้านความคิด [/FONT][FONT=&quot]แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้เราเชื่อ[/FONT]
    [FONT=&quot]คือให้พิจารณาให้ดีเสียก่อน แล้วจึงค่อยเชื่อ
    อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา
    อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง
    หรืออย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน[/FONT][FONT=&quot] เป็นต้น

    [/FONT]
    [FONT=&quot]ดังนั้นฝ่ายที่เชื่อว่าจะไม่เกิดภัยพิบัติโลกนั้นจะต้องทำคือ
    ทำการบ้านให้มากกว่านี้ ทั้งนี้เพื่ออธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะโลกร้อน
    การละลายของน้ำแข็งที่ขั้วโลก การแปรปรวนของสภาพอากาศ การเปลี่ยนแกนของโลก
    แผ่นดินไหวและรอยเลื่อนต่างๆในโลก การเปลี่ยนแปลงในอวกาศ
    การเกิดพายุสุริยะที่รุนแรง ต้องอธิบายให้ได้ว่าเหตุการ์เหล่านี้เกิดเพราะอะไร แนวโน้มต่อไปจะเป็นอย่างไร
    และเหตุการณ์เหล่านี้จะสิ้นสุดลงโดยที่ไม่ต้องมีความสูญเสียทรัพย์สินและชีวิตของผู้คน[/FONT]
    [FONT=&quot]ได้อย่างไร

    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2011
  4. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    [FONT=&quot]กาลามสูตรคืออะไร

    [/FONT] [FONT=&quot]อย่าเพิ่งด่วนเชื่อว่า คนที่อ้างกาลามสูตรนั้นจะเข้าใจใน [/FONT]
    [FONT=&quot]กาลามสูตร [/FONT][FONT=&quot]อย่างท่องแท้
    [/FONT][FONT=&quot]อย่าเพิ่งด่วนเชื่อว่า คนที่อ้างกาลามสูตรนั้นจะเข้าใจว่า [/FONT]
    [FONT=&quot]กาลามสูตร [/FONT][FONT=&quot]นั้นมีความดีเด่นอย่างไร[/FONT]


    [FONT=&quot]กาลามสูตรคืออะไร
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ข้อความด้านล่างต่อไปนี้คัดลอกบางตอนจาก [/FONT]
    หนังสือความดีเด่นของกาลามสูตร และ คำสดุดีพระพุทธศาสนาของนักปราชญ์ชาวตะวันตก
    โดย พระธรรมวิสุทธิกวี วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร



    ความดีเด่นของกาลามสูตร

    กาลามสูตร เป็นพระสูตรสำคัญสูตรหนึ่งในพระพุทธศาสนา
    ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ จากนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันแท้ที่จริง
    ในพระไตรปิฎก ชื่อกาลามสูตรไม่ได้มีปรากฏอยู่ หากมีแต่ชื่อว่า
    เกสปุตตสูตร
    ทั้งนี้ก็เพราะว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระสูตรนี้แก่ชาวกาลามะ ซึ่งอยู่ในเกสปุตตนิคม
    เพราะฉะนั้น จึงตั้งชื่อพระสูตรนี้ตามชื่อของนิคมนี้ว่า
    เกสปุตตสูตร
    แต่คนที่อยู่ในนิคมหรือ ตำบลนี้เป็นเชื้อสาย หรือมีสกุลเดียวกัน คือ
    สกุลกาลามะ
    เขาจึงเรียกประชาชนเหล่านี้ว่ากาลามชน ซึ่งมีโคตรอันเดียวกัน สกุลเดียวกัน คือ
    กาลามโคตร
    เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกพระสูตรนี้ว่า
    เกสปุตตสูตร
    แต่ชาวโลกทั่วไป มักจะเรียกพระสูตรนี้ว่า
    กาลามสูตร เพราะรู้สึกว่าจะเรียกได้ง่ายกว่า

    พระสูตรนี้เป็นพระสูตรที่ไม่ยาว แต่มีใจความลึกซึ้งน่าคิดประกอบด้วยหตุผล
    ซึ่งผู้นับถือ พระพุทธศาสนาหรือผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาควรจะได้ศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
    เพราะเป็นการใช้เหตุผลตามหลัก วิทยาศาสตร์ สอดคล้องกับกฎทางวิทยาศาสตร์

    พระสูตรนี้มีความเป็นมาโดยย่อว่า ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปยัง
    เกสปุตตนิคม อันเป็นที่ อยู่ของพวกชาวกาลามโคตรหรือกาลามชน
    ชาวกาลามชนในเกสปุตตนิคมทราบข่าวมาก่อนแล้วว่า
    พระพุทธเจ้ามีชื่อเสียงโด่งดังอย่างไรก่อนที่พระองค์จะได้เสด็จมายังหมู่บ้านของพวกเขา
    จึงต่างก็พากันไปเฝ้าเป็น จำนวนมาก เพราะชื่อเสียงของพระพุทธเจ้าดังก้องไปว่า

    อิติปิ โส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทธโธ" เป็นต้น ดังที่เราสวดสรรเสริญกันในบทสวดมนต์
    ซึ่งปรากฏมากในพระสูตรต่าง ๆว่า
    "แม้เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์, เป็นผู้ตรัสรู้ เองโดยชอบ, เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ, เสด็จไปดีแ ล้ว,เป็นผู้รู้แจ้งโลก,เป็นผู้ฝึกคนที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า, เป็นผู้รู้ เป็นผู้เบิกบานเป็นผู้จำแนกธรรม เป็นต้น"

    เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับที่เกสปุตตนิคมนั้น มีประชาชนมาเฝ้ากันมาก
    คนอินเดียมีเรื่อง แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นนักบวชนับถือลัทธินิกายใด
    หรือว่าพวกเขาจะไม่นับถือศาสนาใดเลยก็ตามแต่พวกเขา ก็อยากจะฟังความรู้ความเข้าใจ และต้องการปัญญา

    ดังนั้น พวกที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในครั้งนี้ เป็นพวกที่ไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาปก็มี
    พวกที่ไม่นับถือ พุทธศาสนาก็มีพวกที่สงสัยอยู่ก็มี พวกที่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งอยู่แล้วก็มี
    เพราะฉะนั้น ประชาชนที่ไปเฝ้า พระพุทธเจ้าในสมัยนั้นจึงมีลักษณะอาการที่ไปเฝ้าแตกต่างกัน
    ซึ่งอาการที่ไปเฝ้าของประชาชนเหล่านั้น มีลักษณะ ดังนี้

    บางพวกเมื่อได้ทราบเสร็จแล้วก็นั่งนิ่ง ไม่พูดจาอะไร
    บางพวกเป็นเพียงแต่แสดงความยินดีแล้วก็นั่งนิ่งอยู่
    บางพวกกล่าวชมเชยพระพุทธเจ้าแล้วก็นั่งนิ่งอยู่
    บางพวกประกาศชื่อและโคตรของตนว่า ตนเองชื่ออะไร โคตรอะไรแล้วก็นั่งนิ่งอยู่
    บางพวกก็ไม่กล่าวอะไร ไม่แสดงอาการอะไร ได้แต่นั่งเฉย ๆ
    บางพวกเป็นเพียงแต่ประนมมือไหว้ แล้วก็นั่งเฉยอยู่
    เพราะฉะนั้น ประชาชนที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้านั้น ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีวรรณะใด ก็สามารถเข้าเฝ้า ได้อย่างใกล้ชิด
    เพราะพระพุทธเจ้ามิได้ทรงถือชั้นวรรณะ ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงเป็นโอรสกษัตริย์ประสูติอยู่ใน วรรณะกษัตริย์
    แต่พระองค์ถือว่าคนไม่ได้ประเสริฐเพราะสกุลกำเนิดแต่จะประเสริฐได้ก็เพราะการกระทำของ ตนเอง
    ดังนั้นจึงมีประชาชนไปเฝ้าพระองค์เป็นจำนวนมากและเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด


    ประชาชนที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้านั้น ได้กราบทูลขึ้นว่า
    "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในเกสปุตตนิคมนี้
    มีสมณพราหมณ์คือนักบวชในศาสนาต่าง ๆ เดินทางเข้ามาเผยแพร่คำสอนศาสนาของตนอยู่เสมอๆและ
    สมณพราหมณ์ นักสอนศาสนาเหล่านั้นได้กล่าวยกย่อง คำสอนแห่งศาสนาของตน
    แต่ได้ติเตียนดูหมิ่น เหยียดหยาม คัดค้านศาสนาของคนอื่น
    แล้วสมณพราหมณ์นักสอน ศาสนาเหล่านี้ก็จากเกสปุตตนิคมไป

    ต่อมาไม่นาน ก็มีสมณพราหมณ์ นักสอนศาสนาพวกอื่นได้เข้ามายังนิคมนี้
    แล้วก็กล่าวยกย่อง เชิดชูศาสนาของตนแต่ดูหมิ่น เหยียดหยาม ติเตียน คัดค้านศาสนาของคนอื่น

    เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกข้าพระองค์ก็มีความสงสัยเกิดขึ้นว่าบรรดาศาสดาหรือนักสอนศาสนาเหล่านั้น
    ใครเป็นคนพูดจริงใครเป็นคนพูดเท็จ ใครถูกใครผิดกันแน่"

    พระพุทธเจ้าทรงแสดงความเห็นใจต่อประชาชนเหล่านั้นว่า
    "ชาวกาลามะทั้งหลาย น่าเห็นใจที่ ท่านทั้งหลายตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
    พวกท่านทั้งหลายควรสงสัยในเรื่องที่ควรสงสัยเพราะท่านทั้งหลายตกอยู่ใน ฐานะที่ต้องสงสัย ตัดสินใจไม่ได้
    แต่เราเองจะบอกให้ ชาวกาลามะทั้งหลาย"


    สิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการ

    พระพุทธเจ้าแทนที่จะตรัสเหมือนกับสมณพราหมณ์เหล่าอื่นที่เคยพูดมาแล้ว
    พระองค์ไม่ได้ทรงสรรเสริญคำสอนของพระองค์ และก็ไม่ทรงติเตียนคำสอนศาสนาของผู้อื่น
    แต่พระองค์กลับตรัสอีกแบบหนึ่ง การพูดแบบนี้เป็นลักษณะของวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน
    คือพระองค์ได้กล่าวถึงสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ
    10 ประการโดยตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงฟัง

    มา อนุสฺสวเนน
    อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา
    มา ปรมฺปราย
    อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กันมา
    มา อิติกิราย
    อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ
    มา ปิฏกสมฺปทาเนน
    อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา
    มา ตกฺกเหตุ
    อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง
    มา นยเหตุ
    อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา
    มา อาการปริวิตกฺเกน
    อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ
    มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา
    อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน
    มา ภพฺพรูปตา
    อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้
    มา สมโณ โน ครูติ
    อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา

    สรุปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเหตุ 10 ประการนี้

    ข้อความประเภทนี้ตรงกับกฎทางวิทยาศาสตร์
    เพราะนักวิทยาศาสตร์จะไม่เชื่อถ้าเขายังไม่ได้ ทดสอบหรือพิจารณาเหตุผลให้ปรากฏก่อน
    และข้อความเช่นนี้ไปตรงกันได้อย่างไรในข้อที่ไม่ให้เชื่อเพราะเหตุเหล่านี้
    ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราควรจะเชื่อแบบใดเมื่อปฏิเสธไปหมดเลยทั้ง
    10 ข้อ และเราควรจะเชื่ออะไรได้บ้าง

    พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของเหตุและผล ไม่โจมตีศาสนา ไม่โจมตีผู้ใด ชี้แต่เหตุและผลที่ยกขึ้นมาอธิบายเท่านั้น
    พระพุทธวจนะทั้ง 10 ประการข้างต้นนั้น ท่านทั้งหลายฟังดูแล้วอาจคิดว่า
    ถ้าใครถือตามแบบนี้ทั้งหมดก็มองดูว่าน่าจะเป็นมิจฉาทิฎฐิ คือ ไม่เชื่ออะไรเลย แม้แต่ครูของตนเอง
    แม้แต่พระไตรปิฎกก็ไม่ให้เชื่อ พิจารณาดูแล้ว น่าจะเป็นมิจฉาทิฎฐิ แต่ก็ไม่ใช่


    คำว่า "มา" อันเป็นคำบาลีในพระสูตรนี้ เป็นการปฏิเสธมีความหมายเท่ากับ No หรือ นะ คือ อย่า
    แต่โบราณาจารย์กล่าวว่า ถ้าแปลว่า
    อย่าเชื่อ เป็นการแปลที่ค่อนข้างจะแข็งไปควรแปลว่า "อย่าเพิ่งเชื่อ" คือให้ ฟังไว้ก่อน
    สำนวนนี้ได้แก่สำนวนแปลของสมเด็จพระพุทธโฆสาจารย์
    (เจริญ) วัดเทพศิรินทราวาส นักปราชญ์รูปหนึ่งในยุครัตนโกสินทร์
    แต่บางอาจารย์ให้แปลว่า
    "อย่าเพิ่งปลงในเชื่อ" แต่บางท่านแปลตามศัพท์ว่า "อย่าเชื่อ" ดังนั้น การแปลในปัจจุบันนี้จึงมีอยู่ 3 แบบคือ
    1. อย่าเชื่อ
    2. อย่าเพิ่งเชื่อ
    3. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ

    การแปลว่า "อย่าเชื่อ" นั้น เป็นการแปลที่ค่อนข้างจะแข็งเป็นการไม่ค่อยยอมกัน
    ส่วนการ แปลอีก
    2 อย่างนั้น คือ "อย่าเพิ่งเชื่อ" และ "อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ" นั้นก็มีความหมายเหมือนกัน
    แต่คำว่า
    "อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ" นั้นเป็นสำนวนแปลที่ค่อนข้างยาว
    ดังนั้น คำว่า
    "อย่าเพิ่งเชื่อ" เป็นสำนวนที่สั้นกว่า ง่ายกว่าและเข้าใจได้ดีกว่า
    ฉะนั้น การที่จะแปลให้ฟังง่ายและเหมาะสมก็ต้องแปลว่า
    "อย่าเพิ่งเชื่อ"
    เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ใครจะพูดก็พูดไปเราก็ฟังไป อย่าไปว่าหรือค้านเขา
    แต่อย่าเพิ่งเชื่อ
    ต้องพิจารณาดูก่อนว่าถูกหรือผิด เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์
    เป็นบุญหรือเป็นบาป เป็นไปเพื่อประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์


    ดังนั้น กาลามสูตรจึงเป็นพระสูตรที่ให้อิสระในด้านความคิด แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้เราเชื่อ
    แต่ให้พิจารณาให้ดีเสียก่อน แล้วจึงค่อยเชื่อ อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา
    แม้แต่พระคัมภีร์ก็อย่าเพิ่งเชื่อ ให้พิจารณา ดูเสียก่อน ถ้าทำได้อย่างนี้ ถือว่าสมกับการเป็นชาวพุทธ
    ไม่เชื่ออะไรอย่างไร้เหตุผล โดยไม่พิจารณาว่าควรเชื่อ หรือไม่เพียงไร

    เราจึงควรภูมิใจที่เราได้นับถือพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาที่มีเหตุผลสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ในโลกปัจจุบัน
    ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่น แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ตนและผู้อื่น และเป็นไปเพื่อความ สิ้นทุกข์ในที่สุด
    แม้ทุกข์ยังไม่หมด แต่ก็มีความสงบสุขในชีวิตเพิ่มขึ้น เมื่อเราได้ปฏิบัติได้ถูกต้องตามพุทธธรรม
    ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา


    อ่านทั้งหมดจาก http://www.dopa.go.th/religion/tammar.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2011
  5. ผู้เดินทาง

    ผู้เดินทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    203
    ค่าพลัง:
    +407
    [FONT=&quot]ลองพิจารณาดู [/FONT][FONT=&quot]'กาลามสูตร' กับความเชื่อเรื่องภัยพิบัติ[/FONT]
    [FONT=&quot]
    วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับปี [/FONT]
    [FONT=&quot]2012[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับปี 2012 | Truth4Thai.org


    “…[FONT=&quot]ดังนั้นวันที่ [/FONT]21 [FONT=&quot]ธันวาคม [/FONT]2012 [FONT=&quot]จีงน่าจะเป็นวันที่เราได้รับพลังงานสูงสูด[/FONT] [FONT=&quot]สิ่งที่เกิดขี้นก็คือภัยธรรมชาติจะมีความรุนแรงเป็นพิเศษในวันนั้น[/FONT] [FONT=&quot]สี่งที่น่าจะเป็นอันตรายที่สุดคือ แผ่นดินไหวซี่งอาจจะทำให้เกิด คลื่นยักษ์[/FONT] [FONT=&quot]ซี่งเคยเกิดขี้นมาแล้วในปี [/FONT]2004 [FONT=&quot]และสร้างความเสียหายเป็นจำนวนมาก[/FONT] [FONT=&quot]นอกจากนั้นยังทำให้พระอาทิตย์มีปฏิกริยาสูงสุด และปล่อยพลังงานออกมาก[/FONT] [FONT=&quot]สร้างความเสียหายให้กับระบบดาวเทียมสื่อสาร และ การส่งกำลังไฟฟ้า[/FONT] [FONT=&quot]ทำให้เกิดไฟฟ้าดับครังใหญ่ได้[/FONT] [FONT=&quot]จากข่าวทั่วไปบ่งบอกว่าทางหน่วยงานราชการในต่างประเทศได้ทำการเตรียมการรับ[/FONT] [FONT=&quot]มือแล้ว[/FONT] [FONT=&quot]ดังนั้นเราจีงต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขี้น[/FONT] [FONT=&quot]ซี่งจะพูดถีงในหมวดของ[/FONT][FONT=&quot]การเตรียมพร้อม[/FONT]…”

    [FONT=&quot]กรณีศีกษาของเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศพม่าวันที่ [/FONT]24 [FONT=&quot]มีนาคม พศ [/FONT]2554

    “…[FONT=&quot]จากหลักฐานทั้งหมดบ่งบอกว่าแผ่นดินไหวสามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าทั้งวิธีดาวเคราะห์เรียงตัว และ การสังเกตุปฏิกริยาดวงอาทิตย์สิ่ง ที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่เหตุโดยบังเอิญ มีลางบอกเหตุก่อนเสมอและเกินกว่าความรู้ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน เท่านั้นเอง[/FONT]…

    กรณีศีกษาของเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศพม่าวันที่ 24 มีนาคม พศ 2554 | Truth4Thai.org

    [FONT=&quot]หมายเหตุ[/FONT][FONT=&quot] ยังไม่สามารถทำนายสถานที่ที่จะเกิดแผ่นดินไหวได้ แต่ดูจากการวิเคราะห์ทางสถิติที่ผ่านๆ[/FONT][FONT=&quot]มา ทั้งวิธีดาวเคราะห์เรียงตัว และ การสังเกตุปฏิกริยาดวงอาทิตย์[/FONT][FONT=&quot]ทำให้เห็นแนวโน้มว่า โลกมีแนวโน้มจะประสพภัยจาก แผ่นดินไหว อากาศแปรปวน และภูเขาไฟระเบิด ถี่ขึ้น และรุนแรงมากขึ้น จากนี้ไปถึงปี 2012-201[/FONT][FONT=&quot]4 ซึ่งเป็นช่วงที่[/FONT][FONT=&quot] ปฏิกริยาดวงอาทิตย์[/FONT][FONT=&quot](Solar Storm – Solar Flare – พายุสุริยะ) เข้าสู่วัฎฎจักรสูงสุด และครั้งนี้นักวิทยาศาสตร์มีข้อมูลเชื่อได้ว่าจะสูงสุดในประวัติศาสตร์เท่า ที่มีการบันทึกมา[/FONT]
     
  6. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    สวดมนต์แล้วนอนไม่หลับ ไม่รู้ทำไม ทั้งๆที่ก่อนสวดมนต์ง่วงนอนมาก เพราะนอนดึกมาหลายคืน หลังสวดมนต์แล้วมีพลังอย่างประหลาด ลุกขึ้นมาเปิดคอมพ์ อ่านกระทู้ข้างบน อ่านได้ครึ่งลมเย็นๆจากท้องฟ้าพัดผ่านมาเป็นระยะ ที่ดูท่าฝนจะตก ตอนนี้ภาคใต้ของเมืองไทยเป็นยังไงบ้างนะ ......... ขออย่าให้ทุกข์ไปกว่านี้เลย .......... "กาลามสูตร" ...ดิฉันขออนุโมทนากับข้อความที่เอามาลงค่ะ
     
  7. i3lack

    i3lack เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +102
    ผมรู้แค่ว่าข่าวภัยพิบัตทำให้ผมตั้งใจปฏิบัติมากขึ้น :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...