อยากถามเรื่องของการทานเจ/มังสวิรัติ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 15 ธันวาคม 2004.

  1. koymoo

    koymoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    2,068
    ค่าพลัง:
    +7,066
    คือก้อยก็อยากทานมังสวิรัติน่ะค่ะ ( แต่ทานเจนี่ก้อยคิดว่าไม่ไหวค่ะ) เมื่อเทอมที่แล้วก้อยก็ทานมังสวิรัติมาได้หลายเดือนเหมือนกัน คืออยู่หอที่มหาลัยไงคะ แต่พอกลับบ้าน มีเลี้ยงฉลองวันเกิด ก้อยก็อดใจไม่ไหวน่ะค่ะ ก็เลยไม่ได้ทานมังสวิรัติ ช่วงนี้ก้อยก็ทานบ้างไม่ทานบ้าง คือก้อยอยากทราบว่า ผู้ที่ทานเจ/มังสิวิรัติ จะขาดสารอาหารไหมคะ เพราะก้อยเคยอ่านหนังสือ เค้าบอกว่าจะขาดสารอาหาร และก้อยก็ยังเรียนอยู่ปี1อยู่ในคณะที่ต้องเรียนแล้วใช้สมองอย่างหนัก (แพทย์ค่ะ) ก้อยเลยกังวล แล้วก้อยก็เป็นคนป่วยง่ายด้วย คือถ้าก้อยไม่ทานมังสวิรัติแต่รักษาศีลทางใจ กับ ทานมังสวิรัติแต่ไม่รักษาศีลทางใจ อย่างไหนจะดีกว่ากันคะ ตอนนี้ก้อยกังวลมากๆ ไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตดี เพราะก้อยคิดว่าให้ก้อยทานมังสวิรัติไปตลอด ก้อยคงทำไม่ได้น่ะค่ะ แต่ถ้าก้อยยังทานเนื้อสัตว์อยู่อย่างนี้ ก้อยก็ไม่สบายใจ แต่ว่าก้อยก็แผ่เมตตาทุกคืนนะคะ ผู้ที่มีความรู้มากๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือใครมีแนวคิดดีๆก็ช่วยก้อยหน่อยนะคะ ช่วยตอบทุกคำถามด้วย ตอนนี้ก้อยกังวลมากๆ ขอบพระคุณล่วงหน้าเป็นอย่างสูงค่ะ
     
  2. jumpman

    jumpman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +885
    บอกได้เลยครับว่าไม่ขาดสารอาหารหรอก โปรตีนในพืชก็มี
    แต่ว่าจะลำบากหน่อยในการหาของกิน
    พระพุทธเจ้าแนะนำให้พิจารณาให้เป็นธาตุก่อนกิน คือพิจารณาว่าเรากำลังกินโปรตีนอยู่
    ไม่ไปติดในรสเนื้อรสอาหาร
    ถ้าเป็นพระจะมีกฎว่า เนื้อที่รู้ว่าเขาฆ่าเพื่อให้เรากิน กินไม่ได้ มีข้ออื่นๆจำไม่ได้แล้ว
    ผมคิดว่าเราควรนำไปใช้ด้วย แล้วจะถือว่ามีศีลบริสุทธิ์เหมือนพระสงฆ์

    สรุปว่าไม่ต้องกินเจก็มีศีลบริสุทธิ์พอที่จะไปสวรรค์ไปนิพพานได้นะครับ
    แต่ว่าต้องพิจารณาอาหารก่อนกิน ไม่กินของที่รู้ว่าเขาฆ่ามาเพื่อเรากิน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2004
  3. witt

    witt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +551
    ระหว่าง ไม่ทานมังสวิรัติแต่รักษาศีลทางใจ กับ ทานมังสวิรัติแต่ไม่รักษาศีลทางใจ คิดว่า ."ไม่ทานมังสวิรัติแต่รักษาศีลทางใจ" จะดีกว่าครับ ที่ทำมาก็ถือว่าดีน่ะ กินเขาแล้วแพร่เมตตาให้เขา อย่าไปกังวลมากเลย จิตใจจะตกต่ำเปล่าๆ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาบ้างก็ดี ส่วนเรื่องสารอาหาร ก็แค่โปรตีนตัวเดียวเท่านั้นเอง ไม่ได้ขาดสารไรเลย ถ้ากลัวขาดโปรตีนก็กินนมถั่วเหลือง หรือ ตัวที่เขาเรียกว่าโปรตีนเกษตรก็เพียงพอ ที่จะชดเชยโปรตีนจากสัตว์เท่านั้นเอง
     
  4. โคกผักหวาน

    โคกผักหวาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +1,041
    ..ยังเรียนหนังสืออยู่ ไม่ควรทานหรอก เดี๋ยวสมองฝ่อหมด รวมทั้งทำให้น้ำย่อยโปรตีนสัตว์ทำงานไม่ปกติ จนกระทั้ง ทำให้ระบบการย่อยเสียไป ถ้านานๆทานครั้งก็ดีเพราะให้ปรับความสมดุลย์ของร่างกาย เช่นอ้วน หรือไขมันมาก ก็ลดการทานเนื้อสัตว์

    .......ผมก็เคยลองมา ไม่ทานเนื้อสัตว์(ทดลอง) เป็นเวลา 8 เดือน ไม่ทานข้าวเย็นเป็นเวลา 2 ปี
    สรุปได้ว่า ขึ้นอยู่กับความสมดุลย์ของร่างกายมากกว่า ไม่น่าจะเกี่ยว ว่าบาปไม่บาป หรือสวรรค์นิพพาน
    ยกตัวอย่าง ตอนที่บวชอยู่วัดป่า หลวงพี่ท่านหนึ่งก็ทดลองแบบวิทยาศาสตร์
    ถ้าฉันนม สภาพ ร่างกายและจิตใจเป็นอย่างไร ถ้าฉันข้าวเหนียวเป็นอย่างไร ฉันเนื้อสัตว์เป็นอย่างไร
    ประมาณ 1 เดือน 2 เดือน ท่านก็สรุป คือท่านได้จดสถิติเอาไว้ ถ้าฉันนม วันนั้น ราคะจะเกิดมาก วันไหนฉันอาหารมาก จะง่วงนอน 9ล9
    .....สำหรับผมจะทดสอบ ลองอดข้าว 1 วัน ต่อมาเว้นวันฉัน และก็ต่อมา 2 วันฉัน ....สำหรับวันฉัน วันแรกก็ลองฉันข้าวเหนียว 6ปั้น ต่อมาลดเหลือ 5..... พอทดสอบปรากฏว่าในแต่ละวัน นอนเพียง 1-2 ชม.ก็พักผ่อนเหลือเฝือ
    .....สรุปว่าการทานอาหารไม่เกี่ยวกับสวรรค์ นิพพานหรอก ยิ่งครูบาอาจารย์ท่านสอน(ขอโทษฟังมา)
    ..."ควายกินหญ้าไม่เห็นมันฉลาด อย่าเอาเรื่องกินมาเถียงกันเลย........
     
  5. PalmPalmnaraks

    PalmPalmnaraks บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ขอตอบอ่านให้จบหละนะ

    เนื้อสัตว์ที่เรากินส่วนใหญ่เกิดจากการฆ่าของพ่อค้าแม่ค้าที่ทำการฆ่าสัตว์แล้วนำมาวางขายให้ผู้บริโภคซื้อ เราซื้อเนื้อกิน เราเป็นต้นเหตุให้คนทำบาปถ้าไม่มีเราซื้อเนื้อกิน พ่อค้าแม่ค้าก็ไม่ทำ ถ้าพ่อค้าไม่ทำคนบางคนก็ไม่ฆ่ากินเองเพราะกลัวบาป แต่เป็นการจ้างคนอื่นด้วยเงินให้ทำบาปด้วยการฆ่าสัตว์ให้กินแทน คนที่กินเนื้อสัตว์ด้วยเจตนาที่แรงกล้าบาปแน่ๆ อย่างเช่นเนื้อไก่ที่ไม่ได้ฆ่าให้เห็นต่อหน้าไม่กิน ต้องกินกุ้งที่เห็นและเลือกด้วยตนเองสดๆ เนื้อสัตว์ที่ตายเองไม่กิน แต่การกินเนื้อสัตว์แบบไม่เป็นบาปก็มีคือ เนื้อบังสกุล เนื้อบังสกุลคือเนื้อสัตว์ที่ตายเองตามธรรมชาติ หรือเนื้อสัตว์ที่เขาตายโดยอุบัติเหตุเพราะกรรมแห่งเขาเองไม่ใช่เราฆ่าเขา อย่างเช่น เนื้อกระต่ายโดนรถชนตาย แต่ส่วนใหญ่มนุษย์ทุกวันนี้จะกินเนื้อบาปกันเพราะเนื้อบังสกุลไม่อร่อยและมันไม่ค่อยมีให้กินสนองต่อตัณหาแห่งแรงปากมนุษย์ได้ มีงานบุญล้มวัวล้มควายงานบวชล้มวัวล้มควายตัวใหญ่กัน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำบุญหรือทำบาปกันแน่ ฝากไว้เป็นข้อคิดให้แก่ทุกคนละกัน เอวังโหตุ
     
  6. กระสือข้างส้วม

    กระสือข้างส้วม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,212
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +392
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2005
  7. mikky

    mikky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    894
    ค่าพลัง:
    +577
    เรียนแพทย์แล้วมาถามคนอื่นว่าจะขาดสารอาหารไหม..แล้วใครจะกล้าตอบเนี่ย
    เอาเป็นว่าโดยพื้น ๆ ร่างกายเราต้องการ โปรตีน คาร์โบไฮเดดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ และน้ำ น่ะครับ การไม่ทานเนื้อสัตว์เห็นจะขาดแต่โปรตีนเท่านั้นครับ แต่โปรตีนสามารถหาได้จากพืชตระกูลถัว แปลว่าเราอยู่ได้สบาย ๆ สารอาหารพิเศษบางอย่างอาจขาดไปบ้าง เช่น OMEGA THREE (จากปลา) แต่ผมว่าไม่สะคัญหรอก ถ้าเรามีการรักษาศีล นั่งสมาธิสม่ำเสมอ เซลล์สมองของเราจะเป็นระเบียบเองโดยธรรมชาติ ไม่ต้องการอาหารเสริมบำรุงสมอง อย่างพวกโอเมก้าทรี ส่วนพวกสารอาหารบำรุงตับ บำรุงเลือด และธาติเหล็กที่ได้จากเนื้อสัตว์ นั้นก็ไม่จำเป็นเหมือนกัน ถ้าจิตดี ออกกำลังกายดี เราลดความเสี่ยงของโรคได้หลายชนิดได้มากอยู่แล้ว

    สรุปว่า ถ้าอยากมานมังสวิรัติ ก็ทายไปเถอะไม่ต้องกลัว
     
  8. PalmPalmnaraks

    PalmPalmnaraks บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    วัตุประสงค์ของการทานเจหรือมังสวิรัติ

    วัตุประสงค์ของการทานเจหรือมังสวิรัติคือการไม่เบียดเบียนสัตว์ครับ ไม่เอาเลือดเนื้อเขามาบำรุงบำเรอเนื้อของเรา ไม่ฆ่าเขาเพื่อมาต่อชีวิตเรา แต่ยุคสมัยเรานี้คุณภาพอาหารมันเปลี่ยนไปจากสมัยอื่น จำเป็นต้องกินอาหารที่ได้มาจากสัตว์บ้างแต่เนื้อสัตว์หรือส่วนที่ได้จากสัตว์ทุกวันนี้มันมาจาการฆ่าและทำร้ายสัตว์มา การกินนมกับไข่ เราเบียดเบียนเขาไม่มากครับ เพราะนมถือเป็นของให้แต่อาจจะไปเบียดเบียนแย่งลูกสัตว์กินนมบ้าง แต่ไม่เบียดเบียนมาก และไข่ที่ได้มาทุกวันนี้ก็เป็นไข่ที่มันไม่ได้มีน้ำเชื้อตัวผู้มาผสมมัน จึงยังไม่มีสัตว์มาปฏิสนธิจึงไม่เป็นการฆ่าสัตว์ แต่หากไข่ที่มีน้ำเชื้อไม่ควรกินมันอาจมีปฏิสนธิมีสัตว์มาเกิดแล้ว และการซื้ออาหารกินควรพิจาณาด้วย ไม่ใช่ไปซื้อแบบส่งเสริมให้เขาฆ่าสัตว์มากขึ้น แล้วอีกหลายอย่างเครื่องประดับเสื้อผ้าเหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่างควรพิจารณาดู ถ้าเราได้รับจากคนอื่นนำมาให้ไม่เป็นไรรับไว้และบอกเขาด้วยว่าครั้งหน้าไม่เอาของแบบนี้ชี้แจงเหตุผลเขาด้วยหละ แต่ถ้าเราซื้อเองมันอาจเป็นการส่งเสริมการฆ่าสัตว์ทางอ้อมกรรมจะมาตกลงที่เรา ผมเคยเห็นมีการวางขายพวกแมลงที่เอามันมาทำเป็นเครื่องประดับโดยเอามาใส่ในผลึกแก้วผลึกพลาสติก ถ้าเราไปซื้อมากเขาก็ทำมากสัตว์ก็ตายมาก อันนี้โปรดระวังด้วย
     
  9. piromsuparp

    piromsuparp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +2,754
  10. กระสือข้างส้วม

    กระสือข้างส้วม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,212
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +392
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2005
  11. อาเม้ง

    อาเม้ง บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    กินไปเลย

    "หนึ่งมื้อทานเจ หมื่นชีวิตรอดตาย"
    ตอนที่ผมทานใหม่ ๆ ผมก็กลัว ๆ เหมือนพี่นี่แหละ กลัวสารพัด กลัวโง่ กลัวไม่สูง กลัว ฯลฯ
    แต่พอทานแล้วรู้สึกว่าร่างกายสบายขึ้น ไม่ค่อยหน้ามืดเหมือนเมื่อก่อน ยิ่งการเรียนไม่ต้องห่วงเลย เพราะไม่มีผลกระทบ เพราะตอนนี้ผมก็ยังทำข้อสอบได้เหมือนเดิม ส่วนสูงก็ 180
    ผมทานตอนอายุ13 ตอนนี้อายุ16แล้ว ก็ไม่ได้มีผลกระทบกับร่างกาย กลับเป็นมีแต่ผลดีด้วยซ้ำ แต่ผมทานไข่กับนมด้วยน่ะครับ (มังสวิรัติ)

    สรุปแล้วก็คือ ทานไปเลยครับหนับหนุน
     
  12. กระสือข้างส้วม

    กระสือข้างส้วม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,212
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +392
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2005
  13. กรุงเก่า

    กรุงเก่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    151
    ค่าพลัง:
    +335
    ถ้าเราปฏิบัติธรรมเพื่อพระนิพพานแล้ว ย่อมเกิดปัญญาท่านย่อมรู้ว่าทานหรือไม่ทานเจ/มังสวิรัติ ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องจะหลุดพ้นได้หรือไม่ แต่เป็นเรื่องจริตและกำลังใจของแต่ละท่าน คนทานได้ก็ดีคนทานไม่ได้ก็ดีขอให้ปฏิบัติจนเกิดปัญญาจริงๆก็พอ ชอบแบบไหนก็ทำแบบนั้นโมทนากับทุกท่านที่ถือดีทำดีครับ
     
  14. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    766
    ค่าพลัง:
    +5,790
    PalmPalmnaraks เป็นสมาชิกเว็บพลังจิตแล้วค่ะ เอ๊ยไม่ใช่ เป็นสามชิกเว็บพลังจิตแล้วครับ ใช้ชื่อว่า Palmnaraks ใครมีมุขเด็ดๆ มีสาระมีอะไรดีๆ แนะนำได้นะครับหรือว่าจะแชทกัน555 แต่ว่าคุยเรื่องธรรมะจะดีที่สุดครับ Taenaraks19@hotmail.com
    [Embarrass ...........................................................................................:p
     
  15. นิรทุกข์

    นิรทุกข์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +93
    จำได้ว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยห้ามเรื่องการกินอาหาร ห้ามเพียงเนื้อสัตว์สิบอย่าง และ เจตนาที่จะฆ่าเท่านั้น
     
  16. ดาราจักร

    ดาราจักร ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,707
    ค่าพลัง:
    +10,091
    มีคำถามว่า ทานอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์จะเป็นบาปไหมนะ?

    จริงทานอาหาร ไม่ว่าเราจะเป็น vegetarian หรือไม่ จะได้รับผลคือ
    การติดใจ ในรส ชาติของอาหารนั้นๆ
    -แล้วเป็นบาปไหม มีใครเป็นทุกข์กับการติดในรสชาติอาหารของเรารึเปล่าล่ะ

    พี่เองนะ จะทานเจ ในช่วงเทศกาล กินเจเท่านั้นหละครับ ศีลมีอยู่แล้ว
    -เหตุผลคือ ในช่วงเทศการกินเจ ตัวเลขของการฆ่าสัตว์ จะลดลงไงครับ
    ถ้าเราไม่ซื้อเนื้อในช่วงนั้น Demand จะลดลง Supplied ของโรงฆ่า
    จะลดลงไปเองครับ

    แต่เหตุผลที่ไม่ทำตลอดเวลา คือ หากินยากครับในช่วงนอกเทศกาล
    ถ้าฝืนตัวเองและคนรอบข้างก็จะเป็นทุกข์ไปเปล่าๆ

    เช่น

    บางวัดกินเจ เพราะ บางหมู่บ้านในชนบทไปล่าสัตว์ หรือล้มวัวหมูไก่
    เพื่อนำมาทำบุญ ทางวัดเลยกินเจ เพื่อไม่ให้เกิดการฆ่าเพื่อทำบุญ

    บางวัดไม่กินเจ เพราะ เนื้อสัตว์ที่ได้ หาง่ายไม่ต้องไปฆ่าเพื่อทำบุญ
    ชาวบ้านจะได้ไม่ลำบาก ทำอาหารเจ หรือสรรหาวัตถุดิบ ให้เป็นทุกข์

    ก็ขึ้นกะเหตุ กะผลจะดีกว่านะครับ น้อง อย่าไปเป็นทุกข์กับมันเลยนะ

    มีเมตตาดีที่สุดแล้วครับ

    ขอให้มีดวงตาเห็นธรรมนะครับ
     
  17. ninepong

    ninepong สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    พอดีว่าได้ศึกษาเรื่องการขาดสารอาหารมา
    เช่นโปรตีนเป็นต้น เลยไปหาข้อมูลมา
    ยังไงหากมีใครสนใจแลกเปลี่ยนข้อมูล ก้อโทรมาคุยกันนะ
    0863054530 pp คับ
     
  18. รมย์นลิน

    รมย์นลิน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    น้องเเมว

    คิดว่าขึ้นอยู่กะเหตุผลที่กินมังสวิรัติมากกว่า บางคนกินเพราะอยากสุขภาพดี อยากอายุยืนยาว

    ส่วนตัวเรากินเพราะไม่อยากเบียดเบียนสัตว์ เพราะ เป็นคนรักสัตว์มากๆๆๆ เเต่ก่อนเป็นคนชอบทานเนื่อสัตว์มาก รู้สึกว่าเกิดความขัดเเย้งในตัวเองในบางครั้ง เเต่ก็ไม่ได้คิดมาก เพราะเราไม่เห็นตอนเค้าโดนฆ่า เเละคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเลิกกิน ยากเกินไปสำหรับเรา เเต่ไม่เคยลองนะ เเค่คิดเท่านั้น

    พอวันหนึ่งได้ดูคลิปฆ่าสัตว์เพื่อมาทำเป็นอาหาร เช่น วัว หมู ลูกหมู(น่ารักมาก) มันน่าสงสารมาก ร้องไห้เลย รับไม่ได้อย่างเเรงค่ะ วันรุ่งขึ้นเลยทำลองไม่กินเนื้อสัตว์ดู ทำได้ง่ายมากเกินคาด เพราะนึกถึงเเววตามันอ้อนวอนขอชีวิต หลังจากนั้นกลายเป็นมังสวิรัติเต็มตัวเลยค่ะ (จากคนที่ชอบกินเนื้อมาก กลายเป็นไม่เเตะเลย) หรือเพราะอาจจะอยู่ต่างประเทศด้วยมั้ง ต้องซื้ออาหารมาทำกินเอง เลยอดใจไหว เเต่ถ้ากลับไทยนี่ก็ไม่เเน่ อาหารอร่อยมากมายมายั่ว เเต่ก็จะพยายามห้ามใจ โดยจินตนาการว่ามันกำลังโดนฆ่า เราก็จะควบคุมตัวเองได้ในทันที

    ส่วนสารอาหารที่จะขาด คือ วิตามินB12 เเละ โอเมก้า 3

    วิตามินB12มีในเนื้อสัตว์เเละอาหารทะเลเท่านั้น ก็ไม่เป็นไร หาซื้อวิตามินกินเสริมได้ไม่ เพราะไม่ได้สกัดจากสัตว์ มังสวิรัติกินได้

    เเต่ โอเมก้า 3 จากน้ำมันตับปลากะน้ำมันปลา ซึ่งประกอบด้วย DHA ช่วยเสริมสร้างเซลประสาท(อันนี้สำคัญ) & EPA ช่วยลดคอลเรสเตอรอล มังสวิรัติจะทานไม่ได้ เเต่เพื่อความสบายใจของเรา กลัวเป็นอัลไซเมอร์ตอนอายุมากๆช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องเบียดเบียนคนในครอบครัว ก็คงไม่ดี ดังนั้น เราก็จะทานอาทิตย์ละ 1 เม็ดก็น่าจะไม่เบียดเบียนปลาจนเกินไป พร้อมกะเเผ่เมตตาให้ปลาด้วย อีกอย่างเเนะนำว่าควรเลิกทานวันที่ไม่ใช่วันพระ

    ลองทำดู เอาใจช่วยค่ะ ไม่ยากอย่างที่คิด ไม่ติดกะรสชาติเนื้อสัตว์ ผักอร่อยกว่าเนื้อสัตว์มากมาย ถ้าปรุงดีๆๆ
     
  19. Ukada_Jin

    Ukada_Jin สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +14
    สาธุขออนุโมทนาด้วยคะ

    ตอนนี้ก็กำลังลดการทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลงคะ เหมือนกันคะ

    ทานเนื้อสัตว์บ้าง ถ้ามี Dinner กับเพื่อนๆหรือกับครอบครัวคะ แต่ถ้าทางบ้านปรุงอาหารไว้

    ก็จะเลือกทานแต่ผักเป็นส่วนมากคะ เพราะทานแล้วสบายใจดีคะ

    แล้วจะค่อยๆเริ่มกินจริงจังในอีกไม่ช้าเนี่ยละคะ.....

    เป็นกำลังใจให้นะคะ (^^)Y

    [​IMG]
     
  20. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    "แก้ปัญหาธรรมเรื่องที่๑"

    หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต สอนเรื่องการกินเจ


    เทศน์แก่พระอาจารย์อุ่น ธมฺมธโร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่าน

    “คนเรามันไม่ได้วิเศษเพราะการกินผักกินเนื้อนะ แต่มันวิเศษด้วยการกินเพราะการพินิจพิจารณาโดยแยบคาย อันผักหญ้าเนื้อนั้นมันไม่ได้รู้เรื่องดี เรื่องชั่ว เหมือนคนเรา จิตเราดอก

    พระธรรมคำสอนแง่หนักเบาต่างหาก ที่เรานำมาพินิจพิจารณา แล้วนำมาสอนตนจะทำให้เราดีขึ้นได้ เรื่องกิน อยู่หลับนอน อะไรๆ พระพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงบัญญัติไว้หมดแล้ว ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรกับกินเจ ไม่กินเจ กินเนื้อ ไม่กินผัก กินแต่ผักไม่กินเนื้อ อันไหนกินได้ ฉันได้ ท่านก็บัญญัติไว้หมดแล้ว

    ถ้าท่านคิดว่าการกินแต่ผักทำให้ท่านเลิศเลอ เป็นผู้วิเศษขึ้นมาได้ อันนี้ผมก็สุดปัญญาที่จะสอนท่าน ถ้าการกินแต่ผักอย่างท่านว่า เป็นผู้บริสุทธิ์สิ้นกิเลส จบพรหมจรรย์ได้ มนุษย์ไม่ได้สิ้นกิเลสหรอก วัวควายเป็นต้นนั่นแหละมันจะสิ้นก่อน เพราะมันไม่ได้กินเนื้อ มันกินแต่ผักแต่หญ้าเต็มปากเต็มพุง มันกินแต่ผักแต่หญ้า ทำไมลูกมันถึงเต็มท้องไร่ทุ่งนา

    ถ้าการกินแบบท่านว่าเป็นของเลิศ วัวควายมันเลิศก่อนแล้ว เพราะมันเกิดมามันก็กินแล้ว โดยไม่ต้องมีใครคอยสอน ถึงท่านกินยังไง มันก็ไม่เท่าวัวเท่าควายกินหรอก เพราะวัวควายมันปฏิเสธเนื้อโดยประการทั้งปวง กินแต่ผักแต่หญ้า

    ถ้าจะกินเจ ฉันเจ กินผักไม่กินเนื้อ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่การไปหาตำหนิคนโน้นคนนี้ ว่ากินเนื้อเป็นเปรตเป็นผี มันไม่สมควร แล้วก็มาหลงตน ยกยอตนว่าเป็นผู้ประเสริฐกว่าคนอื่นเขา ท่านดูใจของท่านเองก็ได้นี่ ว่ามันประเสริฐตรงไหนหรือยัง ถ้ายังไม่ประเสริฐให้รีบแก้ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เผาหัวอยู่นั่นล่ะ มันเป็นสิ่งที่ท่านต้องแก้เสียโดยเร็วพลัน ไม่ใช่วันๆ เที่ยวแต่ชวนหาคนมากินผัก ไอ้ผักนั้นผมก็กิน

    คนเรามันประเสริฐเลิศได้ด้วยความประพฤติ มิใช่เพราะการกิน ส่วนเรื่องการกินเป็นเรื่องรองๆ อย่าเอามาเป็นเรื่องเอก ท่านจะกินก็กินเถอะเจ ผักของท่านนั้น ผมไม่เอาด้วยหรอก”

    หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เทศน์สอนแก่พระอาจารย์อุ่น ธมฺมธโร (วัดทิพยรัฐนิมิตร จ.อุดรธานี) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่าน
    ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

    วิสัชนา"

    " เป็นเรื่องเข้าใจเฉพาะบุคคล "

    "ท่านสอนแก่ผู้ติดขัดในภาวะนั้น จึงให้ความกระจ่างในภาวะนั้น ยังผลให้ผู้นั้นพ้นได้ แต่ไม่สามารถนำไปพิจารณาใช้กับ ผู้อื่นได้ทั้งหมดฯ เพราะสภาวะธรรม และฐานะธรรมแตกต่างกัน"


    ( หากไม่คิดพิจารณาให้กว้างขวาง และศึกษามามากจริงๆ ทั้ง ชาดก พระสูตรต่างๆ จะไม่มีทางรู้ตามเราได้ ให้เวลาตนเองหน่อย อย่าพึ่งรีบร้อน ค่อยๆพิจารณา )


    " ข้อคิดบางที ผู้ใหญ่ท่านอยากให้หายคลายสิ้นสงสัย ท่านก็วางหมากไว้ให้ลูกหลานที่เดินตามมา มาเดินเล่นต่อให้จบกระดาน "

    อุปมาเสมือนผู้มีปัญญารู้ทางเดินแล้ว ทำทางดีแล้ว เกรงผู้อื่นจะเดินตามทางไม่ทัน ก็หว่านโปรยเมล็ดกล้าพืชพันธุ์เอาไว้ เพียงพอให้รู้ แต่ถ้าตามมาช้ามาก ต้นไม้มันโตขวางทาง หญ้ารก ก็ถากถางฟันไปให้เป็นทาง จะได้เดินสะดวก

    เราพึงอธิบายแก้ไขตามหลักธรรมไว้ดังนี้ พอสมควรแก่เหตุ (ยังมีอีกมากในพระสูตรอื่นๆ)


    " ขณะกำลังจะลงมือฆ่า และลงมือฆ่าสัตว์แต่ละครั้ง รู้สึกอย่างไร? สัตว์ที่กำลังจะตายรู้สึกอย่างไร? และผลจากการกินเป็นอย่างไร? สัตว์อธิษฐาน สาปแช่ง หรือคิดอะไรก่อนตาย

    "โปรดพิจารณา หากสงสัยก็ไปศึกษาเพิ่มเติม จนกว่าจะเกิดปัญญารอบรู้จริงๆ"

    การตอบปัญหาของเรา " เรื่อง การกินเจ มังสวิรัติ หรือไม่กิน อย่างไหนจะดีกว่า ที่ชัดเจน กว้างขวาง และหายคลายสงสัยที่สุดในกาลนี้ ( ไม่ขออวดว่ารู้ดีที่สุด เพราะยิ่งกว่านี้ก็มีแต่ยังไม่เอามาเปิดเผย หรือผู้มีปัญญาทำให้ปรากฎ )"

    "ตามสภาวะธรรม ของเรา" ผู้ไม่รู้จริง ไม่พึงแก้

    ๐ ความแตกต่างให้นำไปคิดพิจารณา เมื่อสัมผัส เมื่อล่วงรู้ เมื่อปัญญาธิคุณมาก ย่อมสอดส่องไปถึงเหล่าเวไนยสัตว์อย่างกว้างขวาง ล่วงรู้การเกิดและดับของสรรพสัตว์ การ เกิด ขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของสรรพสัตว์ทั้งมวล เมื่อมีผู้นำสัตว์มาฆ่าและปรุงถวาย พระผู้นั้นย่อมรู้ทุกๆลำดับขั้นตอนและอาการ จะฉันได้ไหม? สัตว์นั้น ถ้าท่านจะประสงค์ฉัน ภาวะจิตท่านย่อมโปรดแก่สัตว์นั้นโดยฐานะ เมื่อสัตว์นั้นล่วงรู้ว่าเนื้อตน เป็นประโยชน์แก่การเลี้ยงชีพของพระผู้นี้ สัตว์นั้นจะได้บุญหรือได้บาป สัตว์นั้นจะดีใจหรือเสียใจ นี่ฐานะคือพระผู้ทรงอภิญญาสมบูรณ์

    แต่หากเป็นพระผู้ไม่รู้ ไม่ทรงอภิญญา ก็จะสามารถฉันได้ตามปกติ เพราะตนก็ไม่รู้ ว่าใครทำ ใครตี ใครฆ่า เพื่อตน หรือเพื่อใครก็ไม่อาจทราบได้ ๐

    นี่คือ ความชัดเจน ชัดแจ้ง ที่เราอธิบาย

    เปรียบเทียบ แก้ไข ตักเตือน ชี้แจง ตามหลัก "อภิชาติบุตร" บุตรที่เกิดในธรรม


    "สัตว์ติรัจฉาน สำเร็จมรรคผลไม่ได้" อย่าไปเอา สัตว์ในน้ำ ในพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนพราหมณ์ อาบน้ำในแม่น้ำคงคา มารวมกันจะไขว้เขว มันคนละกรณี นั่นสอน ว่าพิธีกรรมนั้นแบบนั้นมันไม่ถูก ไม่งั้นกุ้งหอยปูปลาคงเอวังฯ หมด(คิดตาม)

    พึงแก้ เรื่อง ฐานะอันมิใช่ฐานะ ของสัตว์อย่างละเอียดอ่อน สัตว์ติรัจฉานย่อมไม่มีทางบรรลุมรรคผลได้

    สัตว์สูงก็ตามต่ำก็ตาม ย่อมเกิดโดยกรรม มาเพื่อเสวยผลกรรมของตนเองที่ทำไว้ และเพื่อบำเพ็ญภาวะของตนเอง สามารถบำเพ็ญตนให้มีโพธิจิตเป็นพระโพธิสัตว์ได้ ได้ แต่ไม่สามารถบรรคุณธรรมอันสูงได้ หากไปพิจารณาตามกัน ว่าช้างม้าวัวควาย มันกินแต่ผักแต่หญ้า มันคงสำเร็จธรรมก่อน นั่นไม่ถูก เพราะไม่ ศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนทั้งหมดให้ถ่องแท้ มีผลเสียแก่ผู้รับฟังและปฎิบัติตามในภายหลัง ทำให้หลุดออกจากกระแสธรรม

    ให้ความรู้เรื่อง การกินเนื้อสัตว์

    ชาติหนึ่ง พระเตมีย์ สละตนออกจากราชสมบัติ กินแต่ใบไม้ มันยิ่งกว่ากินเจ เรื่องนี้ ตราบใดก็ตาม ที่ยังไม่เข้าใจคำว่า * มหาวัฎรปฏิบัติ * ก็ย่อมยากที่จะเข้าใจ ถึงการบำเพ็ญบารมี ที่เราไม่ได้เฝ้าด้วยสายตา หรือกล้องวงจรปิด ก่อนที่พระมหาบุรุษจะสำเร็จธรรม ท่านทำกิจใดบ้าง และทำยังไง ทำขนาดไหน มันยิ่งกว่านักวิจัย

    เห็นพูดเรื่องไม่ทานเนื้อสัตว์ เรื่องการถือศีล จากการทานเนื้อ ผู้เยาว์ จึงอยากอธิบายพอสังเขป อย่างเป็นกลางๆ โดยไม่ประสงค์ให้ขัดทรรศนะคติของผู้ใด มันเป็นเรื่องของผลของการอธิษฐานจิต ด้วยสัจจะอันตั้งมั่นว่าจะไม่เบียดเบียน สังหารฆ่าชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงด้วยตนเอง หรือวานให้คนอื่นกระทำเพื่อตน หรือส่งเสริมให้มีการฆ่าเพื่อมาตน พึงได้มาซึ่งอาหารเลี้ยงชีพ อย่างตามมีตามได้ แต่ไม่ใช่ว่าได้รับอะไรมา ก็กินหมดทุกๆอย่างๆ เหมือนกับการที่ไม่ต้องกังวลว่า อาหารใดๆที่ได้ใส่บาตรไปแล้ว ซึ่งประเคนแล้ว เพื่อกุศล ผลบุญก็พึงได้ตั้งแต่คิดจะให้แล้ว(ก่อน ,ขณะ หลัง) จะประสาอะไรกับตอนท่านฉันแล้ว หรือไม่ฉันบิณฑบาตรนั้น

    ตอนที่ท่านฉันหรือจะฉันหรือหลังฉันท่านก็มีการพิจารณา ซึ่งธาตุอยู่ อะไรๆก็สักแต่ว่าเป็นธาตุ และถ้าต้องอิ่มอย่างฝืนทนต้องฉันไป หรืออิ่มอย่างไม่ตั้งใจจะฉัน ท่านผู้เจริญแล้ว ท่านก็จะพิจารณาอันบิณฑบาตรนั่นเอง ว่าจะฉันหรือไม่ฉันดี หรือ ฉันไปเพื่ออะไรหรือไม่เพื่ออะไร มันเป็น มรรคผลของท่านเอง เมื่ออาหารนั้นได้ประกอบมาซึ่ง อาชีวะบริสุทธิ์ อันผู้มีปกติขอดังนี้แล้วซึ่งด้วยฐานะ ก็ไม่ใช่หน้าที่เราไปพิจารณาแทนท่าน

    ผลของการฉันหรือทาน หรือการถือศีลอดมีอยู่ ไม่ว่าบรรพชิต นักบวชใดๆ ตลอดจนฆราวาส มีอยู่ แต่ผลของมัน อาจแตกต่างกันไป ตามแนวทางของบารมีธรรม บุคคลผู้หนึ่ง ในชาติหนึ่งๆ อาจสามารถ บำเพ็ญบารมีตนได้หลายอย่าง ในคราเดียวกัน หรือ อย่างสองอย่าง หรือไม่ก็อย่างเดียว ในปัจจุบันกาลสมัยนี้ ยิ่งมีสิ่งล่อใจมาก หากหลุดออกจากวงอโคจรนั้นได้ สำหรับผู้ปฏิบัติแล้ว ย่อมมีผลดีมาก ไม่ว่าจะทำกิจใด ไม่ใช่แค่ เรื่องอาหารการกินเพียงเท่านั้น การกิน การอยู่ การหลับ การนอน การเดิน ทุกๆอย่างที่ เคลื่อนไหวก็ดี อยู่กับที่นิ่งๆก็ดี ไม่ว่าในอริยาบทใดๆ จะเป็นกรรมที่ให้ดำ ให้ขาว หรือไม่ให้ดำ ไม่ให้ขาวก็ดี ล้วนมีผลอยู่ ด้วยกันทั้งนั้น อากัปกิริยาใดๆ อันจะไม่ให้บังเกิดอะไร มาทดแทน หรือ ว่างเลย เพราะก่อนจะมีอะไรสักอย่าง หรือไม่มีอะไรสักอย่าง มันต้องมีอะไรอยู่ จึงเรียกความว่าง หรือไม่ว่าง ( ที่เหลือจากนี้ ก็ไปหาความเข้าใจกันเอง ถึงสัจธรรมที่มีอยู่ )

    ผลของการไม่ทานเนื้อสัตว์ ก็ง่ายสำหรับวิญญานต่างๆ สัตว์บางชนิด บ้างก็อธิษฐานยอมที่จะเกิด เป็นสัตว์ที่ต้องมีอายุสั้น ตายเร็วๆ เพื่อการพ้นชาติได้อย่างรวดเร็วในผลกรรม จะได้ไปเกิด คือสิ้นผลกรรม นั้นแล้ว เพื่อไปเกิดในภพภูมิอื่น เราท่านเองไม่ว่าใครๆ ล้วนย่อมต้องเวียนว่ายในสังสารวัฎร ต้องพานพบประสบพบเจอกันมากมาย บ้างก็คิดดี บางก็คิดไม่ดี ก่อกรรมเวียนกรรม ต่อกันและกันซึ่งแล้วซึ่งเล่า หลายภพหลายชาติ ไม่รู้จบจนกว่าจะได้อมตะธรรม เหมือนความตั้งใจก่อน ขณะปฏิบัติและหลังปฏิบัติ ซึ่งด้วยเจตนา ๓ ต้องเป็นไปในทางเดียวกันจึงจะเกิดผล นั้นคือ ความรู้สึกตัว ความมีสติ จะทำการใดๆ ก็ตามหากนำ เจตนา๓ มาจับ ในกิจทุกอย่างที่จะพึงทำ ไม่ว่าอะไร ที่จะทำ มันผูกพัน ต่อเนื่องกันไปหมด

    ซึ่งในธรรมทั้งหลายฯ เป็นขั้นเป็นตอน เหมือนเดินขึ้นลงบันใด หรือเปิดประตูที่ซ้อนกันหลายบาน ด้วยการไขลูกบิด แม่กุญแจ ฯลฯ แล้วแต่บุญใคร สั่งสมมาดี มันก็ไปเร็ว มาช้าก็ไปช้า จะไปลัดหน้าลัดหลังกันไม่ได้ คือใครทำบุญมาอย่างไร แต่กาลก่อน ประสงค์อย่างใดจะต้องได้อย่างนั้น แสวงหาอะไร ย่อมได้อย่างนั้น ในสักวัน ไม่ชาติภพใดก็ตาม แม้ไม่อยากจะได้ ไม่มีปัญญาจะได้ก็ต้องได้

    การไม่ทานหรือทานซึ่งเนื้อสัตว์ ก็ควรเป็นไปตามกำลังศรัทธา ตามบารมีธรรม ตามอุปนิสัยรสนิยม ของตน พระเทวทัตเองท่านก็ไม่ใช่ต้นบัญญัติแรกในโลกธาตุนี้ หรือโลกธาตุไหนๆ ที่ห้ามโดยปราถนา ห้ามไม่ให้ทานเนื้อสัตว์ การที่ท่านทำไป เจตนาท่านก็เพื่อหวังจะข่มบารมีธรรมของพระพุทธองค์(อนันตริยกรรม)

    เพื่อแสดงตนหวังจะเอาชนะ ด้วยการที่ว่าเคร่งครัดกว่า หลายต่อหลายวิธีการ เพื่อ ลาภ สักการะ สรรเสริญ เพื่อความเป็นใหญ่ ฯลฯ(หาข้อมูลหรือภูมิรู้เอาเอง) ด้วยเป็นบุพกรรมที่ตามกันมาหลายภพหลายชาติ ไม่ใช่ว่า พระเทวทัต จะเกิดมาเพื่อ เสนอข้อบัญญัติ ๕ ประการ เพียงเท่านั้น สรุป ก็ถูกปฎิเสธไป ไม่ทรงอนุญาติ อ้างข้ออ้าง จนทำให้เกิด สังฆเภท ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ในพระพุทธศาสนา เพียงแต่ว่า เรายังไม่มีญานที่หยั่งรู้ได้ถึง ใน ภัทรกัปป์ ก่อน ๆ

    สรุป เดี๋ยวค่อยว่าต่อ ใครอยากกินอะไร แบบไหน เลือกได้ก็เลือก เลือกไม่ได้ ก็ไม่ต้องเลือก หรือเลือกจะอด ครึ่งๆ กลางๆ ข้างๆ คูๆ อย่างไรก็แล้วแต่ อาหารที่ปราณีตกว่านี้ ก็ยังมีอยู่ หรืออาหารทิพย์ ทั้งหลาย ฯ พวกเทพ พรหม เทวา ไงล่ะ ! ไม่เคยกิน ไม่เคยเห็น หรือยังระลึกชาติ เห็นตามไม่ได้ ก็ไม่ใช่ ปัญหาอะไร ที่จะมาถกเถียงกัน เพียงแต่ว่า เราอยากรู้จากผู้ที่มีบุญสัมพันธ์กัน จนได้มาพบมาเจอ มาพูดคุย มาเจอะเจอกัน

    ซึ่งสามารถเจอได้ทั้งในทุกๆที่ ทุกๆเวลา ทุกๆสถานที่ ทั้งในพยัญชนะ อรรถ ฯลฯ ในสภาวะทั้งหลาย ซึ่งคงอยู่ในอย่างว่าแต่ ในองค์กัลยาณมิตรเลย แม้แต่เจ้ากรรม นายเวรที่มีความอาฆาตแค้นต่อกันและกัน มันยังมารวมสุมหัวกัน คอยแทะคอยแกะเกา รบกวนซึ่งบาทากันและกันแม้แต่ในสารพัดเว็บสารพัดบอร์ด กระทู้ คอมเม้น สื่อสารสนเทศ ฯลฯ

    สำหรับผู้มีภูมิรู้ เรื่องธาตุ (เหล็กไหล) ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นของทิพย์วิเศษ เคยเห็นเหล็กไหลกิน อาหารคาวไหม? หรือ เรื่องกลิ่นตัวมนุษย์ที่เหม็นสาปดั่งหมาเน่าก็มิปาน นั่นแหละที่ทำให้ห่างไกลชาวทิพย์ คนบางคนหลายคนทั้งชาติ วาสนาที่จะได้พานพบ แทบไม่มีเลย ที่จะสัมผัสเรื่องราวเหล่านี้ ได้เจอเจอ พวกสัมภเวสี ผีน้อยต่างๆนานา คือเจอแต่ของธรรมดา ไม่เจอของวิเศษ คนที่สัมผัสกลิ่นอยู่เป็นนิจ มีชิวหาคานะวิญญานฯ บริบูรณ์ เขาจะได้กลิ่นสาป แม้ตนเอง

    อย่าว่าแต่ ผู้อื่น หรือบุคคลอื่นเลย ด้วย ทิพยโสตต่างๆ ที่ได้มาจาก สามัญผลของการปฏิบัติ ที่สั่งสมมาหลายภพหลายชาติ คนบางคนเดินยังไม่ทันเข้าถึงตลาดสด เจอกลิ่นเนื้อ กลิ่นเลือด ของสัตว์เข้า ก็เหมือนเจอกำแพงกั้น ให้เดินต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะกายเขา รับไม่ได้ บางท่านกินเนื้อสัตว์แล้วป่วยก็มี เพราะกรรม และบารมีสร้างมาแตกต่างกัน ผิวพรรณ กลิ่นตัว ฯลฯ ที่ยืนยัน สำหรับผู้ได้ครอบครอง ธาตุกายสิทธิ์ อันแท้จริง จะไม่สามารถ อดทนหรือกินเนื้อสัตว์ได้ หากฝืนกิน จะเป็นฝีหัวฝีต่างๆหัวฝีระลอกเป็นต้น ฯ

    ฉนั้นผู้ที่ คิดว่าได้ฝังธาตุ มีธาตุกายสิทธิ์ในครอบครอง แล้วยังฝืนกินของคาวอยู่ ก็ต้องเผชิญเหตุนี้ โดยไม่มีทางหนีพ้น ยกเว้น จะมีกลิ่นของการบำเพ็ญศีลอันบริสุทธิ์ ครอบคลุมอยู่ คนบางคนเกิดมาไม่รู้ว่าตนเอง ไม่สามารถกินเนื้อสัตว์ได้ ก็เลยตามเลยปล่อยจนหน้าตา ผิวพรรณเละเทะ ดำเมี่ยง ฝ้าขึ้นเต็มหน้า ถ้าอยากเลิก อยากหยุด ไม่ใช่ว่าเราจักกินให้สวยให้งาม แต่กินให้โรคาพยาธิรังควาญน้อย นี่สำหรับผู้ยังสติ ส่วนผู้ไม่มีสติ กินทะลุโลกต่อไป

    ถ้าเจตนาก่อนกิน ได้นึกถึงเลือดถึงเนื้อเขาบ้าง ว่าเราได้อุทิศ ผลบุญฯต่างๆให้ด้วยใจบริสุทธิ์ โดยหวังให้พ้นทุกข์ ก็อนุโมทนาบุญฯให้เขาไป อธิษฐานก็ได้ว่า ขอให้เลือดและเนื้อเหล่านั้น ของเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลาย จงส่งผลเฉพาะแก่การเจริญในธรรม ไม่ใช่กินเพื่อมีเรี่ยวแรงเพื่อไปทำบาป สร้างกรรมต่อ นี่ผลบุญฯก็มากแล้ว ว่าด้วยพิจารณา เขาคงไม่ยินดีนักหรอกที่ตอนขณะ ถูกเชือด ถูกทุบด้วยของแข็ง ถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด ด้วยน้ำมือ ผู้ค้าชีวิตผู้อื่น (ค้าไม่เป็นธรรม)

    ยิ่งรวมกันมาก เหมือน กับภาพสัตว์นรก ถูกต้อนให้เดินเรียงคิว ไปทรมานตามกรรมตามเวรที่ได้สร้างไว้ เสียงร้องโหยหวน ความเจ็บปวดทุกข์ทนทรมาน ตายทีละตัวหรือหลายตัว เรียงร้องขอชีวิต สาปแช่ง ความแค้น การสาปแช่ง หลั่งสารโน้นนี้ที่เป็นพิษออกมา ของสรรพสัตว์ ที่ถูกกระทำ ทั้ง สับ ต้ม ย่าง ปิ๊ง อร่อยนักแลฯ ไม่ต้องทำหรอก แค่คิด หรือมีจิตยินดี สนุกสนานตามที่ผู้อื่นลงมือกระทำการเบียดเบียด ก็เป็นผลเสีย ซึ่งให้แก่ผลกรรมแล้ว คือ ความเบาบางของจิต จะมากน้อย ก็เป็นไปตามขันธ์ของสรรพสิ่งนั้นๆ ตามสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ ไม่ใช่ว่า ปรสิต ไส้เดือน เจ็บปวดแบบไหน ช้างหรือ ได้โนเสาร์ตัวใหญ่ๆมันจะเจ็บแบบนั้นด้วย บางตัวคลั่งสนุก ชื่นชอบความเจ็บปวดเสียด้วยซ้ำไป

    มนุษย์ บ้างก็เรียก ว่าโรคจิต ประเภทซาดิส อะไรนั่น บางโลกก็มี บางโลกธาตุก็ไม่มี อะไรที่เรายังไม่เคยเห็นก็อย่าไปคิดว่าไม่มี หรือมี สรุปแต่เหตุ อวิชชาและตัณหาทั้งหลาย มันจึงทำให้ สรรพสัตว์ทั้งหลาย เรา ท่าน ฉัน เธอ ฯลฯ หลงอยู่เนี่ย จึงได้ผุดได้เกิดอยู่เสมอๆ

    ถึงคราวจำเป็น ต้องกิน หรือถึงคราวสละ ไม่ต้องกิน ก็กินให้มีแนวทาง ไม่ใช่กินอิ่มแต่ท้อง กินเพราะแค่อยากกิน ลิ้นกับลำไส้ น้ำย่อย มันเหม็นคาว ต่อให้กินของหอมหวานมากขนาดไหนไป จะอ๊วกออกมาทางปาก หรือจะผ่าออกกลางท้อง หรือจะโผล่ออกมาทางทวารใด ก็กลายเป็นของเน่าเสีย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ( ยกเว้นอาหารอันเป็นทิพย์)

    ผู้เยาว์มีอยู่สี่ทางเพื่อให้ปฏิบัติ 1. กินหรือไม่กินเพื่อดำรงชีพเพื่อการโปรดเวไนยสัตว์ 2.กินหรือไม่กินเพื่อบำเพ็ญบารมีเพื่อตนเอง 3.กินหรือไม่กินเพื่อตนเองและผู้อื่น 4.กินหรือไม่กินเพื่อยังประโยชน์เพื่อตนเองและผู้อื่น อย่างที่ 4 นี้ประเสริฐที่สุด โปรดจง ไตร่ตรองตาม ให้เห็นจริง อ้างจาก ( *ฉวาล* ...สูตร )

    ผู้มีปัญญาเมื่อไตร่ตรองตามแล้ว จะเห็นและเข้าใจอรรถอย่างชัดแจ้งและแท้จริง

    ขออนุโมทนาบุญฯ
     

แชร์หน้านี้

Loading...