ทำไมภัยธรรมชาติในขณะนี้ จะต้องเกี่ยวกับน้ำซะเป็นส่วนใหญ่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย thanan, 30 มีนาคม 2011.

  1. สังขารไม่เที่ยง

    สังขารไม่เที่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,943
    ค่าพลัง:
    +24,697
    แล้วที่ฝนตกหนักในภาคใต้ของบ้านเรา เศรษฐกิจของประเทศแย่ลง (มันเป็นกรรมของประเทศไทยใช่หรือไม่)
     
  2. Pehda

    Pehda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +227
    (มันเป็นกรรมของประเทศไทยใช่หรือไม่)

    ผมว่า มันเป็นกรรมของประเทศตรงที่
    มีคนไม่ดีมาอยู่ในประเทศมากกว่า
    และคนไม่ดีทั้งหลายก็ก่อให้เกิดกรรม

    ส่วนมากจะสร้างอกุศลกรรม
    ส่วนน้อยก็สร้างกุศลกรรมกันไป
     
  3. CopperOxide

    CopperOxide เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    321
    ค่าพลัง:
    +289
    บางทีคำตอบอาจอยู่ใน "หนังสือไตรโลกวิตถาร" หรือลองอ่าน "สิ้นโลกเหลือธรรม (ภาคปลาย)" ของหลวงปู่เทสก์ ซึ่งท่านได้กล่าวไว้บ้างในตอนต้น
     
  4. พระยาเดโชชัยมือศึก

    พระยาเดโชชัยมือศึก สินธพอมรินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,742
    ค่าพลัง:
    +12,024
    เพราะมนุษย์ขาดน้ำใจต่อกัน อิอิ
     
  5. พระยาเดโชชัยมือศึก

    พระยาเดโชชัยมือศึก สินธพอมรินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,742
    ค่าพลัง:
    +12,024
    แค่เราเดินทางเห็นการจราจรบนท้องถนนแล้ว มีรถมากมาย รถคันละหลายแสน เหมือนคนจะเริ่มรวยขึ้นมีฐานะดีกันมาก ความแออัด ยิ่งนานวัน ขับรถออกจากบ้านทีไรเวลารถติด หรือรถมาก เราก็จะรู้สึกอึดอัดแล้ว เพราะปริมาณรถและคนที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นวิธีที่จะช่วยให้ความสมดุลเกิดขึ้น คือ การล้าง ยุคก่อนๆล้างด้วยไฟ คนจะตายกันมากเช่นลาวา ภูเขาไฟระเบิด อุกาบาตตก หรือไฟป่า หากล้างด้วยน้ำ โอกาสคนดีๆจะรอดยังพอมีบ้าง เพราะกระแสน้ำค่อยๆไหลมา
     
  6. อนิจฺจํ

    อนิจฺจํ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,374
    ค่าพลัง:
    +2,949
    ไฟเผาทำลายชีวิต แต่ตามมาด้วยจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่
    น้ำชะล้างความสกปรกโสมม เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์
     
  7. atta454

    atta454 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    131
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +263
    ยังไม่ได้สร้างบุญให้ตัวเองเลย อย่าพึ่งเป็นอะไรนะโลก....:'(
     
  8. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    ทุกสิ่งคือธรรมชาติ แม้แต่มนุษย์ก็กำเนิดจากธรรมชาติ เราอาศัยธรรมชาติทุกอย่างทั้งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่กิน แต่เรากับไม่รู้คุณของธรรมชาติกัน กับทำลาย ตรงไหนสวย ตรงไหนดีก็อยากได้มาเป็นของตัวเอง มีแต่ความโลภ เห็นดีแต่เทคโนโลยี แต่ธรรมชาติ หรือโลก เปรียบเสมือน พ่อ แม่ของเรา แต่เรากับทำลายกัน สาเหตุที่น้ำท่วมเพราะ โลกเสียสมดุลไปแล้ว เมื่อก่อนมีป่าเยอะแค่ไหนบนโลก เดี๋ยวนี้ป่าไม้หายไปแค่ไหน มีป่าไม้ฝนตกก็ซึมซับลงในดิน ต้นไม้ในป่าหลายตนก็ช่วยกันซับน้ำ ทุกวันนี้ล่ะครับ ป่าไม้ถูกทำลายไปกว่า60 เปอร์เซน ในขณะที่ประชากรมนุษย์กลับเพิ่มมากกว่าลด ยิ่งเพิ่มขึ้น ก็ยิ่งต้องขยายที่อยู่อาศัย ยิ่งขยายที่อยู่อาศัยยิ่งต้องขยายพื้นที่ธุรกิจ ฝนตกก็ลงท่อระบายน้ำ แทนที่จะซึมซับลงในดิน และเป็นต้นไม้ช่วยซึมซับน้ำ แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่.... แล้วถ้าภัยพิบัติจะเกิดผิดหรือ อยู่คิดว่าธรรมชาติไม่มีความรู้สึกนะครับ ช่วยกันทำลาย แต่ไม่ช่วยกันรักษา พอเกิดปัญหา อยากหาทางลอด เอาเปรียบกันไปไหม ....
     
  9. นทีบุญ

    นทีบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    939
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +795
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=2 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>บทที่ 6 การแตกทำลายของจักรวาล


    อ่านเจอมาค่ะ จากหนังสือGL 101 จักรวาลวิทยา </TD></TR><TR><TD>http://main.dou.us/view_content.php?s_id=73&page=7 เห็นในเว็บให้โหลดได้ทั้งเล่ม</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD class=p_content>6.5 เหตุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงถึงการทำลายของโลก

    การที่พระพุทธองค์ทรงแสดงถึงการทำลายของโลกนี้ มิได้มีพระประสงค์ที่จะให้ผู้ใดหวาดกลัว มิได้ประสงค์จะเตือนให้ระวังภัยที่โลกจะถูกทำลาย และมิได้มีพระประสงค์จะแสดงเพื่อให้เป็นศาสตร์ว่าด้วย ความรู้เรื่องการเกิดและการทำลายของโลก แต่ที่ทรงแสดงถึงการที่โลกถูกทำลายนี้ ก็เพื่อที่จะแสดงให้เกิดความเบื่อหน่ายในโลก เบื่อหน่ายในการเวียนว่ายในสังสารวัฏที่หาเบื้องต้นและเบื้องปลายไม่พบ
    เพราะแม้ว่าภพภูมิต่างๆ จะน่ารื่นรมย์ สวยสดงดงาม และมีสัมผัสอันเป็นสุขอย่างไรก็ตาม แต่ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ล้วนไม่เที่ยงแท้ถาวร ไม่มีผู้ใดเลยที่จะสามารถเป็นเจ้าของหรือครอบครองสิ่งใดได้ ตลอดไป และไม่มีใครที่จะสามารถรักษาให้สิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจทั้งหลายมิให้เปลี่ยนแปลง เมื่อถึงเวลาสิ่งต่างๆ ก็มีอันต้องเสื่อมสลายหมดอายุขัยไป ไม่สามารถคงสภาพเดิมอยู่ได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่พึง พอใจหรือไม่ สิ่งเหล่านั้นย่อมต้องจากเราไป หรือบางครั้งเราก็เป็นผู้ที่ต้องจากไปเสียเอง ดังนั้นหากยัง ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีก ก็ยังจะต้องเผชิญกับทุกข์นานาประการอีกไม่สิ้นสุด
    ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงแสดงถึงการที่โลกถูกทำลายดังนี้ เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่าย สลด สังเวชใจ และหาทางหลุดพ้นในที่สุด ดังที่แสดงใน สุริยสูตร ว่า
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม นี้เป็นกำหนด ควรเบื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขุนเขาสิเนรุ โดยยาว 84,000 โยชน์ โดยกว้าง 84,000 โยชน์ หยั่งลงในมหาสมุทร 84,000 โยชน์ สูงจากมหาสมุทรขึ้นไป 84,000 โยชน์ มีกาลบางคราวที่ฝนไม่ตกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี เมื่อฝนไม่ตก พืชคาม ภูตคาม และติณชาติที่ใช้เข้ายา ป่าไม้ใหญ่ ย่อมเฉาเหี่ยวแห้ง เป็นอยู่ไม่ได้ ฉันใด สังขารก็ฉันนั้น เป็นสภาพไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม นี้เป็นกำหนด ควรเบื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลบางครั้งบางคราว โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ 2 ปรากฏ เพราะพระอาทิตย์ดวงที่ 2 ปรากฏ แม่น้ำลำคลองทั้งหมด ย่อมงวดแห้ง ไม่มีน้ำ ฉันใด สังขารก็ฉันนั้น เป็นสภาพไม่เที่ยง...ควรหลุดพ้น
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลบางครั้งบางคราว โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ 3 ปรากฏ เพราะพระอาทิตย์ดวงที่ 3 ปรากฏ แม่น้ำสายใหญ่ๆ คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิ ทั้งหมดย่อมงวดแห้ง ไม่มีน้ำ ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายก็ฉันนั้น เป็นสภาพไม่เที่ยง... ควรหลุดพ้น"
    ทรงตรัสถึงลักษณะที่โลกและจักรวาล ตลอดจนสรรพสิ่งถูกทำลายลง เมื่อดวงอาทิตย์มาปรากฏ เพิ่มขึ้นเช่นนี้ จนถึง 7 ดวง และทรงตรัสให้เบื่อหน่าย คลายกำหนัด และหลุดพ้นในสังขารทั้งปวงดังนี้ เช่นกัน ทรงตรัสอีกว่า แม้จะเกิดเป็นท้าวสักกะ เป็นพรหม เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ก็ไม่พ้นจากทุกข์ได้เพราะ ยังไม่ตรัสรู้ไม่ได้แทงตลอดธรรม 4 ประการ คือ อริยศีล อริยสมาธิ อริยปัญญา และอริยวิมุตติ ซึ่งถ้าหากผู้ใดแทงตลอดในธรรมทั้ง 4 ประการนี้ ก็ชื่อว่าตรัสรู้แล้ว แทงตลอดแล้ว สามารถถอนตัณหาในภพอันเป็นเหตุทำให้เกิดได้แล้ว จึงไม่ต้องบังเกิดอีกต่อไป เป็นการปลอดภัยอย่างแท้จริง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. นทีบุญ

    นทีบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    939
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +795
    ต่อนะคะ... สาเหตุของธาตุที่ทำลายจักรวาล http://main.dou.us/view_content.php?s_id=73&page=4

    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=2 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>บทที่ 6 การแตกทำลายของจักรวาล



    </TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD class=p_content>6.2 สิ่งที่ทำลายโลกขึ้นอยู่กับจิตใจมนุษย์

    ถึงแม้ว่าทั้ง ไฟ น้ำ และ ลม จะเป็นสิ่งทำลายโลกและสรรพสิ่งทั้งปวง (ซึ่งไม่มีสิ่งใดๆ ที่จะมีอานุภาพ การทำลายมากไปกว่านี้) แต่ใช่ว่าทั้ง 3 สิ่ง จะสามัคคีชุมนุมมะรุมมะตุ้มตะลุมบอนออกฤทธิ์ถล่มโลกจน แตกสลายก็หาไม่ เพราะการทำลายจะเกิดขึ้นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง คือถ้าเป็นไฟ ก็ไฟอย่างเดียว ถ้าเป็นน้ำก็น้ำอย่างเดียว และถ้าเป็นลมก็ลมอย่างเดียว
    การที่สิ่งใดจะทำลายโลกนั้น ขึ้นอยู่กับจิตใจของมนุษย์ว่า หนาแน่นไปด้วยกิเลสตระกูลใดมากที่สุด ซึ่งถ้าจิตใจมนุษย์หนาแน่นด้วยกิเลสตระกูลโทสะ โลกจะถูกทำลายด้วยไฟ ถ้ามนุษย์มีจิตใจที่หนาแน่นไปด้วย ราคะ โลกจะถูกทำลายด้วยน้ำ และถ้าจิตใจของมนุษย์หนาแน่นด้วยกิเลสตระกูลโมหะ โลกก็จะถูกทำลาย ด้วยลม
    เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราก็สามารถเลือกได้ว่า เราจะให้โลกถูกทำลายด้วยอะไรดี ถ้าอยากให้โลกถูก ทำลายด้วยไฟ ก็เกลียดกันเข้าไป โกรธกันเข้าไป ถ้าอยากจะให้โลกถูกทำลายด้วยน้ำก็โลภกันให้มากๆ เห็นแก่ตัวกันเข้าไป หมกมุ่นกามกันให้มาก และถ้าอยากจะให้โลกถูกทำลายด้วยลมก็ไม่ต้องสนใจกฎแห่งกรรม ไม่ต้องเชื่อบุญเชื่อบาป จะทำอะไรก็จงทำด้วยความพอใจไปเถิด แต่ถ้าอยากให้โลกอยู่รอดปลอดภัย ไม่ถูกสิ่งใดทำลายเลย ก็ต้องช่วยกันให้มนุษย์ทั่วทั้งโลกไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลสทั้ง 3 ตระกูล
    สิ่งที่ทำลายโลก กิเลสในใจมนุษย์
    ไฟ กิเลสตระกูลโทสะ
    น้ำ กิเลสตระกูลราคะ
    ลม กิเลสตระกูลโมหะ


    นอกจากโลกจะไม่ถูกทำลายด้วย ไฟ น้ำ หรือลมพร้อมกัน แต่จะถูกทำลายด้วยอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังกล่าวแล้ว ในการทำลายของทั้ง 3 สิ่งนี้ ยังมีระยะเวลาและลำดับในการทำลายด้วย โลกจะถูกทำลายด้วยไฟเป็นสิ่งแรก และจะถูกทำลายเป็นครั้งๆ ไป ถึง 7 ครั้ง ในครั้งที่ 8 โลกจะถูกทำลายด้วยน้ำ หลังจากนั้นถูกทำลายด้วยไฟอีก 7 ครั้ง แล้วถูกทำลายด้วยน้ำอีก จะเป็นเช่นนี้จนกระทั่งครั้งที่ 64 โลกจึง จะถูกทำลายด้วยลม 1 ครั้ง หลังจากนั้นจึงเริ่มมีการเกิดขึ้นของโลกและจักรวาลขึ้นใหม่ และโลกก็จะถูกทำลายอีกจะเป็นอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด
    เมื่อรวมจำนวนที่โลกถูกทำลายด้วยสิ่งต่างๆ ใน 64 ครั้ง จะถูกทำลายด้วยไฟ 56 ครั้ง ถูกทำลาย ด้วยน้ำ 7 ครั้ง และถูกทำลายด้วยลม 1 ครั้ง


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2011
  11. นทีบุญ

    นทีบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    939
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +795
    อ่านเจอที่หลวงปู่เทสก์ได้ให้โอวาทไว้

    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=four-noble-truhts&month=14-08-2009&group=3&gblog=4

    วาทะครูบาอาจารย์ : โลกฉิบหายด้วยน้ำ ด้วยลม ด้วยไฟ ด้วยน้ำคือราคะ ด้วยลมคือโมหะ ด้วยไฟคือโทสะ

    <!--Main-->

    [FONT=courier new,courier,monospace]พระธรรมเทศนา : พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (พระอาจารย์เทสก์ เทส์รังสี)
    พิมพ์ครั้งที่ 2 กันยายน 2548 หน้า 28-30
    [/FONT]


    [FONT=courier new,courier,monospace]"ความทุกข์มันเกิดนิดเดียว ไม่ได้เกิดมากมายอะไร ถ้าหากประมาท ก็เป็นเหตุให้ใหญ่โตกว้างขวางออกไป เรามาคิดดูว่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดนิดเดียวเท่านั้นหล่ะ มันงอกงามมาเป็นต้นใหญ่โตมโหฬารได้ ใหญ่จนกระทั่งได้หม้อแกงหนึ่ง หรือใหญ่มากกว่านั้นอีก [/FONT]


    [FONT=courier new,courier,monospace]ราคะ มันอยู่ที่ใจของเรานั่นนิดเดียว ความกำหนัดย้อมใจ ความเพลิดเพลินยินดี อยู่ในนั้นนิดเดียวนั้นแหละ แตกหากปล่อยตามใจมัน มันเลยขยายกว้างออกไป แพร่หลายออกไป กว้างหมดทั้งโลก เดิมทีมันนิดเดียวเท่านั้น[/FONT]


    [FONT=courier new,courier,monospace]โทสะ ก็เหมือนกัน มันนิดเดียวเท่านั้นหล่ะ แพร่หลายไปจนกระทั่ง ไปประหัตประหารฆ่าฟันกันตายนับไม่ถ้วน จนโลกอันนี้ฉิบหาย[/FONT]


    [FONT=courier new,courier,monospace]โมหะ ก็เช่นนั้นเหมือนกัน[/FONT]


    [FONT=courier new,courier,monospace]ท่านบอกว่า โลกฉิบหายด้วยน้ำ ด้วยลม ด้วยไฟ ด้วยน้ำคือราคะ ด้วยลมคือโมหะ ด้วยไฟคือโทสะ มันใหญ่โตกว้างขวางถึงขนาดนั้น แต่เราไปประมาทเสีย ทำให้มันเกิดขึ้นมา แล้วแพร่ออกกว้างขวาง จนไม่สามารถระงับได้[/FONT]


    [FONT=courier new,courier,monospace]เพราะฉะนั้น ผู้ที่ต้องการจะระงับดับ ต้องดับที่ใจ อบรมที่ใจให้สงบ เห็นเฉพาะในใจตนเท่านั้น ไม่ต้องไปไล่ขนาบฆ่าตีมันมากมายกว้างขวาง เห็นที่จิตแวบออกไปขณะใด ก็ระงับในขณะนั้นหล่ะ ตั้งสติคุมจิตให้อยู่ เพราะมันออกไปจากจิต เบื้องต้นต้องคุมจิตให้อยู่ก่อน เมื่อจิตอยู่แล้ว จึงค่อยไปพิจารณาเรื่องราคะ โทสะ โมหะ ก็จะเห็นของจริงขึ้นมา[/FONT][FONT=courier new,courier,monospace]ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าสอนนิดเดียว ไม่ได้สอนมาก สอนในที่เดียว สอนที่ใจ ให้เห็นใจอย่างเดียวก็หมดเรื่อง ดังนั้น จงคุมใจให้อยู่ รักษาใจให้ได้ จึงจะชำระใจของตนให้บริสุทธิ์"
    [/FONT]
     
  12. ไม่เน้นขาย

    ไม่เน้นขาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    310
    ค่าพลัง:
    +61
    ความไม่รู้จักพอของคนนั้นละ
     
  13. เด็กสร้างบ้าน

    เด็กสร้างบ้าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,195
    ค่าพลัง:
    +538
    อาจจะด้วยอุณหภูมิของโลกที่ร้อยขึ้นเป็นส่วนประกอบ
     
  14. เนตรนที

    เนตรนที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    457
    ค่าพลัง:
    +4,122
    เพราะมนุษย์ทำร้ายธรรมชาติก่อน ก็ต้องรับกรรมที่ไปทำเขาไว้
     
  15. Aoykub

    Aoykub สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +3
    จังหวัดตากหายด้วยหรือนั่น... :O:'(
     
  16. thanan

    thanan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,666
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +5,210
    ได้รับข้อมูลดี ๆ หลายอย่างเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...