เคอคูเดี้ยน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย su_ra, 12 เมษายน 2011.

  1. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    ตอนที่ 5 โลกมนุษย์ ส่วนที่ 3

    ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่เริ่มระหองระแหงแย่ลงเรื่อยๆในที่สุดพ่อไปได้หลงรักหลานสาวของขุนนาง
    ตนเองมาก จนต้องหย่าร้างกับแม่เพื่อไปแต่งงานกับเธอ แม่และครอบครัวฝ่ายแม่เห็นว่าการกระทำ
    อย่างนี่เป็นสิ่งที่น่าประณาม นับเป็นครั้งแรกที่ผมเป็นมิตรกับฝ่ายแม่เพื่อต่อต้านพ่อ ผมรู้สึกว่าการที่
    พ่ออย่ากับแม่แล้วไปแต่งงานกับหญิงอื่น ไม่ใช่เพียงแต่จะเป็นการดูถูกครอบครัวแล้วยังทำให้ความ
    หวังการขึ้นครองราชย์ของผมสั้นคลอนอีกด้วย ผมได้เสพสัมผัสกับความหอมหวานของความรุ่งโรจน์แล้ว
    แต่กังวลกับการครอบครองอำนาจ เมื่อผมอายุย่าง 18 ปี ผมได้ลืมการเตือนของโจแอ็บและเจราไม
    เกี่ยวกับความหายนะที่มาจากพลังอำนาจ


    ในทันทีที่พ่อแต่งงานใหม่ แม่ก็ออกจากพระราชวังไปแล้วผมก็ตามแม่ไปด้วย พ่อไม่ได้เหนี่ยวรั้งผมไว้
    แต่พวกแม่ทัพนายพลได้เตือนพ่อว่าเป็นเรื่องไร้เหตุผลสิ้นดีที่จะพูดถึงการรวมประเทศกรีซในเมื่อตัวพ่อ
    เองยังไม่สามารถควบคุมครอบครัวตนเองได้เป็นปึกแผ่นผมลังเลใจเช่นกัน พ่อกระตือรือร้นในตัวผมเพียง
    เล็กน้อย การเทิดทูนบูชาของผมแบบเด็กๆ นั้นถูกแทนที่ด้วยความโกรธเคืองและความรังเกียจเหยียดหยาม
    ผมมักจะเกลียดคนที่ถูกครอบงำโดยผู้หญิง ซึ่งเป็นความรักที่เสแสร้งที่ผมได้เรียนรู้มาจากการสอนของ
    อริสโตเติ้ล เหตุการณ์เริ่มเลวร้ายลงไปเมื่อภรรยาใหม่ของพ่อให้กำเนิดบุตรชายที่จะกลายเป็นผู้อวดอ้างการ
    ครองบังลังก์ เมื่อพ่อถูกลองสังหารโดยทหารองรักขาคนหนึ่ง ความรู้สึกที่ผมคิดมาตลอดเริ่มผ่อนคลายลงไป


    ทันทีที่พ่อเสียชีวิต ผมได้ประกาศสถาปนาเป็นกษัตริย์แห่งมาซีโดเนีย กองทัพที่เคยนิยมในตัวผมยอมมรับ
    ทันทีและเป่าเตรต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ แต่คนที่เหลือในราชสำนักไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรเลย อะตาลุส ซึ่งเป็น
    ลุงของภรรยาคนที่ 2 ของพ่อได้กล่าวอ้างว่าจะให้หลานชายตนขึ้นครองราชย์ ผมได้โต้ตอบอย่างทันควัน
    โดยส่งทหารอารักขาส่วนตัวไปหาอะตาลุส จากนั้นมาก็ไม่มีใครเจอเฒ่าคนนี้อีกเลย


    แม่เริ่มเกี้้ยวกราดโกรธแค้นมากยิ่งขึ้นและหยาบกระด้างมากกว่าผมเสียอีก แม่ต้องการดับความอยากปรารถนา
    ของน้องชายนอกไส้และแม่ของเด็กคนนี้ ด้วยการแสดงท่าทีที่น่าขยาดกลัวสยดสยอง แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็น
    ผู้เห็นเหตุการณ์ แต่มีทาสเล่าให้ฟังถึงการลอบฆ่าลูกชายของภรรยาคนที่สองของพ่อและบังคับให้เธอแขวน
    คอตายตาม ทาสอีกคนหนึ่่งบอกว่า ทั้งแม่ลูกถูกต้มทั้งเป็น ผมไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมคิดว่าไม่เหมาะ
    ที่จะพูดคุยเรื่องนี้กับแม่ ไม่ใช่แต่เพียงน้องชายนอกไส้เท่านั้นที่อยากเป็นผู้ครองราชบัลลังก์คนอื่นๆก็พยายาม
    ช่วงชิงมงกุฏกษัตริย์ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นของผมความต้องการของพวกเขาก็ได้แค่ชั่ววูบ เมื่อผมได้เป็นรัชทายาท
    ครองราชบัลลังก์แห่งมาซีโดเนีย ผมไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ผมสามารถกำชัยชนะโดยการทำให้ฝ่ายศตรูหลั่งเลือด
    ความกระหายอยากในอำนาจเริ่มรุกรานจิตวิญญาณของผม เหมือนกับการคิดร้ายที่มีมากขึ้นและสิ่งนี้ก็จะ
    อยู่กับตัวผมไปตลอดชีวิตที่เหลือ ตอนนั้นผมมีอายุ 20 ปี


    หลังจากการขึ้นครองราชย์ต่อจากกษัตริย์ฟิลิป ผมได้อุทิศเวลาทั้งหมดเพื่อรวมอาณาจักรกรีซเพื่อให้ทำงาน
    ครั้งนี้สำเร็จ ผมต้องผนวกรัฐใหญ่ของเมืองเอเธนส์ ธีบีส และโครินท์เข้าด้วยกัน เมืองเหล่านี้มักเป็นกบฏ
    และต่อต้านการปกครองของพ่อเสมอ ผมต้องการทำให้สำเร็จโดยใช้พลังอำนาจที่ดุดัน รวมถึงกลยุทธ์และ
    ยุทธวิธีทางทหารที่ผมได้มาจากอริสโตเติ้ล เมืองเอเธนส์และโครินท์พ่ายแพ้โดยง่ายดาย ส่วนเมืองธีบีสนั้น
    ดีมอสธีนีส ผู้เกลียดมาซีโดเนียได้ประกาศไม่ยอมแพ้ ต่อมาประวัติศาสตร์ได้กล่าวประณามที่ผมกระทำต่อ
    เมืองธีบีสซึ่งผมโกรธเคืองที่พวกเขาต่อต้าน แต่สิ่งนี้ไม่เป็นความจริงเลย การตัดสินของผมทางการทหาร
    ทุกครั้งมาจากหลักตรรกศาสตร์และเหตุผลที่ลุ่มลึก ผมตัดสินใจพังเมืองธีบีส เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่เมืองอื่นๆ
    ที่เหลือของกรีซ เพราะผมต้องการให้ผู้คนรู้ถึงจุดมุ่งหมายว่าผมไม่ได้ต้องการแค่ชัยชนะ แต่ต้องการให้เป็น
    ปึกแผ่นอันเดียวกันและใครก็ตามที่ขัดขวางผมจะต้องตาย ดังนั้นผมจึงทำลายและเผาเมืองธีบีสราบเป็น
    หน้ากอง และไม่มีอะไรหลงเหลือเลย นอกจากบ้านของพินดาร์ที่ผมได้ชื่นชอบในบทกวีของเขา ชาธีบีส
    6,000 คนถูกฆ่าตาย ซึ่งมีทั้งเด็กและสตรี พระและคนพิการ ท้ายที่สุดไม่มีอะไรหลงเหลือแม้แต่เถ้าถ่าน
    ธีบีสที่เคยเป็นเมืองกรีซก็ได้หายสาบสูญไป


    หลังจากประสบความสำเร็จในการรวมประเทศกรีซ ผมได้หันความสนใจไปที่เปอร์เซีย หลายร้อยปีก่อน
    เซอร์เซส ได้นำนักรบเปอร์เซียบุกกรีซและขโมยทรัพยสินนับไม่ถ้วน และยังผนวกเมืองต่างๆ ไว้ในครอบ
    ครอง ในรัชสมัยที่พ่อเป็นพระเจ้าฟิลิปที่ 2 พ่อได้วาดฝันที่จะบุกเปอร์เซีย ซึ่งขณะนี้กษัตริย์ดาอุสที่ 3 ปกครอง
    อยู่พ่อต้องการทรัพย์สินที่สูญหายกลับคืนมา และแก้แค้นความอวดดีของเปอร์เซีย ความเกลียดชังนี้ได้หยุด
    ความฝันพ่อไป แต่ตอนนี้ถึงคราวผมแล้วที่จะสร้างความฝันขึ้นมาและทำให้ตนเองรุ่งโรจน์


    กองทัพที่ผมนำมาด้วยความทะยานอยาก ประกอบด้วยพลทหารเดินเท้า 30,000 นาย และเหล่าทหารม้าอีก
    5,000 นายเป็นเพียงกองทัพเล็กๆ ที่พยายามจะเอาชนะอาณาจักรเปอร์เซียแต่ผมรู้ว่าเมืองกรีกที่ถูกผนวก
    เข้าด้วยกันยอมรับผมเป็นผู้บังคับบัญชาและร่วมมือมากขึ้น ผมรู้ว่าทหารมาซีโดเนียเป็นจักรวาลทางทหาร
    ที่มีพลังมากที่สุดในโลกเท่าที่เคยเจอ เนื่องจากทหารต่างมีระเบียบวินัยอุทิศตนอย่างเต็มที่และกล้าหาญ ทำ
    ให้กองทัพของผมไม่เคยแพ้ในการสู้รบครั้งใดเลย กองทหารที่ผมได้มาจากความมีอัจฉริยะทางกองทัพของ
    พ่อนั้นมีการจัดวางตำแหน่งโดยเดินสวนสนามเคียงบ่าเคียงไหล่ โดยจัดเป็นแนวป้องกันกองหน้าปีกข้าง
    และกองหน้าตามแถวการเคลื่อนทัพ ทุกคนตั้งแถวเป็นกำแพงกองทัพโล่ดาบและหอกที่ยิ่งใหญ่ของมาซีโดเนีย
    เมื่อพวกเขาเคลื่อนทัพไปข้างหน้าและรวมใจเป็นหนึ่งเดียว ทั้งธนู หอก อาวุธซัดได้พุ่งตรงไปยังเหล่าทหาร
    มีประสิทธิภาพอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่ากองทัพที่ดีแต่ผมรู้ว่าไม่ง่ายนักที่จะเอาชนะ แต่ผมก็แน่วแน่จะเอาชนะให้ได้


    ก่อนออกเดินทางจากกรีซ ผมไปที่ศาลสักการะเมืองเดลฟีเพื่อถามนักบวชหญิงแห่งอพอลโลว่า กองทัพที่รบ
    กับเปอร์เซียจะชนะหรือไม่ เธอบอกว่าวันนี้ฤกษ์ไม่ดีและปฏิเสธที่จะบอกกล่าวคำทำนายผมกระชากผมของ
    เธอทันทีและเอากริชจี้ไปที่คอ และถามอีกครั้งเธอสั้นพร้อมกับตอบไปว่า "โอ คุณต้องการจะถามใช่ไหม?
    คุณเองก็รู้ว่าคุณต้องพ่ายแพ้"


    คำพูดของหญิงผู้นี้ติดค้างอยู่ในตัวผมตลอดระยะเวลายาวนาน ที่สู้รบกับเปอร์เซียและกษัตริย์ดาริอุส ความ
    จริงแล้วเธอพูดถูก ผมไม่เคยระแวงสงสัยกับผลของชัยชนะที่จะเกิดขึ้นเลย เป็นเหมือนกับว่าผมชัยชนะอยู่
    ในกำมือและผลักดันเพลิงพลังในตนเองเพื่อเอาชนะ


    ผมต้องข้ามช่องแคบเฮเลสพอนท์ (Hellespont) เพื่อมายังเปอร์เซีย ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างฝั่ง
    ตะวันออกและตะวันตกของโลกกองทัพที่ยิ่งใหญ่ของพวกฟินิเชียนหัวเราะสนุสนานเมื่อเห็นกองทัพชนาดเล็ก
    ของผมข้ามทะเลมาจากแดนไกล เราอาจจะดูไม่เก่งกาจสำคัญอะไร พวกเขาจึงไม่ลดตัวมาสอบถามเรา
    โดยบางทีอาจจะคิดไปว่ากองทัพนับล้านของกษัตริย์ดาริอุสคงจะทำลายกองทัพเราได้อย่างรวดเร็ว พวกเขา
    ไม่คิดว่า ไม่เพียงแต่พวกเปอร์เซียเท่านั้นที่จะสยบแทบเท้าผม พวกฟินิเชียนเองก็ต้องโดนด้วยเหมือนกัน


    สิ่งแรกี่ผมทำเมื่อมาถึงก็คือ ไปเยี่ยมชมอีเลี่ยม (Ilium) ซึ่งเป็นเมืองโบราณของทรอย ที่เกิดสงคราม
    โลกที่ยิ่งใหญ่ยาวนานถึง 10 ปี ผมได้นำโคลงของโฮมเปอร์ติดตัวมาด้วยซึ่งกล่าวเกี่ยวกับการกระทำที่ยิ่งใหญ่
    ของอาคิลิสที่ผมสืบเชื้อสายมาจากเขา สำหรับตัวผมเองแล้วการไปเยี่ยมสถานที่อันสักดิ์สิทธิ์เหมือนกับการ
    เดินทางจาริกแสวงบุญทางศาสนา


    ผมอยู่กับเฮฟาสธีออน ซึ่งเป็นสหายคนสนิทที่ไม่เคยพรากจากกันเลย ผมยืนที่หน้าหลุมศพของ อาคิลิส และ
    สหายของเขาที่ชื่อเปโตรคลุส และแสดงความเคารพต่อการระลึกถึงบุคคลทั้งสองคนนี้ จากนั้นผมได้วางโล่
    ทองที่เท้าของเทพธิดาอธีนา เพื่อแทนอันเดิมที่เคยถือในตำนานสงคราม

    การต่อสู้ครั้งแรกกับชาวเปอร์เซียเกิดขึ้นที่ริมน้ำกรานิคุส (Granicus) ดาริอุสที่ดูหมิ่นการต่อสู้นี้
    ได้ส่งแม่ทัพคนหนึ่งชื่อ เมมนอน (Memnon) มาประจัญหน้ากับผม เมมนอนเป็นชาวกรีกที่เชี่ยวชาญ
    ในสิ่งที่ต้องต่อสู้ และเขาได้ขอให้ดาริอุสเผาบ้านเมืองและพืชพันธุ์อาหารที่อยู่รอบๆ กองทัพเพื่อให้พวกเราอดตาย
    แต่ดาริอุสได้ปฏิเสธ นี่เป็นความผิดพลาดครั้งแรกของเขา


    เมื่อพวกเรามาถึงริมฝั่งแม่น้ำ ผมได้ลงไปในน้ำ ผมให้โจมตีโดยนำทัพทหารม้าที่มีเกราะส่งประกายจับตา
    และขนนกสีขาวบนหมวกเหล็กที่มองเห็นได้ชัดมาแต่ไกล ด้านหลังผมจะเป็นกองทหารราบที่มีแม่ทัพ
    พาร์เมนิโอ เป็นผู้นำทัพโดยเคลื่อนทัพไปข้างหน้าอย่างช้าๆ แต่มีความเด็ดเดี่ยวที่จะข้ามผ่านกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก


    เมื่อเดินข้ามน้ำมาถึงอีกฝั่งหนึ่ง การต่อสู้ก็เริ่มขึ้นอย่างออกรสออกชาติ การซัดหอกของผมนั้นแรงมากจน
    หักเป็น 2 ท่อนผมเลยขว้างหอกอีกอันหนึ่งพุ่งซัดเข้าใส่เปอร์เซียที่ชื่อ มิทริดาทิส ซึ่งเป็นลูกเขยของกษัตริย์
    ดาริอุส มิทริดาทิส ฉวยโอกาสที่หอกของผมหักขว้างแหลนตรงมาที่ตัวผม ซึ่งไม่เพียงแต่จะปักถูกโล่เท่านั้น
    แต่ยังโดนเกราะอีกด้วย ผมรอดพ้นจากการบาดเจ็บได้อย่างหวุดหวิดเพราะแหลนที่มีน้ำหนักเบา ผมรู้สึก
    โกรธมากที่โล่แห่งโทรเจนถูกทำลายผมเลยกระโจนล้มใส่ตัวมิทริดาทิส ทำให้บิวเซฟาลุสกระโดดข้ามร่างที่
    ล้มไป ผมซัดหอกครั้งแรกไม่โดนมิทริดาทิส ส่วนครั้งที่สองผมเอามีดจ้วงแทงปักคาหัวใจเขา


    แม่ทัพเปอร์เซียคนหนึ่งเห็นมิทริดาทิสล้มลงเลยเอาดาบฟันลงบนหมวกเหล็กแยกเป็นสองซีก จนหนังศรีษะ
    เปิดจนถึงกะโหลกเลือดอาบไหลนองตัวผม ผมเลยซัดหอกและฆ่าเขาตายคาที่ น้องชายของมิทริดาทิสควบม้า
    ประชิดตัวผม เมื่อเห็นผมเซเสียหลัก พร้อมกับเงื้อดาบหมายจะปลิดชีวิตผม แต่เพื่อนสนิทผมคราวเดียวกัน
    ที่ชื่อ ไคลทุส ที่เหมือนพี่เหมือนน้องกันกับเฮฟาธิออนได้อยู่ใกล้ๆ ไคลทุสได้แกว่งดาบฟันแลแะตัดแขนศัตรู
    ในชั่วอึดใจเดียวต่อมาผมก็หมดสติล้มกองบนพื้น

    การต่อสู้ดำเนินต่อไปในขณะที่ผมนอนจมกองเลือดบนพื้นดินหายใจรวยรินไคสทุสและเฮฟาสธิออนได้ป้อง
    กันตัวผมในขณะที่แพทย์เข้ามาห้ามเลือดที่ไหลออกจากศรีษะราวกับน้ำพุ ทันทีที่หมอปิดบาดแผลที่ศรีษะ
    ผมก็ฟื้นคืนสติและลุกขึ้นได้อีก ผมกระโดดขึ้นบนบิวเซฟาลุส และร่วมรบอีกครั้งอย่างบ้าคลั่ง


    เมื่อเมมมนอนเห็นว่า การกระทำของเขาไม่ได้ผล เขาเลยถอนทัพแและส่งทูตสันธวไมตรีมาหาผม แต่ตัว
    ผมเต็มไปด้วยความระห่ำบ้าเลือดและการหายอยากแต่ชัยชนะ และไม่อยากหยุดทำสงคราม ในช่วงชั่วโมง
    สั้นๆ ต่อมาพวกเราได้ฉีกศัตรูออกเป็นชิ้นๆ ผมรู้สึกโกรธทูตสันติภาพอย่างมากได้ร่วมมือกับดาริอุสและ
    ทรยศกองทัพ พวกศัตรูล้มตายนับพัน และอีก 2 พันคนที่รอดชีวิตนั้นถูกส่งกลับไปเป็นทาสที่มาซีโดเนีย
    ความสูญเสียในกองทัพผมมีน้อยกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบคนผมเอาใจใส่ดูแลเหล่าทหารเสมอ แต่ไม่เคยลืมบทเรียน
    ที่ผ่านพ้นไป ผมได้ทำให้กองทัพเปอร์เซียที่ย่อยยับถูกฝังตราตรึงไว้ด้วยเกียรติทางทหารอย่างเต็มภาคภูมิ
    ตามตำนานโบราณ ผมแน่ใจว่าพวกเขาจะมีทนทางไปสู่คติโลกหน้า ทั้งราษฎดรของผมและชาวเปอร์เซีย
    เชื่อว่าการกระทำของผมไม่เป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว


    ข่าวการชนะครั้งแรกของผมได้แพร่สะพัดเหมือนไฟลามทุ่งไปทั่วหัวเมืองกรีกต่างๆ ตามแนวชายฝั่งของ
    เอเชียไม่เนอร์ คนแล้วคนเล่าได้ต้อนรับผมเหมือนผมเป็นผู้ช่วยชีวิต

    ปีต่อมาในฤดูใบไม่ผลิ ผมมาที่กอร์เดียน อันเป็นสถานที่ที่ทหารสามารถพักผ่อนและรวมกองกำลังใหม่
    ตำนานเล่าขานที่เลื่องลืออันหนึ่งของเมืองนี้ก็คือ ปมกอร์เดียน โดยกษัตริย์กอร์เดียนแห่งฟริเจียได้ผูดไว้กับ
    เทียมแอกรถลาก ปมนี้ใหญ่มากพันกันยุ่งเสียจนไม่มีใครเคยคลายปมออกได้ ตำนานได้เล่าขานว่าคนที่
    สามารถคลายปมออกได้ วันหนึ่งจะกลายเป็นจักรพรรดิแห่งเอเชีย คนนับร้อยพยายามจะทำให้ได้ แต่ก็คว้าน้ำเหลว


    เป็นเรื่องปกติ ทันทีที่ผมได้ยินตำนานนี้ผมตั้งใจที่ะคลายปมนี้ให้ได้ เรื่องนี้เป็นจริงตามตำนานที่จะจุดไฟ
    จินตนาการของผู้คน โดยทำให้การพิชิตนั้นง่ายยิ่งขึ้น


    เมื่อผมมาเจอปมที่ว่านี้ ผมได้ครุ่นคิดถึงความใหญ่โตโอฬารของงานที่จะต้องทำที่อยู่ตรงหน้า ปมนี้เกิด
    จากบ่วงนับร้อย โดยแต่ละปมจะซ้อนเป็นสองเท่าของเส้นผ่านศูนย์กลาง ซึ่งหนาขนาดลำตัวของบิวเซฟาลุส
    เชือกที่ใช้ผูกปมหนาเท่าข้อเท้าผมทีเดียว ผมคิดคำนึ่งถึงสถานการณ์นี้อยู่ครู่หนึ่งด้วยความนิ่งเงียบ ผมรู้ว่า
    เป็นไปไม่ได้ที่คลายปมด้วยมือเปล่า เนื่องจากความหนาทำให้เชือกเหนียวและขดแน่น
     
  2. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    ตอนที่ 5 โลกมนุษย์ ส่วนที่ 4 จบ

    เมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไปว่าผมจะคลายปมนี้ ทั้งทหารผมเองและประชาชนเมืองกอร์เดียนได้มาชุมนุม
    กันอย่างรวดเร็วบริเวณสถานที่แห่งนี้ เพื่อเป็นประจักษ์พยานต่อการกระทำครั้งนี้ บางครั้งผมได้ยิน
    เสียงคนหัวเราะจากฝูงชนที่มามุงดู พวกเขามาดูจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ยิ่งใหญ่ผู้พิชิตศัตรูมากมาย
    แต่กำลังจะพ่ายแพ้แก่ปมเชือกง่ายๆนี้ ในที่สุดผมก็เหนื่อยอ่อนต่อการค้นหาวิธีที่จะหาต้นตอของปม
    เชือก ผมได้ยินเสียงตะโกนไปว่า "ใหนใครรู้วิธีคลายปมเชือก" และตอนนั้นผมเองได้ชักดาบและฟัน
    ปมออกเป็น 2 ส่วนด้วยการตัดเชือกเพียงครั้งเดียว ทันใดนั้นเองได้เกิดฟ้าร้องและมีฟ้าผ่าฟ้าแลบแล้ว
    เสียงร้องอันกึกก้องแห่งชัยชนะก็ดังขึ้นมาจากลำคอของเหล่าทหาร ตับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาทุกคนเชื่อ
    ว่าผมเป็นทูตแห่งพระเจ้า


    แต่การที่เหล่าทหารเทิดทูนผม และความสามารถในการคลายปมเชือก ที่กอร์เดียนไม่ได้เป็นสิ่งแสดง
    เกียรติยศเกรียงไกรที่ผมได้รับที่เปอร์เซีย ผมอยู่ที่นั่นเพื่อครองบัลลังก์เปอร์เซีย และเพื่อจะให้สิ่งนี้ลุล่วง
    ไปได้นั้น ผมต้องประจัญหน้ากับดาริอุส


    ผมและดาริอุสเผชิญหน้ากันตอนฤดูใบไม้ร่วงในปีเดียวกันที่สนามรบดาอิสซุส เมื่อการสู้รบได้เริ่มขึ้น
    กองกำลังทั้งสองฝ่ายไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ความดุดันแข็งกร้าวที่จะต่อสู้และความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะ
    กษัตริย์เปอร์เซียและเหล่าแม่ทัพ ช่วงเวลาไม่นานนักก่อนที่กองทัพของกษัตริญ์เปอร์เซียจะแตกพ่าย
    เหล่าทหารม้าแตกกระจายและเหล่ากองทหารส่วนใหญ่ถูกฆ่าตายหรือไม่ก็ถูกจับเป็นเชลย ผมได้เร่ง
    ให้บิวเซฟาลุสกระโดดข้ามซากศพศัตรู และเร่งความเร็วข้ามสนามรบไปยังรถศึกคันที่ผมรู้ว่าเป็นของ
    กษัตริย์ดาริอุส แต่กษัตริย์เปอร์เซียเห็นผมเข้าประชิดเขาได้กระโดดออกจากรถศึกลงในอยู่ในยานพาหนะ
    ขนาดเล็กที่ขับเคลี่อนออกไปในทันที ผมตามไล่กวดอยู่หลายไมล์แต่เขาก็หายไปในความมืด


    การหลบหนีของกษัตริย์ดาริอุสบ่งบอกถึงการล่าถอยของกองทัพที่เหลืออยู่ ซึ่งที่ได้ยอมแพ้ผมในทันที ไคลทุส
    และเฮฟาธิออนได้อยู่เป็นเพื่อนผม ผมเก็บเสื้อคลุมและโล่ที่ดาริอุสทิ้งไว้ และวางไว้ที่ค่ายรบซึ่งรู้ว่าครอบครัว
    ของเขารออยู่


    เมื่อครอบครัวของเขาเห็นผมเดินเข้ามาพร้อมกับเสื้อคลุมและโล่ของดาริอุส แม่และภรรยาของเขาคิดว่า
    ดาริอุสตายแล้ว พวกเขาวิ่งถลาซบลงที่เท้าแล้วร่ำไห้อย่างหวาดกลัว และขอความเมตตาต่อครอบครัวและ
    ลูกสาวของดาริอุสด้วย ผมสนใจในตัวสตรีเพศเสมอแต่ผมห้ามไม่ให้ทหารข่มขืนหรือทำร้ายสตรีที่ถูกยึดเมือง
    เด็ดขาดผมก้มลงพยุงหญิงทั้งสองขึ้นมาอย่างอ่อนโยน และผมได้ทำให้พวกเธอแน่ใจว่า พวกเธอไม่มีอะไรที่
    ตัองหวาดกลัวเมื่ออยู่กับผมและผมจะเลี้ยงดูพวกเธอเหมือนครอบครัวกษัตริย์เปอร์เซีย ถึงแม้ว่าผมจะมีสิทธิ์
    เอาภรรยาของดาริอุสมาเป็นภรรยาผมเอง ผมก็ไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวเธอเลย แม่ของดาริอุสชื่อ ซีซิกัมบิส
    กลายเป็นเพื่อนคนซื่อสัตย์มากที่สุดคนหนึ่งของผม ต่อมาเจเรไมได้บอกผมว่า ตอนผมตาย เธอได้หันหน้าเข้า
    หากำแพงปฏิเสธที่จะพูดคุยและกินอะไรจนกระทั้งตัวเองตาย


    แต่ดาริอุสยังไม่ถูกจับและขณะนี้ยังลอยนวลอยู่ ผมไม่อาจครองบัลลังก์หรือมงกุฎได้ ผมรู้ว่าเขาได้ครอบครอง
    อาณาจักรที่กว้างใหญ่ไพศาลและมีพรัพย์สินมั่งคั่งมหาศาลผมเลยตัดสินใจที่จะ ดำเนินการติดตามเขาต่อไป
    อย่างไรก็ตามก่อนที่จะเริ่มทำการนี้ ผมต้องแน่ใจว่าบัลลังก์ของผมเองปลอดภัยเมื่อกลับไปยังมาซีโดเนียเพื่อให้
    สิ่งนี้สำเร็จผมเริ่มโจมตีเมืองไทร์ (Tyre) ซึ่งเป็นเมืองที่มีป้อมปราการแข็งแกร่งของชาวฟินิเชียน และ
    เป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญบนฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ถ้าผมได้ครอบครองเมืองไทร์ ผมรู้ดีว่าจะได้ปกครอง
    ดินแดนชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้้งหมดและสามารถขับไล่การโจมตีจากทุกกองทัพที่จะตีกรีซได้


    ผมเริ่มโจมตีเมืองไทร์ครั้งแรกด้วยวิธีทางทูต ผมส่งทูตไปเจริญใมพันธไมตรีหลายคนไป พบผู้บังคับบัญชาการ
    กองทหารคุ้มกันโดยถามเขาว่า จะร่วมมือกับผมและหลีกเลี่ยงการนองเลือดหรือไม่แต่เหล่า บรรดาผู้นำเมือง
    ไทร์มั่นใจว่ากำแพงเมืองของพวกเขาสามารถต้านทานข้าศึกได้ คำตอบของเขาก็คือ การลอบฆ่าทูตทุกคนของ
    ผม โดยทิ้งศพไว้ที่แนวกำแพงเมือง


    ผมรับรู้ข่าวนี้และเตรียมตัวออกรบ ผมต้องใช้เครื่องยิงและกระทุ้งกำแพงประตูเพื่อทำลายกำแพงแต่ฐานกำแพง
    ได้อยู่ลึกลงไปในน้ำ และในการใช้เครื่องยิงธนูนั้นต้องอาศัยดินที่แข็งยิ่ง

    อุปสรรคที่เห็นอยู่นี้ไม่อาจยับยั้งผมซึ่งมีความแน่วแน่ที่จะพิชิตเมืองไทร์ให้ได้ ถ้าต้องการดินแข็งมาใช้กับเครื่อง
    ยิงธนู ผมก็น่าจะสร้างดินแข็งที่ว่านี้ขึ้นมา ผมคิดเป็นครั้งที่ 2 ว่าเป็นไปได้ ผมจึงเรียกแม่ทัพมาชุมนุมและบอก
    แผนการแก่พวกเขาว่า เราจะสร้างถนนข้ามลำน้ำไปตีเมืองไทร์ แผนการที่ทะเยอทะยานและซับซ้อนได้ผลใน
    ทันที การก่อสร้างถนนใช้เวลา 6 เดือนซึ่งเป็นช่วงเวลาเหล่าทหารของผมต้องอดทนต่อความยากลำบากที่ยากจะ
    อธิบายได้ ฟวกฟินิเซียนได้ระดมยิงและขว้างสิ่งต่างๆ มาที่กองทัพเราเพราะรู้ถึงจุดประสงค์ของถนนที่สร้างขึ้นมา


    การสร้างถนนจนเสร็จนั้นใช้เวลานาน เราได้ยกเครื่องยิงธนูโดยใช้เครื่องตอกเสาเข็มเข้าร่วม และได้สร้างผล
    งานในระยะเวลาสั้นของราชินีที่ภาคภูมิใจแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียม สิ่งที่กษัตริย์ เนบูซับฮัสซา (Nebuchadnezzar)
    กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งบาบิโลเนียไม่สามารถทำได้สำเร็จนั้น ผมได้ทำสำเร็จแล้วด้วยความหนักแน่นและสติ
    ปัญญาอันหลักแหลม แนวชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจึงกลายเป็นของผม ผมได้สร้างความฝันของพ่อผม
    ให้เป็นจริงแล้ว


    เมื่อดาริอุสซึ่งกบดานอยู่ได้ยินข่าวชัยชนะของผมครั้งล่าสุดเขาเขียนจดหมายถึงผมในทันทีโดยเสนอที่จะให้ดิน
    แดนอาณาจักร กึ่งหนึ่งทางตะวันตก บุคคลที่มีความสามารถเก่งกาจ 10,000 คน และยกลูกสาวคนหนึ่งให้
    แต่งงานกับผม ต่อมาเจเรไมได้บอกผมให้ยอมรับข้อเสนอนี้ วัฒนธรรมเฮเลนิกก็จะสิ้นสุดลงที่เปอร์เซีย ด้วย
    เหตุนี้เอง สาส์นของดาริอุสที่ส่งมานั้นทำให้ผมเค่หัวเราะเยาะและปฏิเสธไปอย่างดูแคลน


    ในช่วงนี้ผมได้เสาะแสวงหาศิลปะ ปรัชญาและวัฒนธรรมอันสูงส่งของมาตุภูมิของตนเองไปเผยแพร่ยังส่วนที่
    เหลือของโลกยุคโบราณ ซึ่งได้ส่งผ่านไปยังกรุงโรม และส่วนอื่นของโลก

    ถัดจากการโจมตีเมืองไทร์ ผมได้ไปตีอียิปซึ่งผมพิชิตชัยได้อย่างไม่เหนื่อยแรง ชาวอียิปต์อ้าแขนต้อนรับผม
    และไม่เพียงจะแต่งตั้งผมเป็นฟาโรห์เท่านั้น แต่ยังประกาศว่าผมเป็นพระเจ้าที่กลับมาเกิดอีกด้วย สิ่งนี้ไม่ได้
    ทำให้ผมแปลกใจแต่อย่างใด แม่บอกผมเสมอว่า เทพเจ้าแห่งโอลิมเปียองค์หนึ่งจะทำให้ผมได้รับอันตราย
    แต่ไม่ใช่พระเจ้าฟิลิปแห่งมาซีโดเนีย ผมได้บริจาคทานครั้งใหญ่แก่ชาวอียิปต์ สร้างเมืองให้แข็งแกร่ง แก้
    ปัญหาน้ำท่วมและชลประทานและอนุญาตให้ชาวอียิปต์สักการะบูชาเทพเจ้าโบราณของตนต่อไปนอกจากนี้
    ผมได้ประกาศว่าเทพเจ้าแแอมมอนของชาวอียิปต์ก็เหมือนกับเทพเจ้าซุส ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดของชาวกรีก
    ผมบอกชาวอียิปต์ว่าถ้ามีพระเจ้าอยู่จริง และเป็นที่แน่นอนว่าพระเจ้าสร้างตัวเองขึ้นมาดังนั้นมีพระเจ้าเพียงองค์
    เดียว แต่พระองค์นั้นมีหลายชื่อ คำพูดประโยคนี้ทำให้ผมได้รับความรักที่ยาวนานและความเคารพนับถือ
    อย่างสูงจากชาวอียิปต์


    แต่สิ่งสำคัญที่ผมใด้ทำในอียิปต์ คือการสร้างเมืองอเล็กซานเดีย ผมต้องสร้างเมืองนี้ให้เป็นเมืองที่สวยงามและ
    มั่งคั่งที่สุดในโลก เพราะเมืองนี้เป็นที่มาของชื่อผม อเล็กซานเดรียเป็นเมืองทันสมัยที่เพียบพร้อมเมืองแรกที่
    ก่อสร้างโดยมีแนวถนนขนาดใหญ่ตัดกับถนนสายเล็ก ไม่นานนักอเล็กซานเดรียก็เข้ามาแทนที่เมืองไทร์ใน
    ฐานะที่เป็นศูนย์กลายการค้าที่สำคัญของดินแดนนี้ และกลายมาเป็นเมืองติดต่อกับต่างประเทศที่สำคัญของ
    ดินแดนนี้ และกลายมาเป็นเมืองติดต่อกับต่างประเทศที่สำคัญในเวลานั้น ชาวกรีก เปอร์เซีย อินเดีย ยิว และ
    คนเชื้อชาติต่างๆ ได้วนเวียนมาแวะเยี่ยมที่ท่าเรือแห่งนี้


    ดาริอุสได้เขียนสาส์นถึงผมอีกครั้ง แต่คราวนี้เสนอให้ช่างทองจำนวน 20,000 คน ผมได้ปฏิเสธข้อเสนอไปอีก
    ครั้งและได้สัญญาว่าจะสู้รบกับเขาอีกครั้งหนึ่งแทน คราวนี้ผมได้ประจัญหน้ากับเขาที่โกกาเมลา (Gaugamela)
    อันเป็นสนามรบที่ผมได้ทำให้ดาริอุสพ่ายแพ้มาแล้วครั้งหนึ่ง และเขาต้องหลบหนีไปเป็นครั้งที่สอง


    การต่อสู้ครั้งต่อไปกับเมืองบาบิโลเนีย การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็วและลงเอยด้วยชัยชนะ ผมใช้เวลาในเดือนถัด
    ไปพักผ่อนในสวนลอยของกษัตริ์เนบูซัดเนสซากับเหล่าสหาย คือ ไคลทุสและเฮฟาธิออน รวมทั้งกองทหารที่
    เหลือ ถัดจากครองเมืองบาบิโลนแล้วผมได้พิชิตเมืองซู่ซ่า และเปอร์เซโปลิส เมืองหลวงของอาณาจักรเปอร์เซีย
    ชัยชนะครั้งนี้ทำให้ผมมีโชคนำช่างทองเกือบ 20,000 คน


    เปอร์เซโปลิสเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของชาวเปอร์เซีย เหมือนกับที่เยรูซาเล็มเมืองของชาวยิว และเมกกะเป็นเมือง
    ของชาวมุสลิมเปอร์เซโปลิสเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรแห่งกษัตริย์ดาริอุสผมได้สั่งให้ทหารกลบและเผา
    เมือง เพื่อชาวเมืองเปอร์เซียและกษัตริย์ดาริอุสที่หลบหนีไปเข้าใจว่าอาณาจักรของตนเองได้ล่มสลายแล้ว จาก
    นั้นผมได้เผาปราสาทราชวัง แล้วสร้างพระราชวังของผมเองขึ้นมาใหม่ ผมไม่เคยนอนหลับใต้ชายคาของอริศัตรู


    ดาริอุสยังหลบหนีผมต่อไป และผมก็มั่นใจว่าท้ายที่สุดแล้วจะต้องพบตัวเขา มิฉะนั้นจะกลายเป็นความพยายาม
    ที่สูญเปล่า ในที่สุดผมได้ไล่ต้อนกษัตริย์ดาริอุสจนมุมที่เมืองเล็กๆที่ชื่อ เอ็คบาตาน่า บริเวณเทือกเขาเคอร์ดิช
    แต่ดาริอุสหลบหนีผมอย่างถึงที่สุด ก่อนที่ผมจะได้ตัวเขามานั้น เบสซุส แม่ทัพคนหนึ่งของเขาเองได้ลอบฆ่า
    ดาริอุส เมื่อผมได้ยินต่อหน้าศพดาริอุส ผมคลุมศพเขาด้วยเสื้อคลุมและส่งศพเขาให้แก่มาดาเพื่อทำพิธีฝังศพ


    เบสซุสมีความหยิ่งทะนงองอาจที่จะขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ อาร์ตาเซอร์เซสที่ 4 แห่งเปอร์เซีย ผมพบว่ามี
    บางสิ่งกลายเป็นเรื่องน่าขบขัน ถ้าผมไม่กระทำการโดยเร็ว ผมเลื่อนการต่อสู้ครั้งต่อไปออกไปและล่าตัวเบสซุส
    เมื่อผมพบเขาผมได้ตัดจมูกและใบหูตามแบบอย่างชาวเปอร์เซีย แล้วส่งตัวไปยังเมืองเอ็คบาตานาเพื่อไต่สวน
    คดีข้อหาเป็นผู้ทรยศกบฏชาติ ชาวเปอร์เซียและเมดิสได้พิสูจน์ว่าเบสซุสมีความผิดและตัดสินใจขังเขา


    หลังจากที่ดาริอุสตายไปแล้ว ผมตัดสินใจบุกอิหร่าน ซึ่งผมก็ได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย หลังจากนั้นไม่นานผม
    ก็แต่งงานกับเจ้าหญิงชาวแบคเทรียนชื่อ โรซาน่า ผมไม่ได้รักเธอหรอก แต่การแต่งงานของเราเป็นกุศโลบาย
    ทางการเมืองที่ตั้งใจเกี่ยวดองกับพ่อและประชาชนของเธอ ผมต้องการรัชทายาทสืบราชบัลลังก์ และผมรู้ว่าการ
    แต่งงานกับหญิงเปอร์เซียนั้น จะช่วยให้ผมได้รับแรงสนับสนุนจากชาวเปอร์เซีย


    ทหารในกองทัพและเหล่าสหายต่างไม่ยินดีต่อการแต่งงานกับโรซาน่า พวกเขาคิดว่าผมถูกครอบงำจากอิทธิพล
    ชองชาวตะวันออกและลืมรากเหง้าความเป็นชาวกรีกไปแล้ว ผมเริ่มแยกตัวเองเหินห่างจากเพื่อนสนิทและทหาร
    ทีละเล็กทีละน้อย ผมเริ่มสงสัยและหวาดระแวงทุกคนรอบตัวผม ผมมั้นใจว่าทุกคนพยายามจะสังหารผม


    ความหวาดระแวงและความกลัวเพิ่มมากขึ้นทุกวัน โดยได้มุ่งไปที่ลูกชายของพาร์เมนิโอ ซึ่งเป็นแม่ทัพเก่าแก่
    และน่าเชื่อถือมากที่สุดของผม ผมสั้งฆ่าเด็กหนุ่มคนนี้เพื่อหยุดคิดเรื่องกบฏที่ผมครุ่นคิดขึ้นมา แต่ผมยังไม่สนใจ
    ต่อการสังหารครั้งนี้ ผมได้สั่งให้ฆ่าพาร์เมนิโอด้วย เพราะหวาดกลัวเรื่องการแก้แค้น พาร์เมนิโอมีอายุชรามาก
    กว่า 70 ปี และเป็นที่นิยมชมชอบของเหล่าบรรดาแม่ทัพนายพลพวกเล่าทหารไม่เคยยกโทษให้ผมที่เขาได้ตายไป


    จากอาชญากรรมที่อาจจะให้อภัยได้ จิตใจผมเริ่มตกต่ำลงทุกที ผมเคยเป็นคนสมถะมาตลอด แต่ตอนนี้ผมเริ่ม
    ดื่มเหล้าหนักทุกคืนหนักมากจนผมหมดสตินอนหราอยู่บนพื้น ผมรู้สึกอ้างว้างและสูญสิ้น ระหว่างที่ผมได้เลี้ยง
    ฉลองกับเพื่อนไม่กี่คนที่เหลือไคลทุสซึ่งเป็นเพื่อนในวัยเด็กคนสนิทเก่าแก่ที่เคยช่วยชีวิตผมในการรบที่การนิคัส
    เขากล้าด่าผมผมขาดสติเนื่องจากดื่มไวท์และเกิดโทสะผมหยิบดาบและแทงไคลทุสล้มลไปบนพื้นแน่นิ่งตายคาที่


    การฆ่าเพื่อนที่ซื่อสัตย์ทำให้ผมรู้สึกผิดจนต้องขังตัวเองอยู่บนเตียงถึง 3 วันและไม่แตะต้องข้าวปลาอาหาร ในที่
    สุดหมอได้กล่อมผมว่า การกระทำที่ร้ายแรงครั้งนี้ไม่ได้เป็นความผิดผม แต่จากความบ้าคลั่งของพระเจ้า สิ่งนี้
    ช่วยบรรเทาความรู้สึกและคลายความโศกเศร้า แต่ไม่ได้หยุดความหายนะของตัวผมได้เลย ผมกลายเป็น
    กษัตริย์กดขี่และทรราชย์ แม้แต่อาจารย์คนเก่าอย่างอริสโตเติ้ลก็ได้สาปแช่งผม

    การต่อสู้ดิ้นรนของผมในคราวหน้าและเป็นครั้งสุดท้าย ผมยกทัพไปอินเดีย ที่นั่นผมได้พบกับนักบวชทรงศีลที่
    รู้จักในนาม ครุ ผู้หนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนผมตลอดเวลาที่เหลือในชีวิตผม ในที่สุดเมื่อถึงอินเดีย กองทัพผมได้ต่อต้าน
    ไม่ยอมร่วมในตัวผมอีกต่อไปในช่วงฤดูฝนของเขตร้อนพวกเขารู้ว่าผมไม่กลับไปกรีซจนกว่าจะชิตทั่วทุกมุม
    โลก พวกทหารอ่อนเปลี้ยเพลียแรงและขยาดต่อการต่อสู้ สิ่งที่พวกเขาอยากจะทำก็คือกลับไปกรีซและวางมือ
    จาการสู้รบ ผมหลบเข้าไปอยู่ในเต้นท์ที่พักตามสำพังถึง 2 วัน ผมทั้งโกรธและขมขื่นที่เห็นความฝันที่จะพิชิต
    ชัยชนะต้องล้มคลืนถึงจุดสิ้นสุด ผมรู้ว่าพวกทหารสมควรได้หยุดพักเป็นเวลานาน แต่ไม่มีทางที่ผมจะหยุดความ
    ฝันอันเรืองรองนี้ไปได้


    ผมแน่วแน่ที่จะสู้รบต่อไปจนกว่าโลกที่ตนรู้จักทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การปกครองของผม แต่ผมก็รู้ว่า ความฝันนี้
    ไม่อาจเป็นจริงขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีแรงสนับสนุนที่ยินยอมพร้อมใจจากเหล่าทหาร ดังนั้นผมจึงตัดสินใจยอมผ่อน
    ปรนและเห็นด้วยกับความต้องการของพวกทหารหลังจากได้พักผ่อนพอสมควร ผมลงเรือจับศึกครั้งสุดท้ายและ
    มีเกียรติมากที่สุด ไม่ช้าก็เร็วโลกทั้งหมดจะสยบแทบเท้าผม เมื่อผมได้ตัดสินใจแล้ว ผมออกจากเต้นท์ด้วยรอยยิ้ม
    ที่เบิกบานบนใบหน้า และบอกแก่ผู้บังคับการกองพันทหาร โคนุส ให้บอกต่อกับเหล่าทหารว่าผมยินยอมตกลง
    ในคำร้องขอ เหล่าทหารปรบมือรับการตัดสินนี้ และในวันต่อมาพวกเราจึงเริ่มเดินทัพกลับมายังเปอร์เซีย


    การกลับมาครั้งนี้ยากลำบากทีเดียว ต้องผจญกับการกบฏภายในกองทัพ โรคร้าย และทหารล้มตามเป็นจำนวน
    มาก สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากพลังหายนะของลมมรสุมอินเดีย เมื่อถึงเมืองซูซ่าอันเป็นศูนย์กลางการบริหารของ
    อาณาจักรเปอร์เซีย ผมได้กำหนดให้มีการรวมชนชาติมาซีโดเนียและเปอร์เซียเข้าด้วยกัน ผมแต่งงานกับลูกสาว
    คนหนึ่งของดาริอุสที่ชื่อ บาซีเน เพื่อดำเนินนโยบายดังกล่าว ในขณะที่เฮฟาสธิออนเพื่อนผมได้แต่งงานกับลูกสาว
    ดาริอุสอีกคนหนึ่งชื่อ ดรายพิทิส ประชาชนจำนวน 10,000 คน และนายทหารอีก 80 คน ได้ปฏิบัติตามอย่างผม
    และแต่งงานกับหญิงชาวเปอร์เซียด้วย


    การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้ต้องเผชิญกับความเป็นปรปักษ์อย่างเปิดเผยจากชาวมาซีโดเนียในกองทัพผม ผมรู้สึก
    เบื่อหน่ายและเกลียดชังต่อทหารในกองทัพทั้งหมด ผมจึงปลดทหารทั้งกองทัพและส่งหลับไปกรีซ แต่ผมก็ฉลาด
    รอบคอบโดยให้ทองจำนวนมากแก่พวกเขารวมทั้งของกำนัลราคาแพงเพื่อปิดปากพวกเขาตลอดไป กลอุบายนี้
    ได้ผลและเอาชนะวิกฤติการณ์อันนี้ไปได้ เมื่อผมได้ปลดทุกคนหมดทั้งกองทัพ ผมสร้างกองทัพขึ้นมาใหม่ คราว
    นี้ประกอบด้วยชาวเปอร์เซียทั้งหมด ซึ่งสามารถรวมตัวกันได้ง่าย แต่ผมรู้สึกอ่อนแอและเหนื่อยหน่ายเสียแล้ว
    ร่างกายของผมบอบช้ำจากบาดแผลที่บาดเจ็บในครั้งก่อน


    ช่วงนี้เองโชคชะตาได้ลิขิตให้ผมต้องเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสในชีวิต เพื่อนรักที่ชื่้อเฮฟาสธิออนได้ตายลงกะทันหัน
    ด้วยอาการไข้การตายของเขาได้ทำลายสิ่งที่ผมเหลืออยู่ ผมขังตัวเองอยู่ 3 วันนั่งข้างศพเพราะไม่อยากทิ้งเขาไป
    เมื่อผมออกมาจากที่เก็บศพ ผมได้สั่งประหารหมอโดยกล่าวหาว่าไร้ความสามารถ งานศพของเฮฟาสธิออนเป็น
    งานที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้น ผมไม่เคยคลายความโศกเศร้าจากากรสูญเสียเขาไปเลย


    หลังจากเฮฟาธิออนตายไปหลายเดือน ผมเริ่มล้มป่วยลงหลังจากดื่มสุราเป็นระยะเวลานาน แพทย์หมดปัญญาที่
    จะรักษาเยียวยาได้ แม้ว่าบางคนสงสัยว่าผมเป็นไข้มาลาเรีย ข่าวที่ล่ำลือกันว่าผมถูกว่างยาพิษได้แพร่สะพัดออก
    ไป แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย สิ่งที่ฆ่าผมก็คือความโศกเศร้าตรอมใจต่อการตายขอบเฮฟาธิออน และ
    การสำนึกผิดต่อการฆ่าสองพ่อลูก ไคลทุสและพาร์เมนิโอ พวกเขาเป็นเพื่อนแท้ที่ผมรู้จักในชั่วชีวิต ชีวิตของ
    พวกเขาคือความรักอันแน่นแฟ้นเพียงอย่างเดียวที่ได้จุดประกายวิญญาณของผม ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือภรรยา
    ผม ก็ยังไม่สามารถเข้ามาสัมผัสจิตวิญญาณของผมหรือเข้าใจตัวผมได้มากเท่าพวกเขาเลย ลูกคนเดียวของผม
    ยังไม่ได้ถือกำเหนิด และคงไม่อาจได้แสดงความรักต่อผม


    วันที่ 13 มิถุนายนก่อนคริสตศักราช 323 เวลา 6 โมงเย็นวิญญาณที่กลุ้มรุมรุ่มร้อนก็เป็นอิสระออกร่างกายและ
    ไปสู่สภาพความเป็นวิญญาณ ตามตำนานต่อมาเล่าว่ามีฟ้าผ่าอย่างรุนแรงเกิดขึ้นที่ทะเลและแผ่กระจายไปถึงบน
    สรรค์ โดยได้พัดพาเอานกอินทรีและดาวดวงหนึ่งไปไว้อยู่ตรงกลางท้องฟ้า เมื่อดาวดวงนั้นเลือนหายไป ผมจึง
    ได้หลับตาชั่วนิรันด์ ผมมีชีวิตอยู่บนโลกแค่ 33 ปี ตลอดเวลาที่ผมมีชีวิต ผมเป็นจรรพรรดิและผู้ยิ่งใหญ่ของโลก
    และยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าบางองค์ แต่ผมไม่เคยรู้จักความสุขและไม่มีใครหลั่งน้ำตาเมื่อผมตาย


    อาณาจักรของผมถูกแบ่งและถูกยึดครองโดยพวกแม่ทัพของผม โรซาน่า ภรรยาคนแรกของผมของผมได้ลอบ
    ฆ่าภรรยาคนที่ 2 ที่ชื่อบาร์ซิเน่ ที่เป็นลูกสาวของดาริอุส ต่อมาศัตรูของเธอคนหนึ่งก็ได้ฆ่าเธอและลูกชายตัวน้อย
    รวมทั้งโอลิมเปียสแม่ของผม ไม่มีใครหลงเหลืออีกเลยในวงศ์ตระกูลหรือแม้แต่เลือดเนื้อของผมในโลกมนุษย์
    มันเป็นเหมือนราวกับว่าพระเจ้าตัดสินใจว่า เผ่าพันธุ์วงศ์ตระกูลของผมได้สูญสิ้นไปพร้อมๆ กับการสิ้นชีพของผม


    เจราไม่และโจแอ็บพูดถูกต้องเมื่อพวกเขาทำนายถึงชีวิตที่ต้องระทมด้วยความทุกข์และความหายนะบนโลก
    มนุษย์ แต่ผมไม่เสียอกเสียใจในเหตุการณ์นี้เลย ผมกระทำความผิดและก่อกรรมทำเข็ญมานับไม่ถ้วน ผมเป็น
    คนที่โหด กดขี่ทารุณและอำมหิต และยังใช้อำนาจกดขี่ปราศจากความเมตตาสงสาร ผมไม่ขอแก้ตัวต่อการ
    กระทำความชั่ว นอกจากความอ่อนแอของตนเอง แต่ความตั่งใจของผมก็สูงส่ง แม้ผมจะประสบความล้มเหลว
    มาหลายครั่ง แต่ภาระหน้าที่ของผมไม่ได้สูญสิ้นเลย ผมมีความคิดที่จะให้โลกเป็นเอกภาพอันเป็นความคิดที่
    เปลี่ยนแปลงจากเดิมในเวลานั้น และผมขยายขอบเขตอรรยธรรมจากกรีกไปสู่อินเดีย ผมจุดประกายความ
    รุ่งโรจน์ให้กับโลกด้วยแนวคิดแบบอริสโตเติ้ล ผมทำให้วรรณคดี ศิลปะ และวิทยาศาสตร์ตามแบบฉบับเฮเลนิค
    เจริญเฟื่องฟู จากความสำเร็จทั้งหลายทั้งปวงนี้ ประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ได้ตั้งฉายาให้กับผมว่า
    พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช แต่สิ่งนี้ทำให้การเดินทางของวิญญาณสิ้นไป วันเวลาหลายศตรรวษต้องฟันผ่า
    ผ่านพ้นไปก่อนที่ผมจะได้พบกับเวอร์ดิกริสอีกครั้งหนึ่ง
     
  3. pannatee

    pannatee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +65
    ขอบคุณมากค่ะ...มารอติดตามตอนต่อไปoishi_ เอ...จะมีต่อป่ะเนี่ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2011
  4. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    ตอนที่ 6 การชำระบาป

    มนุษย์นั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากที่เคยรู้สึกมาก่อน การเป็นพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่แข็งแกร่งและไม่ยินยอม
    ต่อใคร เป็นการแขวนชีวิตเหมือนเสือที่อยู่กับเหยื่อตอนช่วงเวลาแห่งความตายผมรู้สึกเพ้อคลั่งเหมือนไข้ขึ้นผม
    ไม่รับรู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบๆตัวอีก สิ่งทั้งหมดที่ผมรู้ก็คือว่า ชีวิตที่ขมขื่นและหวานชื่นกำลังจะจากผมไปอย่าง
    ช้าๆ เหมือนน้ำที่ระเหยตัวไปภายใต้แสงอาทิตย์ ผมได้พยายามไขว่คว้าชีวิตนี้ไว้อย่างสิ้นหวัง ทั้งๆที่ผมต้องทุกข์
    ทรมาณ ผมก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ ยังมีดินแดนมากมายที่ผมจะไปพิชิตครอบครองและผมต้องชนะในการรบ แต่
    ลมหายใจกำลังทำให้ผมอ่อนล้า และใจของผมเต้นเหมือนปีกของนกแก้วที่แสนจะอ่อนแอและอ่อนเปลี้ยที่จะกระพือปีก


    ผมรู้สึกเหมือนถูกผลักเล็กน้อย แล้วในทันไดนั้นผมก็หลุดออกจากร่างไป ผมไม่ได้หายใจ แต่ดูเหมือนว่าผมไม่
    จำเป็นต้องหายใจอีกต่อไปแล้ว ร่างกายของผมเบาสบาย แล้วความเฉื่อยชาก็ได้ผ่านเข้ามาในความรู้สึก อาการ
    ไข้ของผมได้หายไปพร้อมกับความเจ็บปวดทั้งหมดของร่างกายที่ต้องทนทุกข์อยู่เป็นเวลานาน ตอนนั้นผมไม่ได้
    สนใจว่าตัวเองเป็นใคร หรือจะมีอะไรเกิดขึ้น ผมมีความสุขและพึงพอใจเป็นที่สุด


    ผมเริ่มลอยขึ้นอย่างช้าๆ ไปที่เพดานโดยไม่ต้องออกแรง ตรงเบื้องล่างผมเห็นบรรดาแพทย์และขุนนางอำมาตย์
    มองดูกายผมที่แน่นิ่งผมได้ยินพวกเขาพูดกัน แต่ผมไมได้สนใจในคำพูดของพวกเขา ผมไม่ได้รู้สึกแปลกแต่
    อย่างไดที่เห็นร่างตัวเองอยู่บนเตียง ในขณะที่ตัวเองลอยใกล้กับเพดาน ราวกับว่าผมได้มองดูฉากหนึ่งในละคร
    ที่ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับตัวผม


    ทันใดนั้นเอง ผมรู้สึกว่าถูกผลักอย่างแรงไปที่อีกมุมหนึ่งของเพดาน แล้วผมก็ไได้ยินเสียงกระดิ่งแก้วดังกังวาน
    อยู่ในตัวผมร่างกายของผมปกคลุมไปด้วยความมืดที่บรรเทาความเจ็บปวด เมื่อร่างของผมได้มุ่งไปในอวกาศ
    และหมดสติไป


    เมื่อผมฟื้นคืนสติ ผมผ่านเข้าไปในอุโมงค์แห่งวิญญาณพร้อมกับโจแอ็บและเจเรไม่ การมีชีวิตในชาติก่อนๆ นั้น
    ผ่านไปอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตา ราวกับว่าผมได้กลับชาติไปเกิดอีกที ตอนนั้นผมเข้าใจว่าผมไม่ใช่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์
    แต่เป็นแค่วิญญาณอิสระที่ไม่มีเครื่องพันธนาการยึดเหนี่ยว การนึกถึงเวอร์ดิกริสก็ได้แวบเข้ามาหาผมด้วยความ
    ปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง


    ทูตวิญญาณทั้งสองตอบผมอย่างช้าๆ ในทันทีว่า "ยังหรอก"
    ผมเลยถามไปอย่างขมชื่นใจว่า "แล้วเมื่อไหร่ ผมต้องรออีกนานเท่าไร"
    ทูตทั้งสองคนตอบว่า "มันขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง คุณเสียเวลามานานแล้ว เพราะว่าคุณเพิกเฉยละเลยคำแนะนำที่ได้รับก่อนที่จะไปเกิดแต่ละชาติ"
    ผมแย้งไปว่า "ผมไม่ได้เพิกเฉย"
    เจเรไม่เตือนไปว่า "ทำไม่คุณปล่อยให้ความยโสและเห็นแก่ตัวครอบงำตัวคุณ ตอนที่คุณมีชีวิตเป็นอเล็กซานเดอร์
    พวกเราเคยเตือนคุณแล้วไม่ให้ตกในความหลงเท่านั้้น"

    "แต่คุณเคยบอกว่า เมื่อผมได้สัมผัสกับอิทธิพลบนโลกมนุษย์ความทรงจำเรื่องคำสอนของคุณจะจางหายไป"

    โจแอ็บแก้กลับไปว่า "นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราได้บอกคุณ สิ่งที่เราพูดก็คือว่า คุณจะขาดการติดต่อกับพวกเรา และไม่
    สามารถมองเห็นพวกเราได้เนื่องจากอิทธิพลของโลกมนุษย์ แต่เราได้บอกคุณไปว่า ขณะที่ร่างกายได้ลืมเลือน
    คำสอนไปแล้ว แต่วิญญาณจะยังคงจำได้ทุกสิ่งอย่างที่คุณจะลงมือทำนั้น คุณต้องคิดให้รอบคอบก่อนทำ และคำ
    สอนที่ฝังจมไว้จะกลับลอยขึ้นมาเป็นตัวนำในการตัดสินใจ แต่คุณได้ทำทุกสิ่งอย่างหุนหันพลันแล่นมาโดยตลอด
    ในชีวิต ไม่เคยชั่งน้ำหนักผลลัพธ์ของการกระทำที่โหดเหี้ยม คุณไม่ได้ลืมบทเรียนชีวิตของคุณหรอก แต่คุณเพิก
    เฉยมันไปเสีย เพราะว่าอำนาจและความยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์มาบดบังความมีเหตุมีผล เราอาจทำตามความหยิ่งยโส
    และเห็นแก่ตัวได้ง่ายมากกว่าที่จะภูมิใจพิจารณาและควบคุมความรู้สึกทางกายได้"


    ความทรงจำตอนมีชีวิตเป็นอเล็กซานเดอร์ได้กลับมาหาผมชั่วครู่หนึ่ง พร้อมกับรู้สึกสำนึกผิดอย่างมากต่อการ
    กระทำที่โหดร้ายผมจำการกระทำที่โหดเหี้ยมต่อดาริอุส ผมปฏิเสธความปรารถนาของเขาที่ต้องการสงบศึก
    และยังจำถึงการที่ดาริอุสตายด้วยน้ำมือคนทรยศอย่างไร้ค่า ความทรงจำของผมที่คลุเคล้าด้วยเลือดยังคงหลั่่ง
    ใหลเหมือนสายน้ำตก ที่ไหลท่วมวิญญาณที่ตื่นกลัวของผมมาโดยตลอด ทำให้ผมสำลักความทุกข์กระอักกระอ่วน
    ผมยังจำการตัดสินใจที่หยิ่งผยองได้ฆ่าพวกทูตสันติภาพซึ่งแปรพักตร์เข้าร่วมกับกองทัพเปอร์เซีย เพราะผมได้
    ตัดสินใจไปว่าพวกเขาเป็นกบฏต่อชาวกรีก หลายปีต่อมาผมก็ยุบกองทัพกรีกทั้งหมด และใช้ชีวิตอย่างชาวเปอร์
    เซีย โดยละทิ้งวัฒนธรรมเดิมและรากเหง้าของตนเอง นับเป็นความเพิกเฉยและเห็นแก่ตัวต่อประชาชนของผม
    แต่สิ่งที่ผมเจ็บปวดขมขื่นใจมากที่สุดก็คือ การตายของไคลทุสและพาร์เมนิโอที่รุนแรงยากเกินกว่าจะรับได้ ผม
    เข้าใจแล้วว่า โจแอ็บและเจเรไม่พูดถูกต้อง ตลอดเวลาที่ผมเกิดเป็นอเล็กซานเดอร์ ผมได้กระทำสิ่งต่างๆลงไป
    ด้วยความจำเป็นบังคับ และการกระทำเหล่านั้นเกิดจากความเห็นแก่ตัว คำสอนต่างๆ ที่ทูตวิญญาณสังสอนผม
    นั้นผมไม่เคยลืมเลือนเลย คำสอนทุกอย่างได้ซึมซาบอยู่ในจิตวิญญาณผม และผมเองก็ได้รู้ถึงสิ่งที่ถูกจากสิ่งที่ผิด
    สิ่งนี้เป็นความหยิ่งและจองหองทรนงที่ผมกระทำในขณะที่เป็นอเล็กซานเดอร์ไม่ได้เป็นเพราะความเพิกเฉิยต่อ
    กฎแห่งพระเจ้า


    ผมร้องคร่ำครวญอย่างชื่นว่า "ยกโทษให้ผมด้วย ผมรู้ซึ้งถึงความผิดอันมหันต์ ผมสมควรได้รับโทษสถานหนักที่สุดสำหรับการกระทำชั่วของผม"

    เจเรไมพูดอย่างเศร้าๆว่า "ทำไมคุณยังคิดถึงเรื่องการลงโทษอยู่อีก ไม่มีการลงโทษหรอก วิญญาณแต่ละตนจะ
    ผ่านภพชาติหลายครั้งเพื่อเรียนรู้ชีวิต การเรียนรู้ชีวิตใหม่ แต่เนื่องจากมีกิเลสที่เกาะหนาและชั่วช้า การชำระบาป
    จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะวัดว่า วิญญาณตนใดได้ทำให้ตนเองแย่ลง วิญญาณจะอยู่ร่วมกันและบางทีก็อาจจะเป็นผู้
    ชำระบาปให้กับวิญญาณอีกตนหนึ่ง เพื่อให้เกิดผลต่อการชำระบาป วิญญาณบางตนได้พัฒนารวดเร็วกว่าวิญญาณ
    ตนอื่นจากการค้นหาประสบการณ์ แต่ท้ายที่สุดพวกเขาจะกลับมายังแสงแห่งพระเจ้าเมื่อพวกเขาได้ถือกำเหนิด
    เมื่อวิญญาณใดก็ตามลงไปติดกับในการมีตัวตนในโลกมนุษย์อย่างเหนียวแน่น โดยฝ่าฝืนกฎแห่งจักรวาลข้อใด
    ข้อหนึ่งหรือหลายข้อเรื่อยๆ นั้น จะต้องได้รับการชำระบาป และกลับไปเกิดใหม่ใช้ชาติอยู่นาน ดังนั้นนี่เป็นเหตุ
    ผลที่ว่าความโศกเศร้าและการยอมสละตนเองเป็นบทเรียนสำคัญ ตราบที่คุณได้ละหนีบทเรียนชีวิต ก็เหมือนกับ
    ว่าคุณได้ปฏิเสธการชำระบาป"


    "ผมต้องเกิดมากกว่านี้กี่ชาติ ก่อนที่ผมจะได้รับการชำระบาปจากการเกิดเป็นอเล็กซานเดอร์"

    เปลวรัศมีจากทูต 2 คนค่อยๆริบหรี่ทีละน้อย แล้วคำตอบจากทูตทั้ง 2 คน ก็ปรากฏขึ้นในทันทีว่า

    "เป็นสิ่งถูกต้องแล้ว ตอนที่คุณเป็นอเล็กซานเดอร์ คุณได้กระทำความผิดมากมาย แต่คุณก็สร้างคุณงามความดี
    ไว้่มากเช่นกันวิสัยทัศน์และความเมตตากรุณาของตัวคุณ ทำให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดระหว่างวัฒนธรรม
    2 ชาติที่แตกต่างกันได้ และคุณก็ช่วยให้เกิดการวิวัฒนาการของอนุชนรุ่นหลังในอนาคตได้อย่างมหาศาล สิ่ง
    เหล่านี้ก็ควรแก่การยึดถือไว้พิจารณาด้วยเช่นกัน"


    แต่สิ่งที่ผมต้องชดใช้ไปชั่วชีวิตก็คือ การทีผมได้ฆ่าดาริอุส ไคลทุส และพาร์เมนิโอ

    "คนที่คุณฆ่าในระหว่างสู้รบเป็นผลมาจากการต่อสู้ระหว่างศัตรูที่ต้องทำลายล้างซึ่งกันและกัน ผู้ที่อ่อนแอกว่า
    ต้องล่าถอยออกไปเพื่อให้ผู้ที่แข็งแรงที่สุดมีชีวิตรอดต่อไป ถ้าคุณไม่ฆ่าเหล่าศัตรู พวกเขาก็จะฆ่าคุณ ทั้งคุณ
    และศัตรูรู้สิ่งนี้ดีในสมรภูมิรบ ดังนั้นคุณจึงพ้นจากความรับผิดชอบต่อกันในเรื่องการตายของทั้ง 2 ฝ่าย การ
    ตายของดาริอุสก็จัดอยู่ในประเภทนี้ด้วย ไคลทุสและพาร์เมนิโอนั้นเป็นเหยื่อของความหยิ่งจองหอง และความ
    เห็นแก่ตัวของคุณ การกระทำนี้ต้องได้รับการชดใช้และชำระบาป ความพินาศย่อยยับที่คุณเหลือยามมีชีวิตอยู่
    และทั้งความโอ้อวดทะนงตัว ความหยิ่งยโสก็ต้องถูกลบล้างด้วยเช่นกัน เพื่อให้วิญญาณได้พัฒนาตามวิถีทาง
    แห่งการวิวัฒนาการ ส่วนจะระยะเวลานานเท่าไหร่นั้นย่อมขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง"


    คำพูดของทูตทั้งสองคนทำให้ผมรู้สึกอิ่มเอิบด้วยความสุขใจแม้ว่าผมจะรู้สึกขมขื่นใจ แต่ผมก็มีความหวังที่จะ
    ชำระบาปเนื่องจากเป็นจุดหมายสุดท้ายของวิญญาณ


    "ผมจะพยายามปฏิบัติหน้าที่ตนเองให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด เท่าที่ผมจะทำได้ ผมจะถอดความโศกเศร้า และเสียสละ
    ตนเองเพื่อเป็นเพื่อนที่ล้ำค่าที่สุด ผมจะยอมรับต่อบทเรียนชีวิตและจะไม่ลืมเลือนไปได้เลย"


    โจแอ็บกล่าวว่า "ในชาติหน้า คุณจะพบกับวิญญาณของพาร์เมนิโอและไคสทุส ซึ่งคุณจะต้องชดใช้การกระทำ
    อันชั่วร้ายที่คุณได้ทำกับพวกเขาไว้ พวกเขาจะเป็นผู้ชำระบาปให้แก่คุณในชาติใหม่และคุณก็จะได้ชำระบาป
    จากการกระทำอันเลวทรามของพวกเขาแต่นี่ก็แล้วแต่การตัดสินใจของคุณ คุณพร้อมใจที่จะยอมรับการเกิดใหม่
    หรือยัง คุณอาจจะเจอเหตุการณ์ที่เจ็บปวดแสนสาหัสกว่าทุกชาติที่ผ่านมาทั้งหมด"


    ผมตอบอย่างทันควันว่า "ผมเต็มใจครับ เพื่อที่จะได้เริ่มการผจญภัยในชีวิตครั้งใหม่"

    เจเรไม่พูดอย่างหนักแน่นเอาจริงเอาจังว่า "งั้นก็ดีแล้ว โลกมนุษย์จะถูกเลือกให้เป็นสถนที่ที่คุณจะใช้ชีวิตทาง
    โลก ในช่วงระยะเวลาการพัฒนาจิตวิญญาณที่เหลืออยู่ โลกมนุษย์อาจจะเป็นสถานที่ยุ่งยากซับซ้อนมากที่สุด
    ต่อวิญญาณที่ต้องการเอาชนะความยั่วยวนของกิเลสตัณหา นี่เป็นเหตุผลที่อธิบายว่า การเกิดทุกๆ ชาติบนโลก
    มนุษย์จะเป็นการทดสอบครั้งสำคัญของวิญญาณ ถ้าคุณสามารถเอาชนะสัญญาณเบื่องต่ำของร่างกายที่เป็นมนุษย์
    ได้ คุณก็จะพัฒนาได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และจะพบเวอร์ดิกริสได้เร็วขึ้นด้วย"


    "แล้วผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่า บทเรียนที่ผมได้เรียนรู้จะถูกเลิกล้มในการกลับชาติเกิดใหม่"

    โจแอ็บตอบว่า "จงปฏิบัติหน้าที่ตนเองจากวิญญาณของคุณไม่ใช่จากร่างกาย ร่างกายเป็นสิ่งไม่เที่ยงและไม่คง
    ทนถาวร ร่างกายเป็น ภาพลวงตาของความรู้สึก อย่าปล่อยให้สิ่งนี้ครอบครองวิญญาณคุณ"


    "แล้วผมจะทำสำเร็จได้อย่างไรกัน"
    เจเรไม่กล่าวเสริมว่า "เพียงคุณเป็นตัวของตัวเอง คุณก็จะสามารถควบคุมกิเลสได้ คุณพักผ่อนเสียเถอะ เมื่อคุณตื่น คุณจะกลับไปยังโลกมนุษย์"


    ผมเข้าสู่ภวังค์ที่หลับไหลอย่างช้าๆอันเป็นเวลาที่วิญญาณมีพลังขึ้นมาใหม่ก่อนที่จะมีชีวิตใหม่ โดยยอมให้ได้อยู่
    ในแสงสว่างที่ส่องไสวไปยังอุโมงค์แห่งวิญญาณคล้ายกับกลุ่มเมฆที่สว่างไสวเรืองรองรอบตัวผมนั้นมีร่างวิญญาณ
    ที่เบาหวิวลอย เป็นแสงไฟที่แผ่ออกไปอย่างสิ้นสุด เหล่าวิญญาณต่างพอใจกับความสุขช่วงสั้นๆ จากการพักผ่อน
    ของวิญญาณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2011
  5. pannatee

    pannatee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +65
    "แล้วผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่า บทเรียนที่ผมได้เรียนรู้จะถูกเลิกล้มในการกลับชาติเกิดใหม่"

    โจแอ็บตอบว่า "จงปฏิบัติหน้าที่ตนเองจากวิญญาณของคุณไม่ใช่จากร่างกาย ร่างกายเป็นสิ่งไม่เที่ยงและไม่คง
    ทนถาวร ร่างกายเป็น ภาพลวงตาของความรู้สึก อย่าปล่อยให้สิ่งนี้ครอบครองวิญญาณคุณ"


    "แล้วผมจุทำสำเร็จได้อย่างไรกัน"
    เจเรไม่กล่าวเสริมว่า "เพียงคุณเป็นตัวของตัวเอง คุณก็จะสามารถควบคุมกิเลสได้ คุณพักผ่อนเสียเถอะ เมื่อคุณตื่น คุณจะกลับไปยังโลกมนุษย์"
    ..................................................................
    ขอบคุณอีกครั้งค่ะ กระจ่างเหลือเกิน

     
  6. อหิงสะกะ

    อหิงสะกะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +82
    เจ้าของกระทู้นี่ขยันพิมพ์จริงๆนะครับ..........ชอบอ่านหนังสือสินะ?

    ผมคงต้องรอให้คุณพิมพ์ครบทุกตอนแล้วรออ่านทีเดียวครับ เพราะ ถ้าอ่านแล้วขาดช่วงมันทำให้สูญเสียสุนทรียศาสตร์ในการอ่านหนะครับ

    แต่ก็เป็นกำลังใจให้นะ.....พิมพ์ต่อไป..............สู้ต่อไปเถอะมดเขียวV3......
     
  7. ดาวจรัสแสง

    ดาวจรัสแสง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    542
    ค่าพลัง:
    +3,015
    เห็นด้วยกับคุณอะหิงสะกะว่าคุณ สุระ(ตอนแรกจะอ่านว่าสุรา...แห่ะๆต้องขอโทษด้วยค่ะ ภาษาอังกฤษใช้ไม่ได้เลย เหอๆ) ช่างขยันพิมพ์เพื่อให้เพื่อนได้อ่าน นับถือในน้ำใจมากเลยค่ะ....magic_me? ก็เป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก อ่านแล้ววางไม่ลง ต้องรอให้จบนั่นแหละถึงจะมีความสุข........กำลังสั่งเพชรพระอุมา ๔๘เล่ม ทางเรือไม่รู้จะได้เมื่อไหร่ อยากอ่านมานานแล้ว

    ขออนุโมทนาในการให้วิทยาทาน และขอขอบพระคุณค่ะ
     
  8. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    ตอบคุณ อหิงสะกะ,magic_me?
    เรื่องราวเหล่านี้ ผมคิดว่ามีประโยชน์ ก็เลยอยากจะเอามาแบ่งปันเพื่อนๆ และคิดว่ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรงนัก
    เพราะก็ค่อยๆทำไปเรื่อยๆที่มีเวลา ตอนนี้จะเหลืออีกไม่กี่บท ก็คิดว่า น่าจะจบไม่ เกินวันพุธ นะครับ รอติดตามนะครับ
    ส่วนที่ว่าผมชอบอ่านหนังสือ ครับผมชอบอ่านโดยเฉพาะ เรื่องราวที่เกี่ยวกับ จิตวิญญาณ ซึ่งเมื่อได้อ่านศึกษา
    มันจะเกี่ยวพันธ์กับหลายอย่าง เช่น ลมปราณ อัญมณี และอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับ New age
    ซึ่งจะพูดจะเล่าคง เป็นเรื่องยาวทีเดียว สิ่งที่จะบอกถึงการพัฒนาทางจิตของเรา ก็คือ ความคิดมุมมอง
    ที่ต่างออกไป สิ่งนี้มันออกมาจากความรู้สึกจากจิตใจภายใน ถ้าจะให้อธิบายก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะบางที่
    สิ่งที่เราสื่อออกไป ผู้รับก็ไม่ได้เข้าใจเหมือนที่เราเจตนาสื่อความหมาย อาจทำให้เกิดการเข้าใจผิด ขอบคุณนะครับที่ติดตาม
     
  9. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    ตอนที่ 7 การอุทิศชีวิตและการให้อภัย

    ในช่วง 2 ปี แรกของการเกิดใหม่เป็นครั้งที่สองบนโลก โจแอ็บและเจเรไม่ยังอยู่กับผมตลอดเวลา แม้ว่าผมจะ
    เริ่มหัดพูดหัดเดิน ทั้งสองก็ยังอยู่เคียงข้างผม แล้ววันหนึ่งก็มาถึงเมื่อร่างอันเป็นที่รักของพวกเขาได้จางหายไป
    เป็นรูปแบบการสนทนาแบบมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง และผมก็ไม่เป็นพวกเขาอีกเลย

    ความทุกข์ยากลำบากของผมเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อผมยังไม่ทันได้รู้จักคิดเลย ชาตินี้ผมเกิดในเมืองที่สวยงามชื่อ
    กลิงคราช ตั้งอยู่บริเวณอ่าวเบงกอลในดินแดนที่วิเศษมหัศจรรย์และลึกลับ ที่รู้จักกันดีคือประเทศอินเดีย ตอนที่
    ผมเกิดมาประเทศอินเดียมีการปกครองในระบอบวรรณะและนี่ก็เพื่อชดใช้ความหยิ่งทะนงของผมในชาติที่แล้ว
    นับเป็นโชคชะตาที่แสนเศร้าสลดที่ผมเกิดในวรรณะที่ 5 อันเป็นชนชั้นต่ำที่สุดซึ่งก็คือ วรรณะจัณฑาล ที่น่า
    รังเกียจเป็นชนชั้นที่ไม่ควรสัมผัสจับเนื้อต้องตัว ผมมีชื่อว่า จันทร์


    พ่อแม่และผมอาศัยในกระท่อมโกโรโกโสมีห้องเล็กๆ แค่ 2 ห้อง ห้องด้านหน้าใช้เป็นห้องครัวที่กินข้าวและมุม
    นั้งเล่น ในขณะที่ด้านหลังใช้เป็นห้องนอน พื้นของบ้นทำด้วยดินแข็ง แม่ที่น่าสมเพชของผมกำลังหุงหาอาหารที่
    มีเพียงน้อยนิดซึ่งพ่อหามาได้จากการทำนารับจ้างอะไรก็ตามจากชาวนาที่อยู่ใกล้ๆ ชาวนาผู้นี้อยู่ในวรรณะศูทร
    ซึ่งเป็นวรรณะที่อยู่สูงกว่าวรรณะผมเพียงลำดับเดียว และแทบจะถูกดูหมิ่นดูแคลนพอๆกัน แต่เขาก็มีความสุขที่
    ดูหมิ่นถากถางพ่อของผมทุกครั้งที่มีโอกาส เขาให้พ่อทำงานพื้นๆ อย่างเช่น ทำความสะอาดบ่อส้วมซึมหรือไม่ก็
    จักรเย็บผ้า ค่าจ้างที่พ่อได้รับจากากรเป็นคนใช้นั้นเป็นเงินน้อยมาก จนเราจะหาอะไรมากินไม่ได้เลย


    อีกเพียงไม่นานหลังจากผมถือกำเนิดขึ้นมา น้องสาวที่ชื่อ อายิดา ก็ได้คลอดตามออกมา และในปีต่อมา นาร์ด้า
    ก็คลอดตามมา และสองปีต่อมา คัดมาร์ ก็ได้คลอดออกมาอีก แค่บ้านเรามีคนแค่ 3 คนก็แทบจะอดตายอยู่แล้ว
    แต่เมื่อน้องสาวคลอดออกมาอีกก็ยิ่งทำให้ความเป็นอยู่ย่ำแย่ลงมากทีเดียว เมื่อน้องชายที่ชื่อ ปาร์ซิส คุปตะ และ
    กนิชะ ได้คลอดออกมา ผมเลยจำต้องออกไปขอทานตามข้างถนนเพื่อช่วยเหลือครอบครัว ผมอายุยังไม่ถึง 9 ขวบ
    เลยตอนเริ่มขอทาน แต่เนื่องจากผมอยู่ในสภาพสังคมอดอยาก เลยทำให้ผมดูเด็กกว่าปกติ เนื้อหนังของผมแทบ
    จะหุ้มกระดูก ผ้าขี้ริ้วใช้ทำเป็นเสื้อผ้าเท่านั้น สักพักพวกผู้หญิงฐานะดีในเมืองจะสมเพชต่อเด็กอายุขนาดผม และ
    อาจจะโยนเศษขนมอยู่ห่างๆ ตราบใดที่ผมไม่เดินเข้าไปใกล้พวกเขา เนื่องจากผมตกอยู่ในสภาพที่ผู้คนรังเกียจ
    ไม่อยากแตะสัมผัส การแตะต้องแค่ปลายนิ้ว ทำให้เขาขยะแขยงแล้ว นี่คือความเชื่อของประเทศอินเดียในเวลานั้น


    การบริจาคของหญิงฐานะดีเหล่านี้ไม่ได้มีบ่อยนัก และสิ่งที่โยนมาเป็นประจำคือก้อนหิน คำด่าสาปแช่ง และถ่ม
    น้ำลาย ไม่มีใครต้องการให้พวกจันฑาลอยู่ปะปน ผมกลับบ้านด้วยรอยปูดปวมและรอยน้ำลายทุกวัน แม่ที่น่าสง
    สารของผมร้องให้เสียใจ เมื่อเห็นสภาพของผม ทั้งๆ ที่รู้ว่าพรุ่งนี้ผมต้องออกไปอีกครั้ง และหวังว่าท่ามกลางการ
    ถูกข่มเหงรังแก ผมน่าจะพบกับความเห็นอกเห็นใจบ้าง


    ความหิวโหยและการตรากตรำทำงานหนักได้คร่าชีวิตของพ่อที่ป่วยเป็นโครจากความทรุดโทรมของร่างกาย
    ไป เมื่อผมมีอายุยังไม่ถึง 15 ปี แม่ต่อสู้กับโรคร้ายเดียวกันกับพ่อไม่ใหว แต่แม่ก็รู้สึกกลัวโดยอดคิดไม่ได้ถึงสิ่ง
    ที่จะเกิดขึ้นกับลูกๆ ที่ยังเล็ก หากเธอตายไปอีกคน น้องชายคนสุดท้องอายุยังไม่ถึง 2 ขวบเลย


    ผมรู้ว่าผมเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเพียงคนเดียวของครอบครัวที่มีความรู้สึกนึกคิด และใช้สติปัญญาตามปกติ และผม
    มักจะหาทางนำอาหารกลับบ้าน หลังจากนั้นไม่นาน ผมได้เรียนรู้กลอุบายอย่างฉลาดจากขอทานคนหนึ่งที่อยู่ใน
    วรรณะเดียวกัน พวกเราจะไปที่แผงร้างแห่งหนึ่งในตลาดหลายๆ แห่ง และจะจับต้องอาหารและผักที่วางขายใน
    ตลาด การจับต้องอาหารทำให้อาหารนั้นกินไม่ได้อีกต่อไป เพราะถูกทำให้สกปรกโดยพวกจันฑาล และเจ้าของ
    ร้านจะขว้างอาหารออกไปที่ข้างถนน ซึ่งพวกเราจะพากันไปเก็บอาหารสิ่งนี้ได้ผลและก็เกิดบ่อยมากจนเจ้าของ
    ร้านต้องจ้างยามมายืนข้างๆสินค้า หรือเก็บไว้ข้างในร้านที่พวกขอทานหยิบจับไม่ถึง ผมต้องออกไปข้างนอกอีก
    ครั้งเพื่อหาอาหาร ความหิวก็มาเยือนครอบครัวเราอีกครั้ง


    วันหนึ่งขณะที่ผมเดินไปรอบเมือง ผมรู้สึกว่าตัวเองได้เดินมาไกลกว่าบริเวณที่เคยเดินขอทานตามปกติ และเดิน
    เข้าไปใกล้พระราชวังหลวง ซึ่งผมมองเห็นอยู่ลิบๆ ผมระวังตัวไม่ให้ยามที่เดินลาดตะเวนบริเวณข้างล่างจับตัว
    ได้ ผมเดินรอบๆ กำแพงปูนปั้นที่ละเอียดประณีต โดยล้อมรอบพระราชวังที่หรูไว้ ผมแอบมองสวนสวยมหัศจรรย์
    ที่สามารถเห็นได้จากช่องเล็กๆ ที่กำแพงด้วยความตกตะลึง ผมไม่รอช้าที่คิดซ้ำอีกครั้ง ผมได้ปีนกำแพงเข้าไป
    และรู้ว่าตัวเองอยู่ในสวนพระราชวัง


    ขณะที่เดินซุ่มอยู่หลังสุมทุมพุ่มไม้ของดอกมะลิที่หอมหวน ผมได้เดินไปรอบๆ สวน ผมไม่เคยเดินเตร่ไปใกล้
    มากว่าที่เคยเดินยกเว้นหากผมต้องหนีหัวซุกหัวซุน ชั่วครู่เดียวผมก็ได้กลิ่นอาหารที่หอมตะลบมาจากด้านหนึ่ง
    ของตึก ผมเลยไม่ทันระวังตัวเดินตามกลิ่นไปจนกระทั่งมาถึงประตูครัวหลวง ผมรู้สึกหิวจนแทบจะเป็นลมผม
    ยื่นมือไปผลักประตูและประจัญหน้าอย่างจังกับชายร่างยักษ์ตัวสูงและมีหนวดครึ้มสีเทา


    ภาพของชายที่น่ากลัวคนนี้ทำให้ผมหมดแรงแทบจะยืนไม่อยู่ด้วยความตกใจกลัวและผมก็ต้องอยู่ที่นี่่ ถ้าเขาได้
    ใช้มือขนาดยักษ์จับกระชากคอผมและดึงผมเข้าไปในตึก เมื่อผมฟื้นจาการหมดสติผมรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในโรงครัว
    ที่มีอาหารมากมายกว่าที่เคยเจอผู้ชายที่ลากตัวผมเข้าไปแนะนำตัวเองว่าชื่อ สิทธัตถะ มีหน้าที่เป็นพ่อครัวในราช
    สำนัก เขาบอกผมว่า ความบ้าบิ่นของผมจะทำให้ผมได้รับบทเรียนราคาแพงถ้ายามในวังพบตัวผมเข้า เมื่อผม
    ถามพ่อครัวว่าเป็นวรรณะใด เขาอยู่ในวรรณะแพศย์หรือวรรณะลำดับที่ 3 นั่นเอง แต่ระบบแบ่งแยกวรรณะไม่
    ได้จำเป็นต่อเขาเลยเพราะเขาเลิกนับถือศาสนาฮินดูไปปนับถือศาสนาพุทธ


    เขาบอกว่า "มีแต่เพียงศาสนาฮินดูเท่านั้นที่ยึดถือเรื่องระบบวรรณะ ปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้สถาปนาศาสนาใหม่นี้ขึ้น"

    "ศาสนาอะไรหรือ ที่ไม่สนใจระบบวรรณะ และทำให้พวกจัณฑทาลและวรรณะแพศย์เสมอภาคกัน"

    เขาตอบว่า "ศาสนาพุทธ จะบอกว่า มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันและไม่มีใครสูงไปกว่าใคร"

    ผมถามอย่างไม่เชื่อนักว่า "ไม่เว้นแม้แต่วรรณะพราหมณะเลยหรือ"

    สหายใหม่นี้ทำให้ผมมั่นใจโดยการยิ้มตอบว่า "ไม่เว้นแม้แต่พวกพราหมณ์"

    จากที่เราได้คุยกัน เขาอธิบายว่า พระพุุทธเจ้าเคยเป็นเจ้าชายและชื่อจริงของท่นคือ สิทธัตถะโคตมะ เจ้าชาย
    พระองค์นี้ได้ละทิ้งพระราชวัง พระชายา และพระกุมาร เพื่อแสวงหาสัจธรรมที่แท้จริงโดยพระองค์พบขณะนั่ง
    ใต้ต้นโพธิ์จากการตรัสรู้ พระองค์ได้ทรงค้นพบว่า ปัญหาและความทุกข์ทั้งปวงเกิดจากความตะหนี่ ความอิจฉา
    ริษยา และความเห็นแก่ตัว นับตั้งแต่นั้นมาพระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความ
    เสมอภาคกันและสัจธรรม พุทธเจ้าทรงตรัสว่า การที่เราจะมีความสุขนั้น มนุษย์ต้องลืมความเป็นอัตตา และการ
    มีชีวิตเพื่อรับใช้คนอื่น มีเพียงทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่วิญญาณของเราประสบกับความสงบสุขอันปีติ และความ
    สุขเรียกว่า นิพพาน หากไม่เข้าถึงนิพพานชาติหน้าก็คงเป็นชาติหน้าเพราะพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่า วิญญาณ
    ทุกดวงจะสัญจรผ่านวัฏสงสารการเวียนว่ายตายเกิด ในขณะที่พวกวิญญาณกำลังค้นหาการชำระบาป และได้พบ
    กับการเสวยสุขในนิพพานในบั้นปลาย


    ผมได้ยินคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกจากปากของสิทธัตถะ สะท้อนให้นึกถึงคำสอนที่ได้ลืมไปนาน
    มากแล้วผมรู้สึกว่าผมเคยได้ยินบางสิ่งที่คล้ายๆ กันนี้เมื่อตอนยังเป็นเด็ก แต่จำไม่ได้ว่าที่ใหน หรือใครเล่าให้ฟัง
    เสียงของโจแอบและเจเรไมได้หายไปนานแล้วจากความทรงจำของผม


    สภาพที่น่าใาเพชเวทนาที่ผมเป็นพวกจันฑาล และสภาพสิ้นหวังของครอบครัว ทำให้สิทธัตถะเอาของกินที่ผมไม่
    เคยลิ้มสองใส่เต็มถุง และชวนให้ผมมาอีกในวันรุ่งขึ้น แต่เขาเตือนว่าอย่ามาที่โรงครัวให้มาอีกด้านหนึ่งแทน ซึ่ง
    เป็นที่ๆ เขาจะคอยผมโดยจะนำอาหารถุงใหม่มาให้ เมื่อผมมาถึงบ้านโดยมีอาหารอร่อยติดไม่ติดมือมาด้วย ซึ่ง
    เป็นของโปรดที่เราไม่คิดว่าจะได้กินมาก่อน คนในบ้านนั่งใกล้อาหารอย่างตื่นเต้น นานมาแล้วที่คนในบ้านไม่
    เคยกินอาหารดีๆจนการกินอาหารครั้งนี้เป็นเหมือนสิ่งที่อยู่นอกความฝัน


    ในวันต่อมาผมได้มายังที่ๆ สิทธัตถะได้นัดแนะไว้อย่างกระตือรือร้น หลังจากที่ผมคอยสิทธัตถะเพียงครู่เดียว เขา
    ก็หอบถุงมากมายและของกินอร่อย ทุกชนิด เมื่อได้กล่าวทักทายอย่างรักใคร่แล้ว เรานั่งกินอร่อยๆ ทุกชนิด เรา
    นั่งลงข้างริมน้ำ แล้วสิทธัตถะก็เล่าสอนของพระพุทธเจ้าที่เขาได้เล่ามาแล้วตั้งแต่วันแรก


    การพบปะกันทุกวันที่ดำเนินมาเป็นเวลาหลายเดือน และผมมักจะได้อาหารที่หล่อเลี้ยงทั้งกายและใจ ในแต่ละวัน
    ผมได้ซึมซับคำสอนที่ดีงามของพระพุทธเจ้าได้มากขึ้นและะเริ่มยอมรับในเรื่องความเป็นหนึ่งเดี่ยวกันของมนุษย์
    และเรื่องความจำเป็นที่ต้องเสียสละเพื่อผู้อื่นสภาพที่เป็นพวกจันฑาลไม่ได้ทำให้รู้สึดเดือดเนื้อร้อนใจอีกต่อไป
    เพราะผมรู้ว่าเป็นเพียงกรรมส่วนหนึ่งของผมเท่านั้น และเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบจิตใจที่ต้องยอมรับไว้
    โดยเป็นบทเรียนที่ผมต้องเรียนรู้ชีวิตในภพปัจจุบัน ในที่สุดจะผ่านไปและน่าจะมีภพอื่นๆในช่วงที่ผมต้องชดใช้
    ทั้งความทุกข์เข็ญและการกระทำความดี


    ผมสามารถซื้ออาหารดีๆ กินและยารักษาโรคด้วยเงินที่สิทธัตถะให้มา ซึ่งทำให้ผมคลายกังวลเรื่องการเจ็บป่วย
    ของแม่ได้เป็นอย่างมาก และทำให้น้องชายและน้องสาวมีสีหน้าที่แจ่มใสอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่มีสิ่งใดในชีวิตที่คง
    ทนถาวร และมีบางสิ่งบางอย่างในใจผมได้บอกว่า เหตุกาณ์ที่กำลังดีอยู่นี้กำลังจะสิ้นสุดในไม่ช้านี้ ผมไม่รู้ว่า
    ตัวเองทราบสิ่งนี้ได้อย่างไร บ่อยครั้งที่ผมตื่นกลางดึก เหงื่อท่วมตัวเปียกโชกและรู้สึกใจหาย ผมรู้ว่ามีเหตุการณ์
    บางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ผมจึงเริ่มเก็บตุนอาหารเหมือนกระรอกอาหารที่ผมได้มาจากสิทธัตถะทุกวันนั้น ผม
    แบ่งอาหารเป็นส่วนๆอย่างพอเหมาะสมโดยซ่อนไว้ในตู้กับข้าว แม่ของผมยิ้มในความคิดห่วงใยและบอกผม
    ว่าผมระแวงเกินไป แต่ในบางครั้งผมก็มองเห็นแม่จ้องอย่างวิตกกังวลโดยแสดงออกจากใบหน้าที่ซูบผอมของแม่


    ในที่สุดวันที่ผมกลัวก็มาถึง ซึ่งผมรู้ว่าเหตุการณ์นี้จะต้องเกิดผมรู้สึกถึงความปลอดภัยโดยได้รับความช่วยเหลือ
    จากเพื่อนที่ซื่อสัตย์นั้นได้ถูกทำลายโดยการทำลายที่ป่าเถื่อน สาเหตุที่ว่านี้เกิดจากการบุกรุกเมืองกลิงคราชของ
    พระเจ้าอโศกมหาราช จักรพรรดิชนเผ่าโมรยันที่ได้ครอบครองอินเดียเมื่อ 13 ปีที่ผ่านมา

    การบุกรุกโจมตีเมืองกลิงคราชนั้นโหดร้ายรนแรงมาก เหลือเพียงแต่ซากร้ายภายในไม่กี่ชั่วโมง ครอบครัวผม
    ต้องกอดคุดคู้ด้วยความกลัวอยู่ในกระท่อม ขณะที่เพื่อนบ้านที่ตกในสภาพแย่กว่าได้กรีดร้องเสียงดังอยู่รอบๆ
    ครอบครัวเรา นั่งเป็นครั้งแรกที่ชีวิตผมดีใจที่ได้เกิดมาเป็นจัณฑาล ในขณะที่ผู้บุกรุกรานล้วนอยู่ในวรรณะสูง
    กว่า ไม่ได้ทำลายบริเวณที่พวกจัณฑาลอยู่


    ผมมองการณ์ไกลที่ได้เก็บตุนอาหารไว้ โดยคิดถึงตอนเกิดภัยพิบัติ สิ่งนี้ทำให้เรารอดชีวิตในช่วงเวลาที่ยาก
    ลำบากช่วงแรกๆ เมื่อสิ้นสัปดาห์แรก อาหารของเราก็เริ่มร่อยหรอลงไป ผมมีความหวังว่าจะยังคงมีพระราชวัง
    และมีสิทธัถะเป็นพ่อครัวในวังอยู่ คราวนี้ผมได้พาน้องชายชื่อ พาร์สิส ไปด้วยตามที่แม่แนะนำ โดยน้องชายมี
    อายุยังไม่ถึง 6 ขวบ แต่เป็นเด็กฉลากและจดจำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าได้ดีเหมือนกับผม รวมทั้งเรื่องอื่นๆ
    พาร์สิสไม่รู้ว่าอินเดียมีระบบวรรณะเพราะผมได้สาบานที่จะช่วยให้น้องคนนี้ รวมทั้งน้องชายน้องสาวคนอื่นๆ
    รอดพ้นจากบาปมลทินจากต้นกำเหนิด โดยใช้ธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

    ผมรู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อออกจากบ้านซึ่งเป็นสิ่งที่แย่กว่าที่คาดคิดจากที่กลิงคราชเคยเป็นเมืองที่สวยงาม ตอนนี้ไม่มี
    อะไรเหลือเลยนอกจากเศษขี้เถ้าและซากปรักหักพัง ผมและน้องชายได้เดินผ่านตัวเมือง เราพบเห็นความพินาศ
    ที่เป็นผลมาจากภัยสงครามไม่ว่าจะเป็นศพถูกไฟเผาไหม้จนเกรียม เด็กหลงทางร้องไห้โฮหาแม่ส่วนแม่ก็โกลา
    หลหาลูกอย่างสิ้นหวัง ความหิว ความหวาดกลัวกาฬโรคและความตาย ส้วนประดังประเดถาโถมความรู้สึกพร้อมๆกัน


    ผมรู้สึกสยดสยองต่อภาพที่เห็น ผมเลยตัดสินใจเดินตรงไปยังพระราชวังโดยหวังจะได้พบกับสิทธัตถะอีก เมื่อเดิน
    เข้าไปข้างใน เราสองคนไม่เห็นร่องรอยของผู้บุกรุกเลย และเริ่มจะมีความหวังว่าพวกข้าศึกคงจะทิ้งเมืองร้างนี้
    ไว้ แล้วผมได้มองไปที่กำแพงพระราชวังและกองทหารติดอาวุธที่ยืนล้อมรอบกำแพง ผมรู้ทันทีว่าพวกทหาร
    เหล่านี้เป็นกองทัพของพระเจ้าอโศก เพราะเครื่องแบบแตกต่างจากยามในพระราชวัง


    ผมวาดเท้าเข้าไปใกล้เหล่าทหารทีละเล็กทีละน้อย พาร์สิสน้องชายผมจับเสื้อผมไว้ เรามั่นใจว่าเด็กอายุขนาดเรา
    จะต้องป้องกันให้เราแคล้วคลาดจากความรุนแรงได้ และหวังไปเองว่า สภาพที่เราเป็นจัณฑาลจะทำให้มีคนบริจาค
    ทานให้ เมื่อผมมาถึงระยะห่างพอสมควรจากพระราชวังผมเห็นชายร่างสูงใหญ่ยืนอยู่หน้าประตูสวนสวมเสื้อคลุมปักดิ้นทอง


    ผมกระซิบกับน้องชายว่า "นั่นคงเป็นพระเจ้าอโศกแน่เลยผมแน่ใจว่าพระองค์ต้องตัดสินใจยึดครองพระราชวัง
    เป็นแน่ นี้คงเป็นเหตุผลที่ว่าทำให้พระองค์ถึงไม่ทำลายพระราชวังแห่งนี้"


    พาร์สิสถามผมว่า "พี่คิดว่าสิทธัตถะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า"
    ผมตอบอย่างเศร้าๆ ว่า "พี่ก็ไม่รู้ แต่สงสัยอยู่เหมือนกัน ผมไม่คิดว่าพระเจ้าอโศกจะปล่อยให้ใครมีชีวิตรอดไปได้"
    พาร์สิสกล่าวต่อไปว่า "พระเจ้าอโศกต้องมีอำนาจมากๆ เลยน้องไม่เคยเห็นเสื้อผ้าแบบนี้มาก่อนเลย พี่จันทร์คิดว่าพระองค์จะบริจาคทานแก่เราหรือเปล่า ถ้าเราเข้าไปหาพระองค์"


    ผมส่ายศรีษะโดยรู้ว่าพวกจัณฑาลไม่อาจเข้าไปใกล้กลุ่มคนในวรรณะสูงสุดของพวกพราหมณ์ได้ซึ่งอาจมีโทษ
    ถึงตาย แต่ตัวพาร์สิสเองไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องวรรณะ โดยแทบจะไม่รู้เลยว่าเรานั้นเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจ
    มากที่สุดในอินเดีย


    ทันไดนั้นพาร์สิสก็พูดขึ้นว่า "ผมจะไปขอรับบริจาคทายจากพระเจ้าอโศก ผมแน่ใจนะพี่ว่าเขาจะไม่ปฏิเสธเรา"

    ก่อนที่ผมจะห้ามพาร์สิสได้ทันนั้น เขาวิ่งผละออกจากเสื้อผมไปและวิ่งตรงไปยังแถวกองทหารที่อารักขาอยู่รอบๆ พระเจ้าอโศก

    ผมร้องตกใจกลัวว่า "อย่าไป พาร์สิส รอก่อน" ผมรู้ว่าจะมีเหตุการณ์ใดรอคอยอยู่หากน้องชายเข้าไปใกล้กับ
    พระเจ้าอโศกแต่พาร์ลิสไม่สนใจเสียงเรียกของผม และยังวิ่งต่อไปยังพระเจ้าอโศกผมวิ่งตามน้องไปย่างสิ้นหวัง
    แต่เมื่อวิ่งไปถึงตัวน้องชาย ความกลัวอย่างสุดขีดก็ได้เกิดขึ้น

    น้องชายผมบริสุทธิ์ไร้เดียงสาต่อการฆ่าล้างที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเขาที่ได้เข้าไปหากษัตริย์รุกรานผู้ยิ่งใหญ่ และ
    ยื่นมือเล็กๆไปจับชายเสื้อของพระเจ้าอโศก แล้วนำมาสัมผัสที่ปาก ทันใดนั้น ผมก็วิ่งมาถึงตัวน้องพอดี แล้วทุก
    สิ่งทุกอย่างก็เกิดขึ้นเหมือนในฝัน พระเจ้าอโศกหันมามองที่พวกเราด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ทหารอารักขาพระองค์
    ไม่อาจยับยั้งน้องผมได้ ซึ่งการกระทำของน้องผมทำให้เหล่าทหารตกตะลึงเป็นอย่างมาก พวกทหารถอดดาบ
    ออกจากฝักแต่ไม่ได้ใช้มัน พวกทหารต่างขยะแขยงและโมโห เมื่อนึกถึงพวกวรรณะจัณฑาลได้จูบประทับบน
    ชุดพระมหากษัตริย์ พวกเขาเลยถอยกรูอย่างตกตะลึงและรอดูปฏิกิริยาของพระเจ้าอโศก


    พระเจ้าอโศกโกรธจนตาลุกเป็นไฟ
    พระองค์ตะคอกว่า "ไอ้สัตว์ชั้นต่ำ" พร้อมชักดาบที่มีประกายวาววับออกมาจากฝักดาบสีทองช้าๆ แล้วพูดต่อว่า
    "มึงกล้าดียังไงถึงเอามือชั่วช้า มาสัมผัสแตะต้องตัวข้า เพราะมึงแท้ๆ ที่ทำให้ข้าต้องต่ำทรามเหมือนมึงและมึง
    ต้องชดใช้ความชั่วก่อนที่จะสัมผัสคนอื่นๆในวรรณะเดียวกับข้าอีก เตรียมตัวตายซะเถอะ"


    ก่อนที่ดาบจะฟันตัดคอน้องชายผม ผมได้ก้าวเอาตัวขวางหน้าตัวน้องไว้

    ผมโอดครวญอย่างสิ้นหวังว่า "ได้โปรดเถอะพระเจ้าข้า! น้องชายผมไม่ได้ผิดเลย ผมต่างหากที่ไปแตะต้องตัว
    พระองค์ เปล่าใช่น้องชายข้าพเจ้าเลย"


    พระเจ้าอโศกถือดาบในมือและจ้องมองอย่างโกรธเคืองมาที่ผม

    พระเจ้าอโศกตะคอกใส่ว่า "นั้นมึงก็ยอมรับต่อการกระทำของมึงนะสี ทำไม่มึถึงกล้าทำเช่นนี้ได้หือ รู้มั้ยว่าข้าอยู่ในวรรณะพราหมณ์"
    ผมร้องคร่ำครวญว่า "เนื่องจากผมหิวมาก ผมถึงอยากขอรับบริจาคทาน ผมเลยลืมเรื่องวรรณะของท่าน"
    พระเจ้าอโศกแผดเสียงขึ้นมาว่า "ข้าแน่ใจว่ามึงจะจำสิ่งนี้ได้แม่นยำในภาพภาหต้า ยี่นมือของมึงออกมาซิ"
    ผมยื่นมือออกไปสั้นด้วยความกลัว

    ดาบได้ฟันฉับเหมือนแสงพระจันทร์สีเงินวาบหนึ่งลงบนแขนของผม แล้วเลือดได้ใหลทะลักนองมือที่ยื่นออกไป
    เมื่อครู่นี้ ขณะที่ผมตกอยู่ในภวังค์ไม่รู้สึกตัว ผมได้ยินน้องผมกรีดร้องดังออกมาจากลำคอ


    พาร์สิสกรีดร้องตัวสั่นสะอื้นไห้แล้วพูดว่า "ผมเองครับพระองค์ผมเองที่ทำ ไม่ใช่พี่ชายผมเลยที่ทำผมเองต่างหาก
    โปรดตัดแขนผมด้วยเถิด"
    ว่าแล้วพาร์ลสิสก็ยื่นแขนอันน้อยนิดไปข้างหน้าพระเจ้าอโศกเพื่อตัดเสีย

    พระเจ้าอโศกจ้องมาที่พวกเราครู่หนึ่งและพระพักตร์พระองค์ก็ถอดสี

    พระองค์กล่าวว่า "เป็นความจริงหรือที่มึงไม่ได้แตะต้องตัวข้า"

    ผมล้มลงคุกเข่าด้วยขาทั้งสองข้าง แขนของผมชาไปหมดตั้งแต่ข้อศอกลงไป ผมไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่การเสียเลือด
    และสภาพที่ขาดอาหาร ทำให้ตาและใจของผมเริ่มมองไม่เห็น

    ผมกล่าวอย่างไม่ได้สติว่า "ไม่พระองค์ ไม่ใช่กระผม"
    "แต่น้องชายผมเป็นเด็กไร้เดียงสา ไม่มีใครเคยสั่งสอนเขาเรื่องความแตกต่างของวรรณะต่างๆ เขารู้แต่เพียงคำสั่ง
    สอนของพระพุทธะเจ้าที่ทรงตรัสไว้ว่า มนุษย์เราเท่าเทียมกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไม่น้องผมถึงกล้าแตะต้องพระองค์
    เราเป็นพี่น้องกัน มีความรักใคร่ตรึงอยู่ในจิตใจของปุถุชน ให้อภัยเขาด้วยเถิดพระองค์ทรงกรุณาด้วยเถิด"


    ผมได้ยินพระเจ้าอโศกสั่งเหล่าทหารในขณะที่ผมเริ่มลืมตาไม่ขึ้น "เอา เร็วเข้า ใครก็ได้ช่วยห้ามเลือดที แล้วพา
    ไปหาหมอของข้าด้วย"


    แต่ไม่มีใครเชื่อพระองค์เลย ผมยังเป็นจัณฑาล และไม่มีใครใรวรรณะชั้นสูงจะเข้ามาใกล้ ปล่อยให้ความอ้างว้างช่วยชีวิตผม
    พระเจ้าอโศกหันมาพูดกับน้องชายผม
    "เอ้า !เจ้าเด็กน้อย มาช่วยฉันที" พระเจ้าอโศกใช้ดาบที่เปื้อนคราบเลือดตัดชุดที่ทำจากผ้าสินินออกเป็นเส้น และ
    พาร์สิสก็ช่วยรัดผ้าอย่างแน่นรอบๆ แขนที่ถูกตัดซึ่งมีเลือดใหลตรงส่วนปลาย เมื่อพระเจ้าอโศกได้ช่วยทำแผล
    พระองค์คุกเข่าข้างร่างของผมที่นอนอยู่ และยกศรีษะไว้ในอ้อมแขนของพระองค์ต่อหน้าต่อตาที่แทบไม่น่าเชื่อ
    ของเหล่าทหารของพระองค์


    พระองค์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "ยกโทษให้ขข้าด้วย ยกโทษข้าเถอะ จริงแล้วๆ เจ้าเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง
    แต่เจ้าได้สอนคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องไม่ให้เป็นแก่ตัว"


    ผมตอบว่า "พระองค์ต่างหากที่ต้องให้อภัยแก่ผม ในชาติก่อนผมอคติต่อพระองค์อย่างมาก และได้เข่นฆ่าชีวิต
    พระองค์ ตอนนี้ผมอยู่ที่หนทางแห่งอมตะ ผมจังจำได้โดยตลอด ขอให้พระองค์อย่างเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    เป็นเรื่องของกรรมที่เราแแต่ละคนต้องชดใช้ ผมขอเพียงพระองค์สัญญากับผมว่าจะดูแแลมารดาของผมและ
    พี่น้องทั้งหมด"


    พระเจ้าอโศกตรัสว่า "ข้าสัญญา จงไปสู่สุติเถิด"
    นี่คือคำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยินในชาติที่สองทีเกิดมาบนโลก
     
  10. ดาวจรัสแสง

    ดาวจรัสแสง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    542
    ค่าพลัง:
    +3,015
    อ่านไป ร้องไห้ไป ซาบซึ้งมากค่ะ ช่างเป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งและน่าสนใจมากๆเลยค่ะ....ดีใจที่เขาสำนึกได้และให้อภัย....

    รอติดตามและเป็นกำลังใจให้ต่อไปค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
     
  11. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    กลับ...มาอ่าน อิอิ
     
  12. krittima helga

    krittima helga เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +247
    _อ่านไปรอ้งให้ไปเหมือนกันคะ่ และขอขอบคุณ คุณ su ra อย่างมากมาย เพราะความกดดันหลายๆอย่างที่ยังติดอยู่ ได้ถูกปลดปล่อยออกไป เพราะความเข้าใจที่มากขึ้น และมากขึ้น ขอบคุณทุกๆท่า่นในการทำหน้าที่อย่างสุดกำลัง_รักพวกท่านอย่างสุดหัวใจเช่นกัน_
     
  13. แม่หมูอ้วน

    แม่หมูอ้วน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    530
    ค่าพลัง:
    +6,061
    ตามมาอ่านด้วยคนค่ะ.............
     
  14. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    ตอนที่ 8 เวอร์ดิกริส

    จันทร์ได้รับความเจ็บปวดและรู้แจ้งเห็นจริงมากที่สุดกว่าทุกชาติ ซึ่งเป็นไปตามที่ทูตวิญญาณได้ทำนายไว้ ผม
    รู้สึกถึงจิตวิญญาณที่กระจ่างแจ้ง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในการวิวัฒนาการท่ามกลางซากปรักหักพังของกรุง
    กลิงคราช ผมนอนราบโดยหนุนศรีษะไว้ในอ้อมแขนของพระเจ้าอโศก ผมรู้สึกว่าวิญญาณได้เคลื่อนออกจากร่าง
    พร้อมๆ กับเลือดที่ไหลท่วมเหมือนแม่น้ำที่ไหลออกจากบาดแผลที่แขนและเวลานั้นเอง ผมก็ได้เห็นภพชาติ
    ก่อนๆ ปรากฏต่อสายตา ทำให้รู้แจ้งในการรับรู้ด้วยแสงแห่งพระเจ้าผมจึงจำได้ชัดเจนถึงตอนที่ผมเป็นพระเจ้า
    อเล็กซานเดอร์แห่งมาซีโดเนีย และการกระทำชั่วร้ายที่ผมเคยทำลงไป ซึ่งลงโทษให้ผมได้รับกรรมด้วยการมี
    ชีวิตที่ลำบากแสนสาหัสในตอนที่เป็นจันทร์ ในช่วงเวลาที่แสนเจ็บปวดรวดร้าวนั้น ผมได้เห็นพระเจ้าอโศกใน
    ขณะที่เขายังมีชีวิตในชาติที่แล้วนั้นเป็นพาร์เมนิโอ ซึ่งผมสั่งให้ฆ่าเขาอย่างโหดร้าย ผมได้ลสะชีวิตเพื่อพาร์สิส
    น้องชายและผมจำได้ว่าชาติที่แล้วเขาเป็นเพื่อนรักของผมก็คือ ไคลทุส ซึ่งได้ฆ่าเขาตายตอนเมาขาดสติ


    เมื่อผมตื่นขึ้นมา ผมจำได้ถึงครั้งแรกที่ผมกลับชาติมาเกิดว่าผมได้ปฏิบัติหน้าที่ที่ผมได้รับมอบหมายอย่างลุล่วง
    แล้ว ผมรู้สึกถึงความสงบสุขและสุขใจ เมื่อผมรู้ว่าผมพัฒนาการคันหาเวอร์ดิกริสได้มากยิ่งขึ้น


    วิญญาณของผมยอมแพ้ต่อจักรวาล ด้วยความรู้สึกที่มีความสุขในจิตใจ ผมรู้สึกว่าตัวเองลอยขึ้นอย่างรวดเร็ว
    ไปยังสถานที่ที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ด้วยพลังอำนาจที่ไม่อาจบอกได้ เมื่อผมฟื้นขึ้นมา ผมรู้สึกตัวว่าอยู่ใน
    วงกลมโค้งขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยแสงโชติช่วงของรุ้งหลากสีที่แผ่รังสีไกลออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผมเห็น
    แสงสองดวงคือโจแอ็บและเจเรไมอยู่ตรงกลาง รังสีที่แผ่ไกลออกไปอย่างไร้ขอบเขต วิญญาณของผมซึมซับ
    สัมผัสกับความสุขที่มีกลิ่นหอม


    ทูตสองคนพูดพร้อมกันว่า "ความสุขที่น่ายินดี คุณชนะสิ่งนี้แล้ว"

    ผมตัวสั่นเทิ้มโดยถามไปว่า ทำไม่ผมไม่ได้อยู่ในประตูวิญญาณพวกเขาตอบว่า ในที่สุดพวกเขาก็ได้ทำหน้าที่ที่มี
    ต่อผมได้สำเร็จ โดยไม่จำเป็นต้องหน่วงเหนี่ยวสถานที่พักผ่อนอในอดีต ซึ่งเป็นที่วิญญาณจะมีพลังอยู่เพียง
    ชั่วคราว และจะไปรอเกิดใหม่


    ผมถามไปว่า "แล้ว ณ เวลานี้จะมีอะไรเกิดขึ้น"
    เจเรไมตอบว่ "ขณะนี้คุณมีความอดทนอดกลั้นต่อการทดสอบที่ยากลำบากสาหัสที่สุด คุณจะกลับมาเกิดในโลก
    อีกครั้งโดยคุณจะได้พบกับเวอร์ดิกริสในที่สุด"


    คำพูดนี้ผมได้รอมานานแสนนานซึ่งทำให้ผมมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
    และความกลัวบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและความกลัวผมรู้สึกมีความสุขที่จะได้มา
    รวมร่างเป็นหนึ่งเดียวกับคนรักของผมและรู้สึกกลัวต่อความหายนะครั้งใหม่ ที่จะทำให้การพบกันช้าออกไปอีก


    ผมถามขณะที่ตัวเองดีใจจนเนื้อเต้นว่า "เวอร์ดิกริส ผมกำลังจะอยู่กับคุณอีกครั้งหนึ่งแล้วหรือนี่"
    คำตอบของเจเรไม่ยิ่งทำให้ผมเกิดความกลัว
    เขากล่าวอย่างน่าตกใจว่า
    "การรวมวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวผมไม่ได้พูดถึงการรวมวิญญาณสักหน่อย แค่พูดถึงการพบกันเท่านั้น"
    คำพูดนี้ทำให้ผมตกตะลึง แต่ไม่ได้ทำให้คลายกังวลลงไปเลย
    ผมเลยถามขึ้นว่า
    "แล้วต่างกันอย่างไรหรือ การรวมวิญญาณไม่ใช่ผลที่ตามมาของการพบกันของเราหรือครับท่าน

    เจเรไมตอบว่า "เปล่าเลย ยังไม่ถึงเวลา คุณจะแค่เจอกับเวอร์ดิกริส แต่ยังไม่ได้รวมวิญญาณกัน การรวมวิญญาณ
    กับเวอร์ดิกริสอาจจะแยกคุณจากกันชั่วนิรันดร์ แต่การแยกจากกันจะทำให้คุณกลับมารวมวิญญาณของคุณทั้ง
    สองคนไปชั่วกัลปาวสานซึ่งก็คือสิ่งที่ได้ทำให้รู้แจ้งเห็นจริงบนโลก ดังที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น
    การนิพพาน สิ่งนี้จะเป็นการเกิดครั้งสุดท้ายขณะนี้ทั้งคุณและเวอร์ดิกริสยังเป็นร่างเดี่ยวกัน ยังขาดการรวม
    วิญญาณอยู่ และวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ก็ไม่สามารถกลับไปได้ สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญ มากที่คุณจะต้องไม่พลาดการ
    ทดสอบครั้งนี้ จงจำสิ่งนี้ไว้เสมอ คุณจะต้องเผชิญกับความรับผิดชอบครั้งสำคัญ ถ้าคุณชนะในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
    นี้ คุณก็จะพบความสุขอันเป็นนิรันดร์แต่ถ้าคุณเพลี่ยงพล้ำพลาดไป คุณก็จะต้องเริ่มวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่
    อีกครั้งตั้งแต่ต้นใหม่"


    ผมร้องถามไปโดยมีความรู้สึกกลัวแบบเก่าๆ เกิดขึ้นกับตัวผมอีกครั้งว่า

    "ผมไม่เข้าใจ การพลัดพรากจากกันจะนำไปสู่ความเป็นหนึ่งและความเป็นหนึ่งดียวจะทำให้เกิดการพลัดพราก
    ได้อย่างไรกัน ผมไม่เข้าใจคำพูดเหล่านี้เลย"


    แสงกว่างที่ส่องประกายหมุนรอบทูตวิญญาณได้ริบหรี่ลงทันไดนั้นเปลวรัศมีได้ส่องสว่างรวมกันเป็นสายรู้งหลาก
    สี ที่รวมตัวกันเป็นรูปวงกลมอัฒจันทร์ขนาดใหญ่ ทูตวิญญาณทั้ง 2 คนได้หายวับไปในแสงหลากสีที่โชติช่วง


    โจแอ็บตอบเบาๆว่า "อย่ากลัวไปเลย คุณพูดถึงเรื่องเหตุผลอันเป็นความรู้ที่คุณได้มาจากบนโลก ตอนที่คุณเป็น
    พระเจ้าอเล็กซานเดอร์โดยอริสโตเติ้ลเป็นผู้สอนคุณ แต่ความเป็นเหตุเป็นผลนี้ไม่ได้มีอยู่บนโลกมนุษย์หรอก มี
    เพียงสิ่งเดียวที่เป็นสัจธรรมแห่งวิญญาณ และสัจธรรมที่ว่านี้ก็คือการได้ไปอยู่กับพระเจ้าที่สร้างคุณมาและต่อ
    จากนั้นกลายเป็นที่มาของมวลมนุษย์ คุณต้องชำระบาปจากการสัมผัสสิ่งเหล่านี้ ถ้าคุณสามารถทำสิ่งนี้ได้หลัง
    จากการเกิดในชาตินี้ คุณก็จะพบกับความสุขที่สุดโดยเป็นความสุขที่หาได้ยาก ส่วนใหญ่แล้ววิญญาณต้องกลับ
    มาเกิดหลายครั้ง ก่อนที่จะเป็นอิสระจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ไปเพื่อทำให้คุณได้รับรู้ประสบการณ์อย่างสมบูรณ์
    จึงต้องแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ชายกับหญิง สิ่งนี้คือร่างที่แท้จริง คุณและเวอร์ดิกริสได้ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วนจากวิญญาณ
    เดียวกัน และคุณทั้ง 2 ก็ถึงเวลาที่จะทำให้วัฏจักรการชำระบาปเสร็จสิ้นแล้ว และกลับไปสู่แสงสว่างแห่งพระเจ้า
    แต่พวกคุณต้องยอมรับขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่การชำระบาปจะเสร็จสิ้น พวกคุณต้องเอาชนะสิ่งนี้ด้วยกัน คุณ
    สามารถเอาชนะสิ่งนี้ในขณะที่แยกจากกันนี่คือการทดสอบครั้งสุดท้าย"


    เจเรไมแทรกขึ้นมาว่า "คุณคงรู้สึกกลัว เมื่อคุณเห็นร่างของเรารวมก้นเป็นแสงสีสายรุ่ง สายรุ้งหมายถึงลำดับ
    ของแสง ซึ่งก็คือการหักเหที่ทำให้เกิดสีต่างๆหลายเฉด ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นบนโลกโดยเกิดจากการแบ่งสีสัน
    จากความเป็นหนึ่งเดียวของแสงแห่งพระเจ้าสิ่งนี้จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจึงมีสีปรากฏบนโลกมนุษย์ แสงจาก
    พระเจ้าถูกแบ่งออกไป หน้าที่ของคุณในชาติสุดท้ายนี้จะถูกรวมเป็หนึ่งเดียวกับความรู้แจ้ง และจะทำให้เผ่าพันธุ์
    มนุษย์มีจิตใจที่สูงส่งขึ้นแต่การที่จะทำสิ่งนี้ให้สำเร็จได้นั้น คุณต้องอยู่ห่างจากโลกและเวอร์ดิกริส การรวมวิญญาณ
    กับเวอร์ดิกริสในตอนนี้จะก่อให้เกิดการหักเหของแสงในตัวคุณ และจะทำให้พลัดพลัดพรากจากกันของพวกคุณ
    ยาวนานยิ่งขึ้น"


    ผมถามว่า "ตัวผมอันน้อยนิดนี้ จะนำแสงแห่งพระเจ้าไปสู่มนุษย์ชาติได้อย่างไร"

    เจเรไมตอบไปว่า "จงจำคำสอนของพระพุทธเจ้าที่คุณได้เรียนรู้ตอนเป็นจันทร์อยู่"
    "จริงด้วยครับ"

    โจแอ็บพูดว่า "พระพุทธเจ้าทรงเป็นวิญญาณสูงส่งที่ได้ปฏิบัติธรรมหรือก่อให้เกิดการรวมตัวเป็นหนึ่งครั้งสุด
    ท้ายของวิญญาณ ด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง หน้าที่ของพระองค์บนโลกมนุษย์ก็คือ การเผยแผ่หลักธรรม เรื่อง
    ความรัก การผูกพันฉันท์มิตร ความเมตากรุณาและความโอบอ้อมอารีแก่เพื่อนมนุษย์ คำสอนที่เป็นสากลนี้ไม่
    ได้นำมาเผยแผ่เฉพาะบนโลกเท่านั้น แต่นำมาสู่ดวงดาวทุกดวงของกาแล็กซี่ทั้งหมดในจักวาล โดยมาจาก
    วิญญาณที่เข้าถึงการตรัสรู้แล้ว วิญญาณดวงที่มีความโชติช่วงและบริสุทธิ์ที่สุดที่นำคำสอนเรื่องความเป็นเอกภาพ
    และการรู้แจ้งมาสู่โลกโดยการสละชีพตนเองด้วยความตายที่โศกสลดและอดสู คำสอนมีพลังจนสามารถพิสูจน์
    กาลเวลาและทุกสรรพสิ่ง โดยยังคงทำให้มนุษย์ได้รับภูมิปัญญาที่รู้แจ้ง เพื่อให้คำสอนยังคงมีอยู่ต่อไป จึงเป็น
    สิ่งจำเป็นที่วิญญาณอื่นๆ จะอยู่บนโลกชั่วคราวเพื่อให้วิญญาณอันสูงส่ง รวมทั้งการส่งสอนเรื่องความรักและการเสียสละ"


    ผมถามว่า "นี่คือภาระหน้าที่สุดท้ายของผมบนโลกแล้วใช่ใหม"
    โจแอ็บตอบว่า "ก็เพียงแต่คุณต้องการให้เป็นไปเช่นนั้น เราสองคนเคยบอกคุณหลายหนแล้วว่า วิญญาณต้อง
    ยอมรับภาระหน้าที่ด้วยความเต็มใจ เจตจำนงเสรีในกฎแห่งจักรวาลที่สำคัญกฎหนึ่ง"


    ผมตอบว่า "ผมยอมรับภาระหน้าที่นี้ แต่ผมไม่รู้ว่าผมจะสามารถต้านทานอำนาจกิเลสตัณหาได้อีกหรือเปล่า
    มิฉะนั้นยิ่งจะทำให้การรวมวิญญาณกับเวอร์ดิกริสช้าลงไปอีก"


    เจเรไม่ตอบว่า "นี่เป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบ เราเข้าใจอำนาจของกิเลสตัณหา แต่อย่าประเมินพลังวิญญาณ
    และความรักที่มีต่อเวอร์ดิกริสต่ำเกินไป คุณมีความแข็งแกร่งในตัวคุณอยู่แล้ว"


    ผมถามด้วยความอยากรู้ว่า "ใครคือวิญญาณสูงสุดที่ผมต้องรับฟังคำสั่งสอนเข้าไว้"

    เจเรไมตอบว่า "พระองค์ก็คือพระเยซู"

    เพียงชั่วครู่เดียวที่ผมได้รับคำสั่งสอนเหล่านี้ ผมก็รู้ว่าตัวเองได้อยู่บนโลกอีกครั้งหนึ่ง ควาวนี้ไม่มีเสียงของโจแอ็บ
    และเจเรไม่มาตามให้คำแนะนำผมอีก ในขณะที่ผมเป็นเด็กทารก และผมก็เติบโตเป็นเด็กธรรมดา โดยลืมคำสอน
    ที่ทูตบอกไปจนหมดสิ้น หรือแม้แต่ภาระหน้าที่ที่ผมต้องทำให้ลุล่วงตรงกันข้ามกับชาติก่อน คราวนี้ผมเกิดบนโลก
    ที่เพียบพร้อมด้วยทรัพย์ศฤงคาร ผมเกิดในครอบครัวพ่อค้าขายผ้าใหมที่ร่ำรวยในประเทศอิตาลี จากวัยเด็กที่
    เติบโตมาจากวัยทารกซึ่งแวดล้อมทุกสิ่งที่ต้องการ ผมเป็นคนใจดีและร่าเริง ผมมีเพื่อนๆ หลายคนคิยติดตามเป็น
    สหายไปเที่ยวซุกซนตามประสาเด็ก


    แม้ว่าพ่อแม่ผมจะร่ำรวย แต่ผมไม่เคยได้รับการยอมรับจากบุคคลชั้นสูง เพราะฐานะของเราเป็นแค่เพียงพ่อค้า
    ตั้งแต่ผมยังเล็กๆ ความต้องการที่จะมีเกียรติในสนามรบนั้นได้ครอบงำจิตใจของผม มันเป็นเหมือนภาพสะท้าน
    จางๆ จากที่ผมเป็นพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ยังหลอนหลอกในความรู้สึก ความทะยานอยากผลักดันตัวผมให้เข้า
    ร่อมกับกองทัพเพื่อป้องกันประเทศชาติต่อการรุกรานของขุนนางจากประเทศเพื่อนบ้าน ตอนนั้นอยู่ในช่วง
    ยุคกลาง และเรื่องการทำสงครามกับเมืองใกล้เคียงต่างๆถือเป็นเรื่องปรกติในชีวิต


    การสู้รบครั้งแรกของผมก็ต้องเจอกับความวิบัติเสียแล้วเมืองผมพ่ายแพ้ต่อผู้บุกรุก และผมก็ถูกจับเป็นนักโทษ
    เชลยอยู่หลายปีเมื่อถูกปล่อยตัว ผมตัดสินใจเข้าร่วมรบในสงครามอีกครั้งหนึ่ง การรบครั้งนี้เป็นการปกป้อง
    พระสันตะปาปาจากศัตรูของพระองค์ และในคืนวันก่อนที่ผมออกรบ ผมได้ฝันแปลกๆ ว่ามีเสียงกระซิบบอกให้
    ผมกลับไปบ้านเกิดของผมเสีย


    ผมรู้สึกสนใจต่อการฝันครั้งนี้ ผมจึงกลับมาที่บ้าน 2 - 3 วันต่อมา ขณะที่ผมเดินตามถนนอยู่นั้น ผมก็เดินมาถึง
    โบสถ์เล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีซากปรักหักพังเสียครึ่งหนึ่ง ผมเดินเข้าไปในโบสถ์ที่มีดอกกุกลาบปกคลุมรกไปหมด
    ในความมืดสลัวผมเห็นไม้กางเขนเก่าๆ ตรึงอยู่บนกำแพงด้านหนึ่ง ไม่กางเขนทำให้ผมสนใจเป็นอย่างมาก
    แม้ว่าในความจริงไม้กางเขนไม่ได้มีอะไรแปลกพิสดารอะไรเลย เมื่อผมเข้าไปดูใกล้ๆ ตาของพระเยซูที่ไม้
    กางเขนก็ได้จ้องมองลึกเข้าไปภายในจิตใจของผม และผมก็ได้ยินเสียงที่ผมรู้ว่าเป็นเสียงของพระเยซูโดยพูดซ้ำๆ
    ว่า
    "บ้านของฉันกำลังพังช่วยซ่อมแซมด้วย"

    ผมรู้สึกสั่นเทิ้มเหมือนใบไม้ ผมวิ่งออกจากโบสถ์โดยไม่หยุดจนถึงบ้าน คืนนั้นผมเห็นภาพไม้กางเขนในความฝัน
    และได้ยินคำพูดเหมือนเดิม ซึ่งผมรู้ว่าเป็นเสียงของพระเยซูว่า
    "บ้านของฉันกำลังพัง ช่วยซ่อมแซมด้วย"

    ผมสวดมนต์ว่า "พระเยซูศาสดาของข้าพเจ้า" ถ้าภาพที่ข้าพเจ้าเห็นไม่ได้เกิดจากการสร้างจินตนาการ ขอให้
    ข้าพเจ้าได้ล่วงรู้ด้วยเถอะว่า ข้าพเจ้าพร้อมที่จะรับใช้พระองค์ด้วยความจริงใจถ้าพระองค์ปรารถนาเช่นนั้น"


    ทันใดนั้น ผมก็ได้ยินเสียงพระเยซูพูดอีกครั้งหนึ่งเพื่อเร่งเร้าให้ผมบูรณะโบสถ์ ผมมั่นใจว่าข้อความจากใจผม
    ผมได้อุทิศเวลาตัวผมเองเพื่อบูรณะโบสถ์ เนื่องจากผมไม่มีเงินพอ ผมเลยเอาผ้าทอลายดอกสีแดงราคาแดงจาก
    โรงงานทอผ้านำไปขายในเมืองใกล้ๆ ผมนำเหรียญทองคำถุงหนึ่งมาที่โบสถ์ แล้วนำไปให้เจ้าคณะที่อาศัยอยู่ที่
    นั่น แต่พระผู้นี้รู้ว่าผมเป็นบุตรหลานพ่อค้าที่รวยที่สุดคนหนึ่งในเมืองนี้ ท่านจึงปฏิเสธที่จะรับเงิน


    ท่านกล่าวว่า ทองคำนี้เป็นของพ่อเจ้า ไม่ได้เป็นเงินของเจ้า เงินจำนวนนี้ไม่สามานำมาใช้บูรณะที่พพำนักของพระเจ้าได้

    ผมก้มลงหน้าพูดอย่างละอายว่า "ท่านพูดถูกแล้วครับหลวงพ่อผมไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้เลย ผมจะหาหนทางอื่น
    เพื่อบูรณะโบสถ์โดยไม่ต้องใช้เงินจากพ่อ"


    ผมโยนกระเป๋าสตางค์ไปที่มุมโบสถ์แล้วอาศัยอยู่ในโบสถ์นับตั้งแต่นั้นมา ต่อมาพ่อก็รู้สิ่งที่ผมทำ และลากผม
    ออกมาต่อหน้าคณะบาทหลวงและทวงเงินคืน พระเจ้าคณะของเมืองได้รู้สาเหตุที่ผมขายผ้าไปและขอร้องให้ผม
    คืนเงินให้แก่พ่อไป ผมรู้สึกสงบโดยไม่มีความรู้สึกโกรธเคืองแม้แต่น้อย ผมได้ยืนขึ้นและหันหน้าไปที่พระเจ้าคณะ


    ผมตอบว่า "ถูกแล้วครับท่าน เงินที่ได้จากขายผ้าเป็นเงินของบิดามารดากระผม และพ่อเองก็มีสิทธิที่จะทวงคืน
    ไม่ใช่แค่เพียงเงินเท่านั้นที่เป็นของพ่อ แต่รวมถึงเสื้อผ้าที่ผมสวมใส่ด้วยผมเองอยากจะคืนพ่อไปด้วย เพราะว่า
    จากวันนี้ไปผมจะนับถือพระผู้เป็นเจ้าเป็นพระบิดาของผม"


    เมื่อผมพูดเสร็จก็ถอดเสื้อผ้าทั้งหมดออกจนเหลือแต่กายเปลีอยเปล่าต่อหน้าพ่อและทางคณะบาทหลวง ผมวางเสื้อ
    ผ้าและถุงใส่เหรียญไว้ที่เท้าของพ่อ พ่อมีใบหน้าแดงก่ำสั่นเทิ้มด้วยอารมณ์ที่โกรธจัด ในขณะที่เจ้าขณะบาทหลวง
    ได้ห่มชุดคลุมปกปิดร่ายเปล่าเปลือยของผมนั้น


    เมื่อผมออกจากเหล่าคณะสงฆ์ คนสวนคนหนึ่งได้ให้ผ้าป่านผืนหนึ่ง ซึ่งผมก็ได้นำไปทำชุดคลุมชั่วคราว โดยทำ
    เครื่องหมายเป็นรูปไม้กางเขนเพื่อแสดงการอุทิศตนของผมแก่พระเยซู จากนั้นผมก็ผูกเชือกรอบเอวและใส่
    รองเท้าแตะรวมทั้งผ้าคลุมแต่งกายทั้งหมดของผมเมื่อผมนึกถึงความทุกย์ยากของพระเยซู และคำสอนต่อสาวก
    สานุศิษย์ที่ออกไปช่วยบริจาคทานแก่ผู้อื่นนั้น ผมได้ยึดถือความยากจนเป็นเสมือนเจ้าสาวที่สวยที่สุด

    ผมไม่เคยลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับพระเยซูว่าจะบูรณะโบสถ์ผมเริ่มขอรับบริจาคหิน อิฐ และซีเมนต์ เพื่อทำการ
    บูรณะเสร็จสิ้น การอุทิศตนทั้งหมดต่อการบูรณะนี้ทำให้ผู้มีจิตศรัทธาที่สนใจได้อุทิศตนเองเพื่อพระเจ้า และใน
    ไม่ช้าเราก็เริ่มก่อตั้งคณะมิชชันนารีซึ่งได้อุทิศตนเพื่อความสงบสุขและไม่ตรีจิต จากความร่วมแรงร่วมใจแข็งขัน
    ทำงานทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดเราก็ได้สร้างโบสถ์เล็กๆขึ้นมาใหม่ ซึ่งรู้จักกันในปัจจุบันว่า เชิร์ช ออฟ เซนด์ดาเมียน


    ช่างเป็นวันที่มีความสุขสำหรับผมที่ได้มอบความรักแก่พระคริสต์และความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า หลังจากนั้น
    กลุ่มคณะมิชชันนารีของเราก็สร้างโบสถ์อื่นๆ ขึ้นมาใหม่ และเริ่มเรียกตนเองว่า บาทหลวงน้อย (Friars Minor)
    เพื่อบ่งบอกความสมถะของเราแม้ว่าผมจะเทิดทูนพระเยซูและโบสถ์เป็นอย่างมาก แต่ผมไม่ได้บวชเป็นนักบวช
    และเมื่อเดินทางไปโรมกับคณะมิชชันนารี ในปีต่อๆมาเพื่อแสวงหาความรู้จักกับพระสันตะปาปา ผมรู้สึกประหลาด
    ใจที่พระองค์ท่านทรงรู้จักพวกเรา


    ในที่สุด เมื่อผมกลับมาที่บ้านเกิดเมือง อาซัสซี เจ้าคณะขอร้องให้ผมเทศนา ณ โบสถ์ประจำเมือง ในค่ำวันนั้น
    หลังจากที่ผมเทศนาอย่างศรัทธาเกี่ยวกับคุณความของความยากจนและความรักต่อพระเยซู มิชชันนารีร่วมคณะ
    คนหนึ่งบอกผมว่า มีลูกสาวขุนนางที่มีอำนาจคนหนึ่งของเมืองต้องการคุยกับผม ผมตกลงที่จะเจอกับเธอเพราะ
    ไม่มีสิ่งไดที่จะทำให้ผมพอใจมากไปกว่าได้เผยแผ่คำสอนของระเยซูแก่คนรวย คนมีอำนาจ พร้อมช่วยให้เขา
    ตระหนักถึงความไร้ค่าของความร่ำรวยทางโลกียสุข ครู่หนึ่งมิชชันนารีคนนี้ได้กลับมาพร้อมกับสาวงามคนหนึ่ง
    อายุไม่เกิน 18 ปี แต่งกายด้วยชุดที่หรูหราตามฐานะ ผมลุกขึ้นต้อนรับและยื่นมือเชื้อเชิญโดยเธอเองได้ยื่นมา
    ข้างหน้าผม แต่ไม่ได้จับมือเธอมีแสงเรืองรองออกมาจากตัวเราทั้งสองคน และในทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงสะท้อน
    รอบๆ ตัวผมคล้ายเปลวไฟวน


    มีเสียงดังขึ้นว่า "เวอร์ดิกริส เวอร์ดิกริส"
    ผมยืนต่อหน้าเธอเหมือนรูปปั้นหินอ่อนที่แข็งทื่อเป็นน้ำแข็ง มือของผมยื่นออกไปห่างจากมือเธอไม่กี่นิ้ว
    มิชชันนารีคนนี้ก็กระซิบข้างหูผมว่า "บาทหลวงฟรานซิส นี่ คือเลดี้แคลร์ ที่ผมเคยเล่าให้ฟัง"
     
  15. babyworld

    babyworld สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +3
    ติดตามอยู่ค่ะ ได้ข้อคิดเยอะเลยค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  16. krittima helga

    krittima helga เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +247
    _โจแอบพูดว่า_ พระพุทธเจ้าทรงเป็นวิญญานสูงส่ง ที่ปฏิบัติธรรม หรือก่อให้เกิดการรวมตัวเป็นหนึ่งครั้งสุดทา้ยของวิญญาน ดว้ยความรู้แจ้งเห็นจริง_หน้าที่ของพระองค์บนโลกมนุษย์คือ_การเผยแผ่หลักธรรม เรื่องความรัก การผูกพันธ์ฉันมิตร ความเมตตากรุณาต่อเพือ่นมนุษย์ คำสอนที่เป็นสากลนี้ ไม่ได้นำมาเผยแผ่เฉพาะบนโลกมนุษย์เท่านั้น _แต่นำสู่ดวงดาวทุกดวงของกาแลคซี่ทั้งหมดในจักรวาล__พทธธัง สะระนัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ สังฆ์คัง สะระนัง คัจฉามิ__
     
  17. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    ตอนที่ 9 การพลัดพราก

    ผมเองไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เมื่อได้เจอกันตัวต่อตัวกับเวอร์ดิกริส ผมจำได้เกี่ยวกับชีวิตในชาติก่อนทั้งหมด
    รวมทั้งคำสอนของทูตทั้งสอง เมื่อเห็นเวอร์ดิกริสผู้เป็นที่รักปรากฏตัว ทูตทั้ง 2 คนกล่าวว่าการพลัดพรากเป็นสิ่ง
    สำคัญต่อการรวมวิญญาณเป็นหนึ่งเดียว แต่ผมจะทนต่อการพลัดพรากกับวิญญาณอีกครั้งหนึ่งได้อย่างไรกัน


    ผมนึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับจักรวาล โดยรู้ว่าร่างของฟรานซิสแห่งอาซัสซี เป็นร่างแฝงที่มีวิญญาณของผม
    อาศัยอยู่ ร่างของฟรานซิสเป็นร่างชั่วคราวในจักรวาลที่ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วชีวิตนี้มีความสำคัญอย่างไรกัน ทำไม
    ผมต้องเสียสละการรวมวิญาณกับเวอร์ดิกริสเพื่อชีวิตที่มืดมัวเช่นนี้


    เวอร์ดิกริสพูดผ่านจากริมฝีปากของแคลร์แห่งอาซัสซีว่า "เป็นเพราะพระเยซูเจ้า" มือที่สั่นยื่นมาจับมือผม แล้ว
    นัยน์ตาดั่งสรวงสวรรค์ก็ได้บอกผมว่าเธอเองก็จำผมได้เช่นกัน มิชชันนารีที่มารู้สึกประหลาดใจต่อคำพูดของเธอ
    จึงถามไปว่า
    "คุณพูดอะไรนะ คุณผู้หญิง" แคลร์เหลือบตาสีฟ้ามายังผม เธอพูดซ้ำประโยคเดิมว่า "เป็นเพราะ
    พระเยซูเจ้า ฉันจึงต้องมาพบบาทหลวงฟรานซิส ที่ฉันได้อุทิศชีวิตของฉันแก่ความยากไร้และการเสียสละ ก็มา
    จากพระเยซูเจ้า"
    มิชชันนารีคนที่มาด้วยมองเธอด้วยความอยากรู้ เขารู้ว่าเธอเห็นลูกสาวคนโตของ ดัชเซส ออฟเฟรดัคซีส์
    ซึ่งเป็นครอบครัวชั้นสูงและมีอำนาจมากที่สุดตระกูลหนึ่ง แต่ทว่าหญิงงามผู้นี้เป็นสตรีที่งามราวดอกไม้สวยที่สุด
    แห่งตระกูลออฟเฟรดัคซีส์ ที่ต้องการจะทิ้งความหรูหราเลิศเลอจากบ้านพ่อของเธอ โดยการก้าวสู่บาทวิถีแห่ง
    พระเยซู เขาสังเกตความหรูหราของเสื้อผ้าที่ฉลุลายลูกไม้งามจับตาแล้วถามว่า
    "แล้วครอบครัวของคุณผู้หญิง
    ว่ายังไงบ้างในเรื่องที่คุณได้ตัดสินใจลงไป"เธอตอบอย่างอ่อนโยน โดยมองมาที่หน้าผมตลอดเวลาว่า "ฉันยัง
    ไม่ได้บอกพ่อแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยฉันต้องการให้บาทหลาวฟรานซิสช่วยตัดสินชะตาชีวิตของฉัน ฉันกระทำ
    ทุกอย่างที่ท่านแนะนำ


    จิตของผมเริ่มปั่นป่วน ทำไมผมต้องตัดสินใจอะไรที่ยากลกบากเช่นนี้ ทำไม่ความรับผิดชอบที่ยากแสนเข็ญ
    ต้องมาตกที่ผมเพียงคนเดียว


    แคล์ยังกล่าวซ้ำเหมือนเดิมโดยละมือที่จับผม "เป็นเพราะพระเยซูเจ้า"

    ทันไดนั้นเอง ผมรู้สึกเหมือนสะดุ้งตื่น ความทรงจำเกี่ยวกับโบสถ์และไม้กางเขนที่มีสายตาจับจ้องและเสียงของ
    พระเยซูที่บอกให้ผมบูรณะโบสถ์นั้นได้เข้ามาโนใจผมอย่างรวดเร็ว


    การที่ผมต้องมีชีวิตเพื่อการเสียสละและการพลัดพรากจากกันนั้นคงเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งนี้เป็นการ
    แสดงความรักต่อพระองค์และรำลึกถึงความทรงจำต่อการเสียสละ และคำสอนของท่านที่ว่าผมต้องทนทุกข์กับ
    การพลัดพรากที่แสนขมขื่น หน้าที่ของผมบนโลกนี้ก็คือ ผสมผสานคำสอนของพระพุทธเจ้าและพระเยซูเข้า
    ด้วยกันคำสอนของตัวผมเองก็คือ มีชีวิตเพื่อความยากไร้และการเสียสละตลอดไป เฉกเช่นกับชีวิตของศาสดา
    ผู้ยิ่งใหญ่ 2 พระองค์ นับเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องเตือนให้มนุษย์รู้ว่า ทั้งมนุษย์และสัตว์ต่างๆมีความเสมอภาค
    โดยเห็นว่าจักวาลนั้นคือวิญญาณของเรา แต่โลกมนุษย์ล้วนแต่เป็นภาพลวงตา เพื่อที่จะแสดงให้มนุษย์ชาติเห็น
    ว่าร่างกายของมนุษย์นั้นไม่เที่ยง นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ผมต้องปฏิเสธโลกียสุขทั้งปวง รวมทั้งความรักนตัวเวอร์ดิกริส
    เพื่อไม่ให้ชาวโลกถือเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ผมอย่างแสดงให้เห็นมากกว่าว่าร่างกายและสรรพสิ่งใดๆ บนโลก
    มนุษย์ล้วนแต่อนิจจัง และต้องการบอกว่ามีเพียงวิญญาณเท่านั้นที่จะอยู่คงทนตราบชั่วนิรันด์ การชำระบาปบน
    โลกได้ถูกกำหนดไว้อย่างง่ายๆ แต่เป็นคำสอนที่ลึกซึ้ง ผมรู้ถึงความสำคัญในภาระหน้าที่และความจำเป็นที่ผม
    ต้องพลัดพรากจากเวอร์ดิกริส การเสียสละชีวิตบนโลกมนุษย์นั้นมีความหมายอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับชีวิต
    อันเป็นนิรันด์ของวิญญาณ

    ผมมองไปที่แคลร์แห่งอาซัสซีแล้วกล่าวว่า "เพื่อพระเยซูเจ้าถ้าคุณเต็มใจ ผมจะบอกถึงวิธีที่คุณจะรับใช้พระเจ้าและองค์พระเยซู"

    รอยยิ้มที่ชวนหลงใหลฉายประกายบนใบหน้าที่งดงามของเธอ
    เธอตอบว่า
    "ดิฉันเต็มใจ" นัยน์ตาของเธอบ่งบอกผมว่า เธอเข้าใจกานตัดสินใจยองผมแล้ว

    กลางดึกสงัด แคลร์ได้ออกจากบ้านโดยไม่มีใครรู้ และเตรียมที่จะมาหาผมและเหล่ามิชชันนารีที่โบสถ์ เซิร์ช
    ออฟ แองเจิล เธอได้กล่าวสาบานว่า จะรับใช้พระเยซูต่อหน้าแท่นบูชาและเหล่านักบวชทั้งหลาย แล้วเธอก็ได้
    เปลี่ยนชุดที่สวยหรูไปเป็นชุดผ้าป่านและรองเท้าแตะ ซึ่งจะเป็นเพียงเครื่องแต่งกายของเธอเท่านั้นเธอไม่เคย
    กลับไปหาบิดาที่คฤหาสน์อีกเลย แต่ใช้เวลาที่เหลือในชีวิตกับความยากไร้เพียงอย่างเดียว แต่แคลร์แห่งอาซัสชี
    จะเป็นบุคคลที่โลกจดจำเสมอเหมือนเป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์สุดที่เคยอาศัยอยูบนดาวเคราะห์ดวงที่ 3 แห่งระบบ
    สุริยจักวาล


    ในช่วง 15 ปีต่อมา ผมได้นำสายธารแห่งความศรัทธาไปยังทุกหนทุกแแห่งที่ผมไปเยือน คณะมิชชันนารีกลุ่ม
    ย่อยได้ขยายแพร่หลายเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่เพราะในดินอันอุดมสมบูรณ์ โดยเผยแพร่ด้วยแนวทางแบบอย่าง
    ความรักของพระเยซู และคุณธรรมความดีของชีวิตสมถะที่แพร่หลายไปทั้งทั้ง 4 มุมโลก แม้ว่าเราจะมีกฎบังคับ
    สำคัญข้อหนึ่งนั้นก็คือ ปฏิเสธความสุขทางโลก และการขออาหารและความช่วยเหลือนั้น แต่ก็ยังมีชายหนุ่มนับ
    พันได้เข้ามาเป็นแนวร่วมจากทุกชนชั้นสังคม


    การอุทิศตนให้คำสอนของพระเยซูเพิ่มมากขึ้นตามจำนวนปีที่เปลี่ยนไป ความสมถะที่สูงส่งและการยอมรับใน
    เจตจำนงของพระเจ้า เป็นบทเรียนชีวิตที่มีค่าซึ่งผมได้เรียนรู้ในโลก และไม่ว่าชีวิตบนโลกของเราจะยาวนาน
    เพียงใด ชีวิตก็เป็นแค่กรวดทรายหากเปรียบเทียบกับความเป็นอมตะแห่งวิญญาณ นี่คือเหตุผลว่าทำไม่พระเยซู
    ทนต่อการยั่วยุที่รุมเร้าเช่นนั้นได้ พระองค์รู้ว่าสิ่งยั่วยุจะเกิดเพียงชั่วชณะ และความเจ็บปวดก็เป็นภาพลวงตาที่
    เหมือนกับความสุขความพอใจ พระองค์ทรงควบคุมตัวเองเหนือสิ่งเหล่านี้ได้โดยควบคุมวิถีชีวิตในโลกโลกียสุข
    สิ่งปาฏิหารย์ที่พระองค์ทรงกระทำนั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะพระองค์เข้าใจในจักรวาลกฏเกณฑ์

    ทันทีที่ผมเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ ผมได้เก็บตัวเพื่อเรียนรู้เรื่องธรรมชาติ ผมคิดว่าพระอาทิตย์และพระจันทร์ โลก
    และท้องฟ้าแม่น้ำและท้องทะเล ล้วนเป็นสิ่งที่แสดงถึงการสรรสร้างของพระเจ้าธรรมชาติเหล่านี้ล้วนเป็นพี่เป็น
    น้องของผม เพราะโลกของเราเป็นส่วนหนึ่งของพลังเอกภาพแและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อผมได้คิด
    ถึงแนวคิดเรื่องความเป็นเองภาพของจักรวาลนั้น ผมสามารถแสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่พระเยซูทรงกระ
    ทำเช่นกัน พระองค์ทรงกำหนดวิญญาณของผม โดยมือและเท้าของผมเริ่มมีรอยแผลเป็นจากการที่พระองค์
    ได้ถูกทรมารอย่างแสนสาหัส


    สำหรับในบรรดามิชชันนารี รอยบาดแผลถือเป็นสัญสักษณ์แห่่งการหลุดพ้นจากบาป แต่ความจริงแล้ว รอยบาด
    แผลเหล่านี้ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเครื่องหมายแสดงตัวผมที่พระเยซูได้ประทานมา


    ชีวิตบนโลกมนุษย์ของผมที่ได้เกิดเป็นพรานซิสแห่งอาซัสซีนั้นเป็นชีวิตที่มีความสมบูรณ์ที่สุด เวอร์ดิกริสเป็น
    วิญญาณที่อยู่กับตัวผมตลอดเวลา แม้ว่าตอนนี้ร่างกายเราจะแยกออกจากกันก็ตาม


    แล้วชีวิตของผมก็คือกาลสิ้นสุดโดยไม่คาดฝันมาก่อน ราวกับลมที่พัดเปลวเทียนดับ ในที่สุดเมื่อผมได้ปลดปล่อย
    ความทุกข์ที่เคยแบกไว้ ผมได้กล่าวขอบคุณต่อพระเจ้าสำหรับของขวัญชิ้นสุดท้ายในชีวิตและชีวิตอันเป็นนิรันดร์
    ที่ใกล้จะมาถึง ผมขอร้องบรรดามิชชันนารีพาผมไปที่สำนักชีอของแคลร์ ด้วยความสุขที่แสนสงบเมื่อผมและแคลร์
    เจอหน้ากัน นัยน์ตาเธอเปล่งประกายสดใส แล้เธอก็กอดผมด้วยความรักอันเป็นนิรันด์ที่ยิ่งใหญ่ วิญญาณของผม
    กระซิบว่า "เราชนะแล้ว" เธอเองได้ตอบว่า "แต่องค์พระเยซูเจ้า"
     
  18. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    ตอนที่ 10 สองร่างหนึ่งใจ ( จบ )

    ความคิดเรื่องเวลาไม่ได้สลักสำคัญอะไร เมื่อเปรียบเทียบกับความเป็นอมตะของวิญญาณแม้ว่าผมได้จากโลก
    มนุษย์มาก่อนเวอร์ดิกริส 27 ปี เราก็มาถึงพร้อมกับเจเรไมและโจแอ็บ ความสุขที่ฉายแสงจากร่างของทูตที่รัก
    เคารพนั้นดูเจิดจ้ามากกว่าแสงของตัวเราซะอีก


    เจเรไมกล่าวว่า "นานเท่าไหร่แล้วที่คุณต้องเฝ้าคอยและคุณต้องเกิดกี่ชาติ กว่าที่พวกคุณจะสามารถพบกันได้
    ณ ประตูแห่งความเป็นอมตะนิรันดร์"


    ผมกล่าวออกไปขณะที่วิญญาณเปี่ยมด้วยความสุขสงบว่า "ผมเข้าใจแล้วว่าตอนนี้การรอคอยเป็นสิ่งจำเป็นยังมี
    อะไรอีกมากมายที่ผมต้องเรียนรู้ และผมต้องชำระบาปให้อีกหลายเรื่องก่อนที่ผมจะได้พบสัจธรรม"


    โจแอ็บกล่าวขณะที่เปลวรัศมีส่องสว่างอย่างนวลตาว่า "สัจธรรมคืออะไร"

    ผมตอบไปว่า "การรวมวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวที่เป็นที่สุดของทุกสิ่ง จะมีเพียงสัจธรรมเพียงอันเดียวเท่านั้น แต่ยังมีสภาพที่ไร้กาลเวลาอยู่"
    เจเรไมตอบว่า "คุณรู้รึเปล่าว่าตัวคุณเป็นใคร"
    ผมตอบว่า "ผมเป็นวิญญาณแห่งห้วงจักรวาล เป็นหน่วยอะตอมที่มาจากสรรสิ่งที่สร้างขึ้นมา"
    โจแอ็บตอบว่า "แล้วเวอร์ดิกริสล่ะคือใคร"
    ผมตอบว่า "ตัวผมเองนี่ไงคือเวอร์ดิกริส"
    ทูตคนเดิมกล่าวว่า "ในช่วงเวลาแห่งความสุข เวอร์ดิกริสไปอยู่ที่ไหนล่ะ"
    ผมตอบว่า "เธอจะสถิตอยู่ในกายผมตลอดเวลาตลอดไป แต่ผมได้อาศัยอยู่ในร่าง ผมจึงมองไม่เห็นเธอ ต้องเป็น
    ที่เมืองอาซัสซีที่สุดท้ายที่จำเธอได้ แต่ก่อนที่จะเจอกัน เวอร์ดิกริสต้องพลัดพรากจากผมตั้งแต่แรกเลย แต่การ
    พลัดพรากจากกันเท่านั้นที่ผมสามารถได้เจอเธอได้"

    ทูตทั้ง 2 คนกล่าวว่า "ในที่สุดคุณก็บังเกิดความรู้แจ้งแล้วและคุณ 2 คนก็รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน"

    ผมเห็นตัวเองอยู่ในวงรัศมีขนาดใหญ่ที่เกิดจากรุ้งหลากสีที่งดงามจรัสตา โดยตัวผมถูกกลืนในแสงพร่าของแสงสี
    ขาวเจิดจ้าผมรู้สึกว่าตัวเองถูกดูดไปอยู่ตรงกลางแสงแห่งจักรวาล วิญญาณของผมได้แผ่กว้างไปในลำแสงแห่ง
    ความรักที่ไม่อาจบอกได้ และพร้อมกันนั้นผมได้ยึดติดกับแกนกลางของอะตอมอันเป็นจุดที่ตั้งแห่งจักรวาล จาก
    ชั่วพริบตาที่น่ามหัศจรรย์ใจ ผมรู้สึกว่าเวอร์ดิกริสได้สั่นระริกอยู่ในกายผม ก่อนที่วิญญาณของเราจะหลอมกันเป็น
    อมตะนิรันดร์ความสุขที่เปี่ยมล้นเป็นนิรันดร์นั้นทำให้ชีวิตของผมเป็นอมตะ


    วิญญาณอันบริสุทธิ์ของผมได้ทะยานไปยังใจกลางของจักรวาลอย่างรวดเร็ว เพื่อรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า
    อันเป็นบ่อเกิดแห่งสรรพสิ่งทั้งปวงที่ปรากฏอยู่ แสงแห่งจักรวาลที่เจิดจ้าสว่างกว่าดวงอาทิตย์นับล้านดวงได้สาด
    ส่องจักรวาล จนสว่างไสวพวยพุ่งไปด้วยแสงรังสีแกมมาที่ไกลจนสุดตา รวมทั้งทำให้สาดส่องสิ่งต่างๆ ที่เราเอง
    ยังไม่รู้จักบนโลก แสงนี้สว่างเกินกว่าที่ตาของมนุษย์จะมองเห็นตรงกลางแสงจักรวาล โดยภายในวงกลมที่มี
    เปลวไฟสว่างไสวนั้น จะมีเหล่าวิญญาณประเสริฐบริสุทธิ์ที่สุดอาศัยอยู่โดยเป็นผู้ที่มีความสุขจากความรักและ
    ความเสียสละที่จะได้รับอยู่ตลอดกาล โดยจะเป็นแสงแห่งพระเจ้า ในบรรดาวิญญาณเหล่านั้น ผมจำวิญญาณที่
    สิ่งประกายของพระพุทธเจ้าและแสงอันวิเศษของพระเยซู


    ในขณะที่ผมมาถึง ณ สถานที่สวยงามบนสวรรค์ วิญญาณของผมก็ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณเหล่า
    นี้ด้วยความสุขตลอดกาล ผมรู้อย่างแน่ชัดตอนที่ตนเองปรากฏอยู่ในแสงว่า แสงนี้คือพระเจ้าที่ต้องรับผมด้วยความ
    อ่อนโยนอันไร้ขีดจำกัด ผมไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกที่บอกไม่ถูกนี้ได้อย่างไร


    โจแอ็บกระซิบบอกกับวิญญาณผมว่า "เคอร์คูเดียน ในที่สุดคุณได้เจอความสุขแล้วใช่มั้ย"
    ผมตอบว่า "เป็นความสุขที่เป็นอมตะนิรันดร์"
    "งั้นเคอร์คูเดียนคุณมากับผม คุณจะได้เห็นภพภูมิอื่นๆ ที่ไม่เคยมีความสุขเช่นนี้ปรากฏเลย"

    ผมลงไปยังภพภูมิในโลกวิญญาณอย่างรวดเร็ว เราได้เดินทางห่างจากความสุขอันเป็นนิรันดร์ซึ่งอยู่เบื้องหลังที่
    พระพุทธเจ้าเรียกว่านิพพาน แสงพระเจ้าได้เริ่มจางหายไปจากตัวเรา และเลือนสลายกระจายเป็นสีต่างๆนับพัน
    สีที่ผมเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อพวกเราเดินทางลงต่อไป ผมเห็นภพภูมิแต่ละแห่งแตกต่างกัน อย่างเช่นผู้คน
    ที่อาศัยอยู่ภพภูมิของวิญญาณที่มีการพัฒนา แต่ยังไม่สามารถรวมวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้ พวกเขา
    จะมีการับรู้ทางสติปัญญาว่าตัวเองมีตัวตนเท่านั้น แต่ไม่รู้จักตัวตนของวิญญาณ


    ภพภูมิที่อยู่ต่ำลงไปจะเป็นที่อยู่ของเหล่าวิญญาณที่ทุกข์โศกซึ่งมีแต่ความรู้สึกที่รุนแรงและเกรี้ยวกราด แสงของ
    พระเจ้านั้นริบหรี่เกินกว่าที่จะเข้าไปสัมผัสกับเหล่าวิญญาณพวกนี้ได้ พวกเราได้ยินวิญญาณหลายคนร้องคร่ำครวญ
    อย่างเจ็บปวดทรมานและสิ้นหวังในดินแดนนรกมืดดำ ตัวผมเองรู้สึกทุกข์ใจอะไรเช่นนี้ เมื่อเห็นภาพการแตกสลาย
    ของวิญญาณที่น่าโศกสลด


    ผมถามโจแอ็บว่า "ทำไมคุณพาผมมาที่นี่หละ" ผมรู้สึกขนพองสยองเกล้า แล้วถามเป็นครั้งสุดท้ายว่า
    "ผมทนไม่ได้ที่จะเห็นภาพความหายนะเช่นนี้"

    โจแอ็บว่า "ก็เพราะว่าตัวคุณยังเป็นวิญญาณที่อายุน้อยอยู่คุณเองไม่เคยรวมวิญญาณตัวเองให้เป็นหนึ่งเดียวกับ
    พระเจ้า เราได้พาคุณไปยังแสงแห่งพระเจ้า เพื่อให้คุณสัมผัสถึงการมีตัวตนของพระเจ้า และอยู่ในอ้อมอกแห่ง
    ความรักของพระเจ้า แสงแห่งพระเจ้าคือบ้านที่พำนักของคุณ เป็นสิ่งที่ตัวคุณเป็นอยู่ แต่นับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่คุณ
    ต้องเรียนรู้ที่จะใช้แสงแห่งพระเจ้าส่องสว่างวิญญาณในขุมนรกมืดดำ และนำพาพวกเขาที่กำลังค้นหาสัจธรรม
    อยู่ เมื่อไหร่ก็ตามถ้าคุณต้องการที่จะเพิ่มประกายแสงสว่าง หรืออยากจะรวมวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า
    คุณสามารถขึ้นไปหาพระเจ้าได้แต่คุณต้องกลับมาทำหน้าที่ของคุณต่อไป นี่คือจุดมุ่งหมายหลักของวิญญาณที่มี
    การพัฒนาตนเองแล้ว และสิ่งนี้จะเป็นเป้าหมายต่อไปจนกว่าการรวมวิญญาณกับพระเจ้าจะสำเร็จลุล่วงได้"


    ผมกระวีกระวาดถามว่า "ผมจะช่วยได้ยังไงครับ"
    "คุณอาจจะเป็นครู แนะนำใครก็ตามที่คุณต้องการ ให้ความหวังแก่วิญญาณที่รู้สึกสิ้นหวังและให้แรงบันดาลใจ
    แก่วิญญาณที่กำลังค้นหาไขว่ค้าหนทางอยู่"

    ผมถามว่า "ที่นรกนี่นะหรือ"
    โจแอ็บตอบว่า "จะเป็นทีนรก หรือที่ไหนก็ได้ตามใจคุณ คุณสามารถที่จะทำหน้าที่ของคุณ ณ ที่ใดก็ได้บนจักรวาล
    แห่งนี้เพียงถ้าคุณต้องการ คุณก็อาจจะเป็นทูตวิญญาณให้แก่ดาวดวงใหนก็ได้ที่คุณเคยอาศัยอยู่ หรือคุณเอง
    สามารถไปยังที่คุณไม่เคยไปมาก่อนก็ได้ ตัวคุณเองจะเป็นคนตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา"

    ผมกล่าวอย่างลังเลว่า "ถ้าผมจะทำละก็ ผมขอเลือกโลกมนุษย์ดีกว่า ผมเคยทุกข์ทรมานบนโลกมนุษย์มาก่อน
    และโลกมนุษย์นี่เองที่ทำให้ผมได้ค้นพบตัวเอง"

    โจแอ็บตอบว่า "โลกมนุษย์เป็นสถานที่สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัส ความเปลี่ยนแปลงในโลกแสนจะรวดเร็ว
    และมีอันตรายคุณเองสามารถสร้างความดีได้มากทีเดียว บางทีคุณอาจจะเป็นทูตแห่งความโศกเศร้าก็ได้นะ
    เพราะตัวคุณประสบกับความทุกข์ทรมานมามากมาย จากที่คุณเคยเจ็บปวด คุณสามารถให้ความหวัง และการ
    ปลอบประโลมแก่มนุษย์ คุณอยากจะทำหน้าที่อันนี้หรือเปล่า"

    ผมตอบทันควันว่า "ไม่ ความทุกข์โศกไม่ได้เป็นมิตรที่ดีแก่ผมเลย ผมไม่อยากจะนำความทุกข์โศกไปให้ใครเลย"
    โจแอ็บกล่าวอย่างจริงจังว่า "ความทุกข์โศกเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาวิญญาณ คุณไม่อาจเพิกเฉย และปฏิเสธสิ่งนี้ไปได้"
    ผมสวนตอบไปว่า "ผมไม่ได้ตั้งใจทีจะปฏิเสธความทุกข์โศกแต่คุณพูดเองไม่ใช่หรือว่าผมมีอิสระที่จะเลือก"
    โจแอ็บกล่าวอย่างสุภาพว่า "ใช่ คุณมีสิทธิ์ ยังมีสิ่งอื่นอีกหรือที่คุณจะทำ งั้นเป็นทูตแห่งแรงบรรดาลใจเป็นไง"
    ผมครุ่นคิดแล้วตอบว่า "แรงบันดาลใจ ใช่แล้ว จะเป็นภาพกิจที่วิเศษสุด ผมจะช่วยมนุษย์ชาติโดยเป็นแรงบรรดาล
    ใจให้พวกเขาให้ฟื้นตื่นจากความอ่อนแอและอุปสรรคทั้งปวง รวมทั้งชี้นำให้พวกเขาก้าวไปสู่หนทางแห่งพระเจ้า"

    โจแอ็บกล่าวว่า "งั้นก็ตกลงตามนี้ จากนี้จงไปปฏิบัติภารกิจบนโลกมนุษย์ จะไม่มีใครบอกคุณว่าใครคนไหน
    ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ คุณจะต้องตัดสินใจเอง"

    เขาเตือนว่า "แต่ต้องตัดสินใจดีๆ นะ และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม เพื่อว่ามวลมนุษย์จะได้พัฒนาตนเองไปหาพระเจ้าอย่างรวดเร็ว"

    วันเวลาผ่านไปหลายปี นับจากที่ผมเริ่มปฏิบัติหน้าที่บนโลกมนุษย์ ผมเคยบอคุณแล้วเกี่ยวกับเรื่องราวครั้งแรก
    ที่ผมได้กลายมาเป็นสื่อแรงบันดาลใจให้แก่นักเต้นบัลเลย์ที่ชื่อ แอนนาพาวโลว่ หลังจากที่ผมได้ปฏิบัติหน้าที่ต่อ
    เธอเสร็จสิ้นลงแล้ว ผมก็ได้ทำหน้าที่แก่คนอื่นๆ โดยช่วยให้ความฝันเป็นจริง และช่วยพัฒนาจิตวิญญาณคนเหล่า
    นี้จำนวนหนึ่งมีจิตวิญญาณที่สูงส่ง แต่คนอื่นๆยังเป็นมือใหม่ในเรื่องการพัฒนาวิญญาณอยู่ แต่ผมก็ให้ความ
    ศรัทธาและความอุตสาหะที่พวกเขาต้องการ เพื่อความสำเร็จของจุดมุ่งหมายของพวกเขา ผมได้ชี้นำวิญญาณที่
    ต่ำต้อยที่สุดซึ่งเป็นขอทาน โดยช่วยแก้ปัญญหาให้รอดพ้นจากสถานการณ์ที่เลวร้ายได้ ผมให้กำลังใจสนับสนุน
    อยู่เสมอ ทำให้เขาเกิดความมุมานะกลับไปสู่สังคมมนุษย์เดินดินได้ และกลายมาเป็นครูบาอาจารย์อันเป็นที่รัก
    เคารพอย่างยิ่ง แต่ที่สำคัญที่สุดชายคนนี้ได้พัฒนาตนเองด้วยทัศนะที่ลึกซึ้งและสัมผัสกับพระผู้เป็นเจ้า ในเหล่า
    บรรดาวิญญาณอันสูงส่งนั้นมีวิญญาณของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ที่ผมเคยช่วยเขาคลามปมปัญหาเรื่องความลึกลับ
    แห่งพระเจ้า รวมทั้งทนายความของศาสนา ฮินดู มหาตมะ คานธี ที่ผมเคยสอนเขาไว้ว่า พระเจ้าเสมอเหมือน
    สัจธรรม และพระองค์ก็ทรงเป็นสัจธรรมอันนี้ คานธีได้เผยแพร่คำสอนแก่มวลมนุษย์ ซึ่งเกิดความศรัทธาและ
    การพัฒนาจิตวิญญาณของมนุษย์ในเวลาต่อมาคุณธรรมสองสิ่งนี้ง่ายที่จะเป็นแรงบันดาลใจ เพราะว่าทั้งสองคน
    นี้เป็นวิญญาณที่มีความศรัธธาและความเมตตาอันสูงส่ง


    ผมยังคงอยู่ที่นี่ตั้งแต่เทือกเขาหิมาลัยจนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทั้งในละติจูดเหนือและใต้ รวมทั้งลองติจูดตะวันออก
    และตะวันตกของโลก วิญญาณอันบริสุทธิ์ของผมยังคงแผ่ไกลเหมือนเสื้อคลุมที่ปกคลุมทั้งความกว้างยาวของ
    โลกมนุษย์ ถ้าคุณต้องการผมขอให้เรียกชื่อผม ผมจะอยู่ที่นี่เพื่อชี้นำทางให้คุณ ความสว่างไสวทางปัญญาของผม
    จะช่วยจรรโลงวิญญาณของคุณให้สดใสสว่าง ไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็ตามที่คุณรู้สึกสงสัยเคลือบแคลง และต้องการคำแนะนำ
    ขอแต่เพียงอย่าลืมชื่อของผม
    ผมชื่อ เคอร์คูเดียน
     
  19. ดาวจรัสแสง

    ดาวจรัสแสง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    542
    ค่าพลัง:
    +3,015
    ขอขอบพระคุณคุณ su_ra เป็นอย่างยิ่งค่ะที่ได้พิมพ์จนจบ...ขอถามหน่อยได้ไหมคะ? มีประโยคนี้ที่ magic_me? แอบโง่ออกสื่ออ่ะค่ะ.... ผมลงไปยังภพภูมิในโลกวิญญาณอย่างรวดเร็ว เราได้เดินทางห่างจากความสุขอันเป็นนิรันดร์ซึ่งอยู่เบื้องหลังที่
    พระพุทธเจ้าเรียกว่านิพพาน แสงพระเจ้าได้เริ่มจางหายไปจากตัวเรา.......เขาหมายความว่าความสุขอันเป็นนิรันดร์คือนิพพานใช่ไหมคะ? ทำไมเขาพูดอยู่เบื้องหลังนิพพาน? แฮ่ะๆ ยอมรับว่าไม่เก็ทจนหมดค่ะ...

    อ่านถึงบรรทัดสุดท้ายที่ท่านเคอร์คูเดี้ยนบอกให้เอ่ยถึงชื่อท่าน น้ำตาไหล ขนลุกซู่ซะงั้น..คุณ su_ra เคยเจอท่านไหมคะ? ประทับใจมากค่ะ อะเมซิ่งสุดๆ

    มีเรื่องต่อไปไหมคะ? ถ้ามีจะรออ่านค่ะ

    อนุโมทนาสาธุในการเผยแพร่ค่ะ
     
  20. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    906
    ค่าพลัง:
    +3,887
    ขอขอบคุณคุณsu_raมากที่นำบทประพันธ์ที่งดงามในจิตวิญญานมาถ่ายทอด
    ขออนุญาติแสดงความเห็นที่เป็นความจริงในกระทู้ของท่านดังต่อไปนี้ว่า
    - สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพุทธศาสนาเพื่อดับทุกข์ของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ด้วยเพราะทรงค้นพบอริยสัจจ์4และอริยมรรคมีองค์8
    - ในพุทธศาสนาเถรวาท วิญญาณที่คนทั้งหลายคิดว่ามีตัวตนเดินไปเดินมาอยู่ซ้อนร่างกาย ตายไปก็เป็นตัวเรานี้ไม่มีจริง เป็นอนัตตา ขันธ์5คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วนไม่มีตัวตนเป็นกระบวนการของรูปและนาม
    -จิตก็เช่นกัน ในพุทธเถรวาท จิตก็เกิด-ดับตลอดเวลา หาได้มีความถาวรไม่
    ขอท่านทั้งหลายที่เข้ามาอ่านกระทู้ศึกษารายละเอียดของพุทธศาสนาที่แท้จริงต่อไปตามอ้ชฌาสัยครับ
    ขอขอบพระคุณ
    กายยังถาวรกว่าจิต

    ปัญหา คนส่วนมากเข้าใจว่า ในคนเรามิจิต ซึ่งมั่นคงถาวรไม่รู้จักตาย แม้ร่ายกายตายไปแล้ว จิตก็ยังอยู่ ดังนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไรในเรื่องนี้ ?

    พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนมิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอาร่างกาย อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต ๔ นี้ โดยความเป็นต้น ยังชอบกว่า แต่ถ้าจะเข้าไปยึดถือจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไรเพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปีบ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ แต่ธรรมชาติที่เรียกว่าจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้างนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและในกลางวัน
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่ จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป แม้ฉันใดธรรมชาติที่เรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้างนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวันก็ฉันนั้นแล ฯ”
    อัสสุตวตาสูตรที่ ๑ นิ. สํ. (๒๓๑-๒๓๒)
    ตบ. ๑๖ : ๑๑๔-๑๑๕ ตท. ๑๖ : ๑๐๔-๑๐๕
    ตอ. K.S. II : ๖๕-๖๖
     

แชร์หน้านี้

Loading...