ไม่คาดหวังก็ไม่ทุกข์

ในห้อง 'ทุกข์และปัญหาชีวิต' ตั้งกระทู้โดย bluebaby2, 19 เมษายน 2011.

  1. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    การที่เราความคาดหวังกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตนั้นทางพุทธศาสนานั้นเรียก
    อุปาทาน ตามวงจรปฏิจจสมุปบาทอุปาทานหรือความยึดมั่นถือมั่นนั้น
    เกิดจากตัณหา ตัณหา มี กามตัณหา หรือความต้องการทาง ตา หู
    จมูก ลิ้น กาย ใจ ภวตัณหา ความอยากมีอยากเป็น และวิภวตัณหา
    ความไม่อยากมีไม่อยากเป็น หรือยกตัวอย่างง่ายๆ คุณไม่ชอบการ
    ปฏิเสธ นี่คือตัณหา แล้วคุณก็มีความคาดหวังกับสิ่งต่างๆ เพื่อไม่อยาก
    ถูกปฏิเสธ โดยคุณคาดหวังว่าคนบางคนจะไม่ปฏิเสธเรา คนบางคนจะ
    ปฏิเสธเรา และคนบางคนที่เราไม่สนใจ ตรงนี้แหละที่ตัวตนมันเข้ามา
    เพราะมันเป็นตัวเราที่คิดว่า เราต้องพยายามไม่ให้โดนปฏิเสธ ก่อน
    หน้านี้มันไม่มีความรู้สึกที่เป็นตัวเราอยู่เลยจนกระทั่งถึงขั้นนี้ ดังนั้นการ
    ไม่มีตัวเราของเรามันก็คือการไม่คาดหวังนั่นแหละครับ
     
  2. พุทธิวัฒน์

    พุทธิวัฒน์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +18
    อย่างนี้ถ้าผมต้องการที่จะไม่ทุกข์จริงๆ ผมต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกเลยใช่มั้ยครับ ถ้าผมตัดทุกอย่างให้ออกไปได้ในจิตใจ คนอื่นก็จะมองผมว่าไม่ปกติอยู่ดี ทุกวันนี้ผมก็มีเรื่องอย่างนี้อยู่ ผมควรทำอย่างไรดีครับ
     
  3. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    ครับผมอยากจะบอกว่าความทุกข์ทั้งหลายนั้นเกิดจากความรู้สึกว่าเป็น
    ตัวเราทั้งหมดเลยครับดังนั้นเมื่อคุณมีความทุกข์แสดงว่ามันมีความ
    รู้สึกว่าเป็นตัวเราอยู่ที่ไหนซักแห่ง ดังนั้นจะเป็นการดีที่เราจะมองเรื่อง
    ตัวเราลึกไปหน่อย ความรู้สึกว่าเป็นตัวเรามันไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลา
    หรอกครับ มันเกิด-ดับ อย่างเช่นคุณเห็นรถสวยๆ คันหนึ่งการคิดถึงรถ
    เวลาที่คุณนั่งขับรถคันนั้นมันทำให้คุณรู้สึกมีความสุข จนมีความรู้สึกว่า
    อยากได้รถคันนั้น ตรงถึงขั้นนี้มันก็ยังไม่มีความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา เมื่อ
    คุณอยากได้และมีความคาดหวังกับมันตอนนี้เป็นตอนที่ความรู้สึกว่า
    เป็นตัวเรามันเข้ามา มันมีความรู้สึกว่า เราอยากได้รถคันนั้น แล้วถ้า
    คุณไม่ได้มันมาคุณจะมีความทุกข์มาก ดังนั้นถ้าผมจะบอกว่าความ
    คาดหวังต่อสิ่งต่างๆ นั่นทำให้เกิดความทุกข์ก็คงจะได้ เป็นเพราะคุณ
    ไม่อยากถูกปฏิเสธคุณจึงสร้างความคาดหวังต่อบุคคลอื่นไว้ 3 แบบ
    แบบแรกคือคนที่จะไม่ปฏิเสธคุณ จะดีกับคุณไม่ว่าสถานการณ์ไหน
    แบบที่สองคือคนที่จะร้ายกับคุณไม่ว่าคุณจะทำอย่างไรเขาก็จะร้ายกับ
    คุณ แบบที่สามคือคนที่คุณหวังว่าเขาจะไม่มายุ่งยากอะไรกับคุณมาก
    การที่คุณแบ่งกลุ่มคนออกอย่างนี้เพราะคุณกลัวการปฏิเสธ คุณรู้ว่ามัน
    มีคนบางประเภทที่จะไม่ปฏิเสธคุณ คุณก็อยากจะใกล้คนพวกนี่ และ
    คุณรู้ว่ามันมีคนบางประเภทที่จะปฏิเสธคุณแน่นอนคุณอยากจะหนีจาก
    คนกลุ่มนี้ให้ไกลที่สุด แต่คุณเห็นไหมครับว่าถ้าเราคิดอย่างนี้มันต้อง
    ทุกข์แน่นอนเพราะความคิดความเห็นคนมันไม่เที่ยง คนที่เคยดีกับเรา
    อาจจะกลายเป็นศตรูกับเราในเวลาแป๊บเดียวก็ได้ คนที่คาดหวังว่าจะ
    ไม่มายุ่งยากอะไรกับเรา เขาอาจจะมายุ่งกับเรามากมายก็ได้ เมื่อคน
    อื่นไม่เป็นดั่งที่เราคาดหวังมันทำให้เราทุกข์ และเขาก็เป็นดังใจเราไม่
    ได้เพราะความคิดความเห็นคนนั้นไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ที่นี้
    คุณถามว่าถ้าคุณต้องการที่จะไม่ทุกข์คุณต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนภาย
    นอกหรือเปล่า ไม่ใช่ครับถ้าคุณต้องการที่จะไม่ทุกข์จริงๆ คุณต้องไม่มี
    ความรู้สึกว่าเราไม่ต้องการที่จะไม่ทุกข์ โดยการเลิกคาดหวังกับคนอื่น
    เตือนตัวเองตลอดเวลาว่าอย่าคาดหวังกับคนอื่น ความคิดความเห็น
    คนนั้นไม่เที่ยงเป็นไปตามใจเราไม่ได้ เราอยู่ในโลกที่แม้เราจะไม่ยุ่ง
    เกี่ยวกับคนอื่น ก็จะมีคนอื่นมารบกวนหรือทำอะไรเราก็ได้นะครับ ดู
    อย่างเรื่องพระปุณณะสิครับ

    พระปุณณะเดิมเป็นชาวสุนาปรันตะไปค้าขายที่เมืองสาวัตถี ได้ฟังเทศน์
    จากพระพุทธเจ้าแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงออกบวช ครั้นบวชแล้ว
    การทำสมาธิภาวนาไม่ได้ผล เพราะไม่คุ้นกับสถานที่ ท่านคิดว่าภูมิ
    อากาศที่บ้านเดิมของท่านเหมาะกับตัวท่านมากกว่า จึงทูลลาพระ
    พุทธเจ้า พระองค์จึงตรัสถามว่า ... .. .


    "เธอแน่ใจหรือปุณณะ คนชาวสุนาปรันตะนั้นดุร้ายมากนัก ทั้งหยาบ
    คายด้วย เธอจะทนไหวหรือ"

    "ไหวพระเจ้าข้า"
    "นี่ ปุณณะ ... ถ้าคนพวกนั้นเขาด่าเธอ เธอจะมีอุบายอย่างไร"
    "ข้าพระองค์ก็คิดว่า ถึงเขาจะด่า ก็ยังดีกว่าเขาตบต่อยด้วยมือพระเจ้า
    ข้า"
    "ถ้าเผื่อเขาต่อยเอาล่ะ ปุณณะ"
    "ก็ยังดีพระเจ้าข้า ดีกว่าเขาเอาก้อนดินขว้างเอา"
    "ก็ถ้าเขาเอาก้อนดินขว้างเอาล่ะ"
    "ข้าพระองค์ก็จะคิดว่า ก็ยังดีพระเจ้าข้า ดีกว่าเขาเอาไม้ตะพดตีเอา"
    "เออ ถ้าเผื่อเขาหวดด้วยตะพดล่ะ"
    "ก็ยังดีพระเจ้าข้า ดีกว่าถูกเขาแทงหรือฟันด้วยหอกดาบ"
    "เอาล่ะ.. ถ้าเผื่อคนพวกนั้นเขาจะฆ่าเธอด้วยหอกด้วยดาบล่ะ ปุณณะ"
    "ข้าพระองค์ก็คิดว่ามันก็เป็นการดีเหมือนกันพระเจ้าข้า"
    "ดีอย่างไร ปุณณะ"
    "ก็คนบางพวกที่คิดอยากตาย ยังต้องเสียเวลาเที่ยวแสวงหาอาวุธมาฆ่า
    ตัวเอง แต่ข้าพระองค์มีโชคดีกว่าคนพวกนั้น ไม่ต้องเสียเวลาไปเที่ยวหา
    อาวุธอย่างเขา"
    "ดีมาก ปุณณะ เธอคิดได้ดีมาก เป็นอันตกลง เราอนุญาตให้เธอไป
    พำนัก ทำความเพียรที่ตำบลสุนาปรันตะได้"

    พระปุณณะกลับไปเมืองสุนาปรันตะแล้ว ทำความเพียร ในไม่ช้าใจก็
    หยุดนิ่ง บรรลุธรรมไปตามลำดับจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

    คุณเห็นไหมครับว่าคนอื่นจะทำอะไรกับเราก็ได้ถ้าเราไม่คาดหวังกับเขาว่าเขาจะดีกับเรา ว่าเขาจะไม่ยุ่งยากกับเราอย่างไรเราก็ไม่ทุกข์
     
  4. ชญามณี

    ชญามณี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +29
    ก็คงต้องทำใจ หรือตัดใจ ว่างั้นเถอะ

    ทุกคนอยากจิตใจสงบ
    แต่ก็ปล่อยใจคิดฟุ้งซ่าน
    เมื่อปล่อยใจฟุ้งซ่านจนพล่านเกินระงับ
    จึง มาถามหาวิธีทำความสงบ
    อยากมีสมาธิ อยากมีความว่าง
    จากพายุความฟุ้งซ่าน


    คนเรารักสุข แต่สร้างเหตุแห่งทุกข์ (ดังตฤณ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 เมษายน 2011
  5. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287

    ครับจะว่างั้นก็ได้ แต่การทำใจหรือตัดใจนั้นมันต้องถึงระดับแทรกซึม
    อยู่ในสายเลือดเลยที่เดียว แล้วพร้อมใช้งานตลอดเวลา ทุกขณะเลยก็
    ว่าได้เพราะเราคาดหวังต่อคนอื่นหรือสิ่งอื่นตลอดเวลา อย่างเช่นเรา
    กำลังจะไปเที่ยวพักผ่อนแต่การเดินทางมีอุปสรรค ได้ที่พักไม่ดีบ้าง
    เราก็ทุกข์ หรือแม้แต่เดินเล่นอยู่ดีๆ ก็อาจจะมีคนมาผลักเรากระเด็นได้
    หรือคนที่ดีกับเรามาตลอดไม่เคยร้ายกับเราเลย อยู่ดีๆ เขากลับร้ายกับ
    เราได้ จากเหตุการณ์ที่ว่ามาถ้าไม่พร้อมใช้งานตลอดเวลาก็ทุกข์แน่
    นอนครับ หรืออาจจะบอกว่าทำใจตลอดเวลา พิจารณาความไม่เที่ยง
    ตลอดเวลา หรือจะเรียกอนิจสัญญาก็ได้
     
  6. ชญามณี

    ชญามณี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +29
    บนเส้นทางสู่สัจธรรม ปุถุชนที่ยังไม่บรรลุ
    ก็อาจจะต้องการกำลังใจ
    หรือที่พักใจ ระหว่างการเดินทางน่ะ
    ไปแล้วนะ
     
  7. โดเรมี่

    โดเรมี่ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +9
    MEE TOO "I LOVE YOU" ขำๆค่ะ อย่าซีเรียส ชีวิตช่วงนี้ชิว ชิว มากเลยค่ะ ทุกข์ทำไม? ในเมื่อคิดไปก็แค่นั้น เหมือนพายเรือวนในอ่าง คิดให้ตายสุดท้ายก็ว่างเปล่า โง่มานานแระ...
     
  8. พุทธิวัฒน์

    พุทธิวัฒน์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +18
    ผมคิดว่าการที่จะไม่ทุกข์ทุกชั่วขณะเป็นไปได้ยากถึงยากที่สุด ผมว่ามีพระอรหันต์เท่านั้นที่สามารถทำได้ เพราะว่าถ้าอยู่ในโลกภายนอกจริงๆ เราจะสามารถนับสิ่งที่มากระทบจิตใจได้มาเป็นร้อยเป็นพันครั้งต่อหนึ่งวัน สิ่งที่มากระทบจิตใจเรานั้นย่อมอาจจะทำให้เกิดทุกข์ได้ทั้งนั้นถ้าเราใส่ใจมัน ถ้าผมสามารถนั่งสมาธิได้ทั้งวันผมก็อาจจะตัดสิ่งเหล่านี้ได้โดยมาก แต่ในความเป็นจริงผมไม่สามารถทุกสิ่งที่เข้ามากระทบทั้งทางด้าน รูป รส กลิ่น เสียง กาย ใจ ได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นผมคิดว่ายังไงทุกคนก็ยังมีความทุกข์อยู่ดี ความสุขที่คนเราคิดขึ้นมาเป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นมา เหมือนเป็นกิเลส บางทีเราอยู่เฉยๆก็ทุกได้ เพราะมีสิ่งภายนอกผ่านเข้ามาทั้ง 6 ทาง แล้วเราไม่ได้พิจารณาก่อนก็สามารถทำให้ทุกข์ได้โดยไม่รู้ตัว ถ้าผมจะตัดทุกข์ให้หมดจริงๆคงต้องไปบวชเป็นพระและห่างไกลความเจริญนั้นกระมัง
     
  9. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    ครับการไม่ทุกข์เลยมีได้แต่พระอรหันต์เท่านั้น แต่การทำความทุกข์ที่
    มีให้ลดลงมากๆ ใครก็ทำได้นะครับ ถึงดับทุกข์ทั้งหมดไม่ได้ก็ดับ
    เกือบหมดได้นี่ครับ ถ้าสิ่งที่มากระทบเป็นหลักพัน อาจจะลดลงเหลือ
    หลักร้อยได้ ถ้ามากระทบหลักร้อยอาจจะลดเหลือหลักสิบได้ ดังนั้นถ้า
    ถ้าคุณไม่สามารถลดทุกข์ที่มากระทบได้หมดก็ลดลงเท่าที่ทำได้สิครับ
    และคุณก็จะยิ่งทำได้มากขึ้นเรื่อยๆ และการมีความสุขหรือการมีความ
    คิดกบวกก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากเลยนะครับ แม้จะเป็นสิ่งสมมติ
    เพราะคนเรามีความคิดลบมากมายจริงๆ และวิธีการที่รวดเร็วที่สุดที่จะ
    กำจัดความคิดลบพวกนั้นก็คือการคิดเชิงบวก การมีความสุขได้ตลอด
    ถึงจะเป็นสมมติก็มีประโยชน์ เพราะถ้าคนที่มีความคิดลบมากๆ จะมอง
    อะไรก็ไม่เห็นตามความเป็นจริงหรอกครับ เห็นมันแย่ไปหมด ต้องมี
    ความคิดที่เป็นบวกอย่างในสติปัฏฐานก็ยังมีข้อที่ว่าทำจิตให้ปราโมทย์
    ยิ่งอยู่ คือถ้าใจเรามันทุกข์มันจะพิจารณาธรรมไม่ได้ ความจริงแล้ว
    ธรรมชาติของจิตมันไม่ได้ทั้งสุขและทุกข์ แต่มันเป็นอะไรที่เรียกว่า
    เกษมมากกว่า ส่วนถ้าอยากดับทุกข์ให้เร็วคุณจะไปอยู่ห่างใกลความ
    เจริญมันก็ไม่มีประโยชน์กว่ากันหรอกครับ เพราะถ้ากลับมาอยู่ท่าม
    กลางความเจริญแล้วทุกข์ก็เรียกว่าทำทุกข์ให้หมดไปไม่ได้ ทำไมไม่
    ทำทุกข์ให้หมดระหว่างที่เราอยู่ท่ามกลางความเจริญล่ะครับ เราจะ
    สามารถเรียนรู้กิเลศได้อย่างรวดเร็วถ้าดูจากการกรัทบจริงๆ การที่เรา
    สงบอย่างเดียวมันไม่ได้ช่วยดับกิเลศหรอกครับ มันเหมือนกับเอาหิน
    กดทับหญ้าไว้ ดับได้แค่ชั่วคราวเท่านั้นพออกจากความสงบก็ทุกข์
    เหมือนเดิม มันก็เหมือนกับคนที่กินเหล้า สูบบุหรี่ หรือเสพยาเลยนะ
    ครับ แล้วถ้าคุณเจอกับความวุ่นวายปั่นป่วนมากๆ อย่างเวลาตายจะทำ
    อย่างไร มันเป็นอะไรที่ยิ่งกว่าการกระทบมาทั้งชีวิตเลยนะครับ ถ้าเรา
    ผ่านการกระทบระหว่างที่เรามีชีวิตไม่ได้ เราจะผ่านการกระทบตอน
    ใกล้ตายไม่ได้เลย
     
  10. Mr.Lawrence

    Mr.Lawrence เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,520
    ค่าพลัง:
    +3,542
    สถานการณ์ไม่มีผลให้เราทุกข์หรือสบายใจเลยคะ ทุกอย่างอยู่ที่ใจเราคะ
     
  11. พุทธิวัฒน์

    พุทธิวัฒน์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +18
    สมมุตินะครับว่าถ้าเกิดมีวันหนึ่งเรามีความสุขกับพี่หรือพ่อแม่เรา แล้วเค้าเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา เราจะทำจิตใจนิ่งเฉยได้หรอครับ จริงๆอาจจะพูดได้แต่ถ้าอยู่ในสถานการณ์นั้นจริงๆอาจจะเปลี่ยนคำพูดไปแล้วก็ได้ แล้วถ้าเจอไม่นับอีกกี่เหตุการณ์ที่ร้ายแรงกว่านี้หละครับ
     
  12. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    คุณไม่คิดว่ามีเหตุการณ์ไหนเลยใช่ไหมครับที่จะสามารถดับทุกข์ได้
    ทันไม่ว่าเหตุการณ์เล็กน้อยขนาดไหนคุณก็คิดว่าไม่สามารถดับทุกข์
    ได้ใช่ไหมครับ ทำไมคุณไม่ลองพิสูจน์ดูล่ะครับ หรือคุณลองพิสูจน์ดู
    แล้วว่าดับทุกข์ไม่ได้ หรือคุณคิดว่ามันง่ายไป หรือดีเกินไปกว่าที่จะ
    เป็นความจริง คุณคิดว่ามันเป็นไปได้หรือเปล่าถ้าจะไม่เสียใจเมื่อคนรัก
    ของเราจากไปต่อหน้าต่อตา เพราะถ้าคุณคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่า
    ผมจะพูดอย่างไรมันก็ไม่มีประโยชน์เพราะคุณเชื่อเรียบร้อยแล้วว่ามัน
    เป็นไปไม่ได้ คุณมีความเชื่ออะไรบางอย่างของคุณอยู่แล้วและมันขัด
    กับสิ่งที่ผมพูด คุณเลยพยายามพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมพูดมันผิดใช่ไหม ถ้า
    คุณไม่อยากทำมันก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ แต่ทางเดียวที่คุณจะพิสูจน์ว่า
    สิ่งที่ผมพูดมันจริงหรือไม่จริงก็คือการทำตามสิ่งที่ผมพูดเท่านั้นครับ
    อย่างเช่นผมบอกคุณว่าคุณหลงป่าหลายวันแล้วคุณต้องทำอย่างนี้ๆ
    พอคุณหลงป่าขึ้นมาจริงแล้วคุณทำตามที่ผมพูดคุณถึงจะรู้ว่าที่ผมพูด
    มันจริงหรือไม่จริง แต่ก่อนที่คุณจะหลงป่าคุณไม่จำเป็นที่จะเชื่อผมเลย
    ก้ได้ หรือคุณหลงป่าขึ้นมาคุณก็ไม่ต้องทำตามที่ผมบอกก็ได้แต่คุณจะ
    ไม่มีวันรู้เลยว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริงหรือเปล่า ถ้าคุณเชื่อไม่ได้ก็
    ลองทำตามคำแนะนำของหลายๆ คนสิครับ และดูว่าทางไหนมันดีที่
    สุดสำหรับคุณพิสูจน์ด้วยตัวเองรู้ด้วยตัวเองไปเลย
     
  13. พุทธิวัฒน์

    พุทธิวัฒน์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +18
    ที่คุณพูดแต่เเรกมันคือการเกิดของทุกข์ไม่ใช่หรอคับ ผมก็พูดสิ่งนั้น แต่ทำไมท่านเปลี่ยนมาพูดถึงเรื่องการดับทุกข์หละครับ ที่ผมจะบอกคือว่าการเกิดของทุกข์หนะมันเกิดได้ตลอด วันหนึ่งอาจจะนับได้เป็นร้อยเลยก็ได้ครับ ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องการที่จะทำให้ทุกข์ดับ เพราะทางเดียวที่จะไม่ให้เกิดทุกข์คือต้องพิจารณาว่าสิ่งที่มากระทบนั้นๆเป็นทุกข์และตัดได้ทันทีก่อนที่จะเข้ามาในจิตใจเพราะฉะนั้น ทุกๆคนรับทุกข์เข้ามาสู่ตนเองหมดยกเว้นพระอรหันต์ ที่คุณพูดก็ถูกส่วนหนึ่ง เพียงแต่ว่าความสุขที่กำหนดขึ้นมาเองหรือการคิดบวกก็ทำให้เกิดทุกข์ได้ เพราะว่าเป็นกิเลสตัวนึงนะครับ มันเป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นมา ไม่มีอยู่จริง เป็นอุปาทานทั้งนั้นครับ
     
  14. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    มันก็เป็นการดับทุกข์ด้วยแหละครับ อย่างเช่นคุณรู้ว่าความคาดหวังมันทำให้เรา
    ทุกข์ เราก็ไม่คาดหวังซะอย่างนี้มันก็ไม่ทุกข์ การที่เราจะละวางอะไรมันก็แค่รู้ว่า
    มันให้โทษแค่นั้นเราก็วางเอง เหมือนกับเราจับงูแต่คิดว่าเป็นเชื่อกวิธีที่เราจะวาง
    มันก็แค่รู้ว่ามันเป็นงูเท่านั้นเราก็วางมันเอง หรืออะไรที่มันมีประโยชน์น้อยเรา
    พิจารณาดีแล้วเราก็วางมันเหมือนเด็กเบื่อของเล่น ไม่ใช่ว่าเด็กเกลี่ยดของเล่น
    แต่จะมีวัยหนึ่งที่เด็กเบื่อของเล่นเขาก็วางมันเอง อย่างเช่นคุณกำลังเดินเล่นอยู่
    ดีๆ ผ่อนคลายไม่คิดอะไร อยู่ดีๆ มีคนมาเดินชนคุณคว่ำแล้วทุกข์นี่เป็นเพราะ
    อะไร เพราะคุณคาดหวังว่าเวลานี้ไม่น่าจะมีอะไรมารบกวนความสงบเราได้ นี่เป็น
    ความคาดหวังอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือครับ หรือเราเดินเล่นอยู่ดีๆ มองทิวทัศน์ไม่
    สนใจอะไรพอมีหมาเห่าใส่เสียงดังเราก็ตกใจมากนี่เป็นเพราะเราคาดหวังว่าจะ
    ไม่มีผิดปรกติเกิดขึ้นไม่ใช่หรือครับ ถ้าเรารู้ว่าอะไรผิดปรกติมันเกิดขึ้นได้ตลอด
    เราก็ไม่คาดหวังตลอดนี่มันก็เป็นการดับทุกข์ไม่ใช่หรือครับ หรือถึงแม้ทำไม่ได้
    ตลอดเวลาในวินาทีที่เราต้องพบกับการกระทบมากๆ เราก็ทำใจมากเป็นพิเศษ
    สอนตัวเองเป็นพิเศษอย่างนี้มันก็ไม่ทุกข์มากนี่ครับ หรือเกิดอารมณ์ขึ้นมาก็สอน
    ตัวเองได้ว่าทุกข์เพราะเราคาดหวังอย่างนี้มันก็บอกตัวเเองได้ว่าเราโง่เองไม่
    โทษคนอื่นอย่างนี้มันก็ทุกข์น้อย แต่ถ้าคุณมีสติได้ตลอดเวลามันก็ไม่เป็นปัญหา
    เลย ดับทุกข์ได้ก่อนที่มันจะกลายเป็นตัณหาแต่การพูดแบบนี้ก็ต้องพูดกันกับนัก
    ภาวนาแล้ว มาพูดในห้องทุกข์และปัญหาชีวิตคงไม่เกิดประโยชน์ เพราะผมเห็น
    ว่าปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความทุกข์หลังขั้นอุปาทานไปแล้ว ถ้าดับทุกข์ตรงนี้ก็
    ดับทุกข์ส่วนใหญ่ได้เลยมันจะไม่ดีหรือ ถ้าดับทุกข์ตรงนี้แล้วเขาก็จะมีความอยาก
    ดับทุกข์ละเอียดเอง เพราะมันไม่มีอะไรให้ทำแล้ว มีแต่ฝึกดับทุกข์ละเอียดขึ้นไป
    ถ้าคุณสามารถดับตัณหาหรือสมุทัยได้มันก็เหมือนกับไม่มีเวลา เพราะเราอยาก
    ได้มันจะมีความรู้สึกว่าอยากไปถึงมันโดยเร็ว ถ้าคุณไม่อยากได้คุณก็อยากไปถึง
    มันช้าๆ เวลามันอยู่ตรงนี้ถ้าดับตัณหาได้เร็ว-ช้าก็ไม่มี ถ้าถึงขั้นนั้นก็รูสึกว่าเวลา
    หายไปเลย ซึ่งผมเองก็ยังไม่ถึงขั้นนี้เคยสัมผัสเป็นครั้งคราว ผมก็เอามาพูดไม่ได้
    เพราะยังทำไม่ได้ ผมเพียงแต่เอาสิ่งที่ทำมาแล้วได้ผล ส่วนเรื่องการคิดเชิงบวก
    มันก็อาจจะเป็นสมมติแต่มีประโยชน์มากนะครับ เพราะคนเรามีความคิดแง่ลบ
    มาก การที่จะกำจัดความคิดลบได้โดยเร็วก็คือการคิดบวกนี่แหละครับมันเหมือน
    ธรรมที่เป็นคู่ปรับกัน อย่างคนที่มีราคะจริตต้องใช้ อสุภเป็นธรรมที่เป็นคู่ปรับกัน
    มันถึงจะแก้ได้เร็ว อย่างถ้าคุณเป็นคนคิดอะไรลบๆ ไม่ว่าคุณจะพิจารณาธรรม
    อะไรก็มองกลับในแง่ลบ แต่ถ้าคุณเคยทั้งคิดลบและบวกมาคุรก็สามารถมองสิ่ง
    ต่างๆ อย่างเป็นกลางได้ ไม่ต้องไปทางลบหรือบวก ท่านพุทธทาสก็เขียนไว้
    หนังสือสวรรค์ทุกอริยาบทก็คือแนวคิดการคิดบวกนั่นแหละ บางทีสมมติก็มี
    ประโยชน์ อย่างกสิณนี่เป็นเป้าหลอกให้จิตเรารวม หลวงพ่อพุทธท่านบอกว่า
    ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้ยึดติดกับอะไรแต่ก่อนที่จะไม่ยึดติดกับอะไรเลยต้อง
    สนใจที่อย่างเดียวก่อน มันก็เป็นสมมติเหมือนกันเป็นเทคนิคไม่ใช่ของจริงแต่มี
    ประโยชน์ ถ้าคุณไม่ชอบก็ลองทำอานาปาณสติดูก็ได้ครับ
     
  15. Liqian

    Liqian สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    การมีเป้าหมาย กับการคาดหวัง แตกต่างกันอย่างไร ถ้าสมมุติผมมีเป้าหมายแต่ถ้าไม่ได้ตามเป้าหมาย ผมก็ไม่ได้เกิดทุกแต่อย่างไร อันนี้เรียกคาดหวังไหมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2012
  16. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    การวางเป้าหมายและการคาดหวังมันต่างกันตรงความคิด
    ของเรา ถ้าเรามีความกลัวว่าเราจะไม่ได้ในสิ่งที่เราอยากได้ กลัวว่าเราจะ
    ประสบแต่สิ่งที่เราไม่ชอบใจ กลัวว่าเราจะสูญเสียในสิ่งที่เรามีอยู่ นั่นก็คือ
    การคาดหวัง หรือมีความคาดหวังกับบุคคลอื่นว่าคนที่มักไม่ปฏิเสธเราจะ
    ไม่ปฏิเสธเรา คนที่มักปฏิเสธเราจะปฏิเสธเรา คนที่ไม่ได้ข้องแวะกับเรา
    มากจะไม่ข้องแวะกับเรามาก นี่ก็เป็นความคาดหวังกับบุคคลอื่นที่ลึกจน
    ตามไม่ทัน การที่จะรู้ว่าเราคาดหวังอยู่หรือไม่ ต้องฝึกคิดว่าตอนนี้เรากำลัง
    คิดอะไรอยู่ เมื่อคิดว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่บ่อยไปเราจะรู้เมื่อเรากำลังคาด
    หวัง รู้เมื่อเรากำลังมีความคิดลบ รู้ทันหยุดการปรุงแต่งได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...