เคอคูเดี้ยน

อ่านจบจนได้ จำได้ว่า เคยอ่านแล้วแต่ไม่จบ

อนุโมทนา กับคุณ su_ra ด้วยครับ

 

"ผมลงไปยังภพภูมิในโลกวิญญาณอย่างรวดเร็ว เราได้เดินทางห่างจากความสุขอันเป็นนิรันดร์ซึ่งอยู่
เบื้องหลังที่พระพุทธเจ้าเรียกว่านิพพาน แสงพระเจ้าได้เริ่มจางหายไปจากตัวเรา" ถ้าพูดเป็นวิทยาศาสตร์
หน่อย ลองมาทำความเข้าใจเรื่องของสี และคลื่นความถี่ของแต่ละสี สีแต่ละสีจะมีคลื่นความถี่และแรง
สั้นสะเทือนที่ต่างกัน อย่างสีแดงจะมีคลื่นความถี่ที่ยาว และการสั่นสะเทือนที่ช้า สีม่วงจะมีคลื่นความถี่ที่สั้น
กว่าและการสั่นสะเทือนและเร็วกว่า ยิ่งสีใดมีคลื่นความถี่ที่สั้นลงเท่าไร ก็จะมีการสั่นสะเทือนที่เร็วขึ้นเท่านั้น
ในทางตรงกันข้ามกัน สีใดที่มีคลื่นความถี่ที่ยาว การสั้นสะเทือนก็จะช้าลงเท่านั้น แต่ละสีถ้าจะเปรียบเทียบ
ก็เหมือน ภพภูมิ หรือ มิติ หรือชั้นของหัวหอมที่ลอกออกเป็นชั้นๆ ที่เคอร์คูเดี้ยน พูดถึง ภพภูมิ ที่หมายถึง
นิพพาน ก็คือมิติ ทางพลังงานที่มีระดับการสั่นสะเทือนทางพลังงานสูงสุด เมื่อเค้าพูดว่าได้เดินทางจากมา
จากเบี้องหลังอันเป็นนิรันด์ ก็หมายความว่า เค้าใด้เดินทางออกมาจากคลื่นความถี่ที่สูงที่สุดและเริ่มเดินทาง
ผ่านระดับคลื่นถี่ต่างๆที่ลดหลั่นกันลงมาจากคลื่นความถี่ที่สูงลงมาสู่คลื่นความถี่ที่มีการสั่นสะเทือนช้าลงมา
เรื่อยๆ มาจนถึงคลื่นความถี่มีมีการสั่นสะเทือนทางพลังงานที่ช้าลงจนพลังงานจากคลื่นความถี่ที่สูงสุดไม่
สามารถเดินทางมาถึงได้ ดินแดนที่เรียกว่านรก ในความจริงของเรื่องของจิตวิญญาณเราทุกคนเป็นหนึ่ง
เดียวกัน และมาจากต้นกำเหนิดเดียวกัน เคอร์คูเดี้ยนรู้จักเราทุกคนครับ ถ้าต้องการความช่วยเหลือให้
ลองทำสมาธิและติดต่อเค้า เพื่อสร้างแรงบรรดาลใจ แค่เราเพียงคิดความคิดก็ได้เชื่อมต่อถึงกัน
และเค้าก็รับรู้ได้แล้วครับ ขอบคุณนะครับที่ติดตาม ถ้ามีอะไรที่น่าสนใจผมจะเอามาแบ่งปันนะครับ

 

สิ่งที่พระพุทธเจ้ากล่าวนั้นล้วนถูกต้องและประเสริฐแล้ว แต่สิ่งนี้กล่าวถึงหนทางหลุดพ้นและเพื่อ
ดับทุกข์ของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ความเป็นจริงสิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีอยู่เลย มันเป็นอัตาที่เกิดขึ้น
ผู้ที่ผ่านขั้นตอนของสิ่งนี้ไปในระดับสูงจะไม่รู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้เลย เหมือนการถือศีลไม่มีศีล
เหมือนเป็นสิ่งธรรมดาและจะไม่ระลึกและรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้เลย และไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ฝึกฝน
และเรียนรู้เลย เพราะมันไม่เคยมีอยู่จริง เพราะสิ่งเหล่านี้สะท้อนออกมาจากภายในของพวกเรา
เมื่อเราพัฒนาตนมาก้าวพ้นข้ามสิ่งนี้ถือว่าเป็นผู้ที่ประเสริฐแล้ว เราก็ต้องหาตำราเรียนใหม่ที่
เหมาะสมกับเรา มีอีกหลายสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ ความรู้ที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นเป็นส่วนหนึ่ง
ของการพัฒนาและวิวัตน์ของเรา ขอขอบคุณนะครับที่ติดตาม

 

ขอบคุณครับ จะติดตามผลงานครั้งต่อไปครับ

 

ขอบคุณมากค่ะ ที่นำมาให้อ่าน น่าสนใจอย่างยิ่ง
ตามอ่านจนจบแล้วค่ะ ^^

 

ขอบคุณครับ คุณ su_ra

คำว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน มีความหมายที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่

ผู้ที่ไม่รู้หนังสือ ไม่รู้จักศาสนา ไม่รู้จักคำสอนต่างๆ หลายๆท่าน
กลับเข้าถึงศาสนา อยู่อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติได้อย่างดี

เพราะท่านเหล่านั้น รู้จักตนเอง

ศาสนาที่แท้นั้น คือ การรู้จักตนเอง

หากเราไม่รู้จักตนเอง เรากำลังทำลายพระศาสนา เรากำลังทำลายความเป็นหนึ่งเดียว

เพราะเราได้ยึดเอาคำสอน ข้อมูลจากสิ่งที่ได้อ่าน สิ่งที่ได้ฟัง สิ่งที่ได้เห็น สิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่เราเคารพบูชา มาเป็นของเราเรียบร้อยแล้ว

เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้อัตตารู้สึกปลอดภัย

 

จะมีกี่คนที่เข้าใจเหมือนคุณ การไปรู้ไปจับก็เป็นการดึงมิตินั้นเข้ามาเมื่อเข้ามาก็ต้องล้างออก ถ้าไปยึดก็จะกลายเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งในมิตินั้น เพราะฉะนั้น สวรรค์อยู่ที่อกนรกอยู่ที่ใจ ดึงขึ้นดึงลงทำตัวว่างๆไม่ยึดไม่ติด
ขอแสดงความนับถือ

 

ดันกระทู้ขึ้นมา
เพราะว่าเป็นอีกกระทู้ที่เราชอบ

เผื่อใครที่สนใจ
ชอบเรื่องแนวๆนี้ที่ยังไม่ได้อ่าน
จะได้ลองอ่านดูน่ะ

 

ไม่รู้ว่ามีใครเหมือนเราหรือเปล่านะ
ความที่ว่าอ่านเรื่องๆนี้ซ้ำๆหลายรอบ(ด้วยความชอบอยู่แล้ว)


ยิ่งอ่านไปๆ ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่า
กำลังอ่าน....เส้นทางของการเดินทาง
ของบรรดาเหล่าจิตวิญญาณทั้งหลายที่มีอยู่ในเอกภพ ในจักรวาล
(ซึ่งมันไม่มีที่สิ้นสุดหรอก ถ้าตราบใดยังไปไม่ถึงนิพพาน)
คือต้องเกิด-ตายๆๆๆๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลายภพ...หลายชาติ....


อย่างมนุษย์โลกอย่างเราๆท่านๆนี่ก็เช่นกัน
ก็คงจะผ่านวัฏจักรอย่างที่ว่านี้เหมือนกันแหละ
ที่กว่าจะมาเกิดบนดาวสีน้ำเงินใบนี้ (ที่เรียกว่าโลก)


โดยมองผ่านตัวของเคอร์คูเดี้ยน
เป็นคนเล่าอธิบายให้คนที่อ่านอย่างเรา
ได้มองเห็นภาพตามง่ายขึ้น
เราอ่านกี่รอบๆ ก็รู้สึกแบบนี้ตลอดเลยน่ะ
แบบว่า in กะเรื่องราวด้วยแหละ



ยังไงก็ขอบคุณ จขกท. นะคะ
ที่อุตส่าห์แปลมา หามาให้อ่านกัน
ชอบอ่านเรื่องแบบนี้ แนวนี้มากๆ
ถ้า จขกท. มีอะไรจะ up date
ก็อยากให้มาโพสต่อเลยนะคะ
...รออ่านอยู่....