ไม่ได้ฆ่าสัตว์ แต่กินเนื้อสัตว์ เป็นความผิดบาปไหม??

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย @^น้ำใส^@, 11 เมษายน 2007.

  1. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    อืม.....
    ไม่น่าจะต้องถึงกับ หยั่งเลยอ่า
    คริคริ
     
  2. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    จิตเกิดดับเร็วมากจิตที่พิมพ์ก่อนนี้กับจิตวันนี้ก็ไม่เหมือนกัน
    ผมไม่รุ้หรอกครับว่ามีการวิวาททางวาจาหรืออะไรเเล้วเเต่จะเรียกขอเพียงผู้สนิทนาดูใจที่กระเพื่อมสังเกตุใจว่าอะไรอยุ่ในใจด้วยสติก้คงจะเป็นประโยชน์
    ไม่มีไรครับคุณต้นละ google ช่วยได้เยอะเลยแปลภาษาได้ด้วยถ้าจะใช้นะครับ คนบางกลุ่มเค้าก็ใช้ประโยชน์จากตรงนี้เลยบอกเฉยๆไม่ได้ว่าไรเห็นท่านบอกว่าไม่เข้าใจภาษาต่างประเทศ ส่วนอย่างอื่นที่น่าจะเป็นประโยชน์เช่นอโหสิกรรมคือกรรมที่ไม่ให้ผบก็มีในgoogleนะครับผมลองดูเผื่อมีคนไม่รุ้จักแล้วหาไม่เจอเหอๆๆ
    เจตนานั้นเพียงท่านคิดในมุมมองอื่นท่านอาจเข้าใจเจตนาผู้อื่นได้โดยไม่จำเป็นต้อง มาตีความตัวอักษรมาก
    คนเราบางทีไม่ได้ตั้งใจพิมผิดแต่มันตกหรือมีความผิดพลาดได้บ้างนะครับ
    ส่วนคำในวงเล็บของผมก้ออกตัวแล้วว่าคิดในใจ อย่าไปอ่านเลยครับ บางที่ไม่ได้จะสื่ออะไร ความคิดเป็นความคิดภาษาเป็นสมมติตรงบ้างไม่ตรงบ้างก็เอาเเค่ความรุ้สึก ละกัน บางทีคนเราก็อาจพูดแล้วเเสดงความรุ้สึกทางสีหน้านำ้เสียงแต่ ในที่นี้อาจอาศัยการตีความจากประสบการณ์ ของคนอ่าน
    เลยไม่อยากให้ตีความมาก ถ้าอ่านแล้วไม่สื่อก็ตีความตามใจท่านเถิด

    ส่วนความคิดก็ได้เเสดงไปแล้ว ผมเองก็แค่เเสดงความคิดว่า ไม่ผิดบาปขอให้วางจิตให้ถูกและกินตามสมควรเนื้อสัตว์เองก้ใช่จะให้โทษเเต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ได้สนับสนุนการฆ่าสัตว์ (มาถึงตรงนี้ก็อย่เพิ่งสร้างสถานการณ์,condition อื่นขึ้นมา จากการปรุงแต่งของจิตไม่ฆ่าก็ไม่มีเนื้อ การกินเนื้อคือการสนับสนุนการฆ่า เพราะมันเยอะไป จิตเกิดและดับรวดเร็ว หากมีสติจบที่เนื้อและธาตุ ก็ไม่ได้ไปปรุงแต่งว่านี่ชีวิตหรือบุคคลพูดไปก็ยาวอีก) เจตนาไม่อยากให้ยึดว่า คนถือศีลห้าต้องไม่กินเนื้อ แค่นั้นเจตนาผมก็ไม่ได้มีความสุขในการฆ่าหรือทรมานสัตว์หรอกนะครับพุดไปก็จะหาว่าเถียงอีกเอาเถอะครับผมเคยตัดบทแล้วว่าสมควรแก่เวลา
    ความจริงแล้วความเข้าใจหรือเข้าได้กับความเชื่อบางอย่างก็ถูกบางอย่างก็ผิด
    ก็เลือกซักอย่างจะได้เรียนว่า ผลเป็นไง ผิดถูกก็อยุ่ที่เราให้ค่าว่าอะไรคือถูอะไรคือผิด
    เจตนาหาได้คัดค้านการกินเจหรือลดเมตตาต่อสรรพสัตว์ไม่
    ผมก็เข้าใจที่ท่านพูด แต่ท่านคิดว่า เข้าใจไม่เท่าที่ท่านอยากให้เข้าใจ
    ก็บอกแล้วว่าถ้าอ่านใจได้ ก็คงไม่ต้องมานั่งอธิบายมากมายขนาดนี้ จริงๆใจผมก้คิดอยุ่ตั้งแต่ต้นว่าบางทีใจที่อยุ่ในวิถีโพธิสัตว์อาจน้อยถ้าเมตตามากกว่านี้เราอาจสงสารจนกินไม่ลงคิดถึงสัตว์อื่นทั้งหายใจเข้าและออกก็ได้ แต่ตอนนี้คิดด้วยเหตุและผล และเห็นว่าวัตรหรือข้อปฏิบัตินี้ไม่ใช่ข้อปฏิบัติหลักไม่ได้รวมในศีล(อันนี้ตามใจใครจะตีความเพิ่มเลยจิตรับรุ้ว่าสิ่งนี้คือชีวิตผมดับลงตั้งเดต่สัตว์นั้นไม่มีลมปราณ)
    ผมมีทิฐิอย่างหนึ่งแต่ก็หาได้ หลับหูหลับตาไม่ เพียงตอนนี้เห็นว่า เช่นไรก็แสดงไปเช่นนั้น
    อนุโมทนาในความดีที่จะเกิดขึ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2011
  3. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ครับแค่อุปมาอุปมัย(คนละเรื่องเลย)
    ครับ
    ถ้าเขาตายเองจริงๆๆ ท่านเองก็คงไม่กินเขาหรอกครับ
    แต่นี้เขาไม่ได้ตายเองนิครับ และก็ยังไม่ได้บอกว่าบาปด้วยที่กินเนื้อ กรุณาอีกหลายๆๆรอบนะครับ
    ส่วนเรื่องเอาร่าง.....ไปเผานั้น (มันคนละเรื่องเลยนะท่าน เป็นอะไรมากรึป่าวครับ) เป็นการบำเพ็ญมหากุศลนะครับ ที่มีโอกาสได้เจอและได้ไปเผานะครับ อิอิ ถ้าเอาร่าง...ที่ท่านกล่าวมาไปเผาแล้ว บาป ผมยอมบาปครับท่าน อย่าว่าแต่เผาเลย โอกาสที่จะได้เจอได้เข้าไปใกล้ๆๆๆๆ ในบริเวณนั้นยังไม่สามารถเลย อิอิ ผมว่าท่านจะสับสนอะไรไปรึป่าว

    ครับ แต่ก่อนผมคิดเหมือนท่านนะว่าการกินผัก ไปที่ไหนมันหายาก และลำบาก
    แต่ผมลองทำ(กินผัก) มา ๑๐ กว่าปีแล้ว หาไม่ยากเลย กินง่ายด้วย ไม่เปลืองด้วย(อันนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องขึ้น สวรรค์นะครับ)
     
  4. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ออ...
    ที่บอกไม่เข้าใจนั้น หมายถึง ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านปร... ต้องเอาภาษาEng มาเขียนรวมนะ เข้าใจยัง
    แค่ ๓ ตัว มันไม่ยากหรอก มันเป็นศัพท์พื้นฐานนะครับ
    เรียนตั้งแต่ ป.๕ แล้ว
     
  5. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512


    ครับ ผมผิดเอง ขอแค่นี้นะครับ
     
  6. ุเพตารี

    ุเพตารี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,048
    ค่าพลัง:
    +800
    ก็คงอย่างนั้นละครับ :z6
     
  7. ไม่เที่ยง

    ไม่เที่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    386
    ค่าพลัง:
    +500
    กำลังพยายามทานมังสวิรัติอยู่ ทำได้มาเกือบ 3 เดือนแล้ว เลี่ยงไม่ได้ก็มังเขี่ย กินเเล้วรู้สึกดี เพราะเนื้อสัตว์ที่กินไปก็กลายป็นเจ้ากรรมนายเวรอีก ต้องทำบุญให้ ก่อนเขาถูกฆ่าก็ทรมาน
     
  8. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    สาธุ กราบอนุโมทนาด้วยนะครับ
    สุดยอดเลยครับ เพื่อสุขภาพตัวเองนะครับ
     
  9. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    ไม่จบไม่สิ้น มองเห็นความเนื่องไปของจิตสังขารและมานะเหอๆๆๆๆๆๆๆ
    เวร
    ย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร จริงๆ
    อนุโมทนาในผู้ที่เห็นความจริงอันนั้น สาธุกับคุณนะครับบบบ(ยิ้มกริ่ม)
    ขำคุณBossinwskr10(เเต่ชื่นชมนะครับ ระงับเวรได้จริงๆผมก็อนุโมทนาด้วย)
    คนบางพวกมองเห็นความจริงตามเหตุปัจจัย ก็ให้คิดได้เอง
    คนบางพวกแค่มีคำแนะนำจากคนที่มีธรรมะหรือเพื่อนกัลญามิตรก็พอจะคิดได้
    คนบางพวกต้องให้ผู้มีธรรมขั้นสูงมีฤทธิ์ หรือขั้นพระพุทธเจ้ามาสอน
    คนบางพวกมืดบอดไม่ใส่ใจไม่สนใจ ใครบอกใครสอนก็ไม่สนซึ่งก้ตอบไม่ได้ว่าเมื่อไหร่จะคิดได้เองเหอๆๆ สัตว์โลกสรุปง่ายๆ คงมีแค่แบบนี้ (ผมไม่ได้ว่าใครนะครับเพียงจิตมันคิดถึง ความคิดเห็นและการดำเนินไปของคนอื่นๆจิตใครจะต่อว่าใครก็คงขึ้นกับสันดานที่ให้ค่าดีชั่วในแบบของตัวเท่านั้น ผมเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มสัตว์โลกนั้นๆไม่ได้เลิศเลอ)
    ละมั้งถ้าให้ซับซ้อนมากกว่านี้ก็ไม่รุ้จะแบ่งไปอีกทำไม55555
    พูดจบอมยิ้มแล้วจากไปอิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤษภาคม 2011
  10. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ดีใจจังที่ไม่ได้จอง เวร ใคร ไม่งั้นสนุกแน่ คริคริ

    มิน่าละ พระพุทธเจ้าถึงได้ ทรงเห็นว่าบุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวก บางพวกสอนได้ บางพวกสอนไม่ได้ เปรียบเสมือนบัว ๔ เหล่า


    <table width="499" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td valign="top" bgcolor="#ffcc00">
    </td> <td bgcolor="#ffcc00"> บัว ๔ เหล่า ได้แก่
    ๑.พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที (อุคฆฏิตัญญู)

    ๒.พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปัจจิตัญญู)

    ๓.พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอยด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ)

    ๔.พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน (ปทปรมะ)
    </td> <td bgcolor="#ffcc00"> </td> <td> </td> <td>
    [​IMG]
    </td></tr></tbody></table>
     
  11. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    วาทะ สมกับเป็นผู้ยกตนว่า เป็นผู้ไม่เบียนเบียนสัตว์ เเท้ ทำเอาสัตว์แบบผมกลัวเลย555(เเย้ม กรุ่มกริ่ม)
    เฮ้อ ถ้าเป็นผมจะไม่กล่าวเช่นนั้น 5555555
    (ไปเอามาจากไหนหน้อบัวสี่เหล่าคนบางพวกเนี่ยก็ตลก บางทีก็.....นะขำเว้ย ปล่อยผมขำเถอะนะครับอย่าใช้วาจาเสียดแทงผมเลย)

    555
    เพราะว่าลองไปหาในgoogle(ขออนุญาติเขียนภาษาต่างประเทศนะครบ)โอ้บัวสี่เหล่าเต็มgoogleเลยอย่างน้อยบางคนก็ใช้google เพื่อเอาความรู้ที่เขาคิดว่าใช่มาบอกคนอื่นได้แต่เขาอาจไม่ได้พิจารณาถึงที่มาหรือความแน่นหรือความไว(แปลเป็นคำไทยแล้วนะเนี่ย)ของข้อมูลหรือไปเปล่าก็ไม่รู้
    5555
    พระองค์ตรัสพระธรรม ไว้ดีเเล้วและพยากรณ์ล่วงหน้าว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงคำสอน เป็นเช่นนั้นๆจริงๆ ข้าพเจ้าเห็นแล้วทราบแล้วดั่งที่พระองค์ตรัส
    เรา(หมายถึงผมและคนที่เคารพพระพุทธเจ้าอ่ะนะครับคนอื่นไม่รุ้ไม่กล่าวถึง)ไม่พึงบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธองค์มิได้บัญญัติ ไม่พึงกล่าวอ้างในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่พึงกล่าว(แต่อาจกระทำด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ555 วาทะบ่งบอกการศึกษาจริงๆ เห็นคนอื่นทำเราก็กลัวตัวเองศึกษาไม่ดี ผมขอกลับไปพิจารณาและเรียนพุทธวจนะต่อดีกว่าครับ)
    คำในวงเล็บเนี่ยคิดในใจไม่ต้องอ่านก็ได้นะครับ555กลัวจะไม่รุ้ว่าผมขำอะไรเลยเขียนบอกเฉยๆ
    อ้อ แล้วก็ผมไม่ได้ว่าไร แต่ไม่คิดว่าคุณจะกล่าวว่ามีบัวสี่เหล่า5555 อาจศึกษาตำราคนละอย่าง
    เพราะที่ผมเคยศึกษามา พระศาสดาผู้มีเมตตาต่อหมู่สัตว์พิจารณาบัวมีสามเหล่าแต่ตรัสถึงบุคคลมีสี่จำพวกอ่ะนะครับ
    อิอิแล้วจากไป555 อารมณ์ดี เบิกบาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2011
  12. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    อืม......
    อิอิ สงสัยจะอ่านไม่เข้าใจ(แสดงถึง สติปัญญาอีกแล้ว ก็อย่างว่านะ ชม.บินไม่เท่ากัน คริคริ) ผมเข้าใจท่านนะ ๕๕๕++
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่อง บัว ๓ จำพวก ไม่ใช่บัว ๓ เหล่า ลองศึกษาใหม่นะครับ
    แต่ครั้งที่แล้ว ผมพิมพ์ว่า " ทรงเห็นว่าบุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวก บางพวกสอนได้ บางพวกสอนไม่ได้ เปรียบเสมือนบัว ๔ เหล่า "


    ในพระไตรปิฏก พระพุทธองค์ทรงพิจารณาตามคำเชื้อเชิญของสหัมบดีพรหมที่เชิญให้พระองค์แสดง ธรรม พระพุทธองค์จึงทรงพิจารณาตรวจสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ และทรงเห็นว่า สัตว์โลกที่ยังสอนได้มีอยู่ เปรียบด้วยดอกบัว 3 จำพวก ดังความต่อไปนี้<sup id="cite_ref-4" class="reference">[5]</sup>
    <table style="border-collapse: collapse; border: 1px dotted rgb(204, 204, 204); width: auto;" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td style="padding: 10px;" valign="top" width="20">[​IMG]</td> <td>
    ... ครั้นอาตมภาพทราบว่าท้าวสหัมบดีพรหมอาราธนา และอาศัยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย จึงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ. เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ได้เห็นหมู่สัตว์ซึ่งมีกิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยก็มี มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี มีอินทรีย์อ่อนก็มี มีอาการดีก็มี มีอาการเลวก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ยากก็มี บางพวกมีปกติเห็นโทษในปรโลกโดยเป็นภัยอยู่ก็มี เปรียบเหมือนในกอบัวขาบ ในกอบัวหลวง หรือในกอบัวขาว ดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว ซึ่งเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ บางเหล่ายังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ในน้ำ น้ำหล่อเลี้ยงไว้ บางเหล่า ตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่า ตั้งขึ้นพ้นน้ำ น้ำไม่ติด ฉันใด ดูกรราชกุมาร เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ฉันนั้น ได้เห็นหมู่สัตว์ซึ่งมีกิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยก็มี มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี มีอินทรีย์อ่อนก็มี มีอาการดีก็มี มีอาการเลวก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ยากก็มี บางพวกมีปกติเห็นโทษในปรโลกโดยเป็นภัยอยู่ก็มี...
    </td> <td style="padding: 10px;" valign="bottom" width="20">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td colspan="3" style="text-align: right; padding-right: 2em; padding-bottom: 5px; font-size: 90%;" valign="top">— 'มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ทรงเปรียบบุคคลด้วยดอกบัว ๓ เหล่า'</td> </tr> </tbody></table> [แก้] บัวสี่เหล่า (ตามนัยอรรถกถา)

    ตามนัยอรรถกถา ได้อธิบายบุคคล 4 ในปุคคลวรรค พระไตรปิฏก ปนกับอุปมาเปรียบบุคคลด้วยดอกบัว 3 เหล่าใน มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ <sup id="cite_ref-5" class="reference">[6]</sup> โดยลงความเห็นว่าบุคคล 4 ที่พระพุทธองค์ตรัสในปุคคลวรรค เปรียบกับดอกบัว 3 เหล่า (โดยเพิ่มบัวเหล่าที่ 4 เข้าไปในบุคคล 4 ในปุคคลวรรค) ดังนี้
    <table style="border-collapse: collapse; border: 1px dotted rgb(204, 204, 204); width: auto;" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td style="padding: 10px;" valign="top" width="20">[​IMG]</td> <td>
    บุคคล ๔ จำพวก คือ อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยย ปทปรมะ ก็เปรียบเหมือนดอกบัว ๔ เหล่านั้นแล. ในบุคคล ๔ จำพวกนั้น บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมพร้อมกับเวลาที่ท่านยกขึ้นแสดง ชื่ออุคฆฏิตัญญู. บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมเมื่อท่านแจกความแห่งคำย่อโดยพิสดาร ชื่อว่าวิปจิตัญญู. บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมโดยลำดับด้วยความพากเพียรท่องจำ ด้วยการไต่ถาม ด้วยทำไว้ในใจโดยแบบคาย ด้วยคบหาสมาคมกับกัลยาณมิตร ชื่อว่าเนยย. บุคคลที่ไม่ตรัสรู้ธรรมได้ในชาตินั้น แม้เรียนมาก ทรงไว้มาก สอนเขามาก ชื่อว่าปทปรมะ.
    </td> <td style="padding: 10px;" valign="bottom" width="20">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td colspan="3" style="text-align: right; padding-right: 2em; padding-bottom: 5px; font-size: 90%;" valign="top">— 'อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปทานสูตร ธมฺมเทสนาธิฏฺฐานวณฺณนา'</td> </tr> </tbody></table> [แก้] ความหมายของบัวสี่เหล่าตามนัยอรรถกถา


    1. ( อุคคฏิตัญญู ) พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที
    2. ( วิปจิตัญญู ) พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป
    3. ( เนยยะ ) พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง
    4. ( ปทปรมะ ) พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน
     
  13. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    ถ้าเป็นไปได้ข้ามข้อความนี้ไปอ่านคำหนาเลยก็ได้นะครับ555
    ท่าทางคุณต้นละเนี่ยชอบเล่นคำไทย นะครับ (ไม่เป็นไรๆ ชอบเปลี่ยนประเด็น ไปเรื่อย)

    ตอนที่จะโปรดสัตว์พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสถึงบัวใต้ตมไว้หรอกนะครับ
    บัวจึงมีสามเหล่าคุณต้นละจะ(เอาสีข้างเข้าถู)เรียกบัวว่าเป็นจำพวกไม่ใช่เหล่า
    หรืออะไรผมไม่เถียงหรอกครับ
    แต่เบื้องต้น ที่พระองค์จำแนก เปรียบเป็นบัว จะเรียกเหล่าเรียกกอเรียกจำพวก ก็เรียกไป(ผมเข้าใจว่าเหล่าหรือจำพวกเป็นคำที่ใช้เรียกรวมๆ เช่นชนเหล่าใดก็คือคนจำพวกใดเป็นต้น)
    เเต่มันมีอยู่สามไม่ใช่สี่แบบที่คุณอ้าง ส่วนการจำแนกบัวเป็นสี่นั้น จำแนกในยุคหลังๆเอาประเภทของคนไปรวมด้วยอย่างที่คุณต้นละหามานั่นหล่ะครับ แต่พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสว่าบัวมีสี่เหล่า
    (โอ้ รำพึงกับตัวเองว่า เราเป็นเด็กปอสองหรือปล่าวที่มาโต้เถียงกับบุคคลที่เล่นคำแบบนี้55 ไม่คุ้มกับประโยชน์
    เนี่ยถ้าเป็นเพื่อนผม ผมคงกล่าวกับเขาในเชิงหยอกเล่นขำๆว่า จะโต้ก็โต้ไปคนละประเด็น แล้วก็ถนัดจริงๆนะครับไอ้ยกตนข่ม ผู้อื่นเนี่ย 555ชั่วโมงบินไม่เท่ากันบ้าง อ้างว่าคนอื่นอ่านไม่เข้าใจบ้าง เก่งหลายแค่นี้ก็พอจะเดานิสัยออก
    จ้ากครายกานแน่ที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ ความคิดเช่นนี้ ถ้าพูดไปคงรู้สึกเหมือนผมจุดไฟ ไฟมันต้องลุกแน่ๆ55 กลัวแท้555 กลัวไฟลวกเลยคิดว่าไม่พูดออกมาจะดีกว่า ไม่พูดดีกว่าครับ) ถ้ายังอ่านอยู่คำในวงเล็บเนี่ยย้ำว่าคิดในใจไม่ได้พูดแต่อย่างที่บอก สิ่งทั้งหลายไม่ใช่อนัตตาที่เรารู้มาอาจไม่ถูกไม่ใช่ของจริงเป็นเพียงการปรุงแต่งของจิตก็ได้

    ปัญญากับความรู้ความเข้าใจ คนละอย่างกันแม้ผมไม่ได้มีปัญญามากแต่พอเห็นคนพูดคำว่า ปัญญากับคนอื่นผมก็มักจะบอกคนที่พูดว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญในอดีตคนที่ไม่รู้หนังสือเลยสักตัวหรือไม่เจนจบหรือไม่เข้าใจคำบางบทของพระพุทธวจนะหรือพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าก็ยกย่องว่ามีปัญญา เพราะเป็นพระอรหันต์มาแล้ว แต่ผมไม่ใช่55
    เเต่อย่างที่บอกเพราะเป็นคุณ ไม่ใช่เพื่อนที่ผมสนิท ผมจึงมิได้กล่าววาจาเช่นนั้น ก็ได้แต่เฝ้าดูและปล่อยไป
    หึหึ คิดอีกแง่(ไม่ได้สับสนนะครับคิดหลายๆมุมจะได้เข้าใจคนอื่นบ้าง)เราก็ไม่ได้เก่ง ไม่ได้ดีไม่ได้บริสุทธ์เลยไม่อยากเอาตัาเองไปตัดสินใครประเมินตนเองดีกว่า
    ก็อย่างที่บอก
    ออกตัวก่อนว่า ทั้งหมดทั้งมวลเนี่ยไม่ได้คุยด้วยนะขอรับแวะมาดู ไม่ต้องโต้ตอบผมก็ได้ เพราะทั้งหมดเกิดขึ้นในใจผม 55

    ไม่ต้องโต้ตอบอะไรหรอกนะครับผม เพราะรู้สึกเนื้อหากระทู้ชักจะเปลี่ยนไปแล้ว55
    ดังนั้นผมจึงคิดว่าสิ่งที่อยากจะบอกคุณคือ
    เอาเป็นว่าทั้งหมดผมผิดเอง เข้าใจผิดไปเอง ปัญญาน้อย ยังริอาจเถียงหรือโต้แย้งท่านพหูสูตผู้คงแก่เรียนเช่นท่านยังริอาจต่อความยาวสาวความยึดด้วยมานะ. ความรู้ก็แค่หางอึ่ง
    เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว เจียมตัวเจียมกะลาหัว
    ข้าพเจ้าขอลา555หากกระทำการหรือกล่าวล่วงเกินท่านด้วยตั้งใจไม่ตั้งใจ ขออดโทษด้วยขอโทษด้วยนะครับ
    ซึ่งก็คงไม่มีปัญหาอะไรสำหรับผู้ที่มีจิตเมตตาต่อหมู่สัตว์(ดั่งที่ท่านแสดงพฤติกรรมไว้)เช่นท่านใช่ไหมล่ะครับ
    เจริญในธรรมครับ เหอๆๆๆเข้ามาด้วยความเฉยๆและออกไปด้วยความเฉยๆ หึหึ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2011
  14. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    อิอิ ขำๆๆ++ มากเลยข้อความหลังจากข้อความข้ามนะ
    มันเป็นกระจกเงานะครับ ท่าน
    ว่าคนอื่นก่อน กระจกก็จะส่องกลับนะ
    ผมไม่เคยถือโทษโกรธหรอก เด็กๆๆมาก เลยครับ
    ใครทำอะไรไว้ก็รับเอง เหอะๆๆๆ
    ใครแสดงพฤติกรรม ก่อน ก็น่าจะรู้อ่าาาา คนเรานะไม่มองตัวเองมั้งเล้ยยย
    พิมพ์มาซะยาวไม่เหนื่อยรึ เขียนไปวกมา นึกจะเอามาเขียนก็เอามา เหอะๆๆคนเรา

    ผมก็ตอบเฉยๆๆๆๆๆ แล้วก็ออกไปด้วยความปล่อยวางนะ คริคริ
     
  15. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ครับ ที่เจตนา(ต้องขึ้นไปอ่านหน้าแรกๆๆ นะเรื่องเจตนานะ เขียนไว้หมดแล้วนะ) เจตนาบางอย่างไม่มีผล เจตนาบางอย่างมีผล นะครับ
    ผีเข้า..
    ในสมัยพระพุทธเจ้า ไม่น่าจะมีผีเข้าคนเลยนะครับ และผมคิดว่าพระพุทธเจ้า คงมียาดีกว่า เนื้อสดและเลือดสดนะ คงไม่ต้องพึ่งซากศพนะ

    ขนาดว่าผมตามพ่อไปเผาศพ ยังไม่เคยเจอผีเลยนะครับ แขนขาด ขาขาด ตายโหงยังไม่เคยเจอเลย งง....

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องทุคติภูมิมี ๔ ภูมิ ไว้ว่า
    ทุคติภูมิมี ๔ ภูมิ คือ สัตว์นรก เปรต อสุรกายและสัตว์เดรัจฉาน ที่เราๆๆทั้งหลายสามารถสัมผัสได้คือ สัตว์เดรัจฉาน นอกนั้นต้องเป็นผู้มีญาณเท่านั้นที่จะสัมผัสได้นะ
     
  16. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    ตามนั้นละครับผมห้ามใครไม่ได้555พูดสั้นๆ คนที่เค้าจับผิดก็ ก็เอาไปตีความตามใจเค้าสิครับเอาให้เคลียร์ไปเลย แถมอ่านใจคนอื่นไม่ได้ก็ คิดแต่ว่าตัวเองพูดถูก
    พูดอะไรมาก็ผิดหมด ถ้าจะคิดว่ามันผิด
    อะไรเกิดขึ้นก็ดีหมด ถ้าจะคิดให้ดี 555
    ไม่ต้องเป็นกระจกส่องหรอกครับ มองตัวเองตลอดไม่ได้คิดว่าเก่งดีเหมือนใครบางคน
    บางคนก็บอกไม่เบียดเบียน ทำได้แต่นอกๆ ในใจเนี่ย เมตตาจะฟังคนอื่นเค้าให้โอกาสคนอื่นเค้าแสดงความคิดก็ตอบโต้เค้าไปหมด คนเช่นนั้นอาจคิดว่าเค้าถูกสินะ55
    ใครแสดงพฤติกรรมก่อนคงไม่สำคัญหรอกครับสำคัญแต่ได้แสดงออกมาแล้ว 55
    ผมรู้เห็นสิ่งภายในใจ คนอื่นที่ผมไม่อยากให้รู้ผมก็ไม่เล่าไม่พูดแต่อันนี้อยากให้รู้เฉยไม่อยากรุ้อ่านไปอ่านสิครับบอกแล้ว
    สิ่งที่เห็นไม่ใช่ของจริงก็มี สิ่งที่เป็นของจริงไม่เคยเห็นก็มี ที่รู้แล้วจริงก็มีที่รู้แล้วไม่จริงก็มี
    ที่พระพุทธเจ้าอนุญาตไว้ เมื่อมีข้อบ่งชี้ก็ใช่ไม่มีก็ไม่ใช้ที่ห้ามไว้ก็อย่าทำ
    อ้อคนบางพวกก็เห็นได้โดยไม่มีญาณทัศนะครับ
    คุณต้นละนี่ก็ยึดมั่นถือมั่นดี ก้ดีแล้วล่ะครับ 55อะไรๆก้ดีหมด555 ยอมแพ้ครับ555
     
  17. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    สาธุ อนุโมทนาครับ
    ผมเองไม่ได้คิดจะเอาชนะท่านพี่ปรมิตรเลย
    และผมเองก็ไม่มีอะไรดี ไปซะหมดเลยนะ ถ้าเทียบเป็น % ความดีน่าจะมีไม่เกิน ๒๐ % นะครับ
    ผมแค่จะอธิบายเรื่องการกิน ของฆราวาสกับพระสงฆ์(พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว จึงเป็นข้อวัตรที่พระสงฆ์ต้องปฏิบัติ ) ว่าต่างกันเท่านั้นเองนะครับ หลักๆๆก็มีเท่านี้เอง
     
  18. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    คุณสองคนนี่ น่ารักกันจริง ๆ :d

    เวปปิดไป 2 อาทิตย์ เปิดเวปมาก็จัดกันต่อเนื่องเลยนะ ฮ่า ๆ ๆ

    ไม่มีใครถูกและผิดจริง ๆ

    ลองลำดับเหตุการณ์กัน เล่น ๆ นะจ้ะ

    จากกินผักกินหญ้าธรรมดา --> ศีล --> การเบียดเบียน --> ข้อวัตร --> วินัยสงฆ์ --> วิสัยพระพุทธเจ้า --> ????? ฮ่า ๆ ๆ

    โอ้..อันตรายจริง ๆ มานะทิษฐินี้ มีความอันตรายมากโดยแท้ เห็นชัดจริง ๆ แต่ไม่อยากยุ่งแล้ว..

    ด้วย มานะ นี้เป็นเหตุไปอบายภูมิได้โดยง่าย สมแล้วที่ ครูบาอาจารย์ สอนไว้ว่า มานะ เป็น ความเลวที่หยาบที่สุดในใจเรา

    ผมเคยคิดนะสมัยเด็ก ๆ เราหวังดี เราอยากให้เขาดีอยากสอนเขาแต่ก็ลืมสอนตัวเองมานะมันก็เกิด ทะนงตัวว่าเราเป็นคนดี

    มันจะไม่บอกตรง ๆ หรอกครับว่าเราดีแบบเฟื่องฟูในใจ ตามที่คิด ๆ กัน ไปคนละเรื่องกันเลย

    มันมีอาการที่แยบคายกว่านั้น กิเลส มันไม่ใช่แสดงปาหี่ จะได้มองเห็นกันง่าย ๆ เน้อ

    ไม่งั้นจะ โดนมันเป็นนายมานับภพนับชาติไม่ถ้วนกันหรือ ข้าพเจ้าก็ด้วยนะ โง่กว่ามันเยอะ

    กว่าจะรู้ก็อาจจะทำพลาดไปหลายอย่างในชีวิต หลายอย่างอาจจะย้อนไปแก้ไขอีกไม่ได้เลย

    เช่น กาลเวลาที่ล่วงไป คำพูดที่พูดแล้ว และ บาปกรรมที่ทำลงไปใน กาย วาจา และ ใจ

    ตัวเรานี้ไม่มีหรอกครับความดี มีแต่ เลวมาก เลวที่สุด ถ้าดีจริงคงไม่ต้องมาเกิดอีกแบบนี้

    ถ้าคิดว่าตนเองดี นิดเดียว ก็พลาดจากความดีทันที ดีจริงก็เลิกเกิด ดีลวงดีโลกก็อยู่ต่อไป

    เรื่องของ ญาณทัศนะ ต่าง ๆ วิชาพวกนี้มีอยู่แล้วก็ทำมันให้ได้สิครับของมันไม่ได้ยากเลย

    วิชาเหล่านี้ พุทธภูมิ ยังไงก็ต้องเรียนหลักสูตรบังคับไม่มีทางเว้นได้ จะได้ไม่ต้องมาเดาแบบนี้

    เลิกต่อความ...จบสิ้นไป ที่เหลือก็แล้วแต่บุญกรรมที่ทำกันมาก็แล้วกันโชคดีสหาย.. :'(
     
  19. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    มีเหรียญอยู่หนึ่งอัน มีสองด้าน ด้านหนึ่งเรียกว่าดี ด้านหนึ่งเรียกว่าชั่ว ท่านต้องการหยิบเหรียญอันนั้นขึ้นมาถือไว้ ด้วยนิ้วสองนิ้วของท่าน ท่านต้องหยิบเหรียญนั้นขึ้นมาด้วยวิธีไหน หากท่านแตะด้านดี ท่านก็ต้องถูกด้านชั่วอยู่ดี เมื่อเราคิดว่าเราดีเราถูก ฝ่ายตรงกันข้ามจะกลายเป็นฝ่ายผิดทันที หารู้ไม่ว่า ความชั่วติดเข้ามาในใจของเราแล้ว เป็นหลุมพรางที่คอยดักพวกที่ยังไม่รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง มีสรรพสัตว์มากมายติดอยู่ในวัฎสงสารนี้ เพราะเหตุดังกล่าว เช่น มีคนมาทำไม่ดีกับเรา คนที่เรารัก ด้วยการ ฆ่า ทำร้าย ขโมย ล่วงเกินทางร่างกาย ทางวาจา หลอกลวง ฉ้อฉล ฯลฯ สรุปก็คือไปเบียดเบียนเขา ก็จะเกิดอาการเจ็บใจ เจ็บแค้น จนในที่สุดก็จะผูกพยาบาทกัน และเกิดการแก้แค้นขึ้น(น่าจะเรียกว่าการเพิ่มแค้นมากกว่านะ) เมื่อแค้นก็จะลืมความดีความชั่ว ก็เบียดเบียนเขากลับ และเขาก็มาเอาคืน แล้วเราก็ไปเอาเขาคืน วนไปวนมา สุดท้ายก็ติดกับดักทั้งคู่
     
  20. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ก็ลอง ทำจริงๆๆ ดูนะท่านพี่
    มนุษย์ทุกคนหันมาบริโภคพืชผักผลไม้ ( โครงสร้างทางกายภาพของมนุษย์เป็นสัตว์บริโภคพืชผักผลไม้ ) = พระพุทธเจ้าพระองค์จะไม่ได้ทรงเหนื่อยในการบัญญัติศีลข้อที่ ๑


    ผู้รักษาศีลข้อที่ ๑ คือไม่ฆ่าสัตว์ตัวชีวิต (ไม่ทำปาณาติบาต) ย่อมได้รับอานิสงส์ถึง ๒๓ ประการ คือ
    ๑. บริบูรณ์ด้วยอวัยวะน้อยใหญ่ คือร่างกายไม่พิกลพิการ
    ๒. มีกายสูงและสมส่วน
    ๓. สมบูรณ์ด้วยความคล่องแคล่ว
    ๔. เป็นผู้มีเท้าประดิษฐานลงด้วยดี
    ๕. เป็นผู้สดใสรุ่งเรือง
    ๖. เป็นคนสะอาด
    ๗. เป็นคนอ่อนโยน
    ๘. เป็นคนมีความสุข
    ๙. เป็นคนแกล้วกล้า
    ๑๐. เป็นคนมีกำลังมาก
    ๑๑. มีถ้อยคำสละสลวยเพราะพริ้ง
    ๑๒. มีบริษัทบริวารมิได้พลัดพรากจากตน
    ๑๓. เป็นคนไม่สะดุ้งตกใจกลัว
    ๑๔. ข้าศึกศัตรูทำร้ายมิได้
    ๑๕. ไม่ตายด้วยความเพียรของผู้อื่น
    ๑๖. มีบริวารหาที่สุดมิได้
    ๑๗. รูปสวย
    ๑๘. ทรวดทรงสมส่วน
    ๑๙. ป่วยไข้น้อย
    ๒๐. ไม่มีเรื่องเสียใจ
    ๒๑. เป็นที่รักของชาวโลก
    ๒๒. มิได้พลัดพรากจากผู้หรือสิ่งที่รักและชอบใจ
    ๒๓. มีอายุยืน
    รักษาศีลข้อ ๑ คือไม่ฆ่า ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มีคุณานิสงส์ ล้วนแต่น่าพอใจ ล้วนแต่ทำให้สุขใจ



    ลักษณะมหาบุรุษที่ ๓. ส้นพระบาทยาว อายะตะปัณหิ พระบาทแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ปลายพระบาทสองส่วน ลำพระชงฆ์ (แข้ง) ตั้งในส่วนที่สาม เหลือส้นพระบาทอีกหนึ่งส่วน และส้นพระบาทนั้นสีแดงงาม

    ลักษณะมหาบุรุษที่ ๔. นิ้วพระหัตถ์ นิ้วพระบาทยาวเรียว กลมงาม ทีฆังคุลี

    ลักษณะมหาบุรุษที่ ๕. พระวรกายตั้งตรงดังกายท้าวมหาพรหม พรหมุชุ คัตโต ไม่น้อมไปข้างหน้า หรือหงายไปข้างหลัง

    ผลในชาตินี้ พระพุทธองค์มีพระชนมายุยืน ไม่มีผู้ใดปลงพระชนมชีพได้


    บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงเว้นปาณาติบาต มิได้เหยียบสัตว์ให้ตายด้วยความประมาท มิได้ประหารสัตว์ให้ตายด้วยพระหัตถ์ มีความละอาย มีความกรุณา มีความปรารถนาดีแก่สัตว์ทั้งปวง



    ลักษณะมหาบุรุษที่ ๒๐. มีเส้นประสาทสำหรับนำรสอาหารดีเลิศ ระสัคคะสัคคี มีเส้นประสาทปลายข้างบนประชุมอยู่ที่พระศอสำหรับนำรสอาหารแผ่ซ่านสม่ำเสมอ ไปทั่วพระวรกาย

    ผลในชาตินี้ พระพุทธองค์ทรงมีโรคาพาธน้อย มีความลำบากน้อย สมบูรณ์ด้วยเตโชธาตุทำให้ย่อยอาหารได้ดี เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียร ปฏิบัติธรรม


    บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าด้วยมือ ก้อนหิน ไม้ หรืออาวุธ ฆ่าเองหรือบังคับให้ผู้อื่นฆ่า หรือทำให้สัตว์ทั้งหลายหวาดกลัว






     

แชร์หน้านี้

Loading...