มายกระดับคุณภาพทางกาย และใจ จากการปลุกพลังกุณฑาลิณีภายในให้ตื่นขึ้นมา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย cosmiccell, 16 พฤษภาคม 2011.

  1. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    [​IMG]

    ผู้ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา มิใช่ผู้รู้ เพียงต้องการแบ่งปันประสบการณ์เล็กน้อย ให้ทราบถึง พลังภายในที่หลับไหลอยู่ในกายของเราทุกคน ในอีกแง่มุมนึง ที่ไม่เป็นอันตราย หากเราทำจิตใจให้สอดคล้องกับพลังดังกล่าว

    จุดประสงค์ของกระทู้นี้ ต้องการเสนอแนะ อีกวิธีการนึง ในการปลุกพลังภายใน หรือพลังกุณฑาลิณีที่หลับไหลอยู่ในกายให้ตื่นขึ้นมา เพื่อยกระดับการทำงานของร่างกายและจิตใจให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น

    อันจะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของทุกท่าน ในการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะความเป็นไปของพลังงานของโลกได้เป็นอย่างดี

    พลังงานชนิดนี้ คือ พลังเดียวกันกับพลังงานความรักของโลกที่มีให้กับสรรพชีวิตทั้งหมด

    ในกายของเรา มีพลังงานชนิดเดียวกันนี้ หลับไหลอยู่ และปากทางเข้าที่เชื่อมต่อพลังงานนี้ อยู่ที่บริเวณฝีเย็บ

    สิ่งสำคัญ ในการปลุกพลังที่หลับไหลนี้ขึ้นมา ท่านต้องทำจิตใจให้เหมือนกับจิตวิญญาณของโลกใบนี้

    นั่นก็คือ ลดละอัตตา อ่อนน้อมถ่อมตน มีความรักให้กับสรรพสิ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2011
  2. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253

    ถ้าพูดตามสำนวนของโกปิกฤษณะก็คงเป็นว่าพลังกุณฑาลิณีคือเครื่องมือกลไกทางจิตสรีระวิทยาที่อยู่ในร่างกายของคนเราที่คอยควบคุมบงการการยกระดับและวิวัฒนาการของมนุษย์ชาติกล่าวในความหมายนี้พลังกุณฑาลิณีมีความสำคัญกว่าอวัยวะสืบพันธุ์ที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรักษาเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ชาติเสียอีก


    กลไกอันนี้ทำงานเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในปุถุชนคนธรรมดาแต่สำหรับผู้ที่บำเพ็ญโยคะจนรุดหน้าแล้วจนสามารถทำให้พลังกุณฑาลิณีทำงานได้อย่างเต็มที่แล้วระบบประสาทไขกระดูกแกนสันหลังและมันสมองของคนผู้นั้นและอวัยวะอื่นๆในร่างกายของคนผู้นั้นจะถูกยกเครื่องใหม่ทำให้เกิดการลอกคราบเปลี่ยนแปลงคนผู้นั้นจากภายในทำให้คนนั้นกลายเป็นยอดคนที่่มีพลังและความสามารถทางกายทางจิตและทางสมองสูงกว่าคนธรรมดา

    กล่าวคือเมื่อพลังกุณฑาลิณีถูกปลุกให้ตื่นขึ้นต่อมเพศของคนผู้นั้นจะทำงานอย่างคึกคักหลั่งสารฮอร์โมนที่แปรเปลี่ยนไปเป็นพลังชีวิต(ชี่)อันพิสดารซึ่งจะไหลผ่านกระดูกสันหลังเข้าสู่สมองแล้วไปยกระดับการทำงานของเซลล์สมองทำให้จิตสำนึกของคนผู้นั้นขยายใหญ่ตามไปด้วย



    บุคคลผู้ได้ชื่อว่าเป็น “อัจฉริยะ” แทบทุกคนจะมีพลังกุณฑาลิณีที่ทำงานอย่างกระตือรือร้นกว่าคนธรรมดาสามัญกันทั้งนั้นแม้ว่าพลังกุณฑาลิณีของพวกเขาจะยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ก็ตามถ้าหากเราจะถามว่าพลังกุณฑาลิณีนี้จะผลักดันวิวัฒนาการของมนุษย์ชาติไปทิศทางใด

    โกปิ
    กฤษณะก็คงจะตอบว่าไปในทิศทางที่ทำให้มนุษย์เป็นผู้ที่มีจิตสำนึกสูงขึ้นจนกระทั่งเป็นจิตสำนึกแห่งจักรวาลในที่สุดหาใช่เพื่อมี “อภิญญา” ติดตัวแต่อย่างใดไม่


    (อ้างอิงจากหนังสือ ยอดคนมหาโยคะ Blog ���зӡ���Ǻ����������ŧҹ�ͧ ��.���Թ�� �ó���� �������ҹ�ѹ��Ѻ )
     
  3. Plagruy

    Plagruy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +130
    เอ่อ ผมขอค้านครับ ในอีกแง่มุมนึง ที่ไม่เป็นอันตราย

    ถ้าทำร่างกายถูกต้องพลังงานถูกต้อง พลังงานจะแรงมากในระดับนึง

    หากโคจรไปติดตรงไหนแล้วคุมไม่อยู่ก็อันตรายใช่ย่อย

    แล้วที่หลายท่านเล่นกัึนวิธีประหลาดๆถ้าคนทำเป็นทำละก็อันตรายใช่ย่อย

    เพราะผมเคยลองมาแล้ววิธีแปลกๆ ขอพูดแค่นี้
     
  4. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253

    ขอบคุณ ครับคุณ Plagruy ที่มาแชร์ด้วยความห่วงใย :)

    สิ่งที่ผมจะนำเสนอ เป็นประสบการณ์ส่วนตัว และไม่มีอันตรายใดๆเกิดขึ้น จากการตื่นขึ้นมาเลย

    เพราะวิธีอื่นที่มีอันตราย ผมก็ไม่แนะนำเช่นกันครับ หากไม่มีครูสอนอย่างใกล้ชิด

    หากมีผลเสียใดๆเกิดกับผู้อ่าน ผมคงไม่สบายใจเช่นกัน :)

    การตื่นขึ้นมาอย่างธรรมชาตินั้น

    เป็นการปลดล๊อคทัศนคติ ที่เรามีต่อเงื่อนไขภายในใจของเราเอง

    เมื่อทุกอย่างพร้อม พลังงานกุณฑาลิณี จะตื่นขึ้นมาทำงานฟื้นฟูระบบกาย และใจโดยอัตโนมัติ

     
  5. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253


    [​IMG][​IMG][​IMG]


    การตื่นขึ้นมานี้ ไม่ใช่การที่ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ ที่แสดงถึงการรู้แจ้งอย่างสมบูรณ์แบบ และไม่ต้องขัดเกลาจิตใจตนแล้ว

    (ดังจะเห็นเป็นสัญลักษณ์รัศมีรอบศีรษะ หรือลายเกลียวก้นหอย บนศีรษะพระพุทธรูป ที่เป็นสัญลักษณ์แทนการตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบของพลังกุณฑาลิณี)


    แต่เป็นเบื้องต้น ในการเปิดประตูบานนี้ เพื่อให้การจดจ่อเราหันกลับมาค้นหาความจริงจากภายในจิตของตนเอง เป็นนายของตนเอง


    แทนที่จะแสวงหาความรู้จากภายนอกเพียงอย่างเดียว


    เอาละครับ เกริ่นมายาวเฟื้อย มาเข้าเรื่องกันครับ


    เรื่องการเตรียมตัว


    ผมให้น้ำหนักการเตรียมร่างกาย 30% และการเตรียมทางด้านจิตใจ 70%


    ที่ให้น้ำหนักน้อยเรื่องการเตรียมร่างกาย เพราะท่ายากๆของโยคะ ของไทเก๊ก หรือ กายบริหารแบบอื่นๆ ที่ว่ายาก ที่ว่าดี ที่ช่วยกระตุ้นกุณฑาลิณี ผมไม่ได้ทำเลย
    :)

    จุดประสงค์ของการออกกำลังกาย จะด้วยวิธีใดก็ได้ ที่ทุกท่านถนัด

    ก็เพื่อให้ลมปราณภายในเดินทางได้ดี ไม่ติดขัด ที่จะส่งผลให้ร่างกายสบาย และจิตใจสงบ

    ส่วนการตื่นขึ้นมานั้น เกิดจากการเคลียร์ปมปัญหาในใจของเราได้แล้ว คือไม่กดทับปัญหา ไม่หลีกหนีปัญหา มองมันอย่างเข้าใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2011
  6. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    [​IMG]

    พลังงานของโลกนี้ ที่สถิตอยู่ภายในของพวกเราทุกคน คือ พลังงานความรักที่โลกมีให้ทุกสรรพสิ่ง

    เมื่อเรากำเนิดมา พลังงานนี้จะไหลเวียนได้อย่างดีเยี่ยม เพราะกระโหลกศีรษะของทารก และเด็กเล็กๆ ยังไม่เชื่อมต่อกันดี พลังงานแห่งชีวิต (กุณฑาลิณี) จะไหลเวียน ให้พลังงาน ชำระระบบภายในได้อย่างดีเยี่ยม

    หากมีลูก มีหลาน ที่ยังอยู่ในวัยทารก และวัยเด็กเล็กๆ ลองเอามือขวา ไปวางเหนือศีรษะของทารกน้อย ห่างซักหนึ่งผ่ามือ แล้วลองดูว่า มีลมเย็นๆพุ่งขึ้นมาประทะมือของเราหรือไม่ นั่นคือ พลังแห่งชีวิต ที่เปรียบเสมือนความรักของมารดาที่มีต่อบุตร คือ ความรักที่โลกมีให้เราอยู่เสมอ

    พอเริ่มรู้ภาษา เด็กๆ ได้รับเงื่อนไข ความเชื่อต่างๆจากครอบครัว จากสังคมแวดล้อม ทั้งดีและไม่ดีคละเคล้ากันไป จนมาสร้างเป็นอัตตาตัวตนปิดทับทางเดินของพลังงานนี้ ทำให้เส้นทางเดินของพลังงานทางธรรมชาตินี้ถูกตัดขาดไป

    เมื่อเส้นทางเดินนี้ ถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้งนึง ระบบร่างกายจึงได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ดังเช่นเด็กทารกที่กำลังเจริญเติบโต และเดี๋ยวต่อไปผมจะนำข้อมูลของโกปิ กฤษณะ และท่านอื่นๆมาเสนอต่อไป ว่าระบบที่ได้รับการฟื้นฟูนั้น ฟื้นฟูอย่างไร

    สิ่งสำคัญในการเปิดเส้นทางเดินพลังงานแห่งชีวิตนี้อีกครั้งนึงนั้น ก็คือ เปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นความรัก ตามหลักของพรหมวิหาร 4 ลดละอัตตาที่ฝังแน่นอยู่ในใจ นำคุณสมบัติความเป็นเด็กภายในใจเรา กลับมาอีกครั้งนึง

    เด็กลืมเรื่องร้ายๆได้ง่าย ให้อภัยได้ง่าย

    ให้อภัยตนเองให้ได้ก่อน จึงจะให้อภัยผู้อื่นได้จริงๆ

    สำรวจในใจว่า เรามีทัศนคติด้านความรักเป็นอย่างไร
    ความรักที่เรามีต่อ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตายาย คนรัก เพื่อนฝูง คนรอบข้างเป็นยังไงบ้าง

    สำรวจลึกลงไปว่า ความรักที่เรามีนั้น ก่อให้เกิดทุกข์กับตนเองหรือไม่

    ถ้ามี นั่นก็คือ เงื่อนไขนึงที่เราต้องแก้ไข และเปลี่ยนมันเป็นความเข้าใจ

    เงื่อนไขนึง ที่อยู่ในใจผม ตั้งแต่เล็กจนโต ก็คือ รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจครอบครัว ที่ต้องแยกกันอยู่ตั้งแต่เล็กๆ

    และสิ่งนั้นอยู่ในใจมาตลอด จนเมื่อโตขึ้นมา ก็เริ่มสร้างเงื่อนไขมาปิดกั้น เพื่อไม่ให้ตนเองรู้สึก เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    ท่านทั้งสองไม่ทราบว่าเราคิดยังไง แม้แต่ตัวเองก็ไม่ทราบ รู้แต่ว่า ไม่สนิทกันเหมือนตอนเด็กๆ

    จนเมื่อวันนึง เริ่มทำสมาธิ และความรู้สึกว่า ครอบครัวไม่รักก็วนเวียนกลับมาอีกครั้ง

    ผมมองดูมันอีกครั้ง จนเข้าใจถึงที่มาที่ไปของความรู้สึกที่อยู่ในใจนี้
    จนเงื่อนไขนี้สลายไป เปลี่ยนเป็นความปิติสุข เมฆหมอกที่เคยรบกวนจิตใจได้สลายไป

    ผมได้นึกถึงความรักที่เคยได้รับมาตลอดทั้งชีวิต จากครอบครัว ครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูง คนรัก คนรอบข้าง จากโลกที่มอบชีวิต มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ อย่างรู้บุญคุณ มีแต่ความรู้สึกเดียวคือ คำว่า ขอบคุณ

    จิตรวมตัว และมีแต่พลังงานความรักอยู่เต็มไปหมด

    พลังงานกุณฑาลิณี ที่ขดตัวอยู่ ได้พุ่งขึ้นมาจากกระดูกกระเบนเหน็บ วิ่งเป็นแสงสว่างขึ้นมาตามกระดูกสันหลัง และเกิดเป็นแสงสว่างจ้าทั่วไปหมด

    ผมจึงกล้าที่จะแนะนำว่า ความรักนี่แหละ คือ ตัวแปรสำคัญในการเชื้อเชิญให้พลังงานแห่งชีวิตนี้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างเป็นธรรมชาติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2011
  7. herriken

    herriken Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2005
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +91
    จักระตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่อันตรายนะครับ ถ้าจะเปิดควรมีครู หรือ ผู้รู้คอยชี้แนะอย่างใกล้ชิด แต่เท่าที่รุ้มาเราแค่กำหนดจิตไปยังจักระจุดอื่น ๆ แล้วพอถึงจุด ๆ หนึ่ง จักระจุดนี้ก็จะเปิดออกเอง...............น่าจะปลอดภัยกว่าน่ะครับ
     
  8. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    [​IMG]

    ใช้จินตนาการ เป็นพาหนะในการเดินทาง ไปรู้จักความรักภายในจิตใจของเรากันครับ

    "หากเรายังทุกข์ใจ เราไม่สามารถให้ความสุขคนอื่นได้จริงๆ
    หากเรายังไม่สบายใจ เราไม่สามารถนำความสบายใจไปให้คนอื่นได้เต็มที่
    หากเรายังไม่รักตนเอง เราจะรักผู้อื่นไม่ได้อย่างสนิทใจ"

    มาร่วมเปิดเส้นทางนี้ด้วยหัวใจอันเบิกบานครับ
    นึกมาที่หัวใจของเรากันเลยครับ

    นึกถึงความรัก ที่เราได้รับมาตลอดทั้งชีวิตนี้
    ไม่ว่าจะมาจากอดีต หรือคาดการณ์ถึงอนาคต
    นึกถึงความรัก ความปราถนาดี ที่ได้รับจากพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย คนรัก
    พี่น้อง เพื่อนฝูง ญาติมิตร
    เพื่อนร่วมงาน ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต สัตว์เลี้ยง ต้นไม้ ใบหญ้า ทะเล
    บ้าน สถานที่ต่างๆ สิ่งของเครื่องใช้
    ทุกสิ่งทุกอย่าง และสุดท้ายมาจากโลก จากจักรวาล

    รับรู้ถึงความรู้สึกของความรัก ที่หลั่งไหล พรั่งพรูออกมาจากหัวใจ


    ในขณะที่จินตนาการนี้ มีความรู้สึกด้านลบ ความโกรธ เกลียด ไม่สบายใจอะไรโผล่ขึ้นมาบนพื้นผิวของจิตสำนึกหรือไม่

    หากมี ให้เฝ้ามองเฉยๆ ไม่วิพากษ์ วิจารณ์ ความรู้สึกนี้ ไม่หลีก ไม่หนี
    เพียงเฝ้ามอง ให้เกิดความเข้าใจ จนความรัก การให้อภัยเข้ามาแทนที่

    จนภายในใจเรา ไม่มีมลภาวะใดๆเหลืออยู่ และให้ความรักนั้น

    ไหลล้นออกมา ไปท่วมคนที่เรารัก สรรพสิ่งรอบๆตัว
    ให้ท่วมโลก จักรวาล กันไปเลยครับ

    เป็นการวอร์มเครื่อง
    :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2011
  9. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ขอบคุณครับ คุณ herriken :)

    วิธีนี้ ไม่มีการเพ่งที่จักระใดจักระนึง ไม่มีการเพ่งที่ตำแหน่งฝีเย็บ และใช้กำลังจิตบีบบังคับให้ขึ้นมาครับ เป็นวิธีธรรมชาติ ที่ค่อยๆเป็นไป
     
  10. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ตอนที่พลังงานนี้ตื่นขึ้นมานั้น เป็นช่วงเวลา กายหลับ จิตตื่น

    เป็นช่วงคาบเกี่ยว ระหว่างหลับ และตื่น

    เป็นช่วงที่การจอจ่อกับสมาธิ จะเป็นธรรมชาติ ไม่ฝืน ไม่บังคับมากเกินไป

    ลองกำหนดเวลา โดยการตั้งปลุกกับตนเอง ให้ตื่นขึ้นมาซักครึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมง ก่อนเวลาตื่นปกติ

    ช่วงเวลานี้ เป็นช่วงที่กายมีการพักผ่อนมาพอสมควร และจิตจะไม่รับรู้ถึงประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้เต็มที่นัก

    พอรู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว อย่าเพิ่งขยับลุกจากที่นอน ให้รู้สึกตัวก็พอ แล้วทำสมาธิ โดยการเดินลมปราณ
     
  11. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    มาฝึกหายใจกันครับ

    บทความคัดลอกมาจาก การหายใจเป็น ของหลวงปู่พุทธะอิสระครับ


    จริงๆ แล้วทุกคนหายใจได้ แต่รู้บ้างมั้ยว่า เรายังหายใจกันไม่เป็น
    มาดูกันว่าชีวิตที่มันยืนยาว กับชีวิตที่สั้น มีลมหายใจต่างกันอย่างไร

    ลองสังเกตดูว่า ไม่ว่าจะเป็นนกก็ดี หมูก็ดี หนูก็ดี ปลาก็ดี ไก่ก็ดี
    หมาก็ดี แมวก็ดี มันจะมีลมหายใจถี่และไม่เป็นจังหวะเข้า-ออก ที่สม่ำเสมอ

    ทางวิทยาศาสตร์ถือว่า ลมหายใจที่เข้า มันสูดเอาสิ่งดีๆ เข้าไป
    เพื่อจะปรุงเป็นโลหิต ไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้มีพลัง
    การหายใจยาวๆ หมายถึง การได้สูดเอาของดีๆ
    ให้เข้าไปขับไล่ของเสียออกมาจากการหายใจออก
    ในขณะเดียวกันมันก็ทำหน้าที่ปรุงพลังให้กับร่างกาย

    มีเรื่องพิสูจน์ยืนยันได้ว่า การหายใจเข้า-ออก ยาวกว่าคนปกติธรรมดา
    จะมีชีวิตยืนยาวได้เป็น ๓๐๐-๔๐๐ ปี
    หรือไม่ตายแม้กระทั่งฝังทั้งเป็น อย่างในประเทศอินเดีย
    มีโยคีนอกศาสนาเรียนวิชาโยคะ วิชาโยคะมี ๓๘ ท่า
    ในท่าสุดท้ายจะมีวิธีการฝังตัวและหายใจแบบกบ เรียกว่า กบจำศีล
    มีอาจารย์โยคะท่านหนึ่ง สามารถที่จะฝังตัวเองได้เป็นสิบปี
    เมื่อถึงเวลาแล้วลูกศิษย์ไปขุดดู ปรากฏว่าอาจารย์ยังสบายดี ไม่ตาย
    ทั้งนี้ก็ได้มาจากการหายใจ ความละเอียดอ่อนของลมหายใจ
    และการรู้จักขั้นตอนในการระบายลมเข้าและออก

    ฉะนั้น “ลมหายใจ” นอกจากจะมีประโยชน์ในการให้พลังต่อร่างกายแล้ว
    มันยังหล่อเลี้ยงให้เรามีชีวิต มีพลังความคิด และมีอำนาจต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย
    จากการที่คนหายใจเป็น สัตว์หายใจเป็น

    แต่ผู้ที่หายใจไม่เป็น สัตว์ที่หายใจไม่เป็น เราจะเห็นว่า อายุจะสั้น
    เช่น แมวตายก่อนหมา หมาตายก่อนควาย ควายตายก่อนวัว
    วัวตายก่อนช้าง ช้างตายก่อนปลาวาฬ
    อะไรเหล่านี้ จะเห็นว่ามันมีการหายใจต่างกัน

    ถ้าถามว่าเกี่ยวกับระบบสรีระด้วยรึเปล่า?
    เกี่ยวกับปอด เกี่ยวกับถุงลม เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ด้วยรึเปล่า?

    สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยกรรมพันธุ์อย่างเดียว
    แต่มันเกิดขึ้นโดยการกระทำด้วยเหมือนกัน
    เช่น ถ้าเราฝึกปรือให้เด็๋กทารกรู้จักหายใจเข้ายาว ออกยาว เป็นจังหวะ
    มันก็สามารถที่จะทำให้เกิดพฤติกรรมทางร่างกาย
    เปลี่ยนแปลงกรรมพันธุ์ทางร่างกายได้อย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว

    เช่นในกรณีของคนที่มีพันธุ์หน้าอกเล็ก ปอดเล็ก ถุงลมเล็ก
    ถ้าเราฝึกให้รู้จักหายใจเป็น หายใจเข้าและออกยาวตั้งแต่เล็กๆ
    มันจะสามารถขยายทรวงอก ขยายโครงสร้างของร่างกาย
    และขยายอวัยวะต่างๆ ในร่างกายให้ทำงานได้
    เหมือนกับคนที่มีร่างกายแข็งแรงใหญ่ โต เรื่องนี้เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์

    หลวงปู่เคยใช้วิชาหายใจรักษาคนที่เป็นโรคปอด
    เป็นมะเร็งในปอด จนปอดเหลือข้างเดียว
    ตอนนั้นเค้าอายุ ๔๐ กว่า จนอยู่มาได้ถึง ๗๐ กว่า
    ด้วยวิธีการค่อยๆผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติ

    การหายใจเข้าลึกๆและผ่อนคลายออกยาวๆ นั้น
    มันจะสามารถขับความร้อนในกายที่เกิดจากการเสียดสีของการทำงาน
    มันจะขับของเสียที่มีอยู่ในกายออกไป ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องออกมาเป็นเหงื่อ

    แน่นอนละ ทางการแพทย์ย่อมรู้ว่า การขับเหงื่อออกมาเป็นการดี
    เพราะสามารถจะระบายของเสียในร่างกาย
    แต่ของเสียในร่างกาย มิใช่ออกมาจากเหงื่ออย่างเดียว
    มันออกมาจากลมได้ก็มี

    พวกเราจะสังเกตเห็นว่า หลวงปู่ไม่มีเหงื่อหยดติ๋งๆ
    ไม่ใช่เพราะว่า ต่อมต่างๆ มันอุดตัน แต่หลวงปู่จะใช้วิธีการหายใจ
    ระบายของเสียโดยลม แต่ไม่ยอมให้ร่างกายเสียน้ำ
    เพราะถ้าเสียน้ำมากจะเพลียมากกว่าเสียลม
    คนที่เหงื่อออกมากๆ ในเวลาทำงานนั้น
    เมื่อเลิกทำงานจะรู้สึกเพลียและกะปลกกะเปลี้ยไปหมด
    คือว่า ร่างกายเสียน้ำ ขาดน้ำ แต่หลวงปู่พยายามทำให้เหงื่อออกน้อยที่สุด
    แล้วพยายามระบายลมให้คงที่ เป็นปกติ
    ความเหนื่อยของเราก็จะผ่อนคลายออกมากับลมหายใจที่พ่นออก
    พลังเราก็จะเข้าไปกับลมหายใจที่สูดเข้า
    และเมื่อถึงเวลา เราจะระบายของเสียอีกประเภทหนึ่งออกมา
    ก็คือ ปัสสาวะ ถ้าเราเหนื่อยจัด หรือว่ามีของเสียมาก
    เราจะรู้สึกปวดปัสสาวะ นี่คือเทคนิคของผู้ที่มีศิลปะในการกำจัดของเสีย

    พวกที่รู้จักการหายใจ มีศิลปะในการระบายลมหายใจ
    นอกจากร่างกายจะมีพลังปกติ โคจรได้อย่างสมบูรณ์
    ยังมีเคล็ดวิเศษในวิชานี้อีก คือ สามารถดูดพลังจากธรรมชาติได้
    เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ถ้าไม่เชื่อ ลองถามลูกหลานที่เคยอยู่ใกล้หลวงปู่ว่า
    ถ้าหลวงปู่เป็นลมล้มลงไป จะไล่ทุกคนออกจากห้องทั้งหมด
    ขอเพียงอยู่ลำพังสัก ๓-๑๐ นาที
    หลวงปู่สามารถลุกขึ้นมาทำงานได้เป็นปกติทุกอย่างเหมือนมีพลังเท่าเดิม
    เพราะสามารถจะดูดพลังจากไอของความชื้น
    ความร้อน สุริยัน จันทรา และสิ่งแวดล้อมได้

    ใครจะปฏิเสธมั้ยว่า ผิวหนังสามารถจะหายใจและระบายของเสีย
    พร้อมๆ กับสูดเข้าได้ ถ้าปฏิเสธตรงนี้ ก็ต้องบอกว่า
    ถ้าอย่างนั้นเชื้อโรคและของที่เป็นพิษเข้าทางผิวหนังได้อย่างไร
    นี่แหละศิลปะในการหายใจ ทำให้เราสามารถหายใจทางผิวหนังได้
    สูดของเสียและระบายของเสียออกจากผิวหนังได้
    ในขณะเดียวกันก็สูดอากาศเข้าสู่ผิวหนังได้
    ก็อย่างที่เล่าว่าโยคีที่ฝังตัวเองไว้เป็น ๑๐ ปียังไม่ตาย
    เค้าหายใจทางไหน ได้รับน้ำกับความชื้นจากอะไร
    ก็จากผิวหนัง นี่คือศิลปะการสูดลมหายใจเป็นปกติและเทคนิคพิเศษ

    พระศาสดาจึงยกย่องว่า

    “ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นธรรมอันใด อันเลิศเท่าอานาปานะ
    ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นธรรมอันใด อันเลิศเท่ากับการเจริญสติในลมหายใจ
    ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นธรรมอันใด
    เลิศเท่ากับการรู้จักจะผ่อนคลายลมหายใจให้เป็นจังหวะ
    สำหรับการมีชีวิตอย่างมีพลังและผาสุก”

    เทคนิคของลมหายใจ มิใช่เพียงแค่จะสามารถสัมผัส
    กับพลังพิเศษๆจากธรรมชาติอย่างเดียว
    มันสามารถซึมซับพลังพิเศษๆ จากธรรมชาติได้ด้วย
    ในขณะเดียวกันเทคนิคของการหายใจเข้ายาวและออกยาวนั้น
    สามารถทำให้เราขับไล่พลังร้าย อารมณ์ร้าย
    แล้วก็พิษร้ายๆ ในร่างกายได้อีก
    ซึ่งเราไม่คิดว่ามันจะทำได้ แต่มันก็ทำได้ผลจริงๆเสียด้วย

    หลวงปู่เคยใช้วิชาลมหายใจขับพิษงูสามเหลี่ยมออกจากกาย
    สยบพิษตัวต่อ ๑๔ ตัว ไม่ให้เข้าหัวใจ ใช้วิชาลมหายใจสกัดจุด
    โดยการระบายลม เดินลม ๗ ฐาน ให้เลือดเสียออกมาทางจมูกและปาก
    พยายามบังคับพิษไม่ให้ซึมเข้าสู่ในสมอง ในสายเลือด
    ในการหมุนเวียนของเลือด แล้วก็ควบคุมรักษาความสมดุลของหัวใจ
    และการทำงานของสมอง นอกนั้นก็ปล่อยให้พิษซ่านไปตามผิวหนัง
    เพราะแค่คุม ๒ จุดนี้ร่างกายของเราสามารถอยู่ได้
    เราจะมีสติรู้ว่า หัวใจเราปกติมั้ย สมองปกติมั้ย พิษถึงสมองหรือเปล่า

    ฉะนั้นอำนาจของการหายใจ มิใช่เพียงแค่เราจะซึมซับพลังธรรมชาติ
    อณูของบรรยากาศเท่านั้น แต่ยังทำให้เราขจัดอำนาจของพิษร้าย
    ที่เกิดจากภัยของสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์มีพิษทั้งหลายได้
    และมันทำให้เราพร้อมที่จะตายอย่างเป็นผู้กล้าได้ด้วย

    มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงปู่ป่วย ไอเป็นเลือดตลอดเดือนเต็มๆ
    แล้วมีเสลดหนา ไออยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเสลดไปอุดหลอดลมไม่ให้หายใจ
    จึงหายใจไม่ออก ขลุกขลักๆ ร้องเรียกใครก็ไม่มีใครได้ยิน
    ตอนนั้นมันหมิ่นเหม่กับมัจจุราช แล้วความตายมันใกล้เคียงกัน
    ถึงขนาดเส้นผมบังเท่านั้นเอง
    แต่ด้วยพลังของลมหายใจที่เคยฝึกปรือจนเป็นปกติ
    จึงใช้หลักการหายใจขับเอาพลังเสลดให้ไหลย้อนกลับลงไปในลำไส้
    แล้วก็สูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พ่นออกมาเป็นก้อนๆ ตั้งแต่นั้นมาก็หายไอ

    ศิลปะการหายใจที่เป็นปกติ เข้ายาวและออกยาว
    ตอนฝึกใหม่ๆ เราจะรู้สึกอึดอัดและปวดหัว
    ทำให้หัวใจเต้นแรงแล้วก็เหนื่อย แต่อย่าไปเครียดกับการฝึก
    เราต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ แล้วก็ค่อยๆ ผ่อนออกมาช้าๆ เป็นระบบ

    จริงๆแล้วพวกทหารสอนวิธีนี้
    แต่เป็นการสอนแบบชนิดที่ไม่รู้ว่ามันได้ประโยชน์อะไร
    สอนเพียงแค่จะให้ยกอกขึ้น ให้สูดลมหายใจเพียงแค่จะแบะอก
    แต่ศิลปะการหายใจมิใช่เพียงแค่ให้แบะอก
    คนที่หายใจเข้ายาวออกยาวนั้น
    โครงสร้างของร่างกายจะผึ่งผายด้วย
    จะทำให้โครงสร้างดี ถ้าฝึกตั้งแต่เด็กๆ

    ทีนี้ ทำอย่างไรถึงจะหายใจเป็น
    ก็เริ่มต้นจากการฝึกหายใจเป็นปกติเสียก่อน
    เราเคยรู้มั้ยว่าเราหายใจปกติอย่างไร เข้ากี่ที ออกกี่ที
    ใน ๑ นาทีเข้ากี่ครั้ง ออกกี่ครั้ง
    เมื่อเรานับได้รู้ได้ว่า ๑ นาทีเข้ากี่ครั้ง ออกกี่ครั้ง ก็ทำให้มันช้าลงกว่านั้น
    แล้วเราจะรู้เทคนิคของมันเองว่า จะช้าได้อย่างไร
    ถ้าเราทำให้ยาวแล้ว มันก็จะยาวเป็นปกติ

    หลังจากที่เราเริ่มหายใจเป็นเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงในหนึ่งวัน
    มันจะมีสิ่งผิดปกติในร่างกายของเราบ่งบอกให้เห็น
    ลูกตาจะเป็นประกาย สีหน้าจะมีแสงสว่าง
    ถ้าเรามีดวงตาอันสว่างไสวและมองเห็น จับได้
    จะสามารถรู้สัมผัสว่า รัศมีรอบกายจะสว่างรุ่งเรืองแค่ไหน
    มันอยู่ที่การเดินลมหายใจ เรียกว่า “ฉัพพรรณรังสี”

    พระพุทธเจ้า พระศาสดา พระสาวก มี “ฉัพพรรณรังสี”
    เพราะการฝึกปรือลมหายใจ วิชานี้ถ้าใครฝึกปรือได้
    ก็จะสามารถเปล่งพลังแสงในร่างกายให้สว่าง
    การเปล่งนั้นคนสามัญจะสัมผัสและจับไม่ได้
    แต่คนที่มีตาวิเศษ มีหูวิเศษ มีการสัมผัสทางกายที่วิเศษ
    จะสามารถรู้ได้ว่า คนคนนี้สะอาดแค่ไหน บริสุทธิ์อย่างไร
    เหมือนกับคนที่รู้จักตัวหิ่งห้อยบินมาในความมืด
    คนที่ไม่รู้จักตัวหิ่งห้อยก็จะมองว่า เอ๊ะ...นั่นแสงอะไร
    แต่สำหรับคนที่เคยเห็นตัวหิ่งห้อย ก็จะบอกได้ทันทีว่า นั่นแสงหิ่งห้อย

    เมื่อเราสามารถหายใจยาว เข้าออกยาว
    จนสามารถสกัดจุดต่างๆ ในร่างกายได้ สกัดพิษได้
    และทำให้ร่างกายสดชื่นในขณะที่สูญเสียพลังได้
    เราจะแก่เพียงแค่อายุ เส้นผม ผิวหนัง สายตา
    แต่สิ่งแวดล้อมในตัวเราจะไม่แก่ตาม
    ร่างกายและสุขภาพเราจะยังสดใส มีพลัง
    มีสมดุล พอสมควรที่จะทำกิจกรรมได้

    ศิลปะการหายใจไม่ใช่เพียงให้เรามีอำนาจพิเศษเพียงแค่นี้
    มันยังทำให้เราสามารถสำรวจและสัมผัสรังสี
    ที่เกิดจากคลื่นกระแสของความคิดที่ชาวบ้านมีต่อเรา
    คือ อิจฉา โกรธ โลภ หลง รัก ชอบ ชัง ยอมรับและปฏิเสธ
    เราสามารถที่จะสัมผัสได้ละเอียดอ่อนถึงอย่างนี้ในอารมณ์ของคนอื่น
    เราจะรู้ได้ทันทีว่า คนที่มาหาเราจะมีความรู้สึก ความคิดอย่างไร
    สมองกำลังทำอะไร มีอารมณ์ปกติหรือผิดปกติอย่างไร
    โกรธหรือว่าชอบ รักหรือชัง การสัมผัสด้วยลมหายใจอันละเอียดอ่อน
    มันจะทำให้เราเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น อย่างทรงสติ
    แล้วเมื่อใดที่เราเหนื่อยอ่อน เมื่อยล้าจากการทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย
    และเจ็บปวดในอวัยวะทั้งหลายในบางที บางที่ บางตำแหน่ง
    บางส่วนของร่างกาย เราสามารถจะใช้ลมหายใจเข้าไปผ่อนคลาย
    ความเครียดตรงนั้นให้คลายความเจ็บปวด
    คลายความทุกข์ทรมานลงได้ จนเกือบที่จะหายสนิททีเดียว

    หลายครั้งที่หลวงปู่ใช้ศิลปะในการเดินลมหายใจ
    เข้ามาผ่อนคลายความเจ็บ ปวดที่เกิดขึ้น
    ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ โรคภัยไข้เจ็บ หรือจากการเบียดเบียนของสิ่งแวดล้อม
    ตัวอย่างเช่น ตอนที่หลวงปู่ทำศาลา แล้วเกือบโดนหินกระแทก
    ตอนนั้นหลวงปู่ต้องทำมือให้ลีบแล้วก็เกร็งพลัง
    เพื่อที่จะต้านพลังของหินสอง ก้อนที่มากระทบกัน
    ซึ่งมีมือเราอยู่ตรงกลาง มันเป็นศิลปะที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ
    ไม่ได้กำหนดโดยสมอง ไม่ใช่สมองสั่งงาน เรียกว่า เป็นอิริยาบถอัตโนมัติทันที
    เหตุเพราะเราได้ฝึกปรือลมหายใจจนเป็นปกติ
    เพราะฉะนั้นทุกอย่างมันจะเป็นอัตโนมัติของมัน ถ้าเราฝึกถึงขั้นหนึ่งแล้ว

    ถ้าเรายังไม่รู้ว่าการหายใจของเรานั้น เข้ายาวหรือออกสั้น
    เข้าสั้นหรือออกยาว ก็แสดงว่า เราไม่ได้ควบคุมการหายใจ
    เราก็ไม่ใช่ผู้ฝึกสมาธิ เราไม่เป็นสมาธิ ไม่รู้จักสมาธิ
    และนั่นก็ไม่ใช่สมาธิด้วย

    แต่ถ้าเมื่อใดที่เราสามารถระลึกรู้ได้ว่า
    ในขณะที่เรากำลังหายใจและการหายใจของเรามันสั้นหรือยาว
    ออกยาวหรือสั้น เราระลึกรู้ได้และตามติดมันได้
    มันจะสามารถบอกเราได้ทันทีว่าความสงบ สันติ จะเกิดขึ้น
    นั่นแหละคือ สมาธิ เป็นสมาธิโดยไม่มีอะไรเข้ามาวุ่นวาย
    และคิดสับสนในขณะนั้น

    คำว่า “สมาธิ” ตัวนี้ แปลว่า ความคิดต้องรวมเป็นหนึ่ง
    หลวงปู่เคยสอนวิชานิรรูป ให้ลูกหลานรวมกายกับใจ
    ผนึกรวมกันเป็นหนึ่ง เหมือนกับน้ำที่วิ่งแยกออกไปคนละสาย
    สองสายในสายท่อเดียวกัน น้ำที่วิ่งออกจากตาเห็นรูป
    เป็นพลังที่สูญเสีย วิ่งจากหูฟังเสียง เป็นพลังที่สูญเสีย
    วิ่งจากลิ้นที่รับรส เป็นพลังที่สูญเสีย วิ่งออกจากกายไปต้องสัมผัส
    เป็นพลังที่สูญเสีย ถ้าสายน้ำในท่อไหลแยกออกที่รูรั่วตามจุดต่างๆ ๕ แห่ง
    มันคงจะไหลไปถึงเป้าหมายอย่างอ่อนแรงเป็นแน่
    แต่ถ้าเราอุดรูรั่วทั้งห้าให้หมด แล้วปล่อยให้มันไหลตรงๆ ไปข้างหน้า
    แน่ละมันย่อมทะลวง ทำลาย และก็ทลายภูเขา
    หินผา ที่อยู่ข้างหน้า เพราะมีพลังที่แรงและมั่นคง

    ฉันใดก็ฉันนั้น พลังสมาธิของเราก็เหมือนกัน
    ถ้าปล่อยให้มันลื่นไหลไปกับความรู้สึกอื่นๆ
    ซึ่งจัดว่าเป็นอารมณ์ นั่นไม่ใช่สมาธิ เราจะสูญเสียพลัง

    พวกเราฝึกปรือและเรียนรู้ที่จะใช้พลัง
    แต่ไม่ฝึกปรือที่จะทำให้เกิดพลัง
    ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เราพยายามที่จะเค้นเอาพลังจากส่วนนั้นส่วนนี้มาใช้
    แต่เราไม่รู้ว่าพลังเหล่านี้เกิดมาจากอะไร
    เราจะอ้างว่าพลังเกิดจากร่างกาย
    แต่จริงๆ แล้วพลังไม่ใช่เกิดจากร่างกายโดยตรง
    มันเป็นผลทางอ้อมทั้งนั้น ไม่ว่าพลังจะเกิดจากอาหาร
    เกิดจากการผ่อนคลาย เกิดจากการพักผ่อน ไม่ใช่โดยตรง
    แต่พลังที่สุดยอดนั้นมันเกิดจากหัวใจที่รวมเป็นหนึ่ง
    กับกายและพักผ่อนได้ อย่างสนิท
    เวลาเราง่วง เพลีย เราก็อยากจะพัก ใจมันก็อยากจะพัก
    สมองก็อยากจะพัก แต่เราไม่เคยพักใจพักสมอง
    เพราะแม้แต่ตอนนอนก็ยังฝัน ใครจะปฏิเสธว่าไม่จริง

    เพราะฉะนั้นพลังที่ควรจะได้ ไม่ใช่ได้จากอาหารอย่างเดียว
    ไม่ใช่ได้จากการนอนหลับพักผ่อนอย่างเดียว
    ไม่ใช่ได้จากการที่ต้องไปดูหนังดูละคร พักผ่อนเล่นดนตรีอย่างเดียว
    แต่มันต้องได้มาจากความสงบและสันติของจิต
    ซึ่งไม่มีอะไรมากระทบรบกวน เรียกว่า “สมาธิ” นั่นแหละเป็นพลัง
    เราไม่ค่อยฝึกปรือที่จะสร้างพลัง มีแต่ฝึกปรือที่จะใช้พลัง
    และเพียรพยายามที่จะเค้นเอาพลัง ทั้งๆ ที่บางทีก็ไม่มีพลัง

    ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงต้องทรงสอนให้เราพยายามเข้าถึงจุดกำเนิดแห่งพลัง
    และในจุดกำเนิดแห่งพลังอันนั้นก็คือ “ศิลปะของการหายใจ”

    เรารู้กันมาแล้วว่า คนที่หายใจสั้น สัตว์ที่หายใจสั้น จังหวะสั้น
    เป็นคนที่ไร้พลัง เป็นสัตว์ที่ชีวิตสั้น เป็นผู้มีอายุสั้น
    คนที่หายใจยาว สัตว์ที่หายใจยาว มีจังหวะเข้ายาวออกยาว
    เป็นคนมากพลัง มีชีวิตอันยาวไกล


    เมื่อรู้อย่างนี้ เราก็ต้องกลับมาสร้างพลังให้เกิดขึ้นภายใน
    เรียกภาษาโบราณของจีนว่า กำลังภายในพลังปราณ
    เมื่อเรามีกำลังภายในเกิดขึ้น
    มันจะทำให้เกิดผลสะท้อนออกมาถึงพลังภายนอกอย่างกล้าแข็ง

    ลูกศิษย์ของหลวงปู่คนหนึ่ง เรียนลัทธิเต๋า
    ตอนหลังมาศึกษาวิชาชี่กง แต่ก็ยังไม่เข้าถึงขุมพลังแห่งร่างกาย
    ต่อมาหลวงปู่สอนให้เค้าเดินลม จนสามารถที่จะตบกำแพงตึกห้องที่หนึ่ง
    สะเทือนไปถึงกำแพงตึกห้องที่สิบ คนอยู่ห้องที่สิบได้ยินเสียงตบด้วยฝ่ามือ
    กำแพงไม่ได้ทะลุหรอกนะ แต่มันกระเทือนไปถึงตรงนั้นได้
    ซึ่งคนธรรมดาตบแล้วกระเทือนไม่ได้ เอาฆ้อนตียังกระเทือนไม่ได้
    กระแทกจนกำแพงทะลุก็ยังกระเทือนไม่ถึงห้องที่สิบ

    พลังชนิดนี้ มันเป็นพลังแฝงที่อยู่ภายใน เรียกว่า “พลังกุณฑาลิณี”
    เป็นภาษาสันสกฤตโบราณ คนโบราณในอินเดียรู้จักจะฝึกปรือพลังชนิดนี้
    เอามาใช้เมื่อยามจำเป็น เช่น นักมวยปล้ำ พวกที่ต้องจับช้าง
    สู้กับเสือ กับกระทิง พวกนี้จะฝึกปรือพันธาริณี
    เพื่อที่จะสยบช้าง สยบสิงโต สยบเสือ ด้วยมือเปล่า ไม่ใช่ด้วยอาวุธ
     
  12. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ศิลปะในการหายใจ

    คัดลอกจากบทความ ของหลวงปู่พุทธะอิสระ ครับ



    มีการค้นพบกันว่า สัตว์ที่หายใจสั้นและถี่ จะมีชีวิตสั้น ส่วนสัตว์ที่หายใจยาวและเป็นระบบ จะมีอายุยืนยาว อวัยวะในกาย เซลล์ต่างๆ ในกาย จะตื่นตัวและเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเสมอ สังเกตดูได้จากสัตว์รอบๆ ตัวท่าน

    ศิลปะในการหายใจนี้ หลวงปู่เรียกมันว่า ลม ๗ ฐาน หรือใครจะเรียกมันว่า โยคะ หรือ โยคี อะไรก็แล้วแต่ มันมีอยู่แล้วในศิลปะการหายใจ มีอยู่ในพระพุทธศาสนา นั่นคือ วิชาอานาปานสติกรรมฐานนี้แหละ วิชาอานาปานสติ กรรมฐาน คือ การค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ หายใจด้วยความผ่อนคลาย ความรู้สึกดื่มด่ำ ซึมซาบ และซึมสิงกับกลิ่นอายธรรมชาติแวดล้อมที่สูดเข้าไป และไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน พร้อมกับขับถ่ายของเสียออกมากับลมหายใจที่ระบายออกเหล่านี้ คือ การตามดูลมที่เข้าและออก มีสติ จดจ่อ จับจ้อง จริงจัง และก็ตั้งใจ

    ศิลปะในการหายใจเพื่อการผ่อนคลาย หลวงปู่ไม่อยากจะเรียกมันให้เป็นวิชาสูงส่ง เพราะพระพุทธเจ้าทรงสูงส่งกว่าหลวงปู่มาก แต่ประสบการณ์ทางวิญญาณที่หลวงปู่ได้รับรู้ จากการปฏิบัติ ที่นำมาเล่าสู่พวกท่านฟัง ก็คือ ระบบการหายใจคำพูดประโยคหนึ่งที่หลวงปู่พูด คิด ทำ ที่พวกท่านได้ฟังบ่อยๆ ก็คือเรื่อง จัดระเบียบของกาย จนเป็นระบบของความคิด

    เพราะฉะนั้น เรามาเริ่มจัดโครงสร้างของกายให้เป็นระเบียบกันก่อน ที่จริงเราฝึกจิตมิใช่ฝึกกาย แต่เมื่อกายเป็นที่อยู่แห่งจิต เราก็จำเป็นต้องปรับระบบโครงสร้างของกายให้โล่ง โปร่งเบา ผ่อนคลาย จนเป็นที่สบายของจิตเสียก่อน

    เริ่มจากการปรับโครงสร้างของกายให้ตรง ไม่ว่าจะอยู่ในท่าไหนๆ ท่านั่งก็ได้ ท่ายืนก็ได้ ท่าเดินก็ได้ หรือ ท่านอนก็ได้ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ปรับโครงสร้างของตนให้มีอิริยาบถ ๓ ประการ คือ อิริยาบถสะอาด อิริยาบถสงบ อิริยาบถปกติ เมื่อเรามีอิริยาบถอันสะอาด อันได้แก่ อิริยาบถที่ปราศจากมลทิน อิริยาบถที่ปราศจากเครื่องร้อยรัด อิริยาบถ ที่ปราศจากความคั่งค้าง คาราคาซัง ไม่เสร็จ ไม่เสร็จในภารกิจ ทั้งปวง ส่วนอิริยาบถสงบ คือ อิริยาบถที่ผ่านขั้นตอนในการชำระล้าง สะสาง ขจัด เครื่องร้อยรัดและมลทิน พร้อมกับภารกิจทั้งปวงได้ถูกปล่อยวางจนหมดสิ้นแล้ว สำหรับอิริยาบถ ปกติ นั่นมันหมายถึง ความจริงจัง จริงใจ สนใจ สม่ำเสมอ ต่อการชำระสะสาง ขจัด ขัดเกลา ในภาระทั้งเก่าและใหม่ ให้หดหาย ผ่อนคลาย เบาสบาย ทีนี้ก็เริ่มที่จะจัดโครงสร้างภายในกาย

    ก่อนอื่นลองดูรูปโครงกระดูกที่มีให้ไว้นี้ รูปโครงกระดูกที่เห็นนี้ จะเป็นคู่มือในการจัดโครงสร้างของกายเป็นรูปที่ช่วยป้องกันภัยพิบัติจากตา เห็น หูฟัง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส และกายสัมผัส

    ลำดับแรก เราน้อมเอารูปโครงกระดูกอันนี้ เข้ามาอยู่ในกายเรา ลำดับที่ ๒ ก็คือ โยกขยับปรับโครงสร้าง ลองขยับดูให้ดี ตรงไหนมันบิดมันเบี้ยว ทับเส้นเอ็นเส้นประสาท จัดให้เข้าท่าเข้าทาง จนแน่ใจว่า ทำให้เราสบายในขณะที่นั่งอยู่ได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ส่วนมือไม้จะวางไว้ตรงไหน หลวงปู่ไม่จำเป็นจะต้องบอก ว่าจะต้องวางไว้ที่เข่าอย่างหลวงปู่ เพราะหลวงปู่ถนัดอย่างนี้ ก็วางอย่างนี้ แต่ถ้าท่านถนัดอย่างไร ก็วางเอาไว้อย่างนั้น หรืออาจจะเอามาซ้อนไว้ตรงหน้าตักก็ได้ หรือวางทิ้งไว้ข้างขาก็ได้ จะหลับตาก็ได้ ลืมตาก็ได้ แล้วแต่แต่ต้องไม่เกร็ง หรือข่มหนังตาและลูกตา

    ทีนี้ลองโยกตัวไปข้างหน้า โยกตรงๆ ไม่ใช่โยกเอียง ไปข้างใดข้างหนึ่ง โดยทิ้งน้ำหนักตัวลงสู่ช่วงล่างของลำตัว เพื่อรักษาดุลถ่วง ตอนที่โยกตัวไปข้างหน้า ก็ให้ส่งความรู้สึก ไปในโครงสร้างดูว่า กระดูกทุกส่วนของร่างกายมันมีอะไรบกพร่องบ้าง อะไรผิดพลาดบ้าง โยกตัวไปช้าๆ ให้ลำตัวเกือบ ขนานกับพื้น อย่างมีสติ แล้วค่อยๆ โน้มขึ้นมาให้ตั้งตรง แล้วก็เอนไปทางขวา แล้วก็กลับมาตั้งตรงขึ้นมาอย่างช้าๆ จากนั้นเอนไปทางซ้าย แล้วก็ตั้งตรงขึ้นมาอย่างช้าๆ ถ้าเราส่งความรู้สึกมันลงไปในกาย แล้วคลุมอาการไหว ของโครงสร้างภายในกายให้ตลอด แล้วเราก็จะสัมผัสได้ถึงความชัดเจน รู้จริง เห็นจริง ในอิริยาบถของตนเอง แล้วสิ่งหนึ่งที่จะปรากฏแก่เราก็คือ ความสงบ สงบไหม เริ่มรู้สึกตัวทั่วพร้อมแล้วใช่ไหม เช่นนี้แหละที่เรียกว่า สติปัฏฐาน นั่นคือ สติเป็นฐานที่ตั้งมั่น ของพฤติกรรม เรื่องที่เราทำ คำที่เราพูด สูตรที่เราคิด จะถูกต้องชอบธรรมได้ก็ด้วยอาศัยฐานที่ตั้งอันนี้แหละ

    เอาละ...ขยับโยกไปข้างหลังอีกหน่อย ตรวจสอบก้นกบ และโครงสร้างของเรา ต้องทำอย่างจริงจังและจับจ้องต่อมัน แล้วก็กลับมาอยู่ในท่าตรง ขยับหัวไหล่ แล้วแอ่นอกไปข้างหน้า แอ่นอกไปข้างหลัง จากนั้นตรวจสอบดูให้พร้อมว่า กระดูกส่วนใดมีความผิดปกติบ้าง บิดคอจากซ้ายไปขวา ขวาก็ไปซ้าย แล้วมองตรง เงยคอและหน้าขึ้นมองเพดาน และก็กลับมามองตรงเฉพาะหน้า สายตาทอดลงต่ำ

    เมื่อเราได้โครงสร้างที่เหมาะสมแล้ว เราก็ค่อยๆ เริ่มหรี่เปลือกตาลงน้อยๆ ด้วยความสุขุมนุ่มนวล และสุภาพอ่อนโยน ไม่ใช่หลับจนเกร็งเปลือกตาจนหลับปี๋ จะกลายเป็นความถมึงทึง เครียด

    เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ ให้เต็มปอด ลึกสุดหยั่งเต็มที่ พร้อมตามดูลมไป จนกระทั่งมันพุ่งพล่านอยู่ภายใน เปรียบประดุจดังน้ำที่เทเข้าขวดจนเต็มแน่นอัด ในขณะที่มันกำลังเต็มก็เกิดฟองคลื่น แล้วก็ล้นไหลนองออกมาจากขวด เราต้องปิดฝาขวดไว้สักพัก คือ กักลมทิ้งไว้ อย่าเพิ่งผ่อนลมออก นับในใจว่า ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖ แล้วก็เปิดฝาขวดค่อยๆรินน้ำออก คือ ผ่อนลมออกอย่างแผ่วเบา สุภาพ ผ่อนคลาย และหมดจด แล้วพักไว้สักนิด หยุดกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งครั้ง แล้วค่อยๆสูดเข้าไปใหม่อย่างสุขุม คัมภีรภาพ เบิกบาน เต็มสมบูรณ์ สูดให้เต็มปอด จนกระทั่งลมมันยกหน้าอกขึ้น แล้วก็กักลมทิ้งไว้ พร้อมกับนับใหม่

    เราอาจจะนับไม่ถึง ๖ ก็ได้หรือไม่นับก็ได้ เพื่อให้ลมมันได้พุ่งพล่านไปในกาย ปลุกเส้นประสาททั้งหลายให้ตื่นตัว เมื่อมันตื่นหมดจนคิดว่าทนไม่ไหวแล้ว ค่อยๆผ่อนออกพยายามอย่าไปกลั้นลมจนเราทนไม่ไหว ตรงนี้มันจะทำให้เหนื่อย ที่จริงไม่ต้องใช้คำว่า ทนไม่ไหว แต่ว่ามันเหลือกลั้นก็ผ่อนออก ผ่อนด้วยความนิ่มนวล ผ่อนคลาย ผ่อนของเสียที่มีอยู่ในกายออกมา ดูดของดีเข้าไปใหม่ เพื่อปรุงชีวิตอินทรีย์ขึ้นใหม่ แล้วก็ขับของเสียออกมา ผ่อนออกแล้วต้องทิ้งไว้นิดหนึ่ง แล้วจึงจะสูดเข้าไปใหม่ เพราะถ้าสูดเข้าไปเลยมันจะทำให้เหนื่อย

    การผ่อนลม จะผ่อนออกทางปากก็ได้ ไม่จำเป็นต้องผ่อนทางจมูกเสมอไป ไม่มีข้อห้ามว่าจะต้องออกทางจมูกเท่านั้น สูดเข้าทางจมูกและผ่อนออกทางปากก็ได้ เหมือนกับอักษร จ แต่เขียนหางตัว จ ก่อน แล้วมาจบที่หัว หรือจะสูดเข้าทางปากแล้วออกทางจมูกก็ได้ เหมือนอักษร "จ" ที่เขียนตามปกติ เสร็จแล้วลองสำรวจดูอารมณ์ว่า สงบไหม... สงบ...ทรงความสงบนั้นไว้ก่อน อย่าเพิ่งปล่อยให้เราแยกแตกออกจากกันกับความสงบนั้น จงรักษาความสงบนั้นต่อไป ขั้นแรกของวิชา ลม ๗ ฐาน เอาแค่นี้ก่อน อาจยังเรียกไม่ได้ว่าขั้นแรก แต่อาจบอกได้ว่า เป็นพื้นฐานของวิชา ลม ๗ ฐาน พอได้ ช่วงนี้ขอเพียงพวกเรารู้จักถึงกลิ่นอาย รสชาติ ที่แท้จริงของสติ สงบ เท่านี้ก่อน เพียงแค่นี้มันก็ทำให้เรารู้สึกดื่มด่ำ ชุ่มฉ่ำ แช่มชื่น และมีสันติสุข พอที่จะเป็นฐาน เป็นพลัง ให้เราได้ทำ พูด คิด อย่างสมบูรณ์ ถูกต้องแล้ว

    เข้าใจวิธีแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นวิธีนี้คือวิธีที่เรียกว่า ศิลปะในการหายใจ เพื่อความผ่อนคลาย การที่เรากักลมทิ้งไว้ ลมที่กักมันจะทำให้หัวใจเราเต้นแรง หลอดเลือดจะขยาย โลหิตจะไหลเวียนได้มากยิ่งขึ้น ใครที่เป็นโรคเส้นโลหิตอุดตัน เป็นโรคความดัน หรือเป็นโรคปลายประสาทฝ่อ จะแก้และรักษาได้ด้วยวิธีนี้

    ฝึกใหม่ๆ แค่ ๕ ครั้งก็น่าจะพอแล้ว ถ้า ๑๐ ครั้ง มันจะเหนื่อยเกินไป แล้วค่อยๆเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ จะต้องทำติดต่อกันจนเป็นปกติของชีวิตเรา นี่เป็นวิธีการที่จะทำให้เราตั้งมั่นอยู่ได้ในทุกอิริยาบถ ถ้าหากเราฝึกจนถึงขั้นที่สามารถจะรู้เท่าทัน จตุธาตุวัฏฐาน หรือความเป็นไปของธาตุทั้ง ๔ ภายในกาย เราก็สามารถจะควบคุมกายนี้ได้ เป็นนายกายนี้ถูก สมองทุกห้องของเรา จะใช้มันอย่างสมบูรณ์ ประสาททุกส่วนในตัวเรา จะได้รับการปลุกให้ตื่นได้ทุกเวลา ถ้าเราอยากตื่น


    ฝึกลมหายใจ ตามหลักที่หลวงปู่ ท่านเมตตาสอนมา จนชำนาญก่อนครับ
    จนรับรู้ได้ถึงกระแสลมปราณ ที่อยู่ภายในลมหายใจ

    เป็นกระแสลมปราณ ที่แรงดึงดูดคล้ายๆไฟฟ้า แต่เปี่ยมด้วยความสงบสันติ

    กระแสลมปราณดังกล่าว จะรับรู้ได้ เมื่อลมหายใจเริ่มละเอียด

    เราจะใช้กระแสลมปราณนี้ครับ ในการเดินไปตามวงจรจักรวาลภายใน

    แล้วนำมาใช้กับท่านอน ตอนกายหลับ จิตตื่น
     
  13. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    [​IMG]

    การเดินลมปราณภายใน ตามวงจรจักรวาลภายใน ก็เพื่อให้ลมปราณไปดึงเอาข้อมูลที่อยู่ในจิตใต้สำนึกที่ฝังตัวอยู่ภายในเซลล์ต่างๆออกมา


    เมื่อเดินลมปราณได้จนชำนาญแล้ว

    ในช่วงกายหลับ จิตตื่น

    ในท่านอนหงาย ที่สบายๆ

    หายใจเข้า ทางจมูก มาที่คอหอย หน้าอก สะดือ ท้องน้อย ฝีเย็บ
    หายใจออก ขึ้นไปที่กระดูกกระเบนเหน็บ โพรงกระดูกสันหลัง กระดูกคอ ท้ายทอย กระหม่อม หน้าผาก และออกจมูก

    หายใจช้าๆ สบายๆ ไม่ฝืน ไม่เกร็ง จนลมหายใจเริ่มละเอียดขึ้นๆ

    จนเราเป็นผู้ดู ลมปราณที่เคลื่อนขึ้นเคลื่อนลง เป็นวงจรอัตโนมัติ

    ในระหว่างนี้ หากมีความคิด ความรู้สึกใดๆ เข้ามา ก็ให้เฝ้าดูอยู่เฉยๆ

    ช่วงที่กายหลับ จิตตื่นนี้ เป็นช่วงที่ความคิด ความรู้สึก จะพรั่งพรูออกมามากมาย ทั้งความฝันเมื่อคืน ความคิด ความรู้สึกภายในทั้งหลาย

    เมื่อมีความคิดแว่ปมาทั้งหลาย ก็ให้กลับมาที่ลมหายใจทุกครั้ง

    จนจิตสงบ ไม่มีความคิดว่อกแว่กใดๆ

    ให้นึกถึงความรักจากสิ่งใกล้ๆตัวก่อน (ตัวอย่างในกระทู้ที่ 8) ภาพในหมวดเดียวกันนี้จะค่อยๆร้อยเรียงเข้าด้วยกันอย่างเป็นอัตโนมัติ

    ในขณะนี้ หากมีความคิด ความรู้สึกด้านลบใดๆเกิดขึ้น ให้เฝ้ามองดูเฉยๆ ไม่หลบ ไม่หลีก หนีไปยังอารมณ์ที่ทำให้เราสบายใจ มองดูอยู่อย่างนั้น จนการมองดูกลายเป็นความเข้าใจ
    และเมฆหมอกเหล่านี้สลายตัวไป

    ทำบ่อยๆได้ทุกๆวันอย่างเป็นธรรมชาติ

    ให้ทุกวันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักให้กับตนเอง ให้กับคนรอบข้าง แกะปมในใจให้คลายออกเรื่อยๆ

    ในไม่ช้า พลังงานชีวิตที่รอเราอยู่ จะขึ้นมาเอง อย่างเป็นธรรมชาติครับ :)

    "ตื่นด้วยความรัก
    ใช้ชีวิตด้วยความรัก
    หลับด้วยความรัก
    ให้ความคิด คำพูด การกระทำ ออกมาจากความรัก"



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2011
  14. t168

    t168 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +4
    ขอบคุณมากครับ :)
     
  15. ดาวจรัสแสง

    ดาวจรัสแสง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    542
    ค่าพลัง:
    +3,015
    ขอขอบพระคุณสำหรับข้อมูลที่ดีๆค่ะ สังเกตว่าใครก็ตามที่พลังกุลฑาลิณีถูกปลุกให้ตื่นแล้ว จะเป็นผู้ให้ความรัก อันบริสุทธิ์ มิอาจจะประมาณ มีให้กับทุกๆคน ทุกสรรพสิ่งในจักรวาล ขอแสดงความยินดีและดีใจด้วยค่ะ

    อนุโมทนาสาธุกับธรรมทานค่ะ
     
  16. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    โมทนากับคุณเซลด้วยเช่นกันครับ

    สาธุ

    ...............................
     
  17. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    [​IMG]

    ขอบคุณครับ คุณ t168 ที่ติดตาม คุณ magic_me?(ที่พลังก็ตื่นขึ้นมาจนล้นออกมา :) ) คุณชยุต ที่นำแสงสว่างมากระตุ้น กระทุ้ง ให้พี่ๆน้องๆในเว๊ปเสมอมา


    ผมจะค่อยๆนำข้อมูลที่กล่าวถึงพลังกุณฑาลิณี ทั้งทางตรงและทางอ้อม มาแบ่งปันต่อไปเรื่อยๆ

    สิ่งเหล่านี้คือธรรมชาติความเป็นจริงของพวกเราทุกๆคน ลองสำรวจแนวความคิด ความเชื่อ ที่เรารับเข้ามา และบล๊อคการทำงานของพลังงานแห่งชีวิตนี้ ภายในจิตใจของพวกเรากันครับ ใช้ความเข้าใจสลายเมฆหมอกเหล่านี้ออกไป

    ห้องเรียนที่แท้จริง อยู่ในร่างกาย อยู่ในจิตใจ เราสามารถเรียนรู้ได้ตลอด จนชีวิตจะหาไม่

    เปลวไฟบนศีรษะจากรูป เป็นสัญลักษณ์ของพลังกุณฑาลิณีที่ตื่นขึ้นมา :)
     
  18. mawmee

    mawmee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +622
    ขอบคุณ คุณcosmiccellมากค่ะที่ช่วยชี้แนะ จะเอาไปฝึกต่อค่ะ:cool:
     
  19. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ขอบคุณคุณเซลล์มากๆค่ะ
    ที่นำสิ่งดีๆมาแบ่งปันกันอยู่เสมอๆ
    พลังงานในกระทู้นี้สดชื่นดีจริงๆค่ะ
    ซึมซับไว้เรียบร้อยแล้ว
    รออ่านต่อนะตัวเอง...นะ :VO
     
  20. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253


    ขอบคุณครับ คุณ mawmee คุณ kindred ที่ติดตาม
    หากสิ่งใดมีประโยชน์ และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ผมก็ดีใจแล้วครับ

    :)


    โยคีที่แท้... แม้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกีย์วิสัย
    เขาก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ทางสังคมของเขาได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน
    ในขณะเดียวกัน...ก็สามารถมีชีวิตที่สะอาดบริสุทธิ์ได้
    เขาไม่ใช่นมที่ผสมกลมกลืนไปกับน้ำ แต่เขาเป็นเนยที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ
    กล่าวคือเขาไม่ถูกรบกวน ครอบงำโดยโลกีย์วิสัย
    ไม่เกิดกิเลสขึ้นในใจ...
    แต่ประพฤติตน เป็นมือเป็นเท้าของพระผู้เป็นเจ้า
    เต็มใจทำหน้าที่ตามบทบาทของตนอย่างเต็มที่
    แม้จะอยู่ในโลกนี้แต่ก็ไม่เคยห่างจากพระเจ้าเลย


    (คัดลอกจากหนังสือ ยอดคนมหาโยคะ)



    ประโยคเหล่านี้ หมายถึง เราไม่จำเป็นต้องปลีกวิเวกจากสังคม เพื่อไปปลุกพลังแห่งชีวิตนี้ขึ้นมา แต่ให้ค่อยๆลอกอัตตา สลายความเชื่อที่เรารับเข้ามา เพื่อให้พลังงานแห่งชีวิตทำงานได้สะดวก

    [​IMG]


    จากประโยคด้านล่างต่อไปนี้ คือสิ่งที่กิริยาโยคะ ได้กล่าวถึง พลังงานแห่งชีวิต หรือกุณฑาลิณีเอาไว้



    กิริยาโยคะเป็นเทคนิควิธีทางสรีรศาสตร์และจิตศาสตร์อย่างง่ายๆโดยใช้การหายใจดูดพลังปราณที่เป็นพลังชีวิตเข้าไปสร้างความมีชีวิตชีวาแก่สมองและระบบประสาทที่ไขกระดูกสันหลังทำให้สามารถชะลอความแก่หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนกายหยาบหรือเซลล์ร่างกายให้เป็นกายละเอียดหรือพลังงานที่ละเอียดขั้นสูงได้
    (คือ การชักนำ พลังงานแห่งชีวิตที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกาย เพื่อให้ไปขจัดมลภาวะภายในเซลล์ ให้ระบบพลังงานภายในทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เฉกเช่นร่างกายทารก ที่มีการสร้างใหม่ ฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว)



    กิริยาโยคะเป็นศาสตร์เก่าแก่โบราณที่ท่านมหาสยาได้รับถ่ายทอดมาจากท่านบาบาจิตัวท่านบาบาจิเป็นผู้ค้นพบศาสตร์โบราณอันนี้ที่สูญหายไปแล้วในยุคมืดอีกครั้งและตั้งชื่อใหม่ให้แก่ศาสตร์นี้ว่า กิริยาโยคะ

    ท่านบาบาจิได้กล่าวกับท่านมหาสยาศิษย์ของท่านว่า

    “วิชากิริยาโยคะที่เราจะมอบให้แก่ชาวโลกโดยผ่านตัวเจ้าในศตวรรษที่ 19 นี้เป็นวิชาเดียวกับที่ท่านกฤษณะได้ถ่ายทอดให้แก่อรชุนเมื่อหลายพันปีก่อนและเป็นวิชาเดียวกับที่ปตัญชลีและพระเยซูรวมทั้งเหล่าศิษย์ของเขาได้ฝึกมาด้วย”
    ในคัมภีร์ภควัทคีตากฤษณะได้กล่าวถึงกิริยาโยคะเอาไว้สองตอนตอนหนึ่งมีใจความว่า

    การบูชาพระเจ้าทำได้หลายวิธีบางพวกใช้ลมปราณโดยถวายปราณหรือลมหายใจเข้าให้เป็นอปานะหรือลมหายใจออกและถวายลมหายใจออกให้เป็นลมหายใจเข้าโยคีเป็นผู้ประสานการหายใจสองอย่างนี้ทำให้เขาสามารถควบคุมพลังชีวิตได้ (บทที่ 4)

    กล่าวในอีกนัยหนึ่งก็คือโยคีใช้การสงบระงับการเคลื่อนไหวของปอดและหัวใจมาชะลอความแก่เฒ่าและสะสมพลังชีวิตภายในตัวนั่นเองส่วนอีกตอนหนึ่งกฤษณะกล่าวไว้ว่า

    จงทำอารมณ์ให้ตัดขาดจากโลกภายนอกเพ่งจิตรวมจักษุทั้งสองไปที่หว่างคิ้ว (ตาที่สาม
    )ทำลมหายใจออกและลมหายใจเข้าให้เดินอยู่แต่ภายในช่องจมูกเท่าๆกันข่มอินทรีย์ใจและความคิดให้อยู่ในบังคับแสวงหาแต่ความหลุดพ้นปราศจากความอยากความกลัวและความโกรธโยคีผู้ใดฝึกตัวเองจนเป็นเช่นนี้ได้ผู้นั้นเป็นผู้พ้นแล้วทุกเมื่อ (บทที่ 5)

    (บทที่ 5 หมายถึง การบังคับลมหายใจ แบบปราณยามะ ของโยคะ ที่ให้ลมในช่องจมูกซ้าย และขวาเท่ากัน นั่นหมายถึง ให้พลังแห่งชีวิต สามารถไหลเวียนในช่องแกนกลางกระดูกสันหลังได้สะดวก)

    นี่เป็นข้อความเพียงท่อนเดียวในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์อย่างภควัทคีตาที่กล่าวถึงเทคนิคการฝึกอย่างเป็นรูปธรรมของโยคะซึ่งท่านบาบาจิตั้งชื่อว่า กิริยาโยคะ

    โลกที่เราอาศัยอยู่นี้เป็นมายาที่จิตของเราสร้างขึ้นมาดุจเดียวกับโลกในความฝันหากโลกในความฝันเปรียบได้เป็นทะเลลมหายใจก็เปรียบได้กับลมทะเลที่ทำให้เกิดคลื่นของจิตแต่ละคนพัดไหวไปมาโดยที่จิตของแต่ละคนต่างหลงผิดคิดว่าสรรพสิ่งทั้งหลายที่เห็นอยู่นี้เป็นของจริงมนุษย์จึงเกิดความหลงผิดก็เพราะลมหายใจนี้แหละที่ทำให้เข้าใจผิดไปว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตที่แยกต่างออกไป (ความรู้สึกแบ่งแยกออกเป็นคู่มีเขามีเรา)
    เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงต้องเป็นทุกข์และแบกทุกข์ไว้มากมายการจะตื่นจากความหลงผิดเช่นนี้แค่มีความรู้เชิงปรัชญาหรือความรู้ทางจริยธรรมศีลธรรมอย่างเดียวเท่านั้นยังไม่พอหรอกท่านกฤษณะได้สอนให้พวกเราจะต้องฝึกฝนตนเองจนกระทั่งสามารถบังคับร่างกายให้อยู่ในอำนาจอย่างสิ้นเชิงได้และใช้พลังจิตของเราแปรมันให้กลายเป็นพลังงานที่บริสุทธิ์ที่ปรากฏออกมาในรูปของกายกรรมวจีกรรมและมโนกรรมซึ่งสิ่งที่ท่านกฤษณะสอนพวกเราก็คือวิชาอันศักดิ์สิทธิ์หรือโยคะนี่เอง

    (คำว่า จริยธรรม ศีลธรรม หากเรายึดถือไว้โดยไม่เข้าใจ สิ่งเหล่านี้กลับกลายทำให้จิตใจหนักอึ้ง และกลายเป็นกรงขังในที่สุด)



    ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของอินเดียได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าจุดประสงค์ที่มนุษย์ต้องกลับชาติมาเกิดบนโลกนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าก็เพื่อที่จะเรียนรู้วิชาหรือวิธีการที่แสดงถึงจิตวิญญาณที่มีอำนาจเหนือวัตถุอย่างสิ้นเชิงกับผ่านประสบการณ์ชีวิตนับชาติไม่ถ้วนเพื่อให้เขาสามารถสำแดงคุณสมบัติแห่งพระเจ้าที่ไม่มีขีดจำกัดของจิตวิญญาณออกมาภายใต้เงื่อนไขที่ถูกจำกัดทางวัตถุนั่นเอง

    ตะวันออกกับตะวันตกต่างเรียนรู้ในเรื่องนี้ด้วยวิธีการที่ต่างกันจึงควรที่ต่างฝ่ายต่างจะต้องถ่ายทอดสิ่งที่ตนเองค้นพบให้กันและกันพระเจ้าทรงมุ่งหวังให้มนุษย์ซึ่งเป็นบุตรของพระองค์พยายามสร้างสรรค์อารยธรรมโลกขึ้นมาใหม่ที่สามารถขจัดความยากจนทุกข์ภัยไข้เจ็บและความไม่รู้ทางจิตวิญญาณให้หมดไปได้
    เพราะความไม่รู้ทางจิตวิญญาณหรืออวิชชาหรือการลืมความเป็นพระเจ้าในตัวเองของมนุษย์คือที่มาของความทุกข์ทั้งปวง

    ความลี้ลับของการเกิดการตายซึ่งเป็นเป้าหมายแห่งชีวิตที่มนุษย์ควรจะต้องไขความลี้ลับนี้ให้จงได้ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับการหายใจอย่างลึกซึ้งแน่นแฟ้นเพราะความลับของการไม่หายใจคือสุดยอดแห่งความลับของการไม่แก่ไม่ตายปราชญ์อินเดียโบราณที่ตระหนักถึงข้อเท็จจริงในเรื่องนี้จึงได้ใช้การหายใจเป็นเครื่องมือ

    (ไม่ใช่ว่าไม่หายใจเลย แต่มันคือ เรากลายเป็นผู้เฝ้าดู การเคลื่อนที่ขึ้นลงเป็นระบบอัตโนมัติของปราณละเอียดในระบบจักรวาลภายใน จากการใช้ลมหายใจเป็นพาหนะในการเข้าถึง)

    เพียงหนึ่งเดียวสวรรค์สร้างศาสตร์แห่งการไม่หายใจที่เป็นวิทยาศาสตร์และสุดแสนจะพิสดารขึ้นมาต่อให้อินเดียไม่ได้สร้างคุณูปการใดๆให้แก่โลกนี้เลยแต่การปรากฏของกิริยาโยคะขึ้นที่ประเทศนี้ย่อมสามารถชดเชยสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดให้แก่ชาวโลกได้

    ประกาศกทั้งหลายต่างรู้ดีว่าพระเจ้าได้สร้างการหายใจขึ้นมาเป็นโซ่่อัศจรรย์ที่คล้องร่างกายกับจิตวิญญาณเข้าด้วยกันคนธรรมดาหากไม่ได้รับพลังชีวิต (ปราณ) จากจิตวิญญาณโดยผ่านตัวกลางคือการหายใจแล้วร่างกายย่อมไม่อาจทำงานได้และไม่อาจคงสภาพของสิ่งมีชีวิตได้

    ปราณคือรูปลักษณ์หนึ่งของ โอมที่เป็นคลื่นของจิตวิญญาณสากลแต่เป็นที่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่หลงผิดไปเข้าใจว่าร่างกายเป็นชีวิตโดยตัวมันเองและตัวเขาก็คือร่างกายของเขาโดยไม่ได้ตระหนักความจริงที่ว่าตัวเขาคือจิตวิญญาณและปราณ (พลังชีวิต) จากจิตวิญญาณต่างหากที่ให้ชีวิตแก่ร่างกาย
    มนุษย์ในขณะที่ยังลืมตาอยู่จะรับรู้ร่างกายและการหายใจได้แต่ในขณะที่นอนหลับและเป็นช่วงที่จิตใต้สำนึกทำงานเป็นหลักอยู่ใจของมนุษย์จะละจากร่างกายและการหายใจไปชั่วคราวและหากอยู่ในสภาวะจิตเหนือสำนึกอันเป็นสภาวะสมาธิอันล้ำลึกจิตจะเป็นอิสระจากความงมงายที่ว่าตัวตนของมันขึ้นอยู่กับร่างกายและการหายใจพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่โดยไม่มีการหายใจจิตวิญญาณของมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เหมือนกับพระเจ้าเมื่ออยู่ในสภาพไร้การหายใจของสภาวะจิตเหนือสำนึกแล้วจะรู้แจ้งถึงตัวตนที่แท้จริงของมันได้

    ท่านมหามุนีที่ชื่อปตัญชลีเรียบเรียงคัมภีร์โยคสูตรซึ่งเป็นคัมภีร์สำคัญของวิชาโยคะก็ได้กล่าวถึง “กิริยาโยคะ” ว่า “กิริยาโยคะ” ประกอบด้วยตบะหรือการฝึกกายการฝึกควบคุมจิตและการทำจิตน้อมสู่โอมหรือพระศิวะ

    โอมคือเสียงศักดิ์สิทธิ์ที่โยคีได้ยินในขณะอยู่ในสมาธิท่านปตัญชลีเรียกพระเจ้าว่า “โอม” เพราะโอมคือคำพูดแห่งการสร้างของพระเจ้าคือคลื่นสั่นของพลังจักรวาลคือพยานที่พิสูจน์ว่าพระเจ้ามีจริง

    ท่านปตัญชลียังกล่าวถึงปราณายามาหรือวิธีควบคุมปราณของกิริยาโยคะด้วยว่า “การหลุดพ้นบรรลุได้ด้วยปราณายามาการหยุดหายใจคือความสำเร็จสูงสุดและสมบูรณ์ของปราณายามา”

    ท่านอาจารย์ยุคเทสวากล่าวว่า กิริยาโยคะคือเครื่องมือในการส่งเสริมวิวัฒนาการของมนุษย์ชาติ

    โยคีโบราณได้ค้นพบว่าความลับของจิตสำนึกแห่งจักรวาลนั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างแน่นแฟ้นกับการควบคุมลมหายใจสิ่งนี้คือคุณูปการที่เป็นอมตะที่อินเดียมอบให้แก่ภูมิปัญญาของมนุษย์ชาติเพราะโยคีสามารถใช้วิธีการของโยคะปลดปล่อยพลังชีวิตหรือปราณมาใช้ในการยกระดับทางจิตวิญญาณได้

    กิริยาโยคีใช้จิตของตนไปบังคับให้ปราณหรือพลังชีวิตของตนไหลเวียนขึ้นลงไปตามศูนย์กลาง 6 แห่งบนกระดูกสันหลังคือปลายก้นกบกระดูกบริเวณก้นกระดูกบริเวณแนวสะดือกระดูกบริเวณแนวหัวใจกระดูกบริเวณแนวไหล่และท้ายทอยศูนย์กลางทั้ง 6 แห่งนี้สอดคล้องกับราศีทั้ง 12 ราศีที่เป็นสัญลักษณ์แห่งมนุษย์จักรวาล

    หลายคนคงไม่รู้หรอกว่าแม้แค่ฝึกปราณให้ไหลเวียนขึ้นลงรอบๆแกนกระดูกสันหลังนี้เพียงแค่ 30 วินาทีเท่านั้นจิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นก็จะวิวัฒนาการขึ้นไปอีกก้าวหนึ่งเทียบได้กับระยะเวลาหนึ่งปีของวิวัฒนาการตามธรรมชาติของคนที่ใช้ชีวิตธรรมดาเลยทีเดียว

    (หมายความว่า หากเรานำพลังแห่งชีวิตนี้ ไหลเวียนไปตามศูนย์พลังงานในกายทั้งหลาย มันจะไปชักนำแนวคิด ความเชื่อ ที่ฝังรากลึกอยู่ในโผล่ขึ้นมา ให้เราใช้ปัญญาพิจารณา เพื่อสลายเมฆหมอกเหล่านี้ออกไป นั่นคือ คำว่า วิวิฒนาการ)


    ต่อให้ผู้ฝึกโยคะเกิดเสียชีวิตก่อนไม่สามารถบรรลุความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณได้สมบูรณ์ในชาตินี้ก็ไม่ต้องเสียใจอะไรเพราะโยคีที่ฝึกกิริยาโยคะย่อมสามารถนำกรรมดีที่เกิดจากการบำเพ็ญบารมีในชาติก่อนมาสมทบเป็นบารมีดั้งเดิมในชาติต่อไปเพื่อไปบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณได้

    กิริยาโยคะเป็นเทคนิคการฝึกที่ไม่ยากก็จริงแต่ร่างกายของคนธรรมดาเหมือนหลอดไฟฟ้าห้าสิบวัตต์จะให้มารับพลังจักรวาลเป็นล้านวัตต์ที่เกิดจากกิริยาโยคะเลยทีเดียวนั้นย่อมทำไม่ได้จึงมีความจำเป็นที่จะต้องฝึกโยคะอย่างค่อยเป็นค่อยไปเปลี่ยนโครงสร้างกายทิพย์ในร่างกายของตัวผู้ฝึกทีละน้อยๆจนกระทั่งสามารถรับพลังจักรวาลทีละมากๆได้



    (ยิ่งทำความเข้าใจกับอัตตาได้มากเท่าไร ปริมาณของพลังจักรวาลที่จะได้รับก็จะมากขึ้นเท่านั้น )


    กิริยาโยคะที่ถูกต้องถ้าหัดแล้วผู้ฝึกจะรู้สึกถึงสันติภายในและมีความคึกคักสบายเต็มที่บริเวณแกนกระดูกสันหลังวิธีของโยคะโบราณอันนี้จะเปลี่ยนลมหายใจให้กลายเป็นจิตธาตุเมื่อผู้ฝึกรุดหน้าทางจิตวิญญาณผู้ฝึกจะรับรู้ได้ว่าการหายใจเป็นการทำงานของจิตเช่นเดียวกับความฝัน


    (เป็นตัวเช็คว่า พลังงานแห่งชีวิต หรือ ปราณละเอียดภายใน ได้เคลื่อนที่ขึ้นลง ในโพรงกระดูกสันหลังหรือไม่)


    ความเร็วในการหายใจของมนุษย์มีความสัมพันธ์กับสภาวะจิตในขณะนั้นด้วยลมหายใจของมนุษย์ที่กำลังเพ่งจิตไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งจะช้าลงไปเองโดยธรรมชาติแต่ในขณะที่เกิดความกลัวความโกรธความอยากที่เป็นอารมณ์ในแง่ลบลมหายใจจะเร็วและหยาบตามไปด้วย


    ลิงที่ไม่อยู่กับที่หายใจนาทีละ 32 ครั้งคนธรรมดาหายใจนาทีละ 18 ครั้งแต่สัตว์ที่มีอายุยืนจะหายใจน้อยกว่ามนุษย์โดยเฉพาะเต่าที่มีอายุยืนยาวถึง 300 ปีนั้นหายใจแค่ 4 ครั้งในหนึ่งนาทีเท่านั้น

    (ในอารมณ์แห่งความรัก และความสงบ ลองสังเกตุลมหายใจดู ว่ามันจะช้าลงอย่างมาก)

    ทำไมการนอนหลับจึงมีประสิทธิผลในการฟื้นฟูเรี่ยวแรงกำลังวังชาให้กับคนเรา? ก็เพราะว่าในขณะที่คนเรานอนหลับอยู่คนเราไม่ได้มีจิตสำนึกแห่งความเป็นร่างกายและตระหนักถึงการหายใจนั่นเองคนที่นอนหลับอยู่จึงมีสภาพเดียวกับโยคีในระหว่างนั้นเขาจะปลดปล่อยตัวเองจากจิตสำนึกแห่งความเป็นร่างกายและชักนำพลังชีวิต (ปราณ) เข้าไปเสริมในศูนย์กลางทั้งหกบนกระดูกสันหลังและในสมองแบบโยคะโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง

    คนธรรมดาต้องใช้การนอนหลับเพื่อเพิ่มเติมพลังจักรวาลหรือพลังชีวิตที่ใช้ไปซึ่งเป็นวิธีการที่ล่าช้าในขณะที่โยคีสามารถใช้วิธีการของโยคะเสริมพลังให้แก่ทุกอณูในร่างกายได้ในขณะที่ยังลืมตาอยู่

    (หากรับทราบถึง กระแสพลังแห่งชีวิตภายในลมหายใจ สามารถใช้ความคิดชักนำพลังจากธรรมชาติรอบตัว เข้ามาเสริมได้อย่างอัตโนมัติ ไม่ต้องรอการแปลงพลังงานจากการสันดาปอาหาร มาเป็นพลังชีวิต แต่สามารถดึงดูดพลังชีวิตเข้ามาได้ทันที)

    มนุษย์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งมายาที่อยู่ใต้กฎธรรมชาติจะสูญเสียพลังชีวิตในร่างกายไปสู่ข้างนอกเพราะต้องใช้พลังนี้ไปทำให้อวัยวะระบบประสาทสัมผัสทำงานแต่ผู้ที่ฝึกกิริยาโยคะทิศทางการไหลของกระแสพลังชีวิตหรือพลังปราณนี้จะย้อนกลับเข้าสู่ข้างในแทนโดยการใช้อำนาจจิตชักนำปราณเข้าสู่จักรวาลภายในรวมตัวเข้ากับพลังอันสุดแสนพิสดารในกระดูกสันหลังอีกครั้งทำให้ร่างกายและเซลล์สมองของโยคีได้รับพลังชีวิตเพิ่มเติมและสามารถชะลอความแก่เฒ่าได้

    นอกจากนี้สมองของคนเราถ้าหากต้องการจะให้เกิดวิวัฒนาการแม้เพียงเล็กน้อยยังจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างต่ำถึงสิบสองปีเลยทีเดียวสำหรับคนที่มีสุขภาพแข็งแรงและถ้าหากมุ่งมั่นที่จะให้สมองนี้สามารถรองรับจิตสำนึกแห่งจักรวาลได้สมองจะต้องได้รับการพัฒนาถึงหนึ่งล้านปีแต่ถ้าใช้หลักวิชากิริยาโยคะการจะพัฒนาสมองจะไม่ถูกจำกัดโดยวิวัฒนาการตามธรรมชาติและใช้เวลาน้อยกว่านั้นมากเลย

    เนื่องจากกิริยาโยคะได้ถอดถอนการหายใจที่เป็นโซ่ตรวนคล้องจิตวิญญาณไว้กับร่างกายออกไปจึงทำให้โยคีผู้ฝึกสามารถยืดอายุกายหรือขยายจิตสำนึกของเขาให้ใหญ่โตได้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด

    นอกจากนี้วิชาโยคะนี้ยังตัดเชือกที่ร้อยใจกับอวัยวะสัมผัสที่ยึดติดกับวัตถุให้ขาดออกจากกันทำให้ตัวโยคีถูกปลดปล่อยจากการผูกมัดของประสาทสัมผัสด้วยดังนั้นโยคีจึงเป็นผู้ที่สามารถรู้แจ้งในตัวตนที่แท้จริงของตนที่ไม่ถูกผูกมัดโดยร่างกายและการหายใจได้


    การทำวิปัสสนาหรือการนั่งสงบนิ่งเฉยยังไม่อาจทำให้ใจตัดขาดจากประสาทสัมผัสทั้งหลายได้เพราะใจกับประสาทสัมผัสยังมีปราณคอยเชื่อมอยู่มีแต่ต้องใช้การบังคับปราณโดยตรงเพื่อไปควบคุมใจอีกทีหนึ่งอย่างวิชาโยคะเท่านั้นถึงจะทำให้ใจไม่ถูกรบกวนโดยประสาทสัมผัสได้

    (คือการนำปราณ ไปชักนำ ความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก ที่ขัดกับความเป็นธรรมชาติของจิตวิญญาณ ที่ฝังตัวอยู่ภายในศูนย์พลังงาน ให้โผล่หน้าตาออกมา เพื่อให้เราได้เห็น ได้ทำความเข้าใจ )

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...